29 เมษายน 2567, 04:35:53
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [3] 4  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: มาร่วมแบ่งปันสิ่งดีๆ จากสิ่งที่ได้อ่าน+การทำงาน กันครับ  (อ่าน 45157 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #50 เมื่อ: 17 เมษายน 2553, 20:44:42 »


                  พกบัตร ปชช.เที่ยวสงกรานต์ฉุกเฉินเข้ารพ.ฟรี

                                              

         นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)แนะพกบัตรประชาชน เที่ยวสงกรานต์ เพื่อใช้สิทธิเข้ารักษาตัว ใน โรงพยาบาลฟรี กรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยให้ข่าวว่า

         ระหว่างวันที่ 10-18 เม.ย. 2553 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งหลังจากที่ รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนไทยมีบัตรประจำตัวประชาชนเพียงใบเดียวที่สามารถใช้ในการรับบริการสาธารณสุขจากหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้อย่างสะดวกมากขึ้น

         สำหรับประชาชนที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่จำเป็นต้องพกบัตรทองแล้ว และหากเกิดกรณีเจ็บป่วยกระทันหันหรือฉุกเฉิน รวมทั้งประสบอุบัติเหตุ ผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากว่า 47 ล้านคน สามารถเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ หรือ โรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด เพื่อช่วยชีวิตหรือช่วยผ่าตัดเร่งด่วน ก่อนส่งตัวกลับไปรักษาพยาบาลที่หน่วยบริการประจำต่อไป

         และหากพบเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ ให้โทรแจ้งที่ 1669 ทั่วประเทศเพื่อขอรับความช่วยเหลือภายใน 30 นาที ทั้งนี้การใช้สิทธิการเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนั้น ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ขึ้นอยู่กับความจำเป็น ซึ่งเป็นผลมาจากมติของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ยกเลิกการจำกัดความคุ้มครองการเจ็บป่วยฉุกเฉิน จากเดิมไม่เกินปีละ 2 ครั้งเปลี่ยนเป็นผู้ป่วยสามารถใช้บริการนอกหน่วยบริการที่กำหนดได้ตามความจำเป็นไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นอย่างแท้จริง

         เลขาธิการ สปสช. กล่าวด้วยว่า สำหรับการเข้ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินนั้น ต้องมีข้อบ่งชี้ว่าโรค หรืออาการของโรคมีลักษณะรุนแรง ต้องรักษาเป็นการเร่งด่วน หากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งโรคที่ต้องผ่าตัดด่วนหากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งโรงพยาบาลที่ให้การรักษาผู้ป่วยบัตรทองสามารถเบิกค่ารักษาได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามจริงแต่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยจากเรื่องดังกล่าว สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช.โทร. 1330 ตลอดเวลา

นำมาจาก น.ส.พ.ไทยรัฐ วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายน 2553

http://www.thairath.co.th/content/edu/75646

                                     ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

         นำข่าวมาบอก พวกเราว่า ในกรณีฉุกเฉิน ใช้บัตรประชาชน เข้า ร.พ.ได้ทุกแห่งที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่าเอกชนก็เข้าได้ ซึ่งใช้ได้ในตลอดทุกเวลา ไม่เฉพาะสงกรานต์ เท่านั้น เป็นมาตรการของรัฐ ที่จะช่วยให้ประชาชนทุกคนเมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉิน เข้ารักษาได้ทุกที่ ที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่า ใช้สิทธิบัตรอะไรก็ตาม บัตรประกันสุขภาพ หรือ เดิมเรียก บัตรรักษาฟรี 30 บาท  บัตรประกันสังคม บัตรข้าราชการ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ใช้ได้ทั้งหมด

         ในอนาคตถ้ามีการเชื่อมข้อมูลระหว่าง ร.พ.ทั่วประเทศ ด้วยระบบอินเตอร์เนต จะเกิด ร.พ.ออนไลน์ เหมือน ธนาคาร ที่ทำออนไลน์ ดูข้อมูลปัจจุบัน ของลูกค้าได้ไม่ว่าไปทำธุรกรรมสาขาใด ก็จะบันทึกรวมในแฟ้มเดียวกัน จึงทำให้สามารถใช้สิทธิรักษาได้ทั้งประเทศ

         ทุก ร.พ.ที่ให้บริการสามารถรู้ประวัติว่าไปรักษาที่ใด ได้ยาอะไร ใช้บัตรประชาชน ร่วมกับลายนิ้วมือ หรือ แล้วแต่จะกำหนดในอนาคต เพื่อเก็บรักษาประวัติการเข้าถึงข้อมูลต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของประวัติ ผลจากการเข้าดูประวัติการรักษาได้ทุกที่ จะทำให้แพทย์สามารถประเมินผลการรักษาที่เคยได้ เพื่อให้การรักษาต่อเนื่องได้ทันที ประหยัดยา ช่วยแพทย์ให้ดูการรักษาของ ร.พ.อื่น เป็นการเรียนรู้ทางการแพทย์ระหว่างแพทย์ด้วยกัน  ผู้ป่วยก็สะดวกในการเข้าถึงบริการ รักษาที่ใดก็ได้ ฟรี ทั่วประเทศตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข


                                     win win win    

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 16 เมษายน 2553, 08:13:56
คุณหมอสำเริงคะ

เมื่อไรจะรักษาได้ โดยไม่ต้องใช้สิทธิ ฉุกเฉินคะ

                           prapasri AH
               Hero Cmadong member

                                                    

             จะรักษาได้ โดยไม่ต้องใช้สิทธิฉุกเฉิน เมืื่่่่อ ร.พ.ทุกแห่งใช้คอมพิวเตอร์บันทึกข้อมูล

แล้วส่งทางอินเตอร์เนตให้ สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช. ทำการตรวจสอบข้อมูล


             แล้วจ่ายใ้ห้ตามระบบการวินิจฉัยกลุ่มโรคร่วม หรือ Diagnosis Related Groups : DRG

และ ตามผลการรายงานว่าสมบูรณ์มากน้อยเท่าไร ซึ่งเป็นวิธีคิดการจ่ายเงินของ สปสช.

             ถ้าข้อมูลที่ส่งให้ไป ไม่ครบถ้วนจะถูกตัดเป็น % จนกว่า ข้อมูลที่ส่งไปดี ก็จะจ่ายครบ

เป็นการจูงใจให้ทำข้อมูลให้สมบูรณ์ ตามที่เป็น มาตรฐาน ของ สปสช. ต้องการให้ทำ


หมายเหตุ ที่ สปสช.ทำระบบนี้เพื่อให้การจ่ายเงินกับสถานพยาบาล ที่ผู้ป่วยเลือกไปรักษาจริงแทน
ระบบเดิมที่เหมาจ่ายล่วงหน้าตามหัวประชากรที่อาศัยอยู่ใกล้ ร.พ. เตือน

           ทำให้ประชาชนไม่ต้องถูกบังคับไปรักษาเฉพาะ ร.พ.ที่ได้รับเงินล่วงหน้า ซึ่งเป็นการ

ผูกขาด ขัดกับ ระบบเสรี ที่ต้องให้ประชาชนเลือก ร.พ.ได้ตามความพอใจ

ผลดีที่จะได้ต่อระบบสุขภาพ คือ ทำให้ทุก ร.พ.ต้องพัฒนาคุณภาพ ให้ประชาชนพึงใจ

เพื่อให้มีคนไข้มากขึ้นมีผลต่อรายได้สะท้อนผลต่อเงินเดือนและโบนัสของเจ้าหน้าที่ ร.พ.ครับ


                                        gek gek gek

 "เลิกผูกขาด ระบุ ร.พ. มาเป็นเลือกเข้ารักษา ร.พ.ได้เสรีตามความพอใจ ที่ได้รับบริการ"

      http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3999.0.html

                                   win win win






      
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #51 เมื่อ: 20 เมษายน 2553, 07:09:12 »


                            

           องค์การก๊าซเรือนกระจก เตรียมเปิดขาย "คาร์บอนเครดิต" วงประชุมโลกร้อนครั้งแรกในโลก ชี้ผู้ร่วมประชุม 3,000 ราย ต้องถูกตรวจสอบปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่เริ่มจนจบการประชุม

          นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ขณะนี้ปัญหาภาวะโลกร้อนได้ทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ในวงกว้าง โดยพบว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกสูงขึ้นราว 1 องศาเซลเซียส และนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าในอนาคตอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้น 1.04-6.5 องศาเซลเซียส

           สำหรับประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้มีพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารเกียวโต แต่ที่ผ่านมาได้มีมาตรการหลายด้านในการลดโลกร้อน ทั้งเรื่องการทำโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (ซีดีเอ็ม) ซึ่งปัจจุบันได้ให้การรับรองกับ 107 โครงการแล้ว และมี 35 โครงการ ที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การสหประชาชาติ เพื่อขายคาร์บอนเครดิตได้

          ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม 20 เม.ย. 53 และ  

 http://news.sanook.com/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-923281.html


                        ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ


                      

             กรีนพีซขอขอบคุณท่านที่ลงชื่อ มีส่วนร่วมในการผลักดันการปกป้องสภาพภูมิอากาศ

ซึ่งผู้นำโลกจะร่วมประชุมสุดยอดของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ​​

ในเดือนธันวาคม 2552 ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก​

           ​การประชุมครั้งนี้มีผลกระทบกับพวกเราทุกคน  ผลการประชุมอาจทำให้โลกติดอยู่ในการ

เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายและ ย้อนกลับคืนไม่ได้อีก เราอยากให้ผู้นำโลก นั่นคือ

                    

           ประธานาธิบดีโอบามาเข้าร่วมการประชุมนี้เพื่อผลักดันให้มีการตัดสินใจซึ่งจะ​

 ‘เปลี่ยนแปลง’ทิศทางอนาคตของมนุษยชาติ และ อนาคตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้​ ​

ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ล่อแหลมมากที่สุดในการรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ​

                     YoU-Turn the Earth!

เชิญให้เพื่อนๆ คุณลงชื่อที่ Twitter แบ่งปันจดหมายเรียกร้องนี้ที่ Facebook
 
                    Chang(e) is Coming!
            มีอีกหลายวิธีที่คุณมีส่วนร่วมได้ รักนะ

                         win win win

  เข้ามีส่วนร่วมได้ด้วยการรับข่าวสารจากกรีนพีซและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนกรีนพีซที่่

http://www.greenpeace.org/seasia/th/newsletter/supporters-e-news/090602

                          win win win                    

          นำข่าวความก้าวหน้า เรื่อง การลดโลกร้อน........ ประเทศไทยเรา ไม่ีมีพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารเกียวโต แต่มีสิทธิเรื่องขายคาร์บอนเครดิตได้ และ กำลังเร่งขายคาร์บอนเครดิต ช่วยลดโลกร้อนได้โดยรับเงิน จากประเทศที่ทำให้เกิด ต้องมาจ้างเราลดให้

                        win win win


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #52 เมื่อ: 20 เมษายน 2553, 18:20:05 »


                     

           การทำงานสันติวิธีท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนแรง แบ่งฝักฝ่าย และเต็มไปด้วยความกลัว-โกรธ-เกลียดนั้นย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูก

           โจมตีจากทุกฝ่าย เช่น ถูกกล่าวหาว่าดิสเครดิตผู้ชุมนุมบ้าง

           เข้าทาง-อวยประโยชน์แก่ผู้ชุมนุมบ้าง

           เป็นอีแอบบ้าง ฯลฯ

          นักสันติวิธีควรอดกลั้น ไม่ตอบโต้ เพราะทุกวันนี้มีการตอบโต้แรง ๆ กันมากจนเกินพอแล้ว....

           ไม่ว่าจะถูกกระทำอย่างไร ขอให้นึกถึงสันติสุขของบ้านเมือง แล้วจะรู้สึกเลยว่า สิ่งที่กระทบกับเรานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

           ทำงานนี้แล้วแม้ถูกด่าถูกเข้าใจผิด แต่หากช่วยให้ผู้คนโกรธเกลียดกันน้อยลง ทำร้ายกันน้อยลง หรือช่วยไม่ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟได้ ก็นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งแล้ว

           นำมาจาก http://www.visalo.org/    

                                                       
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #53 เมื่อ: 21 เมษายน 2553, 07:05:06 »


                         มองให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหา

                          

                          สัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล
              โดยสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
                             วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๓

             พิธีกร คนไทยควรจะทำใจอย่างไรในสถานการณ์ขณะนี้

             พระไพศาล อยากจะให้มองว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมดาของโลก เป็นธรรมดาของบ้านเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างทางความเชื่อหรือเพราะผลประโยชน์ขัดแย้งกันก็ตาม ยิ่งในระบบประชาธิปไตยด้วยแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องขัดแย้งกัน แต่ตราบใดที่ยังใช้วิธีการที่สันติ ทั้งสองฝ่ายคือเจ้าหน้าที่รัฐไม่ใช้ความรุนแรง ผู้ชุมนุมก็อยู่ในสันติวิธี ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทุกข์ร้อนอะไร

             เราก็จับตาดูไป อะไรที่เห็นว่าดีก็ควรสนับสนุน อะไรที่เห็นว่าไม่ดีก็ควรแนะนำตักเตือน

                 ขอขอบคุณ เวบวิสาโล และ อ่านบทสัมภาษณ์ทั้งหมดได้ที่
             http://www.visalo.org/columnInterview/peace530317.htm

                                    gek gek gek

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #54 เมื่อ: 21 เมษายน 2553, 18:41:12 »


                                            มองประเทศไทยในแง่ดี (9)

                          ทหารไม่ได้พ่ายแพ้ แต่ยอมรับว่าปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ

                                                    

                                             พล.อ.สายหยุด  เกิดผล    
      
                        ผู้ที่ติดตามเหตุการณ์เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 53  เมื่อทางรัฐบาลโดยคณะกรรมการ ศอฉ. สั่งการให้กองกำลังทหาร สนับสนุนด้วยกำลังตำรวจ และพลเรือน  เข้ายึดพื้นที่คืนให้ประชาชนจากผู้ชุมนุมเสื้อแดง  เพื่อเป็นของขวัญในวันสงกรานต์ เป็นการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉิน  อันเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล  และก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามคำเรียกร้องของประชาชนทั่วไป  และฝ่ายผู้ชุมนุมก็คาดอยู่แล้วว่าจะมีการใช้กำลัง

                        การปฏิบัติการครั้งนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี และโฆษกคณะกรรมการ ศอฉ. ก็ได้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า

หนึ่ง รัฐบาลไม่ได้ทำการสลายผู้ชุมนุม  หมายความว่า สิทธิ์การชุมนุมตามรัฐธรรมนูญนั้นยังอยู่  แต่ขณะนี้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน,

สอง รัฐบาลจะใช้กำลังปฏิบัติการตามมาตรฐานสากล 7 ขั้นตอน  จากเบาไปหาหนัก  และ

สาม รัฐบาลห้ามทหารใช้ความรุนแรงเกินมาตรฐานสากลนี้โดยเด็ดขาด  เพื่อมิให้ทหารถูกกล่าวหาว่า ทำการปราบปรามประชาชน เพราะทหารเป็นของประชาชน

                        ถ้าพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่าทางทหารได้ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลโดยเคร่งครัด  และในตอนต้นก็ปรากฏว่าได้ผล  เพราะสามารถยึดพื้นที่โดยเฉพาะบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คืนมาจากผู้ชุมนุม  

                        แต่ต่อมาได้มีเหตุการณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้น  ก็เพราะปรากฏจากหลักฐาน ว่ามีกองกำลังติดอาวุธของบุคคลในชุดสีดำ ปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง  ได้ใช้อาวุธสงคราม M.79 ลูกระเบิดขว้าง อาวุธปืนเล็กยาว ยิงเข้าสู่ทหาร  

                        ซึ่งเมื่อปรากฏเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเช่นนี้  น่าที่ทหารจะถอนตัวเร็วกว่านี้  แต่ทหารก็ยังยึดมั่นในภารกิจโดยไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น  ทั้งผู้บังคับบัญชาชั้น ผบ.พล., ผบ.กรม, เสนาธิการกองพล  เสนาธิการกรม คงเดินหน้าเคียงข้างทหารเพื่อมุ่งปฏิบัติการตามภารกิจให้สำเร็จ

                        จึงเกิดการสูญเสียที่น่าสลดใจขึ้น  เมื่อมีลูกระเบิดตกลงมาในกลุ่มทหาร จนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย  ต่อมาจึงได้รับคำสั่งให้ถอนตัวยุติการปฏิบัติการ

                        ดังนั้น คนทั่วไป แม้แต่ทางฝ่ายรัฐบาลได้ยอมรับกับประชาชน ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของทหารฝ่ายรัฐบาล  

                        แต่ประชาชนบางส่วนเห็นว่า

หนึ่ง ทหารไม่ได้พ่ายแพ้ เป็นแต่ปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ ที่ปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ เพราะสถานการณ์ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนแปลงไป จากการไม่ใช้อาวุธมาเป็นมีกองกำลังใช้อาวุธสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุม  

สองทหารได้แสดงให้เห็นถึงความมีระเบียบวินัย และความกล้าหาญ ปฏิบัติการตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา  แม้แต่ต้องเผชิญกับอันตรายถึงชีวิตก็ตาม  และ

สาม ประชาชนทั่วไปย่อมยืนยันได้อีกครั้งหนึ่งว่า ทหารนั้นเป็นของประชาชนตามที่เขียนไว้หน้าค่ายทหารทุกแห่ง  และจะไม่มีวันใช้อาวุธปราบปรามประชาชนที่ไม่ถืออาวุธเป็นอันขาด  นอกจากกองกำลังผู้ก่อการร้าย ซึ่งถือว่าไม่ใช่ผู้ชุมนุมตามสิทธิ์ในรัฐธรรมนูญ

                        แต่ถึงอย่างไร ก็อยากขอวิงวอนให้ประชาชน รวมทั้งรัฐบาล ได้พิจารณาในการใช้กำลังทหารครั้งต่อไปให้ดี  เพราะทหารเป็นเครื่องมือสุดท้าย  และก็เป็นความหวังสุดท้ายของประชาชนด้วย  

                        ถ้ามีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ผมขอเรียนว่า ในขั้นนั้น การปฏิบัติการของทหารจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าทหารแพ้ บ้านเมืองก็คงโกลาหล ไม่มีขื่อ ไม่มีแปร  ทหารจะแพ้ไม่ได้ ก็ต่อเมื่อทหารสามารถใช้อาวุธและพลังอำนาจที่มีอยู่ทั้งสิ้น เข้าปฏิบัติการ  และประชาชนให้การสนับสนุน  

                        ผมเชื่อในพลังอำนาจของทหาร ขอให้การบังคับบัญชาแน่นแฟ้นตามสายการบังคับบัญชา  ย่อมจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จแน่นอน  ส่วนความเสียหายใดๆ ที่จะเกิดขึ้น และตามมานั้น  ผู้สั่งการและประชาชนที่สนับสนุนจะต้องรับผิดชอบด้วย  ซึ่งผมหวังว่าคงจะไม่ถึงขั้นนี้นะครับ !

                        ผมและประชาชนที่เป็นกลางทั่วไป ขอสนับสนุนให้รัฐบาลประชาธิปไตย ภายใต้การนำของนายกอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะไม่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นรัฐบาลที่เลวน้อยกว่ารัฐบาลบางรัฐบาลที่ผ่านมา  

                        ในระยะนี้ ขอให้ท่านอดทนอยู่ปฏิบัติการในการแก้ปัญหาต่อไป ด้วยการสนับสนุนของประชาชน  ซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ  

                        ถ้าท่านยังยึดถือกฎหมายของบ้านเมืองในการแก้ปัญหา  เพราะ

                        การ “ยุบสภา” และการ “ลาออก” ในยามนี้  ในสายตาประชาชนที่เป็นกลางทั่วไป ไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาใดๆ ได้ นอกจากจะเพิ่มความวุ่นวายในการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองเพิ่มขึ้น  โดยไม่มีใครรับผิดชอบต่อบ้านเมืองใดๆ  ขอให้ท่าน กรุณาอดทน อย่าได้หลงเชื่อคำเสนอแนะที่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ทางการเมือง  ขอให้ยึดถือเอาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ  ท่านอาจกลายเป็น “ผู้นำ” ที่ประชาชนทั่วไปจะจดจำไปอีกนาน ผู้นำที่แท้จริงคือ “ผู้เสียสละ-จริงใจ และกล้าหาญ” ครับ!

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ได้รับมาจากอีเมลล์ขอให้ส่งต่อให้ชาวเนตได้อ่านกันมากๆจึงนำมาโพสต์บอกพวกเราที่เวบซีมะโด่งนี้ด้วย

                                                      win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #55 เมื่อ: 21 เมษายน 2553, 19:39:29 »


                     ink Dots - this is wild! Something to drive you crazy...‏
                From: Charoenchai Taitilanunt (charoenchai.t@thaiairways.com)
                         Sent:   Wednesday, April 21, 2010 1:37:52 PM
                                         To:......1 attachment
                                       Image.1.3...gif (37.7 KB)

                    

              Subject: Pink Dots - this is wild! Something to drive you crazy...

                 If your brain  works normally  this is neat.
 
This is another example of an amazing illusion!!! The last sentence is so true..  

If your eyes follow the movement of the rotating pink dot, the dots will remain only one color, pink.  

                                             ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

However if you stare at the black ' + '  in the center, the moving dot turns to green.

Now, concentrate on the black '  +  ' in the center of the picture. After a short period,

all the pink dots will slowly disappear, and you will only see only a single green dotrotating.  

It's amazing how our brain works. There really is no green dot, and the pink ones really

don't disappear.This should be proof enough,we don't always see what we think we see .  

                        Send this to all of your friends and amaze them.  

                                             รักนะ รักนะ รักนะ

น้องชาย ส่งมาให้เป็นชาวหอซีมะโด่ง วิศวะ  รหัส 23 ทำงานไทยแอร์เวย์ จึงส่งมาให้พวกเราดูด้วย

                               มีอีเมลล์แอดเดรสข้างบน เพื่อนร่วมรุ่นเชิญติดต่อกันได้


                                               ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #56 เมื่อ: 25 เมษายน 2553, 10:15:36 »


                                  สธ.ปั้นนักบริหารยุทธศาสตร์มือโปร
                    
           สธ.ปั้นนักวิชาการระดับชำนาญการ  เป็นนักบริหารยุทธศาสตร์มืออาชีพ  รู้ทันโลกเหตุการณ์ปัจจุบัน  เชื่อสนองนโยบายรัฐได้  ฟุ้งเป็นแห่งแรกยังไม่มีหน่วยราชการแห่งไหนทำมาก่อน

                                              

           เมื่อวันที่   23  เม.ย.  นพ.เสรี  หงษ์หยก  รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข  (สธ.)   เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์  รุ่นที่  1  จำนวน  26  คน  ประกอบด้วยนักวิชาการระดับชำนาญการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบริหารนโยบายและยุทธศาสตร์ของหน่วยงานต่างๆ   ได้แก่  สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์  จำนวน  10   คน   สถาบันพระบรมราชนก  จำนวน  1  คน  กรมต่างๆ  ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข   จำนวน  9  คน  จากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด  จำนวน  6  คน
    
           นพ.เสรีกล่าวว่า  สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์  กระทรวงสาธารณสุข  มีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้เป็นองค์กรนำในการบริหารยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพภายในปี  2556  โดยวางแผนพัฒนาระบบและกลไกการบริหารยุทธศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพด้วยวิทยาการสมัยใหม่  เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม  ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
    
           ทั้งนี้แนวทางในการพัฒนาดังกล่าว  กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์  จัดทำหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์  แบ่งเป็น  3  ระดับ  เพื่อให้เหมาะสมตามระดับความเชี่ยวชาญของกลุ่มเป้าหมาย  ได้แก่  

1.หลักสูตรประกาศนียบัตรนักบริหารยุทธศาสตร์  สำหรับนักวิเคราะห์นโยบายและแผนระดับชำนาญการ  

2.หลักสูตรวุฒิบัตรนักบริหารยุทธศาสตร์  เพื่อพัฒนาขีดสมรรถนะของนักวิเคราะห์นโยบายและแผนระดับเชี่ยวชาญ  และ  

3.หลักสูตรระดับปริญญาโท  สาขาการบริหารยุทธศาสตร์  

           โดยเริ่มนำร่องอบรมรุ่นแรกในหลักสูตรประกาศนียบัตรนักบริหารยุทธศาสตร์  ซึ่งเป็นระดับจูเนียร์  (Junior)  ในปี  2553  โดยคัดเลือกเจ้าหน้าที่ระดับชำนาญการที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับด้านแผนนโยบายยุทธศาสตร์ของหน่วยงานจากส่วนกลางและภูมิภาค  26  คน  ใช้เวลาอบรม  28  วัน  โดยอบรมระหว่างปฏิบัติงาน เมื่อจบหลักสูตรแล้ว  จะเป็นนักบริหารยุทธศาสตร์ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ของกระทรวงสาธารณสุขไปสู่ความสำเร็จ
    
           ด้าน  นพ.ขวัญชัย  วิศิษฐานนท์  รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์  กล่าวว่า   เนื้อหาการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรนักบริหารยุทธศาสตร์  ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ   4  วิชา  ได้แก่  

กระบวนการกำหนดและทบทวนยุทธศาสตร์  

การแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ  

การจัดการความรู้และระบบข้อมูลข่าวสารสนเทศ   และ

การกำกับติดตามและประเมินผล    

           มีการฝึกปฏิบัติงานโดยใช้ประสบการณ์การปฏิบัติงานจริงหรือกรณีศึกษา  โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การอนามัยโลก  คณะกรรมการความร่วมมือพัฒนานักบริหารยุทธศาสตร์  มั่นใจว่า

          ต่อจากนี้ไปบุคลากรสาธารณสุขจะเป็นนักบริการยุทธศาสตร์ที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น  เป็นผู้รอบรู้เชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน  เพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ของโลกปัจจุบันและอนาคต  ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและสามารถตอบสนองนโยบายของรัฐบาลสู่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะยังไม่เคยมีการดำเนินการในหน่วยงานใดมาก่อน.

                                                 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

                    ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยโพสต์ การศึกษา-สาธารณสุข วินเสาร์ที่ 24 เมษายน 2553
                                http://www.thaipost.net/news/240410/21217

                                                 gek gek gek

           นำมาให้พวกเราทราบว่า ในการบริหาร ต้องใช้ 3 M Man Money และ Management นอกจาก Man มนุษย์เป็นทรัพยากร ที่สำคัญที่สุด นอกจากเป็นทรัพยากรที่ ดี เห็น ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ส่วนตนแล้ว

          มนุษย์ ยังต้องมีแนวทางบริหารจัดการที่ดี หรือ Good Governance ธรรมาภิบาล นั่นเอง

           กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ปั้นนักบริหารยุทธศาสตร์มือโปร มาทำให้ ทรัพยากร มนุษย์ M มีแนวทางบริหารที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ที่ต้องบริหารให้สำเร็จดีที่สุด อย่างมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล เป็นแห่งแรก ในการพัฒนาการบริหาร ขึ้น

                                                  บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #57 เมื่อ: 25 เมษายน 2553, 11:27:40 »


                    "วัสสการพราหมณ์เข้าเฝ้าพระพุทธองค์"

                              ธรรมะวันอาทิตย์ช่อง ๗ สี

            วันอาทิตย์ ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา ประมาณ ๖.๐๐ น.

                           มีคำถามอยากรู้เรื่อง เกี่ยวกับ

                    "วัสสการพราหมณ์เข้าเฝ้าพระพุทธองค์"

                            

                 พระธรรมโกศาจารย์ (ศ.ดร.ประยูร ธมฺมจิตฺโต)

            เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร,เจ้าคณะภาค 2

            อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,

 ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และ

    คณะเลขานุการของคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

         ....................................................................

           ขอความสุข ความเจริญ จงมีต่อท่านสาธุชนทั้งหลาย

เรื่องวัสสการพราหมณ์เข้าเฝ้า นี้เป็นคำถามที่ดีมาก

จะแสดงให้เห็นประโยชน์ของความสามัคคี เรื่องเป็นดังนี้

           วัสสการพราหมณ์เป็นปุโรหิตพระเจ้าอชาตศัตรูเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ

ในเวลานั้นมีแคว้นที่ยิ่งใหญ่อยู่แคว้นหนึ่ง มีระบอบการปกครองแบบ

                                "สามัคคีธรรม"

          คือ ปกครองเป็นหมู่คณะ เรียกว่า เหล่ากษัตริย์ "ลิจฉวี" โดย

มีการประชุมเพื่อเลือกกษัตริย์ ขึ้นมาบริหารประเทศ ผ่าน รัฐสภา

คณะผู้บริหารอยู่เป็นวาระ ครบวาระแล้วก็เลือกตั้งกันใหม่

          ชื่อ แคว้นวัชชี มีเมืองหลวง ชื่อไพศาลี มีความยิ่งใหญ่มั่งคั่งมากมาย

พระเจ้าอชาตศัตรู ประสงค์จะครอบครองเมืองไพศาลี ยกทัพเข้าตี

หลายครั้งไม่สำเร็จสักที จึงรับสั่งให้.......

           วัสสการพราหมณ์ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ให้ไปเล่าถึงความแข็งแกร่ง

ของแคว้นวัชชีของกษัตริย์ลิจฉวี ให้พระพุทธองค์ทรงทราบ

แล้วคอยกำหนดจดจำว่าพระพุทธองค์จะรับสั่งอย่างไร

พูดง่าย ๆ อยากไปขอคำปรึกษา โดย ไม่บอกวัตถุประสงค์

          วัสสการพราหมณ์ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า พระเจ้าอชาตศัตรู

โจมตีแคว้นวัชชีอย่างไรก็ไม่สามารถจะตีแตกได้ เข้มแข็งเหลือเกิน

พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสตอบ แต่ทรงหันไปตรัสกับ พระอานนท์ ว่า

            เคยรู้จัก เรื่อง กษัตริย์ ลิจฉวี หรือไม่

พระอานนท์กราบทูลว่าเคยได้ยินว่ากษัตริย์ลิจฉวีนั้นมี

อปริหานิยธรรม ๗ ประการ ที่ประพฤติอยู่เป็นประจำ ทำให้มี

ความสามัคคีกัน จึงเข้มแข็งสร้างบ้านแปลงเมืองได้ยิ่งใหญ่


           วัสสการพราหมณ์เป็นคนฉลาด พอได้ฟังอย่างนี้แล้วก็ได้คิดว่า

ที่พวกกษัตริย์ลิจฉวีเข้มแข็งข้าศึกศัตรูไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะ

มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ทางเดียวที่จะตีแตกได้ต้องหาทางทำลาย

ความสามัคคีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี จึงรีบขอกลับทันที

หลังจากวัสสการพราหมณ์จากไปแล้ว

พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดง อปริหานิยธรรม - หลักแห่งความไม่เสื่อม

๑) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์

๒) พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม

พร้อมเพรียงกันทำกิจที่จะต้องทำ

๓) ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

๔) ให้เคารพอาวุโสทั้ง วัยวุฒิ และ คุณวุฒิ เชื่อฟังคำตักเตือน

๕) ไม่ลุอำนาจตัณหาที่เกิดขึ้น ไม่ตกอยู่ในอำนาจความทะยานอยาก

เพราะ จะชักจูงให้ออกนอกทำนองคลองธรรมได้

๖) ยินดีในความสันโดษ พอใจในสิ่งที่ควรมีควรได้ แต่ไม่เกียจคร้าน

๗) ตั้งสติระลึกเสมอว่า ยินดีต้อนรับเพื่อนร่วมโลกทุกคน


          เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรู้ ทราบจากวัสสการพราหมณ์ แล้ว จึงวางแผน

แกล้งลงโทษ วัสสการพราหมณ์ เฆี่ยนตี และ ขับไล่ออกจากเมือง

วัสสการพราหมณ์ จึงสามารถเข้าไปอยู่ ยังกรุงไพศาลี ได้ เมื่อเข้า

ไปอยู่ ก็ยุแหย่ ใ้ห้กษัตริย์ลิจฉวี ระแวงกัน จนเลิกการปฏิบัติตาม

อปริหารธรรม เมื่อ พระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาโจมตี กษัตริย์ลิจฉวี

ก็ไม่ร่วมประชุมกัน แตกแยกกัน ไม่ร่วมคิด ต่อสู้ศัตรูเหมือนเก่า

กรุงไพศาลี จึงแตก พระเจ้าอชาตศัตรู เข้ายึดเมืองได้ในที่สุด


                      ขอเจริญพร

นำมาจาก เวบจริยธรรม ร.พ.พนมสารคาม

         http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=panomsarakham&month=04-2010&date=04&group=14&gblog=45

                     รักนะ รักนะ รักนะ

          ธรรมะเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความสามัคคี คือ พลัง ร่วมสร้างชาติได้

ถ้าแตกความสามัคคี เมื่อใด จะเป็นภัยร้ายต่อชาติ ได้ทันที


                   win win win

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #58 เมื่อ: 25 เมษายน 2553, 12:02:44 »


           ถ้าไร้แผ่นดินไม่สุข 'ฟ้าหญิง'เตือนสติประชาชน/เผยในหลวงทรงรู้ทุกเรื่อง

                       

           "ฟ้าหญิง"  ทรงเตือนสติคนไทย  อะไรดีที่สุดสำหรับแผ่นดินเกิดก็ควรทำ  อย่าปล่อยให้ล่มสลาย  จะไม่มีใครสุขเลย  "ในหลวง"  พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้  "ประธานศาลฎีกา"  นำคณะผู้พิพากษา  101  คนเข้าเฝ้าฯ  จันทร์ที่  26  เม.ย.นี้  "ดร.สุเมธ"  เผยทรงทราบทุกเรื่อง  ทรงพระราชวินิจฉัยเองว่าจังหวะใดควรทำเรื่องใด  บอกไม่เคยเห็นศัตรูต่างชาติ  มีแต่ไทยฆ่าไทยกันเอง 

                                 เศร้า!  ประเทศยึดรองบ๊วยโกง  แพ้แม้แต่  "เขมร"

            เมื่อวันศุกร์  สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ  เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์  อัครราชกุมารี  ได้ตรัสกับคนไทยในประเทศเยอรมนี   ตอนหนึ่งว่า   การปลูกฝังของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   และสมเด็จพระราชินี  ทรงสอนตลอดว่า  ถ้าไม่มีประชาชนก็ไม่มีพวกเรา  เราเกิดมาได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน  คนเขาเคารพกราบไหว้  ก็ควรทำประโยชน์  ทำตัวให้เหมาะสมกับที่เขาเคารพนับถือ   ท่านสอนอย่างนี้เสมอ  ข้าพเจ้าก็ทุ่มสุดตัวที่จะทำสำหรับประเทศไทย  อะไรที่ดีกับไทยก็ทำ  อยากให้ทุกท่านคิดเหมือนกันว่า 

           อะไรที่ดีที่สุดสำหรับแผ่นดินแม่  เราก็ควรทำ  ถ้าไม่มีแผ่นดินไทย  ไทยล่มสลาย  จะไม่มีใครมีความสุขได้เลย

           วันเดียวกัน  นายสนอง  บูรณะ  รองราชเลขาธิการ  ปฏิบัติราชการแทนราชเลขาธิการ  ได้ทำหนังสือแจ้งมายังนายวิรัช  ชินวินิจกุล  เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม  เรื่อง  พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ  ถวายสัตย์ปฏิญาณ  ความว่า

           "ตามที่ขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา  ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสบโชค  สุขารมณ์  ประธานศาลฎีกา  นำผู้พิพากษาประจำศาล  สำนักงานศาลยุติธรรม  จำนวน  101  คน  เข้าเฝ้าฯ  เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่  และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นายวิรัช  ชินวินิจกุล  เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม,  นายไพโรจน์  นวานุช  ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฎีกา,  นายวรวุฒิ  ทวาทศิน  เลขาธิการประธานศาลฎีกา  และนายสราวุธ  เบญจกุล  รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม  เฝ้าฯ  ร่วมด้วยนั้น  ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ  ถวายสัตย์ปฏิญาณ   ก่อนเข้ารับหน้าที่ในวันจันทร์ที่  26  เม.ย.นี้  เวลา  17.30  น.  ณ  อาคารเฉลิมพระเกียรติ  โรงพยาบาลศิริราช

           ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ   ดร.สุเมธ  ตันติเวชกุล  เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา  กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง  การเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมเพื่อสังคมไทยใสสะอาด  ตอนหนึ่งว่า  ทำไมประเทศมาถึงจุดนี้ได้  เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่รู้คำตอบดี  เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้คิดถึงความดี  เรื่องจริยธรรมกินไม่ได้  แบบนี้ดีกว่าเรื่องเงินทอง  ได้เห็นทันตา  หากลองสังเกตมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งในโลก 

          ไม่ใช่แค่ไทยอย่างเดียวที่เกียรติยศก็ซื้อได้  ตำแหน่งซื้อได้ความดียังซื้อได้เลย

          "เวลานี้โลกถูกครองด้วยระบบเดียว  คือ  บริโภคนิยม  เป็นต้นตอของทุกสิ่ง  และเป็นต้นตอหายนะของโลก  โลกกำลังแตกดับอยู่  เพราะทุกสิ่งที่เราใช้ล้วนระดมจากทรัพยากรที่มีในโลก"   ดร.สุเมธกล่าว  และว่า  ต้นตอคือกิเลสตัณหาที่พระพุทธเจ้าสอนมา  2,553  ปีแล้วยังไม่ชนะ  นี่คือต้นตอทำลายจริยธรรมคุณธรรมทั้งหมด  ซึ่งคนมีจริยธรรมคุณธรรมได้ต่อเมื่อควบคุมกิเลสตัณหาได้    ตราบใดที่มนุษย์ควบคุมกิเลสตัณหาไม่ได้  อย่ามาพูดเรื่องคุณธรรมจริยธรรม   หรือพูดสั้นๆ   คือ  ความดี  อย่าพูดเลย  เพราะคนทำไม่ได้   อย่ามาเลี่ยงบาลีกัน  นำคำโน้นคำนี้อ้างฟังดูดี  ประชาธิปไตย  สิทธิ  แต่ใจจริงๆ  ใช่หรือไม่

           เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาระบุว่า    เราหลงละเลิงตั้งแต่วางแผนพัฒนาเอาจีดีพีเป็นที่ตั้ง  ขายหมดทุกอย่างในแผ่นดิน  แล้วดีใจว่าเรารวยแล้ว  แต่ลืมว่าความร่ำรวยไม่เหมือนการสร้างบ้าน  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งเหมือนสร้างบ้านไม่ได้ตอกเสาเข็ม  รวยจากการขายที่ดิน  ขายน้ำ  สุดท้ายต้องขายคน  เราเผชิญทุกปัญหาที่เกี่ยวกับคน  ดังนั้น  เราเผชิญวิกฤตการณ์วัฒนธรรม  เยาวชน  ยาเสพติด  และวิกฤตการณ์การเมืองมาจากคนอีก  ทั้งนี้  ล่าสุดประกาศตำแหน่งอันทรงเกียรติ  ประเทศไทยเป็นรองแชมป์คอรัปชั่น

           "อุตส่าห์ทำประเทศไทยใสสะอาดสะสมคะแนนมานาน  ช่วงเวลาไม่ถึง  2  ปี  กลับตกมารองอันดับสุดท้ายของคอรัปชั่น   เราชนะแค่อินโดนีเซีย  แต่แพ้เขมร  สังเวชใจอายหรือไม่  เมื่อก่อนประเทศอื่นในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้หลายประเทศตามหลังเรามา  แต่ตอนนี้ชนะเราไปได้อย่างไร  เราไม่อายหรือ  ต้นตออยู่ที่ใด  มีใครพยายามหาหรือไม่  อย่าบอกว่าไม่รู้  แต่ถูกกลืนกินหมดแล้วเรื่องจริยธรรม  พอขาดจริยธรรม  จนทำให้ในหลวงรับสั่งแช่งว่า  ใครทุจริตแม้นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไป   โดยที่พระองค์ท่านยังรับสั่งด้วยว่า  พูดแบบนี้หยาบคาย  ทั้งๆ  ที่ท่านรู้ยังทนไม่ไหว  เพราะเกิดทุกหย่อมหญ้า  ทุกองค์กรและซึมเข้ามาในชีวิตพวกเรา  ดังนั้นเห็นแล้วน่าเศร้า"

           เขากล่าวว่า   ถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำอะไร  โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งคือ  ความดี  ว่าการทำดีนั้นยากและเห็นผลช้า  แต่จำเป็นต้องทำ  เพราะหาไม่ความชั่วที่ทำได้ง่ายกว่าจะเข้ามาแทนที่  พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทันรู้สึกตัว  แต่ละคนต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลังในการสร้างเสริมและสะสมความดี   รับสั่งตั้งแต่ปี  พ.ศ.2525  ผ่านมากี่ปีแล้ว   พระราชกระแสนั้นยังใช้ได้อยู่หรือไม่  เพราะความชั่วไม่ใช่ศัตรูที่ปราบได้ง่าย  ต้องเพียรพยายามให้สุดกำลัง

           พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งเมื่อ   2532  ว่าการมุ่งสอนให้คนเก่งนั้น  อาจทำให้จุดบกพร่องต่างเกิดขึ้นได้  ดังนั้นเราจึงพยายามเดิมคำที่  2  ด้วยว่าเก่งแล้วต้องดีด้วย  คนเก่งและดีหายาก   เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร  หากเก่งอย่างเดียวจะเกิดข้อบกพร่องอย่างไรบ้าง   ในหลวงรับสั่ง

ประการที่  1  คนเก่งจะบกพร่องในความคิดพิจารณาที่รอบและกว้างไกล  เพราะใจร้อนอยากทำให้เสร็จเร็วๆ   ทำให้ผิดพลาดล้มเหลวได้ง่าย  เพราะคนเก่งเชื่อมั่นจิตใจสูง   ดูถูกคนแก่ 

2.บกพร่องในความนับถือและเกรงใจผู้อื่นเพราะถือตนเป็นเลิศ  ดูถูกคน  มองข้ามความสำคัญบุคคลอื่น  ก่อให้เกิดความขัดแย้ง  ทำลายไมตรีจิต  หาเพื่อนยาก 

3.บกพร่องในบกพร่องในความมัธยัสถ์  มุ่งให้ตัวเองโดดเด่น  อยากก้าวหน้าเร็ว  จึงเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น   และ   

4.บกพร่องในจริยธรรมและรู้จักรับผิดชอบชั่วดี  มุ่งหาประโยชน์เฉพาะตัว  พลิกแพลงจนจับไม่ได้  ยิ่งเก่งแล้วเกิดไม่ดี  สลับสับซ้อนยากที่คนธรรมดาจะตามได้

           ดร.สุเมธระบุว่า   พูดเท่าไรไม่พอ  แต่เราจะยอมแพ้ไม่ได้  ในหลวงรับสั่งให้รักษาคุณธรรม  4  ประการ   

1.ให้รักษาความสัจจะ  เปิดทีวีจะเห็นว่าโกหกทุกนาที  จะเอาความสัจจะมาจากไหน  คนจีนรักษามาก   พูดแบบใดต้องรักษาคำพูด  ตัวอย่าง  สันติ  อหิงสา  กี่คนแล้ว   อย่าไปเทียบเหตุการณ์ปัจจุบัน 

2.ให้รู้จักข่มใจ  ฝึกใจตนเองให้ปฏิบัติอยู่ในความสัตย์  ต้องมีความเพียร  ต้องมีหิริโอตตัปปะ  ต้องมีความเข้มแข็งในจิตใจต่อสู้กิเลสตัณหา  เพราะต้องมีหิริโอตตัปปะ   เผลอไม่ได้ 

3.ความอดทนอดกลั้นและอดออม  ความอดทนคือความสำคัญ  แม้ใครจะเจอเรื่องใด  แต่สุดท้ายก็รอดไม่ต้องแก้  ให้เวลาแก้ไขจัดการเอง  เหตุการณ์จะคลี่คลายเหมือนรอพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า  แต่ต้องผ่านความทุกข์ก่อนถึงพบ

           "ในหลวงทรงเป็นต้นแบบของความอดทน  เคยรับสั่งว่าทรงนั่งอยู่สูงสุดบนยอดพีระมิด  สูงสุดอยู่บนยอด  แต่ประเทศไทยเป็นพีระมิดหัวกลับ  ทุกสิ่งทุกอย่างเทใส่ท่านหมด  ซึ่งพยายามเททุกอย่างใส่ท่าน  บ้านเมืองนี้พูดได้แค่นี้  ต้องอดทน  ทุกครั้งพอเหตุการณ์วิกฤติชีวิตคนเราธรรมดา  มีแดดออกต้องมีพายุ  แล้วจะมีฟ้าสดใส  ไม่มีสุขหรือทุกข์ตลอด"

4.ละความชั่ว   ให้รู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม  สละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประเทศอยู่รอด  ไม่ใช่เพื่อใคร  แต่เพื่อตัวเราเอง  จะได้อยู่บนแผ่นดินไทยไม่ใช่ฐานะผู้อพยพในประเทศอื่น  แค่บริจาคเพียง  1  ใน  62  ล้านคน  แต่นี่ไม่ช่วยกันหยอดแล้วยังทำลาย  ไม่เห็นคนไทยฆ่ากันมานานแล้ว  พูดแบบนี้เดี๋ยวโดนด่าอีก  ในชีวิตไม่เคยเห็นศัตรูต่างชาติสักคน  แต่ยังจะเดินซ้ำรอยอดีตอีก  เสียของเรื่องเล็ก  แต่เสียชีวิตคนคำนวณไม่ได้

           สุดท้ายจึงขอให้ยึดมั่นในทศพิธราชธรรม  10  ข้อของในหลวง  โดยคำว่า 

                         อวิโรธนะ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถือมากเรื่องนี้ 

           ไม่ยอมทำผิดประการใดทั้งสิ้น  ไม่ยอมทำผิดนี้ไม่ใช่ผิดหรือถูกกฎหมายเท่านั้น  แม้ขนบประเพณีวัฒนธรรม  จะทรงปฏิบัติอย่างไร   เรื่องใดนั้น

           "พระองค์ท่านจะทรงวินิจฉัยเอง  แม้เราจะดูไม่ออกว่าท่านทำไมไม่ทำแบบนั้นหรือทำแบบนี้  นั้นเราคิดตื้นๆ  ไม่มีเหตุผล  แต่ความจริงพระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทำผิดไม่ได้  แต่จังหวะใดท่านจะทำอะไร  พระองค์ท่านจะทรงพระวินิจฉัยเอง  พูดได้แค่นี้  ไปคิดต่อได้  หากพูดแค่นี้ไม่เข้าใจอีก  ตามสะดวก  ผมขันติไม่รู้สึกอะไรชาด้านหมดแล้ว"
  ดร.สุเมธกล่าวทิ้งท้าย.

                         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

          ข่าวหน้า 1 น.ส.พ.ไทยโพสต์ วันเสาร์ 24 เมษายน 2553

             http://www.thaipost.net/news/240410/21239

                        win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #59 เมื่อ: 25 เมษายน 2553, 17:50:24 »

นำมาให้อ่านค่ะ

      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #60 เมื่อ: 25 เมษายน 2553, 19:20:50 »


           อินเทอร์เน็ต ซึ่งทำโลกใบนี้แคบลงมาอยู่เพียงปลายนิ้วมือ

             เพิ่งมีอายุครบ 40 ปีไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้เอง


                             คมชัดลึก : 31 ต.ค.2552

    

           อินเทอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้นเมื่อ เลียวนาร์ด เคลนร็อค และ คณะนักวิจัยของ ม.แคลิฟอร์เนีย

วิทยาเขตลอสแองเจลิส (ยูซีแอลเอ)


           ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งของยูซีแอลเอสามารถ "คุย" กับ คอมพิวเตอร์อีกเครื่องที่

สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งได้ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2512

           อย่างไรก็ตาม เคลนร็อค ซึ่งตอนนี้อายุอานามปาเข้าไป 75 ปีแล้ว มองว่าอินเทอร์เน็ต

เพิ่งเข้าสู่วัยรุ่น และ ยังต้องเติบโตอีกไกล แต่ถึงกระนั้น เขาก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแอพพลิเคชั่น

ใหม่ๆ อย่าง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และยูทูบ ที่คนนำเอาอินเทอร์เน็ตไปต่อยอดพัฒนาเป็นอย่างมาก

          เคลนร็อคพูดถึงอินเทอร์เน็ตราวกับพูดถึงลูกๆ โดยบอกว่า

           ถึงแม้จะมีความประพฤติแบบผีเข้าผีออกอยู่สักหน่อย แต่อินเทอร์เน็ตก็สร้าง

ความปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมากให้แก่พ่อแม่ แล้วก็สังคม

          เคลนร็อคบอกว่าเขาเชื่อมาโดยตลอดว่าคอมพิวเตอร์ถูกกำหนดมาให้คุยกันได้

แล้วเครือข่ายที่เกิดขึ้นตามมาก็ควรจะใช้งานง่ายเหมือนโทรศัพท์ แล้วก็บอกว่า

ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าแม่ วัย 99 ปี ของเขาจะได้เล่นอินเทอร์เน็ตกับเขาด้วยเหมือนกัน

           สำหรับอนาคตของอินเทอร์เน็ตนั้น เคลนร็อคมองว่า

จะแทรกซึมเข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่าง และก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง

เคลนร็อคได้ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ว่า หากเขาเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง

ห้องนั้นจะรับรู้ว่าตัวเขาอยู่ที่นั่น แล้วก็จะพูดคุยกลับมา


          ขอขอบคุณ น.ส.พ.คมชัดลึก ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.komchadluek.net/detail/20091031/35074/4%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95.html

                  หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #61 เมื่อ: 25 เมษายน 2553, 19:22:16 »

 
                      'Social network' อาวุธสื่อสารโลกออนไลน์

           ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่า "Social network" (การที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันใน ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง)

          สังคมบนโลกออนไลน์กลายเป็นอาวุธลับร้ายแรงยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูไปแล้ว  เพราะตอนนี้ "Social network" ไม่ได้จำกัดเฉพาะการใช้สื่อใหม่มาทำการตลาดเท่านั้น ยังขยายวงการเชื่อมต่อไปยังโลกการเมือง

           โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ "วันวิปโยค 10 เม.ย. 2553" จนทำให้คนไทยต้องบาดเจ็บนับร้อยและเสียชีวิตถึง 25 คน  แต่ก็ไม่ได้ทำให้วิกฤติทางการเมืองยุติลง สถานการณ์ความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไป และในปัจจุบัน "สังคมออนไลน์" ก็กำลังกลายเป็นอีกเวทีสื่อสารในเรื่องนี้อย่างเข้มข้น
 
           ***ใช้เฟชบุ๊กเป็นสื่อ รวมตัวต้านการเมือง เพราะตอนนี้กลุ่มเสื้อหลากสีโดยการรวมตัวของ

                      

          น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ รวมตัวกันออกมาต่อต้านเรียกร้องให้คนเสื้อแดงคืนพื้นที่แยกราชประสงค์ให้คนกรุงเทพฯ และให้กำลังใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ต่อไป อย่ายุบสภา อย่าลาออก พร้อมทั้งแจกสติกเกอร์เขียนข้อความไม่ยุบสภา แจกใบปลิว และล่ารายชื่อถอดถอน ส.ส.จำนวน 3 คน คือ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ,นายการุณ โหสกุล และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย

           ที่สำคัญไปกว่านั้นการรวมตัวของกลุ่มเสื้อหลากสีไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่เพียงการระดมพลเท่านั้น แต่ทว่า น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ยังใช้  Social network ทั้งเฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ เป็นสื่อแสดงเพื่อความสันติภาพ และ ยุติความรุนแรง

           ว่ากันว่าการรวมตัวในวันที่ 15 เมษายน 2553 ที่ผ่านมาของกลุ่มเสื้อหลากสี และ การใช้สื่อผ่านเฟชบุ๊กรวบรวมได้ประมาณ 1 พันคนออกมาต่อต้านคัดค้านกลุ่มคนเสื้อแดง นอกเหนือจากนี้ยังมีสมาชิกเฟชบุ๊กอีกจำนวน 300,000 คน

           ทั้งนี้ข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อหลากสีเรียกร้องต่อคนเสื้อแดงดังนี้

1.หยุดล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ และที่ปรึกษาของพระองค์

2.หยุดการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธสงครามที่ก่อให้เกิดการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์

3.หยุดการใช้ความเท็จหลอกหลวงผู้ชุมนุมให้เกิดความแตกแยก

4.หยุดการข่มขู่ บังคับผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดให้ชุมนุมต่อ และ

5.หยุดการชุมนุมที่กีดขวางการจราจรที่สำคัญโดยเฉพาะบริเวณสี่แยกราชประสงค์


           นายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด และ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.kapook.com เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า

           ขณะที่บรรดานักการเมืองเกือบทุกพรรคก็ยังพึ่งช่องทางของ เฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ ในการติดต่อสื่อสารตัวอย่างที่ชัดเจนและโดดเด่นทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงกับเปิดเว็บไซต์ภายใต้ชื่อ www.abhisit.org ไม่นับรวม เว็บไซต์ของสื่อต่างๆ และพรรคการเมืองต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่เปิดให้ประชาชนติดตามเนื้อหา ความเคลื่อนไหวด้านต่างๆในเว็บไซต์ของตน

           เรียกได้ว่าตอนนี้ Social network หรือ สังคมเสมือนจริงสามารถเชื่อมต่อโลกให้แคบลงได้ถนัดตา และ ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงบนโลกไซเบอร์ หรือ ว่าไม่จริง!!!

                      ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

          ขอขอบคุณ น.ส.พ.ฐานเศรษฐกิจ  22 - 24  เมษายน พ.ศ. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

           http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=28489:social-network-&catid=123:2009-02-08-11-44-33&Itemid=494

          เวบซีมะโด่งของเราก็เป็นหนึ่งใน 'Social network' ที่เชื่อมโยงให้ออนไลน์ติดต่อกัน เป็นการระดมความคิด จากหลากหลายสาขา มาร่วมกันคิด คิดต่างได้ แต่ไม่ใช้ความรุนแรง

                     win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #62 เมื่อ: 29 เมษายน 2553, 08:23:31 »


                          ผู้ตรวจชี้สังคมไทยแตกแยกเพราะขาดคุณธรรม
          ไม่รู้อะไรถูก ผิด วอนทุกภาคส่วนช่วยเยียวยา-นำความสุขสงบกลับคืนสู่สังคม


           เมื่อวันที่ 28 เม.ย. น.ส.นราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้จัดประชุม

          “การบริหารจัดการโครงการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร”

                        การดำเนินกิจกรรมและสรุปผลการศึกษาดูงาน ณ

          มูลนิธิพุทธฉือจี้ ประเทศไต้หวันในโครงการพัฒนาคุณธรรมความดี

                  รุ่นที่ 2 ณ ห้องประชุม 901 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

                                                        

          โดยมีนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ และศาสตราจารย์ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นประธานการประชุม มีคณะศึกษาดูงานที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 40 คนเข้าร่วม ประกอบด้วย

           พระสงฆ์ ผู้พิพากษาสมทบ กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์ ผู้บริหารบริษัทเอกชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

           “ที่ประชุมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในสถานศึกษา และหน่วยงานของตนเอง โดยทุกฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่า

           สังคมที่เสื่อมคุณธรรมจริยธรรม เหมือนร่างกายที่อ่อนแอ การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมเพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน จึงควรเริ่มปลูกฝังตั้งแต่วัยแด็กในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้มีคุณธรรมความดีงามเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ”ผอ.ศูนย์คุณธรรม กล่าว

           ด้านศาสตราจารย์ ศรีราชา กล่าวว่า การไปศึกษาดูงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ได้เห็นสิ่งสำคัญคือกระบวนการสร้างคุณธรรมจริยธรรมให้ดำรงอยู่ในใจของคนไต้หวันเกือบจะทั้งประเทศได้ ซึ่งอาศัยเวลาที่ยาวนานพอสมควร การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมต้องขับเคลื่อนทั้ง 2 ระดับได้แก่ การปลูกฝังคุณธรรมใน

           เด็กและเยาวชนโดยเริ่มจากสถานศึกษาและครอบครัว ควบคู่ไปกับการปลุกจิตสำนึกของ

           คนในวัยทำงานจนถึงผู้สูงอายุ เพื่อลดช่องว่าง อย่างเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองปัจจุบัน เพราะ

           คนขาดคุณธรรม ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาของประเทศที่ต้องแก้ไขเยียวยาอย่างเร่งด่วน

         “สำหรับการสร้างจิตอาสาในแนวทางของฉือจี้เป็นการสร้างคุณธรรมที่ยั่งยืน เพราะเมื่อคนเรารู้จักที่จะเป็นผู้ให้ ไม่เห็นแก่ตัว เสียสละเพื่อส่วนรวมได้ คุณธรรมความรับผิดชอบจะเกิดและเมื่อความสุขเกิดขึ้นในใจ

           ถ้าเราสามารถปลูกให้คนมีสำนึกที่ดีในด้านคุณธรรมจริยธรรม เขาจะสามารถนำไปใช้เป็นกรอบในดำเนินชีวิตและประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง ไม่มั่วสุมในสิ่งที่ไม่ดี นำพาสิ่งดีๆมาสู่ตนเอง ครอบครัวและสังคม

           ดังนั้นทุกภาคส่วนของสังคมต้องร่วมมือกัน ยิ่งทำได้เร็วก็จะยิ่งช่วยให้สังคมกลับคืนสู่ความสงบสุขได้เร็วขึ้น ส่วนการขับเคลื่อนในระดับสถานศึกษาเชื่อว่าผู้รับผิดชอบ ต่างมีแนวคิดที่ดีและพร้อมจะดำเนินการอยู่แล้ว เห็นได้จากการส่งเสริมการทำความดีงามหรือการช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนและความภาคภูมิใจในตนเอง”ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว

                      ขอขอบคุณ น.ส.พ.คมชัดลึก วันพุธ ที่ 28 เม.ย. 2553                 http://www.komchadluek.net/detail/20100428/57279/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1.html

                                             รักนะ รักนะ รักนะ

                                        นำมาให้พวกเราได้ทราบ ว่า

        สังคมดีไม่มีขาย อยากได้สังคมดี พวกเราทุกคนต้องร่วมกันสร้างสังคมดีด้วย

                                          

                สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ที่เสนอโดย ท่าน ศ.น.พ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน เพื่อนำมาทำในสิ่งที่ยาก ๆ ๆ ๆ ได้แ่ก่  

ด้านที่ 1 การให้ความรู้ว่า คุณธรรม มีประโยชน์ต่อสังคม มากอย่างไร มีศาสนาทุกศาสนาสอน

ด้านที่่ 2  กลุ่มคนที่ได้รับความรู้ นำมาสร้างวัฒนธรรม สร้างสังคมของศาสนิกชนแต่ละศาสนา

ด้านที่ 3  เรามีศาสนาเป็นด้านที่ 1 สอนแล้ว มีศาสนิกชนเป็นด้านที่ 2 แล้วแต่โลกก็ยังคงวุ่นวาย

             ต้องมีด้านที่ 3 คือ ด้านการทำให้เกิดขึ้น

ด้วยด้านบวก ทำตามแล้วได้ประโยชน์

ด้วยด้านลบ ไม่ทำตาม จะเสียประโยชน์ หรือ ถูกลงโทษ จึงจะสร้างสังคมที่ดีได้

ด้านที่ 3 นี้เป็นด้านบริหาร ที่ผู้บริหารต้องสร้างกลวิธีเชิงบวก หรือ เชิงลบ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติขึ้น เพื่อสร้างจริยธรรม สร้างสังคมที่ดีได้

                                           win win win

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #63 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2553, 08:52:05 »


สปสช.โวบัตรทอง ช่วยลดรายจ่าย สุขภาพเหลือ1%
ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยโพสต์ วันจันทร์ ที่ 3 พฤษภาคม 2553

http://www.thaipost.net/news/030510/21634

สปสช.เผย ผลการดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพ 8 ปี พบ
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนไทยลดลงจากร้อยละ 8 ในปี 45 เหลือเพียงร้อยละ 1 ในปี 52




นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า

ขณะนี้พบว่ามีประชาชนกว่า 47 ล้านคนเข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น
นับจากเริ่มโครงการในปีแรก 2545 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 8 พบว่า

ที่ผ่านมารัฐบาลในแต่ละสมัยได้จัดงบฯ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีอัตราเพิ่มขึ้น 224%
จากข้อมูลการเงินหน่วยบริการ กลุ่มประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

พบว่า

มีแนวโน้มเงินสดคงเหลือของ รพ.สังกัด สธ. ปี 2545-2552 สูงขึ้นเรื่อยๆ
จากปี 2545 มีเงินสดคงเหลือ 14,605 ล้านบาท และในปี 2552 มีคงเหลือ
42,968 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่หนี้สินของ รพ.เหล่านี้ปี 2552 พบประมาณ 16,000 ล้านบาท เมื่อหักลบแล้ว
ยังนับว่าสอดคล้อง


สะท้อนให้เห็นว่า

การมีระบบหลักประกันสุขภาพ

ไม่ได้ทำให้ รพ.ทั้งระบบเป็นหนี้และประสบภาวะล้มละลาย
เนื่องจากมีเงินเข้าระบบมากขึ้น แม้จะมีรายจ่ายมากขึ้น แต่ก็ยังสามารถจัดการได้

เลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า

ในส่วนของประชาชนนั้นจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนลดลง

โดยก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพในปี 2533-2544
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนเทียบกับรายได้ครัวเรือนสูงถึงร้อยละ 8.17

แต่หลังมีระบบในปี 2545-2549 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพลดลงเหลือร้อยละ 1.27 เท่านั้น


โดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ซึ่งสำรวจตั้งแต่ปี 2546-2552

โดยในปี 2552 ในส่วนของผู้รับบริการมีความพึงพอใจร้อยละ 89.3
เพิ่มจากปี 2545 ที่มีความพึงพอใจร้อยละ 83

สำหรับผู้ให้บริการมีความพึงพอใจร้อยละ 60.3
เพิ่มจากปี 2545 ที่มีความพึงพอใจร้อยละ 45.6

สำหรับจำนวนการใช้บริการผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น
ซึ่งในปี 2552 มีการใช้บริการผู้ป่วยนอก 140.7 ล้านครั้ง
เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ในอัตราร้อยละ 32 และ

จำนวนการใช้บริการผู้ป่วยในปี 2552 จำนวน 5.21 ล้านครั้ง
เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ในอัตราร้อยละ 23


แสดงว่าประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น.

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

เนื้อหาจากข่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า

ตัวชี้วัดสุขภาพดีถ้วนหน้า 4 ตัวชี้วัด
ของสาธารณสุขมูลฐาน คือ

ตัวที่ 1 การมีสิ่งจำเป็นพื้นฐาน(จปฐ.)ถ้วนหน้า
ตัวที่ 2 ประชาชนมีส่วนร่วมในการมีสุขภาพดี
ตัวที่ 3 การเข้าถึงบริการได้สะดวก และ
ตัวที่ 4 สถานพยาบาลที่ให้บริการมีคุณภาพ


จากการดำเนินการของสปสช.มีผลจากการประเมินผลได้ดีขึ้นจริง
ต้องทำต่อเนื่องให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

โดยกระทรวงสาธารณสุข กำลังจัดการให้มี

โรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล(รพสต.)ที่พัฒนามาจาก
สถานีอนามัยเดิม อยู่ใกล้บ้าน โดยมีแพทย์ ร.พ.อำเภอรับผิดชอบประจำ
ทั้งมาด้วยตนเอง หรือ ทางเทคโนโลยี่การสื่อสาร

จะทำให้ตัวชี้วัดตัวที่ 3 สถานพยาบาลใกล้บ้าน และ
ตัวที่ 4 บริการอย่างมีคุณภาพ  ทำได้สำเร็จ
จะสามารถลดรายจ่าย สุขภาพที่น้อยกว่า 1 % ลงได้อีก
เช่น เป็นหวัด ได้รับการรักษาทันที
จะลดการเกิดโรคแทรกซ้อนปอดอักเสบ
ค่ารักษาแพง และ อาจเสียชีวิตได้ด้วย

การสาธารณสุขมูลฐานจึงเป็นหนทางให้เกิดสุขภาพดีถ้วนหน้าตามOttawa Charterจริง emo4:))พวกเรา

ดู การสาธารณสุขมูลฐาน ได้ที่กระทู้

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #64 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2553, 10:06:10 »


มาร์ติน วีลเลอร์ บัณฑิตเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง เคมบริดจ์
" คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก
ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "

ได้มาจากอีเมลล์ ที่ได้รับมา



นิยามความรวยกับความจน

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ  

ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน  

คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน   เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน  

แต่คนรวยยืมเงินได้  

คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่

ที่ขอนแก่น เขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน

แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า

๑ . ผมมีบ้าน  

ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก

ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ

มันกันแดด - กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒ . มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง  

ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก

จริง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ   เป็นพื้นฐานของชีวิต  

เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย

เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา  

ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก   เราไม่มีที่อยู่นะ  

เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน

ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง

แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน  

ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก  แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว

ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น  

เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ

ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน

แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า

แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน  เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก

ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน

ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์


ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑

สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ

๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้   จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ

๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน  ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า

วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น

ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ  ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน

เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ

ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน

ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน

คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ  ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร  

อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย

กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน

เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร   ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ

จุดอ่อน - จุดแข็งของคนไทย

ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด

คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน

ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ, สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก

แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ  

คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย

ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม

ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม
อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ

แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ  

มีดินเยอะมาก   น้ำเยอะมาก   แสงแดดเยอะมาก   ทำเกษตรอยู่รอดแน่  

เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย

ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ  

พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้  

จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้  

ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง   แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง

พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง

แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว

ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง

ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน


ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้

เพราะความคิดของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน

ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง

ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย

พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ   ได้ผู้นำ ( ในหลวง ) ที่ดีด้วย

และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา  

ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย

ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ

แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง  

ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ   พึ่งตนเองก็ได้  

ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ  

จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก

ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

อยากบอกอะไรคนไทย

คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์

ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น

ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก

อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง

คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริง ๆ   คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ

คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้

ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้

ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่า จะทำได้แน่ในอนาคต

ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ

ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย

พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก

พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป


 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก chaiyo.com





หน้าบ้าน หลังเก่าของเขา เมื่อครั้งมาอยู่ใหม่ๆ



แทบทุกเช้าที่เขาและครอบครัว ใส่บาตรพระด้วยความศรัทธา



กว่าจะถึงวันนี้ ที่ความภาคภูมิใจของชีวิต
แล้วสามารถโชว์ความดีงามให้ประจักษ์ แก่บัณฑิต และบุคคลสาธารณะ
 


ท่ามกลางสวนป่าของเขา   ที่สักวันมันคือสมบัติอันล้ำค่าของเขาครอบครัวและสมบัติของแผ่นดิน



นิสิต นศ . มาดูงานและชื่นชมเขาและครอบครัวอยู่เสมอ



มาติน กำลังพาหลวงพ่อสังคม ชื่นชมผลงานเกษตรพอเพียงของเขา



Martin and Family in England


 
ถ้าหากท่านผู้อ่าน ตาสว่าง ขึ้นมาแล้ว ( ทั้งก่อนอ่าน หรือ หลังอ่าน ) โปรดส่งต่อๆ กันไป ให้คนไทยเราได้อ่านกันนะครับ

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจพอเพียง มีชีวิตที่พอมีพอกิน มีความสุข กว่า
มีชีวิตที่ต้องต่อสู้เพื่อแสวงหา และสะสมหาทรัพย์สมบัติส่วนเกินของชีวิต


 gek gek gek
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #65 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2553, 07:57:11 »


                    บึงกาฬ' จังหวัดน้องใหม่ ความปลื้มใจของชาวหนองคาย

           ประเทศไทยเวลานี้มีจังหวัดด้วยกันทั้งสิ้น 76 จังหวัด แต่อีกไม่นานนักเราจะมีจังหวัดที่ 77 เกิดขึ้นนั่น คือ

                                         "จังหวัดบึงกาฬ"

           กระทรวงมหาดไทยจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอเป็นพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัด หลังจากที่มีการร้องขอมาตั้งแต่ปี 2537 ตามข้อเสนอของ นายสุเมธ พรมพันห่าว ส.ส.พรรคเสรีธรรม จ.หนองคาย

           ข่าวนี้สร้างความดีใจให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชาวบึงกาฬ เพราะพวกเขาเหล่านั้นรอคอย และตั้งความหวังมานาน เนื่องจากสภาพพื้นที่อยู่ไกล กันดาร ความเจริญยังเข้าไม่ถึง แต่ต่อไปนี้ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ !!!

          นายเลิศพรไชย ไชยฤทธิ์ นายอำเภอบึงกาฬ  จ.หนองคาย เปิดใจกับ "ไทยรัฐออนไลน์" เป็นเรื่องที่น่ายินดีแทนพี่น้องชาวบึงกาฬ และอำเภอใกล้เคียง ที่จะได้มารวมตัวกันเป็นจังหวัดใหม่ เพราะจะทำให้สิ่งต่างๆ ในการอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน เช่น สาธารณูปโภค ถนนหนทาง การคมนาคม ที่สำคัญคือเรื่องเศรษฐกิจ จะเข้ามามากขึ้น และจะมีความมั่นคงและเจริญมากขึ้นกว่าตอนที่เป็นแค่อำเภอ

           ส่วนเรื่องความคิดเห็นของชาวบ้านนั้น 95% ของชาวบ้านทั้งหมดก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ เพราะก่อนที่จะมีการเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ก่อนชาวบ้านในทุกภาคส่วนก็เห็นด้วย รวมทั้งภาคเอกชนก็ให้การสนับสนุน ประชาชนส่วนใหญ่ในอ.บึงกาฬ 95% ล้วนแต่เป็นสัญชาติไทยทั้งสิ้น ถึงพื้นที่ส่วนหนึ่งของเราจะติดกับประเทศลาวก็ตาม ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง เพราะทางเราจะมีมาตรการจัดการอยู่แล้ว

          "คิดว่าพอได้เป็นจังหวัดแบบเต็มตัว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งในเรื่องของความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เรื่องของเศรษฐกิจ จะมีความเจริญมากขึ้น เพราะโดยส่วนมากการกระจายความเจริญจะมาจากจังหวัด และมาสู่อำเภอ ก่อนส่งต่อไปสู่หมู่บ้านต่างๆ เพราะฉะนั้นการที่จะได้เป็นจังหวัดนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ดีมากๆ"

          "บึงกาฬ" เป็นอำเภอหนึ่งของจ.หนองคาย มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และฝั่งตรงข้ามแม่นำ้โขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมที่สะดวก

           มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงคือ

ทิศเหนือติดกับแขวงบอลิคำไซ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
ทิศตะวันออกติดกับอำเภอบุ่งคล้า
ทิศใต้ติดกับอำเภอเซกา อำเภอศรีวิไล อำเภอพรเจริญ และอำเภอโซ่พิสัย
ทิศตะวันตก ติดกับอำเภอปากคาด

           ก่อนหน้านี้ทางจ.หนองคายได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 366,903 คน ปรากฏว่า

ประชาชน 98.83% เห็นด้วยในการจัดตั้งจ.บึงกาฬ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 126 แห่ง 96.04% เห็นด้วย
หัวหน้าส่วนราชการในอำเภอและจังหวัดเห็นด้วย 100%

           ซึ่งได้มีการจัดแบ่งอำเภอ จากเดิมทั้งหมด 17 อำเภอ ออกเป็น

           อำเภอที่อยู่ในจ.หนองคาย เหลือ 9 อำเภอ ประชากร 506,343 คน ประกอบด้วย อ.เมือง, ท่าบ่อ, โพนพิสัย,ศรีเชียงใหม่, สังคม, สระใคร, เฝ้าไร่, รัตนวาปี และโพธิ์ตาก

           ส่วนอำเภอที่จะอยู่ในจ.บึงกาฬ มี 8 อำเภอ ประชากร 399,233 คน ประกอบด้วย อ.บึงกาฬ, เซกา, โซ่พิสัย, พรเจริญ, ปากคาด, บึงโขงหลง, ศรีวิไล และบุ่งคล้า ซึ่งในส่วนของอ.บึงกาฬ ได้มีสถานที่ราชการสำคัญหลายแห่งตั้งอยู่ เพื่อรองรับการเป็นจังหวัดอยู่ก่อนแล้ว เช่น ศาลจังหวัดบึงกาฬ, อัยการจังหวัด, เรือนจำจังหวัดบึงกาฬ เป็นต้น

             ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐออนไลน์ ที่เอื้อเฟื้อข่าว
                      วันเสาร์ ที่ 8 พฤษภาคม 2553
          http://www.thairath.co.th/content/region/81547

                          gek gek gek

        ขอแสดงความยินดีกับชาวหอฯ จาก จ.บึงกาฬ ด้วยครับ

                          เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #66 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2553, 08:37:24 »


ภาพบรรยากาศ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้รับเกียรติให้เป็นวิทยากรในหลักสูตร
การบริหารงานยุติธรรมระดับสูง ของสำนักงานกิจการยุติธรรม
โดยมีคุณศิวากร คูรัตนเวช ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
และคณะต้อนรับ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2553 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ


บรรยากาศของผู้เข้ารับการอบรม และการทำ Workshop







ในวันพฤหัสบดีที่แล้ว ก่อนออกจากห้องมี นายตำรวจระดับพันเอกพิเศษ บอกผมว่า
เขาไม่ชอบใจที่พิธีกรแนะนำว่า ผมจบ Ph.D ที่ไหน เขาบอกว่า

ดร.จีระ จบ Ph.D จากมหาวิทยาลัย ชีวิต

จึงเป็นความพึงพอใจที่ผมได้รับฟังว่าความรู้ผมมีประโยชน์และสร้างโอกาสกระตุ้นให้
ลูกศิษย์ C9 ทั้ง 36 คนได้ความรู้ที่แท้จริงและไปปรับ พฤติกรรมของตัวเอง ค้นหาตัวเอง

ในการทำ Workshop ผมถามว่า

ถ้าจะพัฒนาผู้นำทุกระดับในกระบวนการยุติธรรมจะทำอย่างไรให้ได้ผล ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก เพราะ
ที่ผ่านมาระดับอธิบดีหรือปลัดกระทรวงมักจะมอบให้

ฝ่ายบุคคลหรือฝ่าย HR ทำ

แต่ความจริง

ผู้นำสูงสุดขององค์ต้องนำและทำด้วย

และ

ข้อเสนอของกลุ่มได้วิเคราะห์ว่า จะทำสำเร็จได้ต้อง

* ผู้นำระดับสูงจะต้องเอาจริง หมายความว่าระดับอธิบดีหรือปลัดกระทรวงต้องเอาจริงกับการสร้างผู้นำ ซึ่งผมภูมิใจมากเพราะข้าราชการที่เรียนกับผม อีก 2 - 3 ปี ก็จะขึ้นไปเป็นระดับสูงและเขาคงเห็นความสำคัญของการสร้างผู้นำในองค์กรของเขา

* และผู้นำระดับสูงต้องเป็น แมวมอง ว่ามีใครบ้างอายุไม่เกิน 35 ลงมาที่มีแววผู้นำ

* ให้เขาเหล่านั้นได้สำรวจศักยภาพของเขาว่าจุดอ่อน จุดแข็ง เป็นอย่างไรและให้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ใช่ แค่ ฝึกอบรม ต้องให้เขามีทั้งบุคลิก มีทักษะ มี Vision มี Trust มีประสบการณ์แบบ Mentoring เพื่อให้เดินหน้าสำเร็จ ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จระบบเกียร์ว่างของตำรวจมะเขือเทศ และทหารแตงโมก็คงไม่เกิดเพราะ ทุกคนจะรู้หน้าที่ที่สำคัญของตัวเองและผมเชื่อว่า ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นเกียร์ว่างจะสำนึกผิดได้

ซึ่งวิธีการแบบนี้ เรียกว่า เป็น

ทฤษฎีของ Ram Charan เรียกว่า Apprenticeship Model
ซึ่งผมได้สรุปตารางมาให้ดู

วิธีการพัฒนาผู้นำแบบเก่า
Conventional Leadership Development


เน้นที่สิ่งที่ใส่เข้าไป (inputs) เช่น ชั่วโมงเรียน จำนวนเงินที่ใช้
ส่วนใหญ่ใช้เงิน
ใช้ทรัพยากรแบบกระจายไปทุกกลุ่ม
เป็นหน้าที่ของ HR
มีการกำหนดคุณลักษณะและสมรรถนะของผู้นำแบบ กว้าง ๆ และคล้าย ๆ กันสำหรับผู้นำทุกระดับ
การเพิ่มขึ้นมีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอน
เน้นการฝึกอบรมในห้องเรียน
พัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่มีการเปลี่ยนงาน

วิธีการพัฒนาผู้นำแบบใหม่
Apprenticeship Model


เน้นที่ผลลัพธ์ (output) คือ เราได้ผู้นำที่เราต้องการหรือไม่ (ทั้งปริมาณและคุณภาพ)
ส่วนใหญ่ใช้ความสนใจ เอาใจใส่ และความรู้สึกของผู้นำ
ใช้ทรัพยากรอย่างมีเป้าหมาย
เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงขององค์กร โดยมี HR เป็นผู้ช่วย
มีการกำหนดลักษณะและสมรรถนะของผู้นำเป็นรายบุคคลโดยดูจากทักษะ สมรรถนะ ความสามารถ พรสวรรค์ ฯลฯ
การเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว อาจเพิ่มขึ้นพร้อมกันในหลายระดับ ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
เน้นการฝึกปฏิบัติจริง และฝึกจากการจำลองสถานการณ์
เมื่อรู้ศักยภาพของผู้นำแล้ว ก็อาจจะสร้างหรือออกแบบงานใหม่ที่เหมาะสม

สรุปก็คือ ช่วงความปรองดองของคุณอภิสิทธิ์จะต้องพัฒนาผู้นำในวงการราชการและข้าราชการฝ่ายความมั่นคง ซึ่ง Roadmap คงไม่ใช่แค่วันที่ 14 พฤศจิกายน แค่เลือกตั้งต้องไกลกว่านั้น

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ
dr.chira@hotmail.com
www.gotoknow.org/blog/chiraacademy
แฟกซ์0-2273-0181

ขอขอบคุณ น.ส.พ.แนวหน้า วันเสาร์ ที่ 8 พ.ค.53 และ อ่านบทความทั้งหมด ได้ที่
http://www.naewna.com/news.asp?ID=210278

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ขอนำข่าวมาให้พวกเรา ที่เป็นผู้นำองค์กร หรือ ว่าที่ผู้นำ ได้นำไปคิดเป็นแนวทางการนำที่ดี

 gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #67 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 09:17:34 »


นิทานเรื่อง....เเม่มด ถ้าเป็นคุณ จะเลือกแบบไหน ดีมาก ๆ ...อ่านให้จบนะได้รับมาจากอีเมลล์



กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว..... อาเธอร์ถูกจับและจะถูกประหารชีวิต

แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบ ปัญหาแสนยากข้อหนึ่ง ได้ถูกต้อง
อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้ เขาก็จะถูกประหาร ' คำถามนั้นคือ ....

สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ?'

ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็นจนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง
เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและ เริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน
แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้



คนส่วนมาก แนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ
แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น

แม่มดตกลงจะให้คำตอบแต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อนนังต้องการแต่งงานกับ



กาเวน อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมและเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์

อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโกง มีฟันเหลือซี่เดียว ตัวก็เหม็นเหมือนโถส้วม
ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน

ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้นเขายอมแต่งงาน
เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม

และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์

' สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือ การได้เป็นตัวของตัวเอง '

ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่ และ
อาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง

 gek gek gek

แต่ทว่า........งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติ
ทั้งสุภาพอ่อนน้อม ส่วนฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ
ทั้งเรอ ทั้งตด ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด และ แล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง

กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยอง



เขาก้าวเขาสู่ห้องนอนวิวาห์ ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!! หญิงสาวแสนสวยที่สุดที่
เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า กาเวนงุนงง Huh? สาวแสนสวยเฉลยว่า

เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน ( เมื่อยามเป็นแม่มด)ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน
เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่า รังเกียจส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้


กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน ? เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!!

กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง

หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง
แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด ?


หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน
แล้วได้สาวสวยเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี ??


เป็นคุณหล่ะ คุณจะเลือกอย่างไร Huh?

( กรุณาหยุดคิดสักนิดเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ค่อย scroll ลงไปอ่านนะ )





























เอาละ.. เมื่อได้คำตอบของคุณแล้ว อ่านคำตอบของกาเวนที่อยู่ ข้างล่างนี้ กาเวนตอบว่า

' เขาขอมอบให้เธอเป็นผู้ติดสินใจเลือกเอง '

เมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอ จึงประกาศก้องว่า

เธอจะสวยตลอดเวลา เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...

1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวยหรือจะน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอก็คือ แม่มด
2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่
นั้นขึ้นอยู่กับ ความประพฤติของผู้ชาย

อย่าลืมส่งต่อนะ

ส่งมากกว่า 2 คน....
ขอให้พบรักแท้... สาธุ!!!!!!!

 รักนะ รักนะ รักนะ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #68 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 10:21:29 »


เอาล่ะสิ.....น้ำมันพืช…  อันตรายระดับชาติ !!!


  
คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง  ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม
    
อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว  
จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมู
ทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข   วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช

  
ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา
แต่ปรากฏว่าอัตราการเป็นโรคต่างๆไขมันในเลือดสูง,โรคหัวใจ,โรคไต,ภูมิแพ้ เป็นต้น มากขึ้น
  
วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมันพืช  
สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี(transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ

ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้  เช่น

อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี  
 โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
http://gov.ca.gov/press-release/10291/
  
รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553  
http://dallas.bizjournals.com/dallas stories/2009/05/04/daily72.html
  
KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี  ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat
http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217< /FONT>
  
McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007
http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/
  
Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550
https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease..aspx?viewtype=current&id=100102
  
เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat  http://www.bantransfats.com/
  
โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…

ระบบเผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน,  ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน
http://transfatdisease.com/why.html
  
อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด,
ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่…สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด)
ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น

น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม
น้ำซึมผ่านไม่ได้  หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น
  
อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก

น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมู
ที่เมื่อยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข  

แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไปอยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้
ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่   ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทานเข้าไป และ
ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำชาธรรมดา

แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ
จะละลายกับน้ำได้  สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้

หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที  
อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์

ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก  เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว  
เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น

แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด
จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย

เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด  น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน
เมื่อท่านทานน้ำ น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย

เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้  วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน  
ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น

หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค  ขาดวิตามินซี
ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส

เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา  ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก  จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง  
เงินทองไหลออกนอกประเทศ  เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย
  
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ

- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส
- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหื มีกลิ่นตามที่ต้องการ
- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated)

        
กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมีเปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง

เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี
ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที …

…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids.. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)
http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html
  
ท่านอย่าเพิ่งเชื่อบทความใน e mail นี้ จนกว่า ท่านจะได้หาข้อมูลเพิ่มเติมใน
search engine (google) ต่าง ๆ ด้วยตนเอง  โดยพิมพ์ key word ต่อไปนี้ (พิมพ์ครั้งละ 1 คำ)

Transfat, transfat bill, vegetable oil bad health, hydrogenated oil, ละกอ, อันตราย น้ำมันพืช

 gek gek gek

  
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #69 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2553, 08:14:56 »


สธ.ประกาศ ส.ค.นี้ได้ฤกษ์ยกระดับสถานีอนามัยทั่วประเทศเป็น รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล
ขอขอบคุณสนุกดอทคอม และ วันพฤหัสบดีที่13 พ.ค.53 สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8-%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1-931405.html

คณะรัฐมนตรี ผ่านงบไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ซึ่งจะทำให้ไทยมี



โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2,000 แห่งแน่ในปีนี้



นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับใช้พัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในระบบบริการสุขภาพแล้ว

ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงเตรียมเดินหน้าในการ

ยกระดับสถานีอนามัยทั้งหมด ขึ้นเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล

เริ่มเดินหน้าตั้งแต่เดือน สิงหาคมนี้ นำร่อง 2,000 แห่ง ในปีนี้
ด้วยงบประมาณไทยเข้มแข็ง 1,500 ล้านบาท

ส่วนที่เหลืออีก 4,000 แห่ง จะดำเนินการในปี 2554 ด้วยงบประมาณประจำปี
ของกระทรวงสาธารณสุขรวม 6,000 ล้านบาท

เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพให้ทั่วถึงประชาชนทุกพื้นที่
พร้อมเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนาโรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศเป็นโรงพยาบาลยุคใหม่ เป็น

รพ. 3S ด้วยการยกระดับ

คุณภาพการรักษา การมีส่วนร่วม และคุณภาพบริการ

ด้วยการกำหนดให้โรงพยาบาลทุกแห่งต้องมี

พนักงานต้อนรับ คอยให้บริการข้อมูลแก่ผู้มาใช้บริการ โดยจะให้มีชุดฟอร์มเดียวกัน
ซึ่งขณะนี้สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการออกแบบชุด
คาดว่าจะเริ่มปรับปรุงทุกโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาล 3S ได้ภายในเดือน กรกฎาคมนี้


 รักนะ รักนะ รักนะ

ได้พบข่าวดีนี้ จึงนำมาบอกพวกเรา ให้รู้ว่า การเข้าถึงบริการสุขภาพ อย่างมีคุณภาพ เข้าถึงได้สะดวก
กำลังเป็นจริงแล้ว ไม่น่าเกินปี 2555 จะได้หัวเราะ เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ กับ ระบบสุขภาพ 3 S กัน

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 3  เอส  (S)  ได้แก่

1.ปรับปรุงโครงสร้างกายภาพ  (Structure)  พื้นที่การให้บริการ ให้สะอาด สะดวก ไม่แออัด ปรับภูมิทัศน์ของโรงพยาบาล

2.การให้บริการ (Service) เช่น มีพนักงานต้อนรับ และมีชุดแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนกันทั่วประเทศ
มีมุมพักผ่อน มีโทรทัศน์ มีน้ำดื่มบริการ

3.ระบบการบริการ (System)  เน้นธรรมมาธิบาล  กระจายอำนาจ  และการมีส่วนร่วมของสังคม   โดยให้มีคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาล  เชิญองค์กรปกครองท้องถิ่น  ภาคเอกชน ประชาชน  ผู้รับบริการ  
รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นคณะกรรมการ  
หลั่นล้า โดยจะเปิดตัวโรงพยาบาล  3  เอส  อย่างเป็นทางการในเดือน มิ.ย.53 นี้  หลั่นล้า

ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันศุกร์ ที่ 14 พ.ค. 53 สนับสนุนข่าว โรงพยาบาล  3  เอส

http://www.thairath.co.th/content/edu/82824


รักนะ รักนะ รักนะ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #70 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553, 20:46:24 »




ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา

เปิดเผยสถานการณ์การผลิตแพทย์ ว่า ปัจจุบันมีการเร่งผลิตแพทย์จำนวนมาก
โดยมีแพทย์จบใหม่ปีละประมาณ 2,500 คน จากเดิมผลิตเพียงปีละ 200 คน


ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันจันทร์ ที่ 17 พ.ค.2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.thairath.co.th/content/edu/83416

ในขณะที่มีประชากรเกิดใหม่น้อยลงเหลือเพียงปีละ 7-8 แสนคน จากเดิมที่มีปีละประมาณ 1 ล้านคน
หากเป็นเช่นนี้ในอีก 15 ปี อาจส่งผลให้แพทย์มีจำนวนล้น และแพทย์ ที่จบใหม่อาจจะตกงาน
เหมือนกับหลายประเทศ เช่น

ทวีปยุโรปที่แพทย์ต้องไปขับรถแท็กซี่  หรือประเทศอินเดียที่ต้องส่งแพทย์ออกไปต่างประเทศ
ถึงปีละ 6 หมื่นคน และว่านโยบายเกี่ยวกับการผลิตแพทย์ควรที่จะมองไปข้างหน้า 15 ปี
จะทำให้มองเห็นภาพว่าแพทย์ที่ผลิตในปัจจุบันขาดหรือเกิน หรือไม่ได้ขาดแคลน

แต่ปัญหาอยู่ที่การกระจายแพทย์ไม่ดี โดยส่วนตัวเห็นว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีจำนวนแพทย์มาก
แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดกลับมีจำนวนแพทย์น้อย

แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องของการกระจายแพทย์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

ควรพัฒนาโรงพยาบาลในรูปแบบเครือข่าย โดยให้แพทย์ประจำอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ  หรือ
โรงพยาบาลประจำจังหวัด  และจัดเวรหมอประจำการตลอด  24  ชั่วโมง 

ส่วนในพื้นที่ชุมชน ควรมีเพียงคลินิกหรือศูนย์สุขภาพชุมชนขนาดไม่ใหญ่
โดยแต่ละแห่งเป็นเครือข่ายของโรงพยาบาล และพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยที่ดี
ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น


ศ.นพ.สมศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.)
เตรียมเปิดคณะแพทยศาสตร์

ขณะนี้ยังไม่มีมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งใดเสนอเรื่องมายังแพทยสภาเพื่อขออนุมัติ
หลักสูตรแพทยศาสตร์ มีเพียงมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งส่งจดหมายแจ้งให้ทราบว่า
ได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการร่างหลักสูตรแล้ว และ
การที่แพทยสภาจะรับรองหลักสูตรแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งใด
จะพิจารณาตามเกณฑ์มาตรฐานเป็นสำคัญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีโรงพยาบาลรองรับให้นักศึกษาฝึกปฏิบัติ และ
หากมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรองหลักสูตร แต่จัดการเรียนการสอนไม่ได้มาตรฐาน
แพทยสภามีสิทธิ์ที่จะยุบคณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ผมมองว่า น่าจะให้แพทย์ทั่วไปจบใหม่ มาประจำ ร.พ.อำเภอ เพราะ คนไข้เมื่อป่วย นั้น 90%
นั้นเพิ่งเริ่มป่วย รักษาได้ด้วยแพทย์จบใหม่ เรียน 6 ปีสามารถให้การดูแลได้


ส่วนแพทย์เฉพาะทาง ที่ไม่สามารถตั้งแผนกให้ตรวจเฉพาะทางได้ ต้องทำงาน
ตรวจคนไข้ทุกคนที่มารักษา ทำให้แพทย์ทำงานไม่ตรงสาขาที่เรียนมาทำให้เครียดกัน

ถ้าทำเป็นรูปเครือข่าย ที่อาจารย์ ศ.นพ.สมศักดิ์ เสนอ น่าจะเป็นรูป

ร.พ.อำเภอ ใช้แพทย์ทั่วไป ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นแพทย์สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว
ทำงานได้แบบองค์รวมในกิจกรรมสาธารณสุข 4 คือ

ส่งเสริมสุขภาพ ป้ัองกัน รักษา และ ฟื้นฟูสุขภาพ

ส่วนแพทย์เฉพาะทางควรให้ไปรวมกันที่ ในแผนกเฉพาะที่ ร.พ.จังหวัด หรือ ร.พ.ศูนย์
พร้อมนำเครื่องมือเฉพาะทางราคาแพง ที่นำมาใช้คนเดียวที่ ร.พ.อำเภอนำไปใช้ร่วมกันในแผนก
จะเป็นการใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า และ

ใช้ระบบเครือข่ายอินเตอร์เนต สร้างเครือข่ายสาธารณสุข ให้ทุก ร.พ.เชื่อมโยงในเครือข่าย
แพทย์สามารถล็อกอินเข้าไปที่ ร.พ.ใดก็ได้ในเครือข่ายจะทำให้คนไข้เกินความสามารถของ
แพทย์ทั่วไป หรือ แพทย์ครอบครัว ที่มีอยูน้อยเพียงไม่ถึง 10 %

สามารถพบแพทย์เฉพาะทางที่ ร.พ.อำเภอ หรือ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล ที่ต้องการให้พบได้
โดยให้รักษาโดยแพทย์สามารถล็อกอินเข้ามาดูประวัติ และสั่งการรักษาได้ โดยไม่ต้องเดินทาง
มาพบกันได้ เป็นการอำนวยความสะดวกประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งของประชาชน และ ของรัฐบาลด้วย


หมายเหตุ ถ้ามีเครือข่ายสาธารณสุขเกิดขึ้นจริง สถานีอนามัย ยกฐานะเป็น
ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล มีแพทย์จาก ร.พ.อำเภอ ในอำเภอนั้นรับผิดชอบ ให้คำปรึกษา และ
มาช่วยรักษาทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์

โดยให้พยาบาลเวชปฏิบัติอย่างน้อย 2 คนอยู่ประจำ เพื่ออยู่เวรได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ทำหน้าที่
วัดความดัน ซักประวัติอาการนำ แล้วให้แพทย์เข้ามาตรวจทางเทคโนโลยี่สารสนเทห์ เช่น
โทรศัพท์มือถือ/ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข

Virtual Private Network:VPN
  
แพทย์ที่เป็นสมาชิกจะเข้าเครือข่ายได้ต้องได้รับอนุญาต จากกระทรวงฯได้รับ Password/User name
สามารถจะล็อกอินเข้าไปที่ใดก็ได้ในเครือข่าย

ทำให้สามารถกระจายความสามารถการรักษาพยาบาลออกไปได้ทุกแห่งในเครือข่าย
อยากพบแพทย์เฉพาะทางด้านใด

ก็เรียนเชิญแพทย์ท่านนั้นล็อกอินเข้ามาใน ร.พ.ที่ผู้ป่วยอยู่ได้
จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดบุคลกร ทำให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการรักษาจากการ
ดูวิธีของแพทย์เฉพาะทางได้ เมื่อมารักษาให้ที่ ร.พ.แล้วจะให้การรักษาต่อได้ทันที
มีปัญหาสามารถเรียนเชิญแพทย์เฉพาะทางเข้ามาตรวจรักษาให้ทางเครือข่ายได้ทันที

พวกเราคิดว่าอย่างไร ใช้เครือข่าย วางคนให้ตรงกับงาน และ ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ร่วมด้วย
จะทำให้เกิดสุขภาพดีถ้วนหน้าตาม Ottawa Charter เมื่อปี 2529 เกิดขึ้นได้จริงไม่เกินปี 2555

เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ

ดู สุขภาพดีถ้วนหน้าตาม Ottawa Charter เมื่อปี 2529 ปีนี้ 2553 ผ่านมา 24 ปีแล้ว ที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #71 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553, 08:27:47 »


ตร.ภ.9ลั่นจับเจ้ามือโต๊ะบอลได้งดประกัน
ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอมและวันจันทร์ 21 มิ.ย. 53 07.45 น. ที่สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/944231-%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B8%A0.9%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%8A%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99.html



พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รอง ผบช.ภาค 9

รองผู้บัญชาการ ตร. ภูธรภาค 9 ขึ้นป้าย

หนี้ฟุตบอลไม่ต้องจ่าย ใครทวงหนี้ผิดกฎหมาย

ทั่วเมืองสงขลา ลั่นจับเจ้ามือได้ไม่ให้ประกันตัวแน่

รายงานข่าวจาก จ.สงขลา ว่า ได้มีแผ่นป้ายไวนิลขนาด 1 คูณ 1.50 เมตร ติดตามสี่แยก
ในเมืองหาดใหญ่ และเมืองใหญ่ทั่วพื้นที่รับผิดชอบภาค 9 ประกาศเตือน

"หนี้พนันฟุตบอลไม่ต้องจ่าย"

ใครทวงหนี้ ผิดกฎหมาย ถูกข่มขู่แจ้ง

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รอง ผบช.ภาค 9 หรือ

พ.ต.อ.สุรนาท วรรณวรรค รอง ผบก. รรท.ผกก.สภ.หาดใหญ่

ที่หมายเลข 0-7425-8444 0-7425-7990
และ 0-7431-3802

ข้อความสุดท้าย

จับเจ้ามือจะไม่ให้ประกันตัว

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รอง ผบช.ภาค 9 เปิดเผยว่า

ตนยอมรับว่าในช่วงเทศกาลบอลโลก มีการเปิดแทงพนันฟุตบอลทั้งรายเล็ก รายใหญ่
มีเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมากๆ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบแรก ยังไม่มีปัญหา

เข้ารอบ 2 และ 3 จะมีปัญหาเกิดขึ้น เมื่อไม่มีเงินจ่ายหนี้
เจ้ามือพนันฟุตบอลจะส่งลูกน้องทวงหนี้ มีการข่มขู่เกิดขึ้น
สุดท้ายมูลเหตุของปัญหาอาชญากรรมตามมา
คนที่เป็นหนี้พนันบอลต้องไปลัก ปล้น จี้ ชิงทรัพย์ ขายทรัพย์สิน และ
ขายตัว เพื่อหาเงินมาใช้หนี้พนันฟุตบอล


พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 ตำรวจสามารถจับกุม
เจ้ามือพนันฟุตบอลได้แล้ว 6 ราย

ตนกำชับตำรวจไม่ให้ประกันตัวทุกราย ส่วนผู้เล่นพนันฟุตบอลถูกข่มขู่
ให้ไปแจ้งความไว้ ที่ สภ. ไหนก็ได้ พร้อมให้บอกว่า

แทงพนันฟุตบอลที่ไหน มีใครเป็นเจ้ามือ ขอให้เอาโพยมาให้ตำรวจ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จะกันผู้แจ้งไว้เป็นพยาน หากตำรวจคนใดไม่รับแจ้งความ ขอให้แจ้งมายังตน
จะดำเนินการตั้งกรรมการสอบตำรวจคนนั้นทันที


 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #72 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 09:02:14 »

Work-life balance is a broad concept including proper prioritizing between "work" (career and ambition) on one hand and "life" (pleasure, leisure, family and spiritual development) on the other. Related, though broader, terms include "lifestyle balance" and "life balance".

Ref: http://en.wikipedia.org/












      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #73 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2553, 12:24:54 »


FW: ‏มองโลกในแง่ดี และปฏิบัตดี ด้วยการขอบคุณสำหรับ...ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว...ซึ่งดีเสมอ
From: sumit_snj@hotmail.com
Sent: Saturday, July 24, 2010 10:52:16 AM
To: Cmadong member and You



ชายคนหนึ่งโกรธ และ ลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา เพราะนำเงินไปซื้อ

กระดาษห่อของขวัญสีทองม้วน หนึ่งซึ่งมีราคาแพง

   
ในขณะที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง และเค้าก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขา

นำกระดาษสีทองราคาแพงนั้น มาห่อกล่องของขวัญเพียงเพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส
   
แต่กระนั้น...ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น

และพูดว่า ' นี่สำหรับพ่อค่ะ '
   
พ่อของเธอกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้
   
แต่แล้วความโกรธก็ได้พุ่งพล่านขึ้นอีกครั้งเมื่อ
   
เขาพบว่ามันเป็นเพียงกล่องเปล่า เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า
   
' ลูกไม่รู้จริงๆอย่างนั้นหรือว่าการจะให้ของขวัญใคร ต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย ? '
   
เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา และพูดว่า
   
' โอ...พ่อจ๋า มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม '
   
ชายคนนั้นสะอึก ตัวชาด้วยความเสียใจ เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น
 
เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้เขา กับท่าทางโกรธเกรี้ยวเกินเหตุของเขา
   
ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูก สาวของชายคนนั้นไป
   
และว่ากันว่าเขาเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้น ไว้ข้างเตียงตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว
   
และเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ ยากเย็นแสนเข็น เขาจะเปิดกล่องใบนี้
   
เพื่อหยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่งจูบ แล้วรำลึกถึง

ความรักของลูกน้อย ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้เขา

 
ในความเป็นจริง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทองซึ่ง

บรรจุด้วยความรัก ที่ปราศจากเงื่อนไข และรอยจูบจาก ลูกๆ และจากครอบครัวของเรา 
   
ไม่มีสมบัติใด ล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

มองโลกในแง่ดี และปฏิบัตดี ด้วยการขอบคุณสำหรับ...ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว...ซึ่งดีเสมอ
   
สำหรับสามีที่นอนกรนทั้งคืน

เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น
   
สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่

เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน
   
สำหรับภาษีที่ต้องเสีย

เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ
   
สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้

เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง
   
สำหรับเสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป

เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีกิน
   
สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน

เพราะนั่นหมายถึงฉัน กำลังได้รับแสงแดด
   
สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด

เพราะนั่นหมายถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา
   
สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ

เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้  และฉันมีรถ
   
สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด

เพราะนั่นหมายถึง ฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่
   
สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน

เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้
   
สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า

เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่
   
 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #74 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2553, 07:57:43 »




 
Fw: วิธีช่วยฟื้นชีวิต แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คจาก1ชม.ให้กลับมา2-3ชม.เหมือนเดิม‏

ด้วยการทำ calibrate แบตเตอรี่
 
นี่คือคำตอบ ที่ได้มาจากฝ่ายสนับสนุนฮาร์ดแวร์ของบริษัท แอบเปิ้ล

ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ชื่อดัง และโทรศัพท์ iPhone

เครื่องเล่นเพลงอย่าง iPod แนะนำมาอย่างนี้ครับ
 
การปรับแต่งแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

เพื่อยืดอายุให้นานวันและมีพลังเพียงพอในการทำงานเสมอ

(โดยเฉพาะแบตเตอรี่ยุคใหม่ที่เป็น Lithion) ควรจะทำการ calibrate

ตามขั้นตอนดังนี้
 
1. เสียบปลั๊กเพาเวอร์อะแดปเตอร์ให้ชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็ม100%.

2. ปล่อยให้มีการชาร์ทต่อไปอีกสัก 2 ชั่วโมง ซึ่งคุณยังสามารถใช้อุปกรณ์ได้ตามปกติ.

3. ถอดปลั๊กเพาเวอร์อะแดปเตอร์ แล้วใช้งานไปตามปกติจนกระทั่งแบตเตอรี่หมด

4. จนกระทั่งแบตเตอรี่หมดจริงๆ และเครื่องเข้าสู่ภาวะหลับ (sleep)
 
5. ปิดเครื่องหรือปล่อยให้มันหลับไป ทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมงหรือมากกว่า

6. ครบ 5 ชั่วโมงแล้วเชื่อมต่อเพาเวอร์อะแดปเตอร์อีกครั้ง ทำการชาร์ทไฟให้เต็มที่อีกครั้ง

แบตเตอรี่ของคุณจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง.
 
Tip: วิธีการนี้ผมลองทดสอบกับเครื่องโน้ตบุ๊คที่ใช้งานมาประมาณปีเศษ

จากที่เคยใช้งานได้นานสามชั่วโมงก็จะเหลือเพียงชั่วโมงเศษๆ เลยใช้วิธีการนี้ดูบ้าง

ปรากฏว่าทำให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้เกือบสองชั่วโมง

เลยทำการ calibrate ซ้ำไปสี่ห้าครั้ง เรื่องไม่น่าเชื่อก็บังเกิด

แบตเตอรี่ก้อนนั้นสามารถกลับมาจ่ายประจุได้สามชั่วโมงอีกครั้งหนึ่ง

ทดลองดูซิครับ อาจจะไม่ต้องเสียเงินห้าหกพันสำหรับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ก็ได้นะครับ
 
จะทดลองทำดู....มันก็ไม่เสียหายอะไร มิใช่หรือครับ

 
 gek gek gek   
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: 1 2 [3] 4  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><