30 เมษายน 2567, 00:24:42
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนมาเพื่อทราบ ให้สุขภาพแข็งแรง  (อ่าน 261468 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #100 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2553, 13:21:40 »

หมอนรองกระดูกกับอาการปวดหลังจากการทำงาน

ผศ.ดร.วรรธนะ  ชลายนเดชะ

จาก  :  http://www.doctor.or.th/node/1523

การบาดเจ็บจากการทำงาน  ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บแบบเฉียบพลัน และแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นป้องกันได้  ความรู้ และความเข้าใจของคนทำงานมีส่วนสำคัญอย่างมาก  เพื่อป้องกันตัวเองมิให้บาดเจ็บจากการทำงาน

คนทำงานมักพบอาการปวดหลังได้บ่อย  คนทั่วไปประมาณ ๑ ใน ๖ เคยมีอาการปวดหลังที่ต้องนอนพักอย่างน้อย ๑ ครั้งในชีวิต  อาการปวดหลังส่วนใหญ่เกิดจากการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน  การเรียนรู้เรื่องของหลัง ( back school ) ทำให้คนทำงานตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อหลัง เข้าใจกลไกการบาดเจ็บ  และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน  เนื่องจากอาการปวดหลังส่วนหนึ่งมาจากหมอนรองกระดูก  ครั้งนี้จึงนำเสนอเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกสันหลัง และวิธีป้องกันไม่ให้ปวดหลังจากการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลัง

การเรียงตัวของกระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลังมีทั้งหมด ๒๖ ชิ้น เรียงตัวกันเป็นส่วนโค้ง ๓ ส่วน โดยกระดูกสันหลังส่วนคอจะโค้งไปทางด้านหน้า ส่วนอกจะโค้งไปด้านหลัง ส่วนเอวหรือหลังส่วนล่างจะโค้งไปทางด้านหน้า ( lordotic curve ) ดังรูปที่ ๑  การเรียงตัวของกระดูกสันหลังเป็นส่วนโค้ง  แทนที่จะเป็นแท่งตรงเหมือนลำไม้ไผ่  เพื่อที่จะลดแรงกระแทกจากพื้นมาสู่ศีรษะเวลาเดิน  คล้ายกับสปริง หรือแหนบกันกระเทือนในรถยนต์  ส่วนโค้งแต่ละช่วงมีความสำคัญ  ถ้าแอ่นมากขึ้นหรือมีความโค้งน้อยลงอยู่นานๆ  จะส่งผลทำให้เกิดอาการปวดได้  กระดูกสันหลังต่อเรียงกันด้วยหมอนรองกระดูกทางด้านหน้า และข้อสันหลัง ๒ ข้อทางด้านหลัง  ข้อดีของการมีหลายข้อต่อเรียงกันเป็นกระดูกสันหลังคือ  เราสามารถจะเคลื่อนไหวส่วนของหลังได้หลายทิศทางตั้งแต่ก้ม-เงย หมุนซ้าย-ขวา เอียงซ้าย-ขวา  รวมทั้งหลายทิศทางพร้อมกัน  เช่น การก้มหลังพร้อมกับการบิดและเอียงตัวในเวลาเดียวกัน  แต่ข้อเสียของการเคลื่อนไหวได้หลายทิศทางคือส่วนของหลังจะมีความมั่นคงน้อยลง และจะบาดเจ็บได้ง่าย



หมอนรองกระดูก

หมอนรองกระดูกเป็นโครงสร้างที่ช่วยรับน้ำหนัก และลดแรงกระแทกคล้ายกับระบบกันกระเทือนของรถยนต์  ถ้าจะเปรียบเทียบกับลักษณะของหมอนรองกระดูกจะคล้ายกับขนมเด็กที่เป็นเยลลี่รูปสัตว์  ด้านนอกจะเหนียวขณะที่ด้านในเป็นน้ำ  การบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง  ตัวหมอนรองกระดูกเองมีเส้นประสาทมาเลี้ยงน้อยมาก  เมื่อแตกหรือปลิ้นจะไม่เจ็บที่ตัวหมอน  แต่อาจอักเสบหรือกดทับเอ็น กระดูกและเส้นประสาทที่อยู่ใกล้  ทำให้มีอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างรวมทั้งมีอาการปวดที่ขาได้  อาการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกไม่จำเป็นต้องมีอาการปวดทันทีเสมอไป  ถ้าหมอนรองกระดูกแตก และปลิ้นจะเกิดอาการอักเสบ บวม และจะค่อยๆ มีอาการปวดน้อยๆ  จนกระทั่งปวดมากในชั่วโมงที่ ๘ ถึง ๑๒  เพราะอาการอักเสบนั้นไปรบกวนเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง

การแตกและปลิ้นของหมอนรองกระดูก

การบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกจะสัมพันธ์กับกรณีต่อไปนี้

๑. การก้มหลังจนสุด

๒. การนั่งเป็นเวลานาน

๓. ช่วงเวลาในแต่ละวัน  ตอนเช้าจะมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บมากกว่า

๔. การก้ม บิด เอียง ซ้ำๆ กันหลายครั้ง จนกระทั่งเนื้อเยื่อหมอนล้า และการแตก

๕. คนอายุน้อย  พบว่าคนในวัยทำงานจะมีสารน้ำในหมอนรองกระดูกมากกว่าคนสูงอายุ  จึงมีแรงดันในหมอนสูง โอกาสที่จะแตกจะง่ายกว่า

การก้มตัว

การก้มตัวทำได้ ๒ แบบ คือ การงอที่สะโพก ( รูปที่ ๒ ) และการงอที่หลังส่วนล่าง ( รูปที่ ๓)   จะเห็นว่าการงอที่สะโพกจะยังมีส่วนโค้งของหลังอยู่  ส่วนการงอที่หลังทำให้โค้งกลับไปทางด้านหลัง ( reverse lordotic curve ) การงอหลังแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้หมอนรองกระดูก สันหลังบาดเจ็บได้ง่าย

การนั่ง

การนั่งจะทำให้ส่วนโค้งของหลังน้อยลงหรือกลับทิศ ( reverse lordotic curve ) ดังรูปที่ ๔  การโค้งกลับทิศในลักษณะนี้ร่วมกับแรงกดจากน้ำหนักตัวส่วนบน  จะทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นออกทางด้านหลังได้ง่าย  การนั่งนานจะทำให้แรงกดที่หมอนรองกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีค่ามาก

ช่วงเวลาในแต่ละวัน

เมื่อนอนลงจะมีการดึงน้ำไปอยู่ในตัวหมอนรองกระดูก การที่มีน้ำเข้าไปอยู่ในหมอนรองกระดูกมาก  ทำให้หมอนรองกระดูกบาดเจ็บได้ง่าย  ขณะตื่นนอนใหม่จึงมีความเสี่ยงที่จะมีการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกมากกว่าช่วงเย็น



การป้องกันไม่ให้ปวดหลังจากหมอนรองกระดูก

จากความรู้ข้างต้นนำมาสู่คำแนะนำที่จะช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกได้ ดังนี้

๑. อย่างอหลัง เมื่อยกวัตถุ  ให้พยายามรักษาส่วนโค้งของหลังให้คงอยู่ขณะยกวัตถุให้งอที่สะโพก

๒. อย่านั่งนานเกิน ๒ ชั่วโมง ให้ลุกเดินเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

๓. เปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ เช่น นั่งหลังตรง นั่งพิงหลัง นั่งเอามือเท้าโต๊ะ สลับกัน

๔. ถ้าจำเป็นต้องนั่งนาน เช่น นั่งขับรถ ให้แอ่นหลัง พิงพนัก ๕ วินาที เพื่อลดแรงกดที่หมอนรองกระดูก

๕. ผู้ที่นั่งนาน และต้องลุกมายกวัตถุทันที เช่น พนักงานขับรถส่งของต้องพยายามแอ่นหลังบ่อยๆ  ขณะขับรถหรือหาหมอนมาหนุนหลังส่วนล่างในขณะขับรถ  ถ้ามีเวลาพอ  เมื่อลงจากรถให้ยืนแอ่นหลังประมาณ ๕ วินาที จึงเริ่มยกวัตถุ

๖. หลังตื่นนอนหลีกเลี่ยงการก้มหลัง หรือการออกกำลังกายที่ต้องก้มหลัง งอหลัง การยกวัตถุหนัก อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

๗. ไม่ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้าท้องแบบมีแรงต้านในท่านั่ง  เพราะเป็นการงอหลังซ้ำๆ หลายครั้ง  ขณะที่มีแรงดันในหมอนรองกระดูกสูง  มีโอกาสบาดเจ็บสูง

๘. ออกแบบสภาพงานให้เหมาะสม เช่น ไม่ให้ยกวัตถุหนักจากที่ต่ำ บิดหรือเอียงตัว ยกวัตถุห่างตัว และยกวัตถุที่หนักเกินกำลัง

อาการปวดหลังนั้นไม่จำเป็นต้องมาจากหมอนรองกระดูกเสมอไป  ยังมีเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่อาจบาดเจ็บได้ เช่น กล้ามเนื้อ หรือเอ็นที่อยู่บริเวณนั้น หรือมาจากสาเหตุอื่น  เช่น การอักเสบของอวัยวะภายใน มะเร็งของกระดูก ตัวหมอนรองกระดูกนั้นเสื่อมสภาพตามวัยเหมือนกระดูก  คนประมาณร้อยละ ๓๐ ที่ไม่เคยปวดหลัง  มีหมอนรองกระดูกปลิ้น บางครั้งชัดเจนมากแต่ไม่มีอาการ

อย่าลืมว่าคนทำงานไม่งอหลังขณะยกวัตถุ ไม่นั่งนาน  ไม่ก้มหลังหรือยกวัตถุเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ  ไม่ยกวัตถุหนักเกินกำลัง  ปรับสภาพงานให้เหมาะสม ทำเช่นนี้ท่านจะห่างไกลอาการปวดหลังจากการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูก
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #101 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 17:55:38 »

พลังบำบัดจาก " น้ำมะพร้าว "

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา
 
เดี๋ยวนี้มีน้ำผลไม้ให้เราเลือกดื่มมากมาย  แต่รู้ไหมว่า น้ำมะพร้าวราคาถูกแสนถูกนี่แหละค่ะ  ถือเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง  เพราะนอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว  ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษ และชำระล้างร่างกายด้วย  ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิว หรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ  น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา  ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น



มะพร้าวมีลำต้นสูง  ทำให้ธาตุอาหารต่างๆ ในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น และผล  ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน  น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก  น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย  นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง  สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป  หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง  บำรุงเส้นเอ็น  ใช้รักษาโรคกระดูกได้  ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง  มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

สำหรับคนไข้ที่อาเจียน และท้องร่วงในเวลาเดียวกัน  สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน  ทุกเพศทุกวัย  เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ  ทำให้ร่างกายสดชื่น  ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม  อย่างไรก็ตาม  คนเป็นโรคไต และโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม  เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน  ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

หากเปิดลูกมะพร้าว  แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน  ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง ( แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม )  ควรกินให้หมดทีเดียว

ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว  ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว  หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง  ค่อยๆ ตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่มน้ำ  มะพร้าวบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ  มีประโยชน์กว่าน้ำอัดลม  น้ำหวาน  หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง  เพราะไม่ทำให้เกิดพิษ หรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย  วันนี้คุณดื่มน้ำมะพร้าวหรือยังคะ ?

เพิ่มเติมจาก  :  http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=5567.0;prev_next=prev

งานวิจัยชั้นเยี่ยม จากดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยชะลอเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้  เนื่องจากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง  
  
          ข้อสรุปนี้ได้จากการทดลองกับหนูขาวเพศเมีย 2 กลุ่ม ที่ตัดรังไข่ออกเพื่อเป็นตัวแทนสตรีวัยทอง  เพราะเชื่อกันว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชาย  เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน  และปัจจัยด้านอายุที่ผู้หญิงมักมีอายุยืนกว่าผู้ชาย ( จึงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่า )

          ผลการวิจัย พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับน้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์  มีอาการของโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าวอ่อน  ซึ่งผู้วิจัยจะพัฒนาน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นอาหารเสริม และยา  เพื่อชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ต่อไป  นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น  และไม่มีแผลเป็นด้วย  ซึ่งอาจมีการสกัดน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาสมานแผลและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต


เพิ่มเติมจาก  :   http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:DhNG_pOBghYJ:ku30.songchai.net/%3Fp%3D1626+%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th

มากินน้ำมะพร้าวอ่อนกันเถอะ

โดย สมหมาย คณานิตย์  และภรรยา  บ้านสุขภาพดี  คลินิกแพทย์แผนไทย  นนทบุรี

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง ประกอบด้วยโพแทสเซียม  รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย เนื่องจากอาการท้องเสีย หรือท้องร่วงได้  จึงจัดเป็น “ สปอร์ต ดริ๊งค์ ” สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย  และยังมีคุณสมบัติ ปลอดเชื้อโรค  เป็นสารละลาย ไอโซโทนิก ( สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ )  สามารถลดอาการขาดน้ำได้ดี ลดอาการเมาหลังดื่มแอลกอฮอล์

- การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำยัง ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เนื่องจากกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
          
- มีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์  หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง
                                  
- ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายจึงช่วย  ให้ผิวพรรณ ผ่องใส

- สำหรับสตรีวัยทอง หรือกำลังเข้าสู่วัยทอง ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน สัปดาห์ละ 2-3 ลูก จะช่วยทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายสมดุล ทำให้แก่ช้าลง และไม่ต้องทานฮอร์โมนเสริม

ไฟโตเอสโตรเจน  ( Phyto-estrogen ) เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า  เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับเอสโตรเจนในคนแต่ฤทธิ์อ่อนกว่า  มีหน้าที่ เข้าไปจับกับตัวรับเอสโตรเจนที่เซลล์ และหยุดยั้งปฏิกริยาของเซลล์ที่มีต่อฮอร์โมนที่รุนแรงกว่าตัวมัน  เป็นผลให้ทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งเอสโตรเจน เพื่อไม่ให้ร่างกายผลิตมากเกินไปได้  และการทำงานของไฟโตเอสโตรเจนนี้ก็จะปรับไปตามระดับเอสโตรเจน ที่คนเรามีอยู่ในร่างกาย  ซึ่งหากอยู่ในช่วงที่ประจำเดือนมาปกติ  ร่างกายก็จะขับออกไปได้เองกับปัสสาวะ  แต่ถ้าเป็นช่วงวัยหมดประจำเดือน  ร่างกายผลิตเอสโตรเจนเองได้น้อย ไฟโตเอสโตรเจนก็จะเข้าไปทำหน้าที่แทน
 
    ดังนั้น…สตรีที่เข้าสู่วัยทองหรือกำลังจะเข้าสู่วัยทองสามารถรับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเรื่องเอสโตรเจนเกิน จะเป็นผลให้เกิดมะเร็งเต้านมอีกต่อไป
 
ข้อดีของน้ำมะพร้าวอ่อน…

      *ช่วยลดอาการก่อนมีรอบเดือน ของสตรีวัยเจริญพันธุ์เช่นอาการปวดศีรษะ  ปวดท้องน้อย
 
      *ถ้าทานน้ำมะพร้าว พร้อมกับเนื้อ ร่างกายจะได้ทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสติน ซึ่งจะไปออกฤทธิ์ ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้สิวลดลง ผิวพรรณเรียบเนียน แลดูสุขภาพผิวดีขึ้น  เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่เป็นสิว
 
      *ช่วยตับทำลาย “ เอสโทรน ” ( estrone ) ซึ่งเป็นสารที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ให้กลายเป็นสาร  “ เอสไทรออล ” ( estriol ) ซึ่งถือว่าเป็นรูปเอสโตรเจนที่ปลอดภัยที่สุด  คนที่รับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนสามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้  เพราะทานน้ำมะพร้าวอ่อนจะช่วยรักษาสมดุลเอสโตรเจนได้

      *ลดอาการ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน ในสตรีวัยหมดประจำเดือน

      *นอกจากนี้  น้ำมะพร้าวยังเอาไว้ล้างหน้าที่สดใสเปล่งปลั่งได้  เนื่องจากน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยเกลือแร่  และยังเป็นกรดอ่อนๆ  ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสอยู่เสมอ

       *สำหรับสาวๆ ที่ชอบสปา อาบน้ำแร่  หันมาอาบน้ำมะพร้าวก็ได้นะ  เพราะน้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมน แถมยังซึมเข้าสู่ผิวได้ดีอีกด้วย  อาบบ่อยๆ ผิวพรรณจะเต่งตึง สวยเหมือนสาวยุค 2010

ข้อควรระวัง …

สำหรับวัยรุ่น  ถ้าจะทานน้ำมะพร้าวอ่อน  ไม่ควรรับประทานขณะมีประจำเดือน  เพราะอาจทำให้มีไข้  เนื่องจากน้ำมะพร้าวเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง  และจะทำให้ประจำเดือนมานานวันเพิ่มขึ้น  ควรงดก่อนมีประจำเดือนสัก 5 วัน

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #102 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553, 00:13:38 »

ไขมันในเลือดสูง High Cholesterol‏

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ...ส่งมา

ภาวะไขมันคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง  รวมทั้ง HDL ในเลือดต่ำ  เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ



อะไรคือ  คลอเลสเตอรอล ?  อะไรคือ  HDL ?  อะไรคือไขมันอิ่มตัว  ไม่อิ่มตัว  ทุกวันนี้ไม่รู้ ไม่ทราบ ก็จะไม่ทันสมัย  ถ้าจะไม่ได้แล้ว  เพราะมีความเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอย่างใกล้ชิด
 
คลอเลสเตอรอล  เป็นชื่อเรียกสารประกอบไขมันชนิดหนึ่ง ซึ่งสังเคราะห์จากตับของสิ่งมีชีวิต ( มนุษย์ หรือสัตว์เท่านั้น ) ... คงไม่ผิดถ้าน้ำมันพืชชนิดหนึ่งจะโฆษณาว่า " ไม่มีคลอเลสเตอรอล " เพราะในตัวพืชไม่มีคลอเลสเตอรอล นั่นเอง

สำหรับคนเรา  ที่มาของคลอเลสเตอรอลในเลือดจึงอาจมาได้ 2 ทางคือ  การสังเคราะห์ขึ้นเองจากตับ  และรับเข้าไปจากการบริโภคอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง ก็คือ ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ  ยกเว้น ปลา  รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม และไข่แดง  ถ้าอยากให้คลอเลสเตอรอลในเลือดลด  แค่ลดอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง  ก็เท่านั้นเอง

บางคนอ่านแล้วก็บอกว่า ฟังดูง่าย แต่ทำ ( ใจ ) ยาก  โดยเฉพาะบุคคลประเภทที่นิยมภาษิตที่ว่า “ อย่าปล่อยให้ขาหมูลอยนวล ”   ของสุดอร่อย  แค่คิดต่อมน้ำลายก็เริ่มทำงานแล้ว  ที่มักจะเลี่ยงไปว่า  “ เอาเถอะน่า  นาน ๆ ที ” หรือ “ ถ้าหนังมีมันมาก ก็ลอกหนังออกทานแต่เนื้อแดงก็แล้วกัน ”  แต่หารู้ไม่ว่าในเนื้อแดงนั้นมีไขมันแทรกอยู่ถึง  30-40%  ทีเดียว

ถึงตรงนี้ถ้าใครที่อดไม่ได้จริง ๆ ก็อย่าเพิ่งท้อ  เพราะอย่างที่ตกลงกันตั้งแต่แรก คือ ทางสายกลาง หรือความพอดี  กินกันให้พอดีพอประมาณอย่างมีสติ  จะได้ไม่เกิดโทษภัยจากการกิน ( โอฐภัย )  อดไม่ได้ ทนไม่ได้ ก็ไม่ว่ากัน

กินไข่ ดี หรือไม่ดี ?



เรื่องของไข่ก็เช่นเดียวกัน  เป็นอาหารจานเด็ดทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะไข่เจียวร้อน ๆ กับข้าวสวย  เหยาะพริกน้ำปลา แถมหอมซอยนิดหน่อย  อร่อยอย่าบอกใครเชียว

มีการศึกษาทีในอเมริกาให้อาสาสมัครที่ปกติ 2,000 คน  ซึ่งไม่มีภาวะไขมันในเลือดสูง  ทานไข่ไก่ 2 ฟอง ต่อวัน  ติดต่อกันเป็นเวลา 2 อาทิตย์  แล้วลองเจาะเลือดซ้ำ  พบว่าระดับไขมันในเลือดก่อน และหลัง  1  เดือน  ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ  คงเป็นข่าวที่ดีสำหรับสมาคมผู้เลี้ยงไก่  แต่ช้าก่อน ... ถ้าหากคุณมีภาวะไขมันในเลือดสูงอยู่แล้ว  จะต้องระมัดระวัง  เพราะไข่แดงนั้นมีคลอเลสเตอรอลสูงถึง 210  ม.ก./ ฟอง เลยทีเดียว  และทางการแพทย์แนะว่า คนที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด  ไม่ควรทานคลอเลสเตอรอลเกินกว่าวันละ 200 ม.ก.  และที่ยิ่งไปกว่านั้น  หากให้อาสาสมัครดังกล่าว  ทานไข่ ร่วมกับไขมันอิ่มตัว เช่น ไส้กรอก หรือ เบคอน ด้วยแล้ว จะทำให้ระดับของ คลอเลสเตอรอล เพิ่มขึ้นอย่างมาก

กล่าวถึงคลอเลสเตอรอล และอาหารต่าง ๆ มาเสียยืดยาว  เดี๋ยวผู้อ่านจะคิดไปได้ว่า เจ้าสารตัวนี้จะเป็นแต่วายร้าย ที่คอยไปอุดตันตามหลอดเลือด  จนก่อปัญหาหลอดเลือดอุดตัน

อันที่จริงคลอเลสเตอรอลก็เป็นสารที่ร่างกายจำเป็นต้องมีไว้ ( ในปริมาณที่เหมาะสม)   เพราะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะนำไปสร้างเยื่อบุผนังเซลล์  สร้างเป็นฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ และที่สำคัญคือ  ไปสร้างเป็นน้ำดีไว้ย่อยไขมันในลำไส้  ฟังแล้วแปลกดี  ไขมันเอาไปย่อยไขมัน  น้ำดีที่ออกมาในลำไส้นี้ก็จะดูดซึมกลับไปยังตับอีก  วนเวียนเช่นนี้  นักวิทยาศาสตร์หัวใสเมื่อทราบดังนี้ก็ได้คิดผลิตยาชนิดหนึ่งซึ่งคอยจับกับน้ำดีในลำไส้  ชื่อว่า Choletyramine ให้น้ำดีถูกขับออกมาอย่างเดียวไม่ย้อนกลับไปยังตับ  คลอเลสเตอรอลก็จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำดีมากขึ้นๆ  ระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้  แต่ที่เด็ดไปกว่านั้น  เมื่อเราทราบแล้วว่าคลอเลสเตอรอลสร้างจากตับ  ก็อาศัยยาที่ไปยับยั้งการสร้างคลอเลสเตอรอลจากตับเสียเลย  เราเรียกยากลุ่มนี้ว่า Statin ซึ่งเรื่องราคาค่อนข้างแพง  ราคาเม็ดหนึ่งประมาณ  20-50  บาท  จะทำอย่างไรได้ให้คุมอาหารก็ไม่ไหว  ให้ออกกำลังก็ไม่เอา  ก็คงต้องเสียเงินซื้อยาไปตามระเบียบ

มีรายงานทางการแพทย์  พบว่าผู้ที่มีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดต่ำ  มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า ( Depression )  และมีโอกาสฆ่าตัวตายสูงกว่าปกติ !  อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งตกใจเลิกคุมอาหาร  เลิกทานยา  เพราะคนที่ซึมเศร้าอยากฆ่าตัวตาย  คงไม่ค่อยมีกระจิตกระใจจะทานอาหาร  เลยทำให้ระดับไขมันต่ำ  ส่วนเราเป็นพวกอารมณ์ดีมีใจเบิกบาน  ก็เลยมีไขมันสูงเป็นธรรมดา


อะไรคือ ไขมันร้าย ไขมันดี ไตรกลีเซอไรด์

พูดถึงคลอเลสเตอรอลกันให้ละเอียดลึกซึ้ง  นอกจากจะมีทั้งประโยชน์ และโทษดังกล่าวแล้ว  แต่ถ้าพูดให้ชัดลงไปว่า  แล้วเจ้าตัวที่เป็นผู้ร้ายจริง ๆ คือตัวไหนกันแน่  เปรียบเหมือนพูดถึงรถยนต์บนท้องถนนทั้งหมด คือคลอเลสเตอรอลรวม  ก็มีรถที่คอยปล่อยควันดำ  ทิ้งขยะ  น้ำมันเครื่องลงบนท้องถนน  ซึ่งถูกเรียกว่า  ไขมันร้าย ( Bad cholesterol )  มีลักษณะโครงสร้างที่ใหญ่ และมีความหนาแน่นต่ำ  จึงเรียกเป็นศัพท์การแพทย์ว่า  Low  density  lipoprotein  ย่อว่า  LDL-Cholesterol ( LDL-C )



LDL-C  นี้เอง คือผู้ร้ายตัวจริง  ยิ่งมีมากก็ยิ่งก่อปัญหาหลอดเลือดอุดตัน  ในทางกลับกันคลอเลสเตอรอลอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีความหนาแน่นสูง เรียกว่า High density lipoprotein ( HDL )  เป็นพระเอกของร่างกายเรา หรือ ไขมันดี ( good cholesterol )  เปรียบเหมือนรถขนขยะของกทม. คอยเก็บของเสีย หรือไขมันส่วนเกินจากผนังหลอดเลือดกลับคืนสู่กระแสเลือด  และนำไปยังโรงงานแปรรูปกำจัดขยะ คือ ตับ  เพื่อเปลี่ยนสภาพจากไขมันคลอเลสเตอรอล  ให้กลายเป็นน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันต่อไป
 
ทำอย่างไรเราจึงจะทราบตัวเรานี้มีระดับ LDL และ HDL สูงมากน้อยเท่าไร  ก็ต้องหยิบกระดาษ ดินสอ มาบวกลบเลขกันสักเล็กน้อย

โดยปกติการเจาะเลือดนั้น  จะสามารถทราบระดับของคลอเลสเตอรอลรวม ( Total cholesterol )  ไตรกลีเซอไรด์ ( Triglyceride )  ซึ่งเป็นไขมันอีกชนิดหนึ่ง และ HDL ได้  และนำมาคำนวณโดยอาศัยสูตรดังนี้ คือ

LDL-C =  Total cholesterol – ( Triglyceride / 5 )-HDL

ค่าปกติของ LDL ไม่ควรเกิน  160 มก.%  ในคนปกติ และไม่เกิน  130 มก.% ในผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ  ส่วน HDL ที่ดีควรมีค่าเกินกว่า 45 มก.%

ถ้าต้องการจะลดระดับ LDL-C ในเลือด  นอกจากลดการบริโภคอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลดังว่ามาแล้ว  พบว่าการลดอาหารที่มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงจะมีส่วนลดระดับ LDL ได้ด้วย  ซึ่งเจ้าไขมันที่อิ่มตัวที่ว่านี้  นอกจากจะพบในไขมันสัตว์แล้ว  ในน้ำมันพืชบางประเภท เช่น น้ำมันปาล์ม  น้ำมันมะพร้าว  กะทิ  จะมีไขมันประเภทนี้สูง  ที่น่าวิตกก็คือผลิตภัณฑ์อาหารส่วนใหญ่ที่เรา และลูกหลานของเรากำลังบริโภคกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย  ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอด  มันทอด  แมคโดนัลด์  KFC  อาหารจานด่วน  ต่างก็ประกอบจากน้ำมันที่ว่านี้ทั้งนั้น  เพราะราคาถูก  แถมไม่ค่อยเหม็นหืนเสียอีกด้วย  มีการศึกษาที่พบว่าระดับ LDL-C ของคนในภูมิภาคเอเชีย  กำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก  หลังจากร้านอาหารข้ามชาติผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด  และเป็นที่นิยมชื่นชอบของวัยรุ่น และคนทำงานทั่วไป  จนกลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของคนยุคใหม่ไปแล้ว  จึงไม่น่าแปลกใจว่าโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันยิ่งเป็นกันมากขึ้น และยิ่งพบในคนอายุน้อยลงกว่าเมื่อสมัยก่อน

จะเลือกใช้น้ำมันอะไรดี ?

ถ้าคุณเลือกได้ ควรเลือกอาหารที่ปรุงจากไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัว ประเภทที่มีขายกันอยู่ทั่วไป และราคาไม่แพงมาก  เช่น  น้ำมันถั่วเหลือง  น้ำมันข้าวโพด  ทานตะวัน  น้ำมันงา  ประเภทนี้เรียกว่าไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน  อีกประเภทที่จะเรียกว่าดีที่สุดก็คือ  ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียวซึ่งพบมากใน น้ำมันมะกอก ( ไม่ใช่ที่เอาไว้ทาตัว หรือใส่ผม ) ซึ่งเป็นน้ำมันที่ต้องนำเข้า  มักมีที่มาจากยุโรป และอเมริกา  สนนราคาช่วงนี้คงจะแพงพอสมควร  ก็อาจจะใช้เป็นน้ำมันถั่วเหลืองทานตะวัน ฯลฯ  ที่มีขายกันอยู่ทั่วไปพวกนั้นจะเหมาะสมกว่า  สามารถช่วยลดระดับไขมันร้าย LDL ลงได้ประมาณ  12%

มีผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์กับคนที่อยากทานเนย  แต่กลัวไขมันสูง เลยทานเป็นรูปเนยเทียมหรือมาการีนแทน  ปรากฏว่ามีสารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Trans fatty acid ซึ่งเกิดจากกระบวนการแปรรูปไขมัน  ที่ต้องอาศัยความร้อนสูงมาก  และมีการเติมอะตอมของไฮโดรเจนเข้าไป ( Hydrogenation )  ทำให้จุดเดือดของไขมันสูงขึ้น  และสามารถจับเป็นก้อนที่อุณหภูมิห้อง  ผลิตภัณฑ์เหล่านี้นอกจากเนยเทียม  ยังพบในครีมขนมกรอบ  เวเฟอร์  เมื่อบริโภคเข้าไปจะทำให้ผลในการลด LDL เหลือเพียง 5%  แต่ที่สำคัญคือ อาจลดระดับของ HDL ซึ่งเป็นไขมันดีลงไปได้ด้วย

คราวนี้ต้องถึงคราวพระเอก HDL ของเราบ้าง  ทำอย่างไรเล่าจึงจะทำให้ HDL มีระดับเพิ่มขึ้น  คงไม่มีปัญหาในคนที่มีระดับ HDL สูงอยู่แล้ว  แต่ในคนที่ระดับต่ำ ( น้อยกว่า 35 มก.% )  จะทำอย่างไรกันดี


วิธีการที่จะช่วยเพื่ม HDL  ก่อนที่จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับยา มีดังต่อไปนี้

- หมั่นอออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30-40 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 วัน

- หยุดสูบบุหรี่  เพราะสารในบุหรี่ลดระดับ HDL

- บางรายงาน เครื่องดื่มประเภทไวน์วันหนึ่งไม่เกิน 1 แก้ว  จะสามารถเพิ่มระดับ HDL ได้  ซึ่งก็ต้องเป็นไวน์แดง  แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด และแพทย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะแนะนำให้ผู้ป่วยหันมาดื่มแอลกอฮอล์  เพราะส่วนมากมักจะเลยเถิด ( เกิน 1 แก้ว )  พลอยเป็นโรคตับแข็ง โรคความดันสูง ต่อไปอีก

มีข้อมูล จากวารสาร Circuiation พบว่าการบริโภคน้ำองุ่นแดงวันละประมาณ  600 ซีซี  ก็สามารถให้ผลที่น่าพอใจ  แม้จะมากไปหน่อย  ก็เทียบได้กับการดื่มไวน์เหมือนกัน  ซึ่งเรื่องนี้อันที่จริงมันไปเกี่ยวข้องกับสารประเภทหนึ่ง คือ  Flavonoids ซึ่งพบมากในผิวขององุ่นแดง  สารตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant )  ซึ่งจะคอยป้องกันไม่ให้โมเลกุลของ LDL เข้าไปทำอันตรายต่อเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือด  ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดหลอดเลือดแข็งตัวได้

บทความโดย น.พ.วรงค์ ลาภานันต์  
กองอายุรกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
แพทย์ที่ปรึกษาศูนย์หัวใจ รพ.วิภาวดี

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #103 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 23:24:46 »

เห็ดหอม

โดย .. กฤษณะ ยะใจ

จาก  http://www.technoinhome.com/vspcite/front/board/show.php?tbl=tblwb03&gid=20&id=322&PHPSESSID=a1ccac43616fa1d11a31bbc1eed57e59



เห็ดหอม หรือ Shiitake mushroom มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lentinula edodes  พบขึ้นเองตามธรรมชาติในที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และบนพื้นที่สูงภาคเหนือของไทย  เป็นเห็ดที่รู้จัก และนิยมบริโภคกันมานานนับศตวรรษ ในหมู่ชาวจีน และญี่ปุ่น  ทั้งนี้นอกจากมีรสชาติดี และกลิ่นหอมแล้ว  ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีคุณสมบัติทางยาอีกด้วย



นอกจากเป็นอาหารแล้ว  คนจีนยังใช้เห็ดหอมเป็นยา ในศตวรรษที่ 14 มีบันทึกว่า  หมอจีนใช้เห็ดหอมเป็นยาอายุวัฒนะรักษาหวัด  ทำให้เลือดลมดี  แก้โรคหัวใจ  ต้านการเติบโตของเนื้อร้าย  และแก้พิษงู  นักวิจัยสมัยใหม่วิจัยพบสอดคล้องกันว่าเห็ดหอมช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ  ต้านโรคมะเร็ง และโรคร้ายต่างๆ จากเชื้อไวรัส

โฮ  ฮี้  โฮ ... หิว ว ว ว ว ว


ในเห็ดหอม 100 กรัม ( ประมาณ 3.5 ออนซ์ )  มีสารอาหารต่างๆ ดังนี้

                           พลังงาน             39 แคลอรี่
                           โปรตีน               15-35 %
                           ไขมัน                 น้อยกว่า 1 กรัม
                           คาร์โบไฮเดรต     7.3 กรัม
                           ใยอาหาร             0.8 กรัม
                           ไทอามีน              0.8 มล.กรัม
                           ไรโบฟลาวิน         0.5 มล.กรัม
                           ไนอาซีน              5.5 มล.กรัม
                           วิตามีน ดี2           50 %
                           วิตามีน บี 2 และ บี 12


นอกจากนี้  ยังมีสารสำคัญ 2 ชนิดคือ

1. Lentinula Edodes Mycelium " LEM " ซึ่งเป็น protein-bound polysaccharide ช่วยรักษาโรคตับอักเสบชนิดเรื้อรังในสัตว์ทดลอง  โดยทำให้เกิด antitumor activity ในคน และสัตว์  โดยกระตุ้นการสร้าง macrophage และ interleukin-1  ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันของร่างกาย

2. Lentinan ที่ช่วยยับยั้งการเจริญของ HIV virus  เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย  จากการศึกษาค้นคว้าระหว่างสถาบันมะเร็งแห่งชาติของญี่ปุ่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยในรัฐเซาท์แคโรไลนา ของสหรัฐอเมริกา  พบว่าเห็ดหอมมีสารพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์หลายชนิด  เช่น  สารอีรีทาดีนิน ( Eritadenin )  และสารเอซี-ทูพี ( AC-2P ) ทำให้เห็ดหอมมีประสิทธิภาพในการต่อต้านมะเร็ง  ลดไขมันในเส้นเลือด   และต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น  ไข้หวัด  จึงทำให้ผู้บริโภคหันมารับประทานเห็ดหอมกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น

อันตรายจากน้ำแช่เห็ดหอม‏

โดย รศ. สุชาตา ชินะจิตร

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



สารเคมีเกือบทุกชนิดมีผลต่อร่างกาย  ที่มีผู้แนะนำให้ทิ้งน้ำแช่เห็ดก็ดีแล้ว  แต่ยังมีอีกทางหนึ่งที่สำคัญคือ  ผู้ทำอาหารขาย  เพราะประชาชนส่วนใหญ่มักซื้ออาหารสำเร็จรูปมากิน  อย่าลืมช่วยกันให้ข้อมูลกับแม่ค้าและร้านอาหารด้วย

Look like the fresh one is much better and the price is now cheaper than the dry one.

ระวัง เห็ดหอมแห้ง ( dry mushroom )  โดยสรุป ... เขาชุบ  หรือพ่นคาร์บอนไดซัลไฟด์  ซึ่งมีมหันตภัยรอบด้าน  อย่านำน้ำแช่เห็ดหอมมาใช้ในการปรุงอาหาร  ให้เททิ้งทันที  อย่าเสียดาย  ซึ่งส่วนใหญ่เห็ดหอมที่ใช้กันนั้นนำเข้ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่  เมื่อจะนำมาปรุงอาหารก็ต้องแช่น้ำให้นิ่มก่อน  ซึ่งน้ำที่แช่ให้เห็ดหอมนิ่มนั้น ( จะอุดมไปด้วยสารหนัก กรด เกลือกำมะถันต่าง ๆ  และอื่น ๆ  ซึ่งเราไม่ทราบว่าใช้อะไรบ้างกว่าจะถึงมือเรา  ซึ่งสารต่าง ๆ นั้น  ก็มาจากน้ำจากปุ๋ยที่เพาะเลี้ยงในฟาร์ม  หรือรม เพื่อกำจัด และป้องกันแมลง )  แต่ก่อนเรามักจะเก็บน้ำนั้นไว้ปรุงอาหาร  ให้หอมน่ากิน
จงเททิ้งไป .... ช่วยบอกต่อให้แม่ๆ  แม่บ้าน  แม่ครัว  ภรรยา  ลูกสาว  รวมทั้งพ่อบ้านที่ชอบทำอาหาร ฯ

ถึงว่าสิ  ตอนหลังซื้อมาเก็บได้นานๆ  ไม่มีแมลงใดๆ  มารบกวนเลย

คาร์บอนไดซัลไฟด์  มหันตภัยตัวร้าย

" คาร์บอนไดซัลไฟด์ " ชื่อนี้คนที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมผลิตเส้นใยเรยอน  แผ่นพลาสติกเชโลเฟน  ผลิตภัณฑ์ยางพารา  จะมีโอกาสสัมผัสคาร์บอนไดซัลไฟด์เป็นประจำ  จากคุณสมบัติในการละลายไขมันได้ดี  จึงมีการนำไปใช้ในการสกัดน้ำมัน  ใช้ในการชุบโลหะ  เป็นตัวล้างสนิมออกจากโลหะ  ในภาคการเกษตร  เคยมีการใช้เพื่อรมเมล็ดธัญพืชเพื่อกำจัดแมลง  ซึ่งเข้าใจว่าอาจจะเลิกใช้ไปแล้ว  ลักษณะของคาร์บอนไดซัลไฟด์เป็นของเหลวกลิ่นหอมคล้ายคลอโรฟอร์ม  ไอของมันหนักกว่าอากาศ 2 เท่า  ดังนั้นในที่อากาศนิ่งๆ คาร์บอนไดซัลไฟด์จะลอยต่ำเรี่ยๆ พื้น  ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่คนจะสูดไอเข้าไป  ไอระเหยของมันเมื่อพบกับอากาศ  จะให้ไอผสมที่ระเบิด  และลุกติดไฟได้อย่างรวดเร็ว  จึงมีอันตรายมากเมื่อถูกความร้อน  เปลวไฟ  หรือประกายไฟ  ความร้อนของหลอดไฟฟ้าที่เปิดอยู่ก็ทำให้ไอของมันลุกติดไฟได้  และสลายเป็นควันของซัลเฟอร์ออกไซด์  ซึ่งเป็นอันตรายยิ่งขึ้น

ข้อควรระวังอย่างยิ่งคือ  อย่าเก็บคาร์บอนไดซัลไฟด์ไว้ใกล้กรดไนตริก  เพราะก๊าซที่ผสมกับไนตริกออกไซด์  จะระเบิดอย่างรุนแรง  ขนาดขวดแก้วแตกละเอียดเลยทีเดียว  ไม่ว่าจะสูดดมเข้าไป  หรือซึมเข้าไปทางผิวหนัง  หรือกลืนกิน  ผลคือระบบประสาทจะเกิดอาการตื่นเต้น  มึนเมา  ตามด้วยอาการง่วงซึม  กระสับกระส่าย  ระบบหายใจล้มเหลว  อาจถึงตายได้  แต่ถ้าเป็นการสัมผัสแบบระยะยาวทีละน้อย  อาการพิษเรื้อรังจะเริ่มด้วยอาการเจ็บหน้าอก  ปวดกล้ามเนื้อ  สายตาเริ่มมัว  ความจำเสื่อม  บุคลิกเปลี่ยนไปคล้ายคนเป็นโรคจิต  ที่เคยกล้าๆ อาจจะกลายเป็นคนขี้อายไปก็ได้

สารนี้ระคายผิว และตาอย่างรุนแรง  คาร์บอนไดซัลไฟด์เป็นสารอันตราย  จึงเป็นสารที่ถูกควบคุม  และในประกาศกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อม  ได้กำหนดค่าความเข้มข้นของสารเคมีในบรรยากาศตลอดระยะเวลาในการทำงาน  โดยเฉลี่ยห้ามเกิน 20 ส่วนในล้านส่วน  ที่ใดมีการใช้สารเคมีตัวนี้  ควรดูแลความปลอดภัยของคนงานให้ดี  อย่าให้มีไอระเหยในบรรยากาศของห้องทำงานเกินปริมาณที่กำหนด

อ้าว !  งั้นชาเห็ดหอม  ก็ต้องเทน้ำแช่เห็ดหอมทิ้งไป


ห้าม นำน้ำนั้นมาต้มต่อจนเป็นน้ำชา อ่ะดิ !

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #104 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 03:26:21 »

ประโยชน์ของเบียร์ ... วันนี้ ขอสักแก้วเถอะน่ะ‏

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ดื่มเบียร์แทนไวน์ สักวันละแก้ว ( กระป๋อง ) ประหยัดกว่าเยอะ  แถมอาจมีประโยชน์ มากกว่าด้วย
 
ประโยชน์ของการดื่ม " เบียร์ "

เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด  มีวิตามิน และเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง

สำหรับ ' คอเบียร์ ' คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย  แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ  แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์  เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด  รวมทั้งวิตามิน และเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น

ป้องกันโรคหัวใจ  จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60%  แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต  สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน  จึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต  แพทย์ชาวฮอลแลนด์ และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน  ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน  เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิ ให้ความทรงจำดี  นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
  
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง  เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก  สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้  แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน  จากการศึกษามากกว่า 50 สำนักพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง  โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนม และน้ำส้มสายชู  สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด  นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า  คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราว  มีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี และในไต  นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม  ซึ่งจะช่วยลด ความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
 
ป้องกันโรคนอนม่หลับ  สารจากดอก Hops ในเบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย  ดังนั้นการดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง  เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง  โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย  สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol  ซึ่งมีข้อดีคือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย  ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid  วิตามินบี 3  และไนอาซิน  ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่  ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี  ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม



ดีขนาดนี้จะช้าอยู่ทำไม  ไปหาเบียร์กินกันเถอะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #105 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 10:36:31 »

...เพิ่งจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้เรื่องเบียร์นี่หล่ะค่ะ...
...ถ้าประโยชน์ของมันมากอย่างนี้...ก็จำเป็นต้องหาเบียร์มาทานบ้างแล้วหล่ะ...
...แต่เสียอย่างเดียวค่ะ...คือพี่ตู่แพ้แอลกอฮอล์...ถ้าทานสักจิบสองจิบคงไม่เป็นไรมั้งคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #106 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 12:06:58 »

...น้องเจี๊ยบคะ...
...ต้อย-ทัศนีย์  หายไปเลยเนอะ...สงสัยกำลังซ้อมส่งรูปอยู่นะคะ...
...ต้อยเค้าไปเที่ยวฝรั่งเศสมา...แล้วซื้อไวน์มาฝากพี่ตู่ 2 ขวด...
...ตอนนี้มันก็ยังแช่อยู่ในตู้เย็นเลยค่ะ...
...พอดีวันนั้นมัวแต่คุยกันเรื่องอื่น...เลยลืมถามต้อยไปว่าจะกินยังไงดีค่ะ...
...แบบว่าแพ้แอลกอฮอล์อยู่ด้วย...จะทานได้หรือเปล่า...
...แช่ไว้นานๆมันคงไม่เสียนะคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #107 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 12:50:22 »

พี่ตู่ ขา ... แช่แบบนอนขวดลง  ไว้ชั้นล่างๆ ของตู้เย็น  ไวน์ยิ่งอยู่นานๆ ยิ่งดีค่ะ ... พี่ตู่ก็แค่แตะๆ ลิ้นพอรู้รสว่าอร่อยประมาณนี้  แล้วก็ยกให้ " คนที่ไม่แพ้ alcohol " ไปดื่มแทน  กลายเป็นส้มหล่นใส่เค้า สบายไปเลย  อิ  อิ !
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #108 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 14:05:27 »

...ขอบคุณค่ะ...น้องเจี๊ยบ...
...ต้อยเค้าหุ้มโฟมกันกระแทกมาอย่างดีเลย...ตั้งอยู่ในตู้เย็น...
...พี่จะไปจับมันนอนลงล่ะนะ...
...ว่างๆจะเปิดเอามาชิมแบบที่เจี๊ยบบอกค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #109 เมื่อ: 08 กันยายน 2553, 12:39:58 »

ค่ะ  พี่ตู่


วิธีกายภาพมือง่ายๆ ก่อน " นิ้วล็อค " ถาวร !

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



มือเราเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของ หรือใช้งานในกิจอื่นๆ  ทั้งเด็กที่จะต้องใช้มือเขียนหนังสือ  พ่อแม่คนทำงานที่ต้องใช้มือกับแป้นพิมพ์  เขียนงานเอกสาร  หรือใช้ในงานด้านต่างๆ  ตลอดจนแม่บ้านที่ต้องใช้มือในการหิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า
      
เมื่อมือ เป็นอาวุธสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ทำงาน  บางครั้งอาจถูกใช้งานอย่างหนัก โดยไม่ได้พัก  หากเป็นเช่นนี้ ซ้ำๆ บ่อยๆ  ย่อมมีความเสี่ยงต่อการเจ็บปวดตามมา  สามารถนำพาไปสู่ภาวะนิ้วล็อค หรือ Trigger Finger ได้ในที่สุด
  
ในวันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเกร็ดความรู้จากงาน " Banana Family in Love " จัดโดย Banana Family Park ภายใต้โครงการ Workshop กายภาพบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ  ซึ่งได้มีการพูดคุยถึงภาวะนิ้วล็อค และวิธีการดูแลมือไว้อย่างน่าสนใจ  จึงนำมาฝากให้กับทุกครอบครัวไว้ปรับใช้ก่อนนิ้วล็อคถาวรกัน
      
หากพูดถึง ภาวะนิ้วล็อค ทีมงานได้รับความรู้ว่า เป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีการใช้มือทำงานอย่างหนัก  ซึ่งจะมักมีอาการเจ็บร่วมกับมีเสียงดังกึก  ทำให้เส้นเอ็นไม่โก่งตัวออกเมื่องอนิ้ว  แต่เมื่อมีการอักเสบ  เส้นเอ็นจะบวม และหนาตัว  ทำให้ลอดผ่านห่วงลำบาก จึงรู้สึกเจ็บและเกิดอาการนิ้วล็อคตามมา

โดยส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป  โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใช้มือทำงานอย่างหนัก เช่น หิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า ส่วนในผู้ชายมักพบในอาชีพที่ใช้มือทำงานหนักๆ  มีการจับ ออกแรงบีบอุปกรณ์ซ้ำๆ เช่น คนทำสวนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้  ช่างที่ใช้ไขควงหรือเลื่อย  พนักงานพิมพ์ดีด  นักกอล์ฟ เป็นต้น
      
นอกจากนี้ลักษณะการใช้งานของมือในแต่ละกิจกรรม  จะใช้งานแต่ละนิ้วไม่เหมือนกัน  ทำให้เกิดนิ้วล็อคที่ตำแหน่งนิ้วต่างกันด้วย เช่น พ่อแม่ที่เป็นครู หรือนักบริหาร  มักเป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้งขวา เพราะใช้เขียนหนังสือมาก และใช้นิ้วโป้งกดปากกานานๆ  ขณะที่แม่บ้านซักบิดผ้า มักเป็นที่นิ้วชี้ซ้ายและขวา  แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด  เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้ ถ้ารู้จักวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
      
สำหรับอาการในระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ  กำมือไม่ถนัด  หรือกำได้ไม่เต็มที่  โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน  พอใช้มือไปสักพักก็จะกำมือได้ดีขึ้น  เวลางอที่จะเหยียดนิ้วมือมักจะได้ยินเสียงดังกึก  ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อค คือ เวลางอนิ้วจะเหยียดขึ้นเองไม่ได้  มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน  ซึ่งอาจเป็นเพียงนิ้วเดียว  หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้  บางรายอาจรุนแรงถึงนิ้วบวมชา ติดแข็งจนใช้งานไม่ได้
      
*** กายภาพมือง่ายๆ ก่อน "นิ้วล็อค" ถาวร !
 
 
 
       1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่  ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้  นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
      
      2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ  เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ  หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
      
      3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ  โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก  ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต
 
      
*** วิธีระวังตัวง่ายๆ ลดเสี่ยง " นิ้วล็อค "
      
      1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป  ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ  อาจใช้วิธีการอุ้มประคอง หรือรถเข็นลากแทน  เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ
      
      2. ควรใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้น และจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน  ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ
      
      3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง  ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม  ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง
      
      4. ไม่ขยับนิ้ว หรือดีดนิ้วเล่น  เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น
      
      5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบาๆ ในน้ำ  จะทำให้ข้อฝืดลดลง
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #110 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 11:35:02 »

มะเร็งระยะสุดท้าย หายได้จาก " เมนูธรรมชาติ "

โดย อรชร ตั้งวงษ์เจริญ   จาก  :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:moV5d89cAZoJ:board.palungjit.com/f9/%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-213276.html+%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1+%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

และมนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ชื่อเสียงเรียงนามของ " ดร.ทอม อู๋ " อาจจะแปร่ง แปลกไปจากหูของคนไทย



เพราะผู้ชายวัย 73 ปี ผู้นี้เกิดที่ประเทศจีน  เคยศึกษาวิชาชี่กง และตำรับ " ยาลับ " จากหมอชี่กงผู้เร้นกายท่านหนึ่ง  ต่อมาได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนตะวันตกพร้อมกับค้นคว้าวิชาแพทย์ทางเลือก  จนสำเร็จการศึกษาเป็นดอกเตอร์ด้านโภชนาการ และการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ จากสหรัฐอเมริกา

สามสิบปีก่อน ดร.ทอม อู๋ เคยป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3 เข้ารับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน  แต่อาการไม่ดีขึ้น  จึงได้รับคำแนะนำให้หยุดการรักษาและเปลี่ยนมากิน " อาหารอินทรีย์ " และรักษาด้วย " วิธีธรรมชาติ " ทำให้เขาหายขาดจากโรคมะเร็ง

จากนั้นเขาจึงตัดสินใจละทิ้งการแพทย์แบบเดิม  หันมาศึกษาการแพทย์แนวธรรมชาติ และโภชนาการอย่างจริงจัง  จนได้ปริญญาที่สหรัฐอเมริกา  เคยได้รับเชิญให้ไปแสดงปาฐกถาที่ประเทศต่างๆ มีลูกศิษย์ด้านการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติและการกินอาหารแบบอินทรีย์กระจายอยู่ทั่วโลก

ดร.ทอม อู๋ ย้อนความหลังให้ฟัง ว่าเมื่อรู้ว่าป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3  ก็เข้ารับการรักษาจากหมอ  มีการแนะนำให้ผ่าตัดปอดข้างขวาสองกลีบบนทิ้งไป  ด้วยความอยากหายจึงตกลงผ่าตัดปอด  แต่เมื่ออยู่บนเตียงผ่าตัดเขาพบว่ามะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นแล้ว  จึงต้องเย็บปิดแผล  แล้วหมอก็บอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่เดือน ... วิธีเดียวที่เหลืออยู่คือ การทำเคมีบำบัด  แต่ก็เป็นแค่การยืดชีวิตเท่านั้น

" ผมถามหมอไปว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหนแน่  หมอตอบว่า ไม่ทราบ  ตอนนั้นคิดในใจว่าคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ก็เพราะในร่างกายมีสารพิษมากเกินไป  ดังนั้น การทำเคมีบำบัดจึงเท่ากับส่งพิษเข้าร่างกายมากยิ่งขึ้นเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย  ขณะเดียวกันก็ฆ่าเซลล์ปกติตายตามไปด้วย  ซึ่งอาจจะทำให้ทรมานยิ่งขึ้น  สู้ปล่อยให้ตนเองตายตามธรรมชาติ  ไม่ทรมานมาก ... จะดีกว่า "



ดังนั้น ดร.ทอม อู๋ จึงปฏิเสธไม่ทำเคมีบำบัดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในสภาพท้อแท้และสิ้นหวังไร้หนทางอยู่นั้น  ดร.ทอม อู๋ หันไปยึดเอาพระเจ้าเป็นที่พึ่ง หวังจะได้รับความสงบทางจิตใจ  โดยหยิบคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมาสวดอ้อนวอน  แต่ปรากฏว่าคัมภีร์ในมือร่วงลงที่พื้น เปิดให้เห็นบทที่หนึ่งตอนที่ว่าด้วยการสร้างโลก ดร.ทอม อู๋หยิบขึ้นมาอ่านอย่างช้าๆ ตั้งใจ และอ่านกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ

" ความคิดของผมตอนนั้น คิดว่าพระเจ้าทรงต้องการให้กินผักที่ไร้รสชาติกับผลไม้รสเปรี้ยวบนต้น  จึงแคลงใจว่าแล้วจะทำให้ขาดสารอาหารหรือเปล่า  จะตายเร็วขึ้นหรือเปล่า  แต่เวลานั้นไม่มีเรี่ยวแรงเลยต้องกินเนื้อสัตว์มากๆ  เพื่อจะได้มีกำลังวังชา ผมสับสนในใจเลยต้องหันกลับไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับชี่กง และวิถีการมีอายุยืนยาวหลายเล่ม  ในที่สุด ก็ตัดสินใจกินอาหารตามที่พระเป็นเจ้าทรงชี้นำ "

ดร.ทอม อู๋ หันมากินผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด และอาบแดด 30 นาที เดินเร็ว 30 นาที  ฝึกชี่กง ฝึกหายใจเข้าออก พักผ่อนมากขึ้น เข้านอนเร็วและตื่นแต่เช้า โดยเฉพาะนอนตอนเที่ยงวันเป็นเวลาครึ่งชั่งโมง  อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็นทุกวัน

" หลังจากปรับเปลี่ยนความเคยชินในการกินอาหาร และใช้ชีวิตเพียง 6 เดือน  ก็รู้สึกจิตใจเบิกบาน  กำลังวังชาฟื้นฟูเหมือนตอนก่อนป่วย  ทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น  ว่าจะสามารถกลับมามีสุขภาพที่ดีได้  ผมจึงกินผักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว กินผลไม้ โดยกินแบบดิบๆ ทั้งหมด  เนื่องจากกินอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงทุกวัน  จึงขับถ่ายวันละ 3-4 ครั้ง  แรกๆ ก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน  เพราะปกติคนเราถ่ายวันละครั้ง  ถือว่าปกติ  แต่หลังจากยืนหยัดทำอยู่ระยะหนึ่ง  ร่างกายค่อยๆ ผ่อนคลาย  จิตใจเบิกบาน  ผิวพรรณสดใส  จึงคลายกังวล  ปล่อยให้ร่างกายมีปฏิกิริยาเป็นไปตามธรรมชาติ "

ผ่านไป 9 เดือน ผลการตรวจสุขภาพของ ดร.ทอม อู๋  พบว่าร่างกายเป็นปกติทุกอย่าง ทุกรายการ ไม่มีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่เลย ! !

" ขอบคุณพระเจ้า ผมหายเป็นปกติแล้ว " ดังนั้น ทุกวันนี้ ดร.ทอม อู๋ ยังคงรับประทานอาหารดิบ ผักสด ผลไม้  และอุทิศตนเพื่อเผยแพร่วิธีการดูแลสุขภาพด้วยอาหารธรรมชาติเหล่านี้ ทั้งยังช่วยกำหนด " เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง " เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้ คอเลสเตอรอล สูง โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเก๊าต์ และโรคมะเร็ง  ซึ่งเมนูของเขาส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น อย่างชัดเจน ได้รับการยอมรับและยกย่องทั้งในสหรัฐ อเมริกา และทั่วโลก

ดร.ทอม อู๋ ยังได้รับรางวัลมากมายจากองค์กรสุขภาพ  อาทิ  รางวัลการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ ของมูลนิธิสันติภาพโลก  ของทะไลลามะ Gan Chen (NGO) แห่งสหประชาชาติ  รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อโรคอัลไซเมอร์ จากโรงพยาบาลเมโย สหรัฐอเมริกา  รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อการแพทย์แบบธรรมชาติของ มหาวิทยาลัยเปิดแห่งโลกในประเทศอินเดีย  รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อมวลมนุษย์ ของสมาคมการแพทย์ที่รักษาด้วยการแทงเข็มของปากีสถาน  และรางวัลผู้อุทิศตนของสมาคมการแพทย์แนวธรรมชาติของสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน ดร.ทอม อู๋ ได้เขียนหนังสือเพื่อแนะนำการดูแลสุขภาพ ( แปลเป็นภาษาไทยแล้ว 2เล่ม ) คือ ธรรมชาติช่วยชีวิต, 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ และได้รับเชิญไปบรรยาย และแสดงปาฐกถาที่ประ เทศต่างๆ  มีลูกศิษย์ด้านการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติและการกินอาหารแบบอินทรีย์กระจายอยู่ทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย ดร.ทอม อู๋ มีกำหนดเดินทางมาบรรยายเรื่อง " ธรรมชาติช่วยชีวิต พิชิตโรคร้ายด้วยผักและผลไม้ " วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 09.00-16.00 น. ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์

เรื่องที่ ดร.ทอม อู๋ ศึกษาและค้นพบนั้น  เป็นการดื่ม กิน น้ำผักและผลไม้ทั้งเปลือก แกน และเมล็ด เพื่อได้อินทรียสาร รักษามะเร็ง ที่เขาป่วยอยู่จนกระทั่งหายเป็นปกติเมื่อ 30 ปีก่อน


" อินทรียสาร " จากพืช ไม่ใช่สารอาหารตามนิยามของนักโภชนาการ  ไม่ใช่ทั้งเกลือแร่และวิตามิน  เนื่องจากการขาดสารเหล่านี้ไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างใด และไม่ส่งผลต่อการทำงานตามปกติของร่างกาย  แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าอินทรียสารจากพืชหลายชนิดไม่เพียงช่วยต้านออกซิเดชั่น และต้านอนุมูลอิสระ  ยังช่วยให้วิตามินต่างๆ ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทำให้เวลานี้อินทรียสารจากพืชที่แต่เดิมไม่เป็นที่สนใจ  กลายเป็นสารอาหารที่ผู้คนให้ความสนใจและขาดไม่ได้ในการเสริมสร้างสุขภาพ และต้านมะเร็ง

ในอาหารอย่างธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะมีอินทรียสารแล้วยังมีสารประกอบของ ไซยาไนด์ ซึ่ง มีสรรพคุณชัดเจนในการยับยั้งเซลล์ปกติไม่ให้เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง  ผลการวิจัยทางการแพทย์ในปี ค.ศ.1995  ได้ค้นพบความวิเศษของพืชและผักที่สามารถป้องกันโรค  รักษาโรค  และชะลอความชรา  นั้นแท้จริงอินทรียสารเหล่านี้ ซ่อนอยู่ในเส้นใยและเมล็ด

ดังนั้น อินทรียสารจากผัก และผลไม้จึงเป็นของขวัญที่เราได้รับจากธรรมชาติ เพื่อสร้างชีวิตที่ยืนยาว และสุขภาพที่แข็งแรง



ดื่มน้ำผิดวิธี... ...ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เวลา 11:37:38 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์   
 
อย่าละเลยเรื่องการดื่มน้ำ เพราะน้ำมีความสำคัญต่อร่างกายของเราอย่างมาก

ปกติร่างกายของมนุษย์ควรจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 70%  แต่ ดร.ทอม อู๋ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการที่สามารถเอาตัวรอดจากโรคมะเร็งได้ บอกว่า คนในปัจจุบันมีน้ำในร่างกายเพียง 60-65% เท่านั้น

เมื่อมีน้ำน้อยแล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา ?

มันจะทำให้เชลล์ในร่างกายอยู่ในภาพขาดน้ำ  เพราะเมื่อน้ำ ไม่เพียงพอ ก็ไม่สามารถขับพิษได้  นั่นหมายความว่าอาจทำให้เซลล์ตาย หรือกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้  และเมื่อเลือดข้นขึ้นจะทำให้ท้องผูก  ผิวหนังขาดน้ำทำให้เกิดฝ้าจุดด่างดำ  เหี่ยวย่น  แก่เร็ว  หรือว่าผมร่วง

รวมทั้งการดื่มบางอย่าง กลับทำให้สูญเสียน้ำในร่างกายไปด้วย  อย่างเช่นเ  มื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ทำให้สูญเสียน้ำที่สะสมในร่างกายถึง 3 แก้ว  ถ้าดื่มชา 1 แก้ว ก็จะสูญเสียน้ำไป 2 แก้ว  หรือว่าคุณดื่มน้ำอัดลมหรือไวน์แดง 1 แก้ว จะสูญเสียน้ำในร่างกายไปถึง 6 แก้วทีเดียวเชียว

ฉะนั้นควรจะต้องรู้ว่าดื่มน้ำอย่างไรจึงจะถูกต้อง  และวิธีการดื่มน้ำก็สำคัญมาก  ควรจิบทีละน้อย  เพื่อให้เซลล์ในร่างกายมีเวลาเพียงพอต่อการดูดซึมน้ำ  เพราะถ้าคุณดื่มทีเดียวรวดเดียวหมด  เซลล์จะดูดซึมไม่ทัน  น้ำทั้งหมดจะสูญไปกับการปัสสาวะออกมา

โดยเราควรจะรู้ด้วยว่าน้ำแต่ละประเภทที่เราดื่มเข้าไปนั้นมีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร

น้ำกรองหรือน้ำประปาที่เราดื่มกัน  ก็เป็นเพียงการกรองเพื่อกรองโลหะหนักออกไป  แต่ว่ายังมีแบคทีเรีย และสารเคมีหลงเหลืออยู่

น้ำแร่นั้น กระทรวงเกษตรอเมริการายงานว่า น้ำแร่ที่ขายกันอยู่  มีโลหะหนักและสารอนินทรีย์เป็นปริมาณมาก  มีข้อเสียคือจะไปอุดตันช่องว่างระหว่างเซลล์  ทำให้อาหารเข้าไปในเซลล์ไม่ได้  เซลล์จึงค่อย ๆ แก่ตัวและตายไป  ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เรารู้สึกเพลียง่าย หรือแก่ก่อนวัย

เช่นเดียวกับเราไม่ควรดื่มน้ำที่เป็นด่างเป็นประจำ  เพราะจะทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย และขาดสารอาหาร

ดร.ทอม อู๋ แนะนำว่า หากดื่มน้ำกลั่นวันละ 8 แก้ว (แก้วละ 250 ซีซี) ก็จะทำให้ไตมีน้ำพอที่จะฟอกเลือดได้  นอกจากร่างกายต้องการน้ำวันละ 8 แก้วแล้ว  ร่างกายของเรายังต้องการอิเล็กโทรไลต์ และเกลือแร่ด้วย  โดยเฉพาะเกลือแร่ในผักผลไม้ที่เป็นสารอนินทรีย์ ขนาดเล็ก  ซึ่งเซลล์ของร่างกายสามารถดูดซึมได้  ดังนั้นจึงควรกินผักผลไม้มาก ๆ  เพื่อให้ได้รับเกลือแร่ที่มีประสิทธิภาพ  เพื่อนำไปเติมอาหารให้เซลล์นำไปใช้งาน

ดร.ทอม อู๋ ยังให้คำแนะนำด้วยว่า ปริมาณในการดื่มน้ำของแต่ละคนไม่เท่ากัน  คนที่นั่งอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ให้ดื่มน้ำวันละ 6 แก้วก็พอ  แต่ถ้าทำงานที่ต้องเดินไปมา  ควรจะต้องดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว  และถ้าหากทำงานตากแดดอยู่กลางแจ้ง หรือใช้แรงงานหนัก ควรดื่มน้ำวันละ 10-12 แก้ว ร่างกายจึงจะได้รับน้ำอย่างเพียงพอ

ฉะนั้นอย่าละเลยเรื่องการดื่มน้ำ  หากดื่มน้ำถูกวิธี ก็จะมีผลดีต่อร่างกาย  แต่ถ้าดื่มน้ำผิดวิธี  มันจะสูญเปล่าไปไม่น้อย
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #111 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 12:22:50 »

เนื้อสัตว์มีโทษ เสียแล้ว !

จาก  :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:moV5d89cAZoJ:board.palungjit.com/f9/%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-213276.html+%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1+%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Mr. ชารส์ ค้นพบว่าภายในเนื้อของสัตว์ มีสารพิษอยู่ชนิดหนึ่ง  ตอนที่สัตว์ได้รับความเจ็บปวดทรมาน  ก็จะเพิ่มสารพิษมากขึ้นเป็นลำดับ แล้วก็จะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าหากเรากินเนื้อชนิดนี้แล้ว ก็ได้รับอันตรายอย่างมาก

มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ชื่อว่า ไอด์ มาไคร้ กล่าวว่าตอนที่ร่างกายคนเรามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขนาดหนักอยู่นั้น ก็จะมีสารหลายชนิดระบายออกจากร่างกาย เช่น ตอนที่มีโทสะโกรธอยู่นั้น เหงื่อที่ไหลออกมา ก็จะมีสีแตกต่างจากเหงื่อที่ไหลตอนที่ร่างกายกำลังโศกเศร้า  แม้แต่ลมหายใจที่เป่าออกจากร่างกายก็จะมีสารต่างๆ ออกมาด้วย

เขาเองได้ทดลองเป่าลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วที่แช่เย็น  แล้วสังเกตดูพบว่า  ตอนที่เขามีร่างกายปกติก็จะมีหยดน้ำที่ปราศจากสี  แต่ตอนที่กำลังโกรธจัดๆ หยดน้ำที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน  หลังจากเป่าลมเข้าไปในหลอดแก้วได้ 5 นาที หยดน้ำที่ได้จะมีสีและสารขุ่นๆ  นั่นก็แสดงว่า ตอนที่ร่างกายมีอารมณ์โกรธ  ก็จะมีสารบางชนิดเกิดขึ้น  เขาก็เลยใช้วิธีดังกล่าวทดลองสภาพของจิตต่างๆ ก็พบว่า  ตอนที่จิตใจโกรธก็จะมีสารสีฝ้ามัว  ในขณะเศร้าเสียใจร่างกายจะขับสารสีเทาขาว  และขณะเจ็บแค้น ร่างกายจะขับสีเขียวไผ่ออกมา

ต่อมาเขาก็ได้ทดลองต่อไปพบว่า  ถ้าเอาสารฝ้ามัวที่อารมณ์โกรธของ นาย ก. ฉีดเข้าไปให้ นาย ข.หรือสัตว์ทดลอง  นาย ข.จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมา สัตว์ก็จะแสดงอารมณ์โกรธขึ้นมาทันทีเช่นกัน  เขาเอาสารที่เป่าออกจากคนที่มีอารมณ์เศร้าเสียใจฉีดเข้าไปให้หนูและหมู  ภายในไม่กี่นาทีสัตว์ทดลองก็ตายลง

จากการทดลองต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้  ถ้าร่างกายมีอารมณ์เคียดแค้น  จะสูญเสียพลังงานไปมากที่เดียว  ถ้าสารพิษที่ปะปนกันยิ่งมีหลายชนิด  พิษร้ายก็ยิ่งมีมาก  ในขณะที่ทารกกำลังดูดนมมารดา ประเหมาะมารดาเกิดมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายหลังดูดนม  ทารกน้อยจะเกิดอาการไม่สบาย เจ็บป่วยลง  อันนี้ก็สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์  ร่างกายก็จะปล่อยพิษร้ายออกมาอย่างแน่นอน  ด้วยเหตุฉะนี้ เนื้อสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไปในท้องทุกๆวัน  ซึ่งมีพิษร้ายอย่างแน่นอน  สัตว์ย่อมเกิดความเคียดแค้น และเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ย่อมมีสารพิษขึ้น และเจือปนอยู่ในเนื้ออย่างแน่นอน  กินเข้าไปแล้วจะมีโทษมากกว่าคุณ

ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ค้นพบว่าภายใต้กล้องจุลทรรศน์ที่ส่องลงบนเนื้อสัตว์  จะพบจุลชีพชนิดต่างๆ  จุลชีพร้ายเหล่านี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย ก็มีผลไม่น้อยต่อร่างกายอย่างเบา ๆ  ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยอย่างหนัก ๆ ก็ถึงแก่ชีวิต ในเนื้อหมูและเนื้อวัว มีเชื้อหนอนเป็นเส้นๆ อยู่ไม่น้อย

ดังนั้นจากการสำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา เชื้อหนอนเส้นของคนที่เป็น ได้ติดมาจากเนื้อหมูและเนื้อวัว 90% และยังตรวจพบว่าวัวควายที่เป็นโรคปอดมีกว่าครึ่ง และสาเหตุคนเป็นโรคปอดก็ติดมาจากเนื้อวัวเป็นส่วนใหญ่ในโรคท้องเสีย ( อหิวาต์ )  เชื้อนี้ได้รับจากเนื้อหมู ในประเทศอังกฤษมีโรคลม อาการปวดมาก  สมัยก่อนคิดว่ามาจากพิษเหล้า แต่ปัจจุบันพบแล้วว่ามาจากบริโภคเนื้อสัตว์มาก และยังพบอีกว่า พวกบริโภคเนื้อมักเป็นโรคเบาหวาน  การสูบฉีดของเลือดไม่ดี เป็นผลทำให้สมองผิดปกติ  ซึ่งทำให้เกิดการช็อคขึ้น เป็นลมหมดสติไป การบริโภคเนื้อได้ลดสารต่อต้านโรคมะเร็ง จึงเกิดเป็นมะเร็งกันมากบริโภคเนื้อดื่มเหล้ามากไป เกิดโรคไตอักเสบได้ง่าย  จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด

การกินเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อแดง  ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อแกะนั้น  จะทำให้เราได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ  ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างมากมาย  แต่ถ้ากินอาหารจำพวกนี้มากเกินไป  ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน  โดยที่เราทราบกันดี ก็คือถ้ากินอาหารจำพวกนี้เป็นปริมาณมาก  ก็อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งในตับ มะเร็งในทางเดินอาหาร และลำไส้ได้

ล่าสุดพบว่าอันตรายจากอาหารพวกนี้อาจมีมากกว่านั้น  โดยจากงานวิจัยของ Harvard Medical School พบว่า การกินเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดง โดยเฉพาะพวกที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน หรือแฮม ในปริมาณมากเป็นประจำนั้น  สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในสตรีวัยกลางคน และวัยสูงอายุได้  โดยในงานวิจัยนี้ได้เก็บข้อมูลในสตรีที่มีอายุมากกว่า 45 ปี กว่า 30,000 คน ที่ไม่มีประวัติของโรคหัวใจ มะเร็ง หรือเบาหวานชนิดที่ 2 มาก่อน เป็นเวลากว่า 8 ปี  พบว่าสตรีที่กินเนื้อแดงมากกว่าสัปดาห์ละ 5 มื้อ  มีโอกาสเกิดโรคเบาหวานถึง 29%  เมื่อเทียบกับสตรีที่กินเนื้อแดงน้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 มื้อ  ขณะที่สตรีที่กินผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์พวกไส้กรอก เบคอน หรือแฮม มากกว่าสัปดาห์ละ 5 มื้อ มีโอกาสเกิดโรคเบาหวานถึง 43%  เมื่อเทียบกับสตรีที่กินผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 มื้อ

นักวิจัยเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ทั้งเนื้อแดง และผลิตภัณฑ์จากเนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการแปรรูป  อย่างพวกไส้กรอก เบคอน หรือแฮม  เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานนั้น  อาจเนื่องมาจากอาหารพวกนี้อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก  ซึ่งถ้ากินเนื้อแดงจำนวนมากเป็นประจำ  อาจทำให้ธาตุเหล็กถูกสะสมในร่างกายมากเกิน  จนอาจมีผลลดการสร้างฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน และยังลดการตอบสนองของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายต่อฮอร์โมนอินซูลิน  ส่งผลให้กระบวนการในการนำน้ำตาลในเลือดไปใช้  หรือสะสมในเซลล์ผิดปกติไป  จึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือโรคเบาหวาน  ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่พบว่า การสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายจากการกินเนื้อแดงเป็นประจำนั้น  สามารถเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวานได้
   
นอกจากนี้งานวิจัยนี้ยังพบว่ากินเนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการแปรรูปไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก เบคอน หรือแฮมนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าการกินเนื้อแดงทั่วไป  ซึ่งอาจเป็นผลจากสารไนไตรต์และไนเตรต หรือดินประสิว  ที่เป็นสารกันบูดใช้ในการถนอมอาหารแปรรูปพวกนี้ให้เก็บได้นานขึ้น  และยังช่วยให้มีสีแดงชมพูดูน่ากิน  ถูกสะสมในร่างกายมากเกินไป  จนก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย  โดยสารไนเตรตในอาหารพวกนี้  เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นสารไนไตรต์  ซึ่งไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนชนิดหนึ่งในเนื้อสัตว์  แล้วก่อให้เกิดสารไนไตรซามีน  ที่เคยพิสูจน์แล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็งในตับ หลอดอาหาร และลำไส้  รวมทั้งอาจไปทำลายเซลล์ตับอ่อนที่สร้างฮอร์โมนอินซูลิน  ทำให้สมดุลในการควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายบกพร่องไป  จนก่อให้เกิดโรคเบาหวานได้

อย่างไรก็ตาม การลดกินเนื้อแดงให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ  แล้วหันไปกินเนื้อสัตว์เล็ก จำพวกเนื้อไก่ หรือเนื้อปลาแทนนั้น  ก็สามารถให้ประโยชน์กับร่างกายได้ไม่น้อยเช่นกัน  แถมยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากเนื้อแดงได้อีกด้วย

เอกสารอ้างอิง
1. Diabetes Care 2004; 27(9); 2108-15
2. Am J Clin Nutr 2004; 79: 70-5
3. DoctorNDTV ....for the better health of Indians

แหล่งอ้างอิง
วชิราวดี มาลากุล เรื่อง " เนื้อแดงกับเบาหวาน " HealthToday THAILAND ปีที่ 5 ฉบับที่ 49 เดือนเมษายน 2548 หน้า 16 (www.healthtodaythailand.com)


************************************************************

อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด
 
ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500,000 คนท่วโลก  ใช้เวลากว่า 7 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์  แพทย์  คาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า กว่า 12,000 คน  เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิด  เช่น  โรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง  และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ  และมหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ  พบว่าเนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของมะเร็งต่อมลูกหมาก  และ มะเร็งรังไข่  รวมถึงโรคเบาหวานยอดฮิต เนื้องอก เลือดเป็นพิษ

ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก

มหาลัยเทกซัส สหรัฐ
มหาลัยชิคาโก สหรัฐ
มหาลัยฮาวาย สหรัฐ
มหาลัยฮาววาด สหรัฐ
มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย
มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา
มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ
มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ
มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน
โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ
National Cancer Research Institue - USA
สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO
The World Cancer Research Fund ( WCRF )
และวารสารสุขภาพชื่อดังระดับโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึงเอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดัง


ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ ( พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์ )  มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย  และจากพระ อาจารย์ พระฝรั่งชาวอังกฤษ  ได้ให้ข้อมูลว่า  ขณะนี้ประเทศอังกฤษ  ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน  ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์  มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ  ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ  และหวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้ายจากเนื้อสัตว์ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมากๆ  ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน  และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด  ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์
 
ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปนี้  http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080

เนื้อสัตว์ เลือดสัตว์ ต้นเหตุของโรคมะเร็งกว่า 10 ชนิด

โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งกะเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม  จากงานศึกษาวิจัยโดยทีมคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งชื่อก้องโลก  โรคมะเร็งคร่าชีวิตชาวโลกปีละเกือบร้อยล้านคน  และตัวเลขกำลังทีวีพรุ่งสุงในทวีปเอเซีย

ข้อมูลจาก  ศูนย์โรคมะเร็งแห่งสหรัฐ  The Vancouver Sun, Canada

Red, processed meats linked to prostate cancer ... Reuters November 6, 2009


Men who eat a lot of red meat and processed meats have a higher risk of developing prostate cancer than those who limit such foods, a large study of U.S. men suggests.

Researchers at the National Cancer Institute found that among more than 575,000 men they followed for nine years, those who ate the most red and processed meats had heightened risks of developing any stage of prostate cancer, or advanced cancer in particular.

The findings, reported in the American Journal of Epidemiology, add to a conflicting body of research on meat intake and prostate cancer risk. Because studies over the years have come to different conclusions, experts generally consider the evidence linking red and processed meats to the disease to be limited and inconclusive.

These latest findings do not settle the question. But they do suggest that processed red meats and high-heat cooking methods -- namely, grilling and barbecuing -- may be particularly connected to prostate cancer risk, according to Dr. Rashmi Sinha and her colleagues at the NCI.

For the study, the researchers followed 575,343 U.S. men between the ages of 50 and 71 who were surveyed about their diets -- including how much and what type of meat they typically ate, as well as the cooking methods they used.

The researchers used that information to estimate the levels of certain potentially cancer-promoting chemicals in the men's diets. Over the next nine years, 150,313 study participants developed prostate cancer and 40,419 died from the disease.

Overall, the researchers found, the 30 percent of men with the highest intakes of red meat, which in this study included beef and pork, were 22 percent more likely than those who consumed the least to develop prostate cancer. That's after a range of other factors, like smoking, exercise habits and education, were taken into account.

There was a stronger connection to advanced prostate cancer -- with that risk being almost one-third higher among those who ate the most red meat versus those who ate the least. Similar findings were seen with processed meat. But when the researchers broke the men's diet information down further, they found that red processed meats -- like bacon and red-meat sausage and hot dogs -- were related to higher prostate cancer risk, while white processed meats, like poultry cold cuts, were not.

When it came to cooking methods, the only one that was linked to prostate cancer was grilling/barbecuing, Sinha's team found. The finding is in line with the theory that meats cooked at high temperatures may be particularly linked to cancer because the cooking process produces certain chemicals -- including polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) and heterocyclic amines -- that are known to cause cancer in animals.

Giving further support to that idea, the researchers found that higher dietary levels of a PAH called benzo-alpha-pyrene were related to a higher risk of prostate cancer. A similar pattern emerged when the investigators looked at men's intake of nitrites and nitrates -- chemicals used to preserve and flavor processed and cured meats like ham, bacon and sausage.

In the body, nitrites and nitrates can promote the production of potentially cancer-promoting chemicals called nitrosamines. Taken together, Sinha's team writes, the findings point to potential mechanisms by which certain meats could promote prostate cancer. They also highlight the importance of studying the relationship between specific types of meat and prostate cancer risk, the researchers say.

Further studies, they conclude, are still needed to establish whether certain meats, and chemicals in those foods, are in fact risk factors for prostate cancer.

SOURCE: American Journal of Epidemiology, November 1, 2009. © Copyright (c) Reuters
 
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #112 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 23:32:08 »

 สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ...เข้ามาตามอ่านค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #113 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 12:33:26 »

จ้า น้องอ้อย ... ขอบคุณที่ติดตามสม่ำเสมอ นะคะ


พืชที่ชื่อ " ย่านาง "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา











ประชาสัมพันธ์โดย
ER & CSR

 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #114 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 22:44:33 »

การดูแลหลัง และกระดูกสันหลัง ... ทำไม ? ไอ-จาม ห้ามก้มหลัง ! !

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

มนุษย์ทำงานที่่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิเตอร์ทั้งวัน  และผู้ที่ชอบการออกกำลังกาย  ทุกท่าน ... ต่อไปนี้จะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ส่วนใหญ่คนเรามักละเลย หรือไม่เคยรู้มาก่อน โดยเป็นการบรรยายของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์  ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู  สภากาชาดไทย เรื่อง การดูแลสุขภาพ : ห่างไกลโรคข้อ - ปวดคอ ปวดหลัง และการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน
 
ในสภาวะปกติ กระดูกคนเราจะมีทั้งการสร้าง และการทำลายเนื้อกระดูกพร้อมๆ กันไปตลอดเวลา โดยที่อัตราการสร้าง และการทำลายนี้จะมีพอ ๆ กัน จึงอยู่ในสมดุล และในสภาวะบางอย่างจะมีการกระตุ้นให้มีการทำลายเนื้อกระดูกมากขึ้น  โดยที่การสร้างจะน้อยลง  ก็จะเป็นปัจจัยให้กระดูกบาง  โดยเฉพาะในคนสูงอายุ  จนสุดท้ายกระดูกนั้นจะหักง่าย ๆ ทรุดง่าย ๆ  จุดที่พบได้บ่อยคือ  ที่ข้อมือ  สะโพก  และกระดูกสันหลัง

@ กระดูกสันหลัง ประกอบด้วย  กระดูกคอ  ทรวงอก  เอว  และก้นกบ เรียงต่อกันจากคอ ลงมาถึงก้นมีลักษณะแอ่น ( คอ )  โค้ง ( ทรวงอก )  แอ่น ( เอว )  โค้ง ( ก้นกบ )  ตามลำดับ  หักลบกันแล้วจะเป็นเส้นตรง
 
1. กระดูกคอ  เคลื่อนไหวได้ทุกทิศ  คือ ก้ม เงย ตะแคงซ้าย ขวา หมุนซ้าย ขวา  จึงทำให้สึกหรอ และปวดได้ง่ายกว่าที่อื่น  สาเหตุที่ทำให้คอสึก คือ  การนั่ง นอน ทำงาน ในท่าที่ไม่ถูกต้อง
 
2. กระดูกทรวงอก  เคลื่อนไหวก้มไม่ได้ ได้แต่เอนกับหมุนบิดซ้ายขวา  จึงไม่ค่อยเสื่อม
 
3. กระดูกเอว  เคลื่อนไหวได้มาก คือ ก้ม และ เงย

@ หมอนรองกระดูก   มีลักษณะประกบกันเฉยๆ โดยมีตัวยึด 4 จุด  ตัวที่ยึดนี้เรียกว่า ข้อ  ตรงกลางหมอนรองกระดูกเป็นศูนย์รวมประสาท  เส้นประสาทจะโผล่ออกมาตามข้อเพื่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  หมอนรองกระดูกจะสึกไปเรื่อยๆ ตามอายุ  ถ้าตลอดชีวิตสึก 4 ซม. ถือว่าปกติ  เช่นสูง 170 พอแก่อายุ 70-80 ปี  ความสูงลดลงเหลือ 166  ถือว่าเป็นไปตามธรรมชาติ  แต่ถ้าเตี้ยลงปีละ 1 ซม. ถือว่าเป็นโรคกระดูกผุ  หญิงวัย 55 ปีขึ้นไป กระดูกจะทรุดลงตามธรรมชาติ  ตัวก็จะเตี้ยลง และพุงยื่น

@ เส้นประสาทคอ  มี 8 คู่  ถ้าเกิดกระดูกคอเสื่อม  จะเป็นต้นเหตุของอาการปวดตามที่ต่างๆ  โดยคู่ที่ 1 จะไปที่หัว  คู่ที่ 2 หลังหู  กระบอกตา  ขมับ  คู่ที่ 3 ต้นคอ  คู่ที่ 4 สะบัก   คู่ที่ 5 บ่าและไหล่   คู่ที่ 6 ต้นแขน   คู่ที่ 7 ปลายแขน   และคู่ที่ 8 มือ

@ เส้นประสาทเอว  มี 5 คู่ คือ คู่ที่ 1 เอว  คู่ที่ 2 โคนขา   คูที่ 3 หัวเข่า  คู่ที่ 4 น่อง  และคู่ที่ 5 เท้า  การปรับปรุงท่าทางในกิจวัตรประจำวัน

ท่านอน  ต้องเหมือนกับคนยืนตรง  เวลานอนให้ใช้หมอนหนุนคอ  จงจำไว้หมอนมีไว้หนุนคอไม่ใช่หนุนหัว  หมอนที่ดีมีลักษณะตรงกลางบางกว่าซ้ายและขวา  หากไม่มีหมอนจะใช้ผ้าขนหนูม้วนเป็นแท่ง แล้วรองหนุนคอให้พอดีก็ได้

นอนหงาย  การนอนหงายจะทำให้หลังแอ่น  วิธีแก้ต้องงอสะโพกและเข่า โดยมีหมอนรองใต้โคนขา หลังจะแบนเรียบติดที่นอน

นอนตะแคง  เป็นท่านอนที่ดีที่สุด หลังจะตรง  นอนตะแคงข้างใดก็ได้โดยกอดหมอนข้างใบใหญ่  ขาล่างเหยียดตรง  ขาบนงอก่ายบนหมอนข้าง
  
นอนคว่ำ  เป็นท่านอนที่ไม่ดี ห้ามนอนท่านี้เด็ดขาด เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่น  ทำให้ปวดหลังระดับเอวมากขึ้น  กระดูกเอว และคอเสื่อม  สำหรับเด็กถ้าต้องการให้หัวทุย ให้เด็กนอนคว่ำได้ 3 เดือน หลังจากนั้นค่อยหัดให้เด็กนอนหงาย  หัวก็ยังทุยอยู่

การลุกจากที่นอน และการเอนตัวลงนอน  ห้ามสปริงตัวลุกขึ้นมาตรงๆ เพราะหลังจะสึกมาก  ควรปฏิบัติดังนี้
 
" ถ้านอนหงายอยู่ให้งอเข่าขึ้นมาก่อน
 
" ตะแคงตัวในขณะเข่ายังงออยู่
 
" ใช้ข้อศอกและมือยันตัวขึ้นในขณะที่ห้อยเท้าทั้ง 2 ข้าง ลงจากเตียง
 
" ดันตัวขึ้นมาในท่านั่งตรงได้ โดยให้เท้าวางราบบนพื้น
 
" ในท่าลงนอนให้ทำสวนกับข้างบนนี้

การดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ  ห้ามนอนดู TV หรือนอนอ่านหนังสือ เพราะจะทำให้หมอนรองกระดูกคอสึก  นั่งจะดีกว่า

การนั่ง
  
" ควรนั่งเข้าให้สุดที่รองก้น
 
" หลังพิงสนิทกับพนักพิง หลังจะตรง
 
" เท้าวางบนพื้นได้เต็มเท้า
 
" ส่วนสำคัญของเก้าอี้
         - สูงพอดีเท้าวางราบบนพื้นได้  
       -   ที่นั่ง รองรับจากก้นถึงใต้เข่า
         - พนักพิง เริ่มจากที่นั่งสูงถึงระดับสะบัก โดยทำมุม 110 องศากับที่นั่งรองก้น
          
โต๊ะทำงาน  ควรจะลาดเอียงเทเข้าหาตัวแบบโต๊ะสถาปนิก  คอจะได้ไม่ต้องก้มอ่านหนังสือ
 
ท่านั่งคอมพิวเตอร์ และพิมพ์ดีด จอคอมพิวเตอร์ควรตั้งอยู่ตรงระดับหน้าเหมือนที่ตั้งโน้ตดนตรี และอยู่สูงพอดี ระดับตา จะได้มองตรงๆ ได้ ห่างประมาณ 2-3 ฟุต   มีแผ่นกรองแสง คีย์บอร์ดควรอยู่ระดับเอว หรืออยู่เหนือตักเล็กน้อย  ไม่ควรวางคีย์บอร์ดบนโต๊ะเพราะต้องยกไหล่  ทำให้ปวดไหล่
 
ท่านั่งของผู้บริหาร  เก้าอี้ส่วนใหญ่ของผู้บริหารจะเอนไปข้างหลังได้  จึงจำเป็นต้องก้มคออยู่เสมอ ทำให้เหมือนกับนอนหมอนสูง วิธีแก้ ควรให้พนักพิงสูงขึ้นไปจนรองรับศรีษะได้ และควรจะให้บริเวณต้นคอนูนกว่าส่วนอื่น  เพื่อรองรับกระดูกต้นคอด้วย หรือมิฉะนั้นให้นั่งเก้าอี้ที่เอนไม่ได้จะดีกว่า ลุกจากที่นั่ง  ให้เขยิบก้นออกมาครึ่งหนึ่ง  ก้าวเท้าออกไป  มือยันที่ท้าวแขน  แล้วลุกขึ้น

นั่งขับรถยนต์
    
" เลื่อนที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเวลาเหยียบครัชเต็มที่ เข่าควรสูงกว่าสะโพก
 
" หลังควรมีหมอนรองถ้าที่นั่งลึกเกินไปและพนักพิงไม่ควรเอนเกิน 100 องศา
 
" ถ้าที่นั่งนุ่ม และนั่งแล้วก้นจมลงในเบาะ  ต้องมีเบาะเสริมก้นด้วย

" การเข้านั่งรถยนต์ ให้เปิดประตู หันหลังให้เบาะนั่ง ลงนั่งตรงๆ แล้วจึงค่อยๆ หมุนตัวไปข้างหน้า พร้อมยกเท้าเข้ามาในรถทีละข้าง
 
" การลงจากรถยนต์ ให้ทำย้อนทาง

การดันหรือผลักรถ  หันหลัง ใช้ก้นดัน

การฉุดลาก  หันหลังให้วัตถุที่จะฉุดลาก

ไอ-จาม  ห้ามก้มหลังขณะไอจามเด็ดขาด  เพราะเวลาไอจามจะมีแรงกระแทกมาก  ให้ยืดหลังให้ตรง ใช้มือหนึ่งกดหลังไว้  อีกมือหนึ่งปิดปาก แล้วค่อยไอ หรือจาม
 
แปรงฟัน  ให้นั่งแปรง  ห้ามก้มหลังแปรงฟัน

อาบน้ำ  ให้นั่งอาบ  เวลาจะถูขา ให้ยกขาขึ้นมาถู โดยไม่ต้องก้ม
 
การยืนนานๆ  ควรมีตั่งรองเท้า สูงประมาณครึ่งน่อง เพื่อยกเท้าขึ้นพักสลับข้างกัน ทั้งนี้เพราะเวลางอสะโพกและเข่า กระดูกสันหลังจะตั้งตรงไม่แอ่น   หรืองอ ทำให้ยืนได้นานโดยไม่ปวดหลัง และช่วยพักขาเวลาเมื่อยขา เปลี่ยนสลับขาบนตั่งได้
  
ท่าบริหาร  เป็นการป้องกันไม่ให้กระดูก เสื่อมเร็ว โดยมีหลักการคือทำอย่างไรให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรงเท่าๆ กัน  และออกแรงอย่างไรให้กล้ามเนื้อคลายตัว   ทำท่าละ 10 รอบ   ถ้าเกินจะทำให้กล้ามเนื้อเปลี้ย
  
มี 6 ท่า ดังนี้
 
1. กล้ามเนื้อหน้าท้อง
 
1.1   นอนหงาย   งอเข่า 2 ข้าง   มือสอดใต้คอ   ยกหัวนิดนึงพร้อมเหยียดขาตรง   นับ 1-5
1.2   นอนหงายขาซ้ายไขว่ห้าง   มือสอดใต้คอ   ยกข้อศอกและลำตัวขวาเข้าหาขาซ้ายที่
ไขว่ห้างอยู่   นับ 1-5   ทำทั้งซ้ายและขวา      -3-
1.3   ยกขาลอยเหยียดตรง 1 ข้าง   บิดสะโพก (ยักสะโพก)   นับ 1-5   ทำทั้ง 2 ข้าง
1.4   ขมิบก้น   นอนหงายกอดอก ขมิบก้นให้ก้นสูงขึ้นเล็กน้อย หลังแนบพื้น นับ 1-5
  
2. กล้ามเนื้อหลัง  นอนหงายงอเข่า 2 ข้าง มือสอดใต้เข่า  ดึงเข่าชิดหน้าอก  นับ 1-5
  
3. กล้ามเนื้องอสะโพก  ทำแบบท่ากล้ามเนื้อหลัง  แต่งอเข่าข้างเดียว  นับ 1-5  ทำทั้ง 2 ข้าง
 
4. กล้ามเนื้อเหยียดสะโพก  นอนหงาย  งอเข่าข้างหนึ่งไว้แล้วใช้ส้นเท้าอีกข้างหนึ่งกดเข่าที่งออยู่แล้วดันเอนมา  จนชิดพื้น นับ 1-5  ทำสลับกัน

5. กล้ามเนื้อโคนขา   นั่งกับพื้นงอเข่าข้างหนึ่ง ขาอีกข้างเหยียดตรง เอามือแตะปลายเท้าที่เหยียดตรง   นับ 1-5   ทำทั้ง 2 ข้าง
 
6. กล้ามเนื้อน่อง   ยืนหันหน้าเข้าหาโต๊ะ เอามือยันโต๊ะ งอเข่าหน้าไปข้างหน้า ขาหลังเหยียดตรง แอ่นตัวไปข้างหน้า นับ 1-5   ทำสลับข้าง

สรุปประเด็นสำคัญช่วงคำถาม-คำตอบ
 
ที่นอน  ควรนุ่มพอควร เวลานอนไม่จมมาก  จมแค่ 1-2 ซ.ม.  ควรเป็นที่นอนที่ใช้ใยกากมะพร้าวจะดีที่สุด  เพราะโปร่ง อากาศผ่านได้  ราคาแพงประมาณ 8,000-10,000 บาท  ยี่ห้อที่ดเช่น สายรุ้ง ของศรีมหาราชา ปัจจุบัน ปิดกิจการแล้ว
 
เก้าอี้เหล็กไฟฟ้า ตัวละแสน  เป็นกระแสแม่เหล็ก มีรังสีแม่เหล็ก เบต้า หรือแกรมม่า ทำให้เกิดมะเร็ง  ใช้นวดกล้ามเนื้อไม่ได้ผล เป็นการหลอกลวง
              
สายไฟฟ้าแรงสูง  คนที่อยู่ใต้ไฟฟ้าแรงสูงในรัศมี 60 เมตร มีสถิติเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดสูง  ต้องเกิน 100 เมตร ขึ้นไปจึงจะปลอดภัย
 
การเล่นกอล์ฟ  การบาดเจ็บจะเกิดจากการไดร์ฟ 99%   อีก 1% บาดเจ็บจากสนาม   การไดร์ฟกอล์ฟปกติไม่มีปัญหากับ  กระดูกสันหลัง  แต่ถ้าไดร์ฟ ติดต่อกันโดยไม่หยุด เชน  มีเครื่องตั้งกอล์ฟ  หรือบางรายตีโดนอิฐ ดิน ไหปลาร้าหักได้  คนที่ผ่าตัดกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทสามารถเล่นกอล์ฟได้โดยใส่เสื้อพิเศษ ป้องกัน  คนที่ผ่าตัดหมอนรองกระดูกที่ต้นคอโดยเอากระดูกเชิงกรานมาต่อ  ข้อกระดูกคอจะหายไป 1 ข้อ และเชื่อมกระดูกแล้ว สามารถออกกำลังกายได้

การเสื่อมของกระดูก  จะเกิดขึ้นมากในขณะที่เราอยู่เฉย ๆ เช่น นอน นั่ง เพราะกินเวลานาน  แต่ถ้าเคลื่อนไหวการเสื่อมจะน้อย กว่าเพราะกินเวลาน้อย
 
โยคะ  การฝึกโยคะมีผลดีต่อการฝึกลมหายใจ และได้สมาธิ  แต่ไม่ถือเป็นการออกกำลังกาย  และบางท่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่่เสี่ยงอันตรายต่อกระดูก เพราะเกินกว่าธรรมชาติ  เช่น  การทรงตัวบนพื้นด้วยศรีษะ  การแอ่นหลัง ทำให้กระดูกหลังเสื่อมมาก

ไท้เก๊ก  เป็นการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ  อาจารย์เคยทำวิจัยเกี่ยวกับ ชี่กง คือการออกกำลังกายตามมโนภาพ เช่น วาดมโนภาพว่ายกของหนัก  น้ำหนักเท่าไรก็ได้แล้วแต่จะนึก )  โดยใช้คน 30 คน เป็นเวลา 3 เดือน ได้ผลคือเหงื่อออก และกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นมาก  นอกจากนี้อาจารย์มีโครงการจะทำวิจัยกับคนกลุ่มใหญ่ขึ้น  โดยเน้นผลใน เรื่องหัวใจ ความดันโลหิต และชีพจร
 
เก้าอี้ไฟฟ้านวดทั้งตัว  ไม่มีประโยชน์เสียเงินเปล่า เพราะนวดทั้งตัว แต่เราต้องการเฉพาะจุด  และไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ แต่รักษาที่ปลายเหตุ  เช่นเดียวกับบริการของหมอนวด  นวดวันนี้สบาย  พรุ่งนี้ปวดอีกแล้ว  ควรรักษาที่ต้นเหตุด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
 
การดึงคอ  คือการดึงเอ็นที่ยึดอยู่ให้ห่างออก  คนที่ข้อต่อกระดูกหลังยุบ  รักษาโดยการดึงคอได้
  
การดึงคอ มีข้อห้าม 3 กรณีคือ กระดูกหัก กระดูกเชื่อมต่อกันหมด หรือเป็นโรครูมาตอยด์   ทั้งนี้ต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญวินิจฉัยก่อนว่าไม่ได้เป็น 3 โรคที่กล่าว และควรกระทำโดยผู้ชำนาญการจึงจะปลอดภัย

จ็อกกิ้ง และเต้นแอโรบิค  เป็นการออกกำลังกายที่หนัก และมีผลต่อกระดูกมาก ทำให้ข้อเสื่อมได้ง่ายกว่าการเดิน  ยกตัวอย่าง การเดิน น้ำหนักขาที่เราวางบนพื้นเท่ากับน้ำหนักขา เช่น ขาหนัก 10 ก.ก. เวลาเดินจะเกิดแรงกระแทกเท่ากับ 10 ก.ก.  แต่ถ้าวิ่ง น้ำหนักตัว 60 ก.ก. วิ่ง 3 ก.ม./ช.ม.  ขณะวิ่งไปข้างหน้า 2 ขาจะลอยจากพื้นแรงกระแทกจะคูณ 3 เท่ากับ 180 ก.ก.

การวิ่งทำให้กระดูกเสื่อมมากกว่าการเดิน  ถ้าอยากถนอมกระดูกและข้อให้เดินดีกว่า  การวิ่งมีข้อดีทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง  แต่มีข้อเสียคือขาพังเข่าพัง   ขณะวิ่งห้ามหยุดทันที  เพราะเลือดจะตกไปที่ขาทำให้หัวใจวายได้  แม้แต่บิดาแห่งจ็อคกิ้งก็ยังหัวใจวายคาที่  ดังนั้นในการออกกำลังกายต้องเลือกท่าบริหาร พื้นลู่วิ่งและรองเท้าที่เหมาะสม
 
การออกกำลังกาย  ต้องคำนึงถึงวัย และความเหมาะสมกับตัวเรา  ในวัยหนุ่มสาวออกกำลังกายโดยการวิ่งได้  แต่เมื่ออายุมากขึ้นๆ ต้องเปลี่ยนให้เบาลง เป็นว่ายน้ำ  เดิน   พออายุ 80-90 ปี แค่ยืนแกว่งแขน หรือรำมวยจีนก็พอ  ขอให้คำนึงถึงสายกลางเพื่อสุขภาพ
 
นั่งสมาธิ  ไม่จำเป็นต้องนั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิ  นั่งอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เกิดสมาธิดีที่สุด  ควรนั่งเก้าอี้ดีที่สุด
 
การรักษาโดยหมอแผนโบราณ ที่ดึงกระดูกปุ๊บแล้วเข้าที่  มีความเสี่ยงสูง และไม่มีใครรับรองผล  ที่ดึงแล้วหายก็มี  แต่ที่ดึงแล้วเป็นอัมพาต หรือกระดูกหักก็มี
 
ท่าออกกำลังกายโดยการก้มเอามือแตะเท้า  เป็นท่าที่อันตราย ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อม
  
นิ้ว  ห้ามหักหรืองอ  ให้ดึงได้อย่างเดียวคือดึงตรงๆ  จะเกิดเสียงดังเป๊าะ  ในข้อนิ้ว  จะลดแรงกดดันทำให้สบายขึ้น

การนั่งซักผ้านานๆ  จะทำให้ปวดหลัง  ควรนั่งเก้าอี้ และวางกาละมังผ้าบนโต๊ะ  หรือยืนซัก  จะทำให้ไม่ปวดหลัง
  
การหยิบของที่พื้น  ห้ามก้มเด็ดขาด  ให้ย่อเข่าลงแล้วหยิบ  ถ้าของหนัก ให้ย่อเข่าแล้วหยิบของมาอุ้มไว้กับอก  แล้วลุกขึ้น
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #115 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 22:46:59 »

8 วิธี เพิ่มอายุยืนยาวขึ้น 8 ปี

( จาก นิตยสารสุขภาพดี )  เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

คนเราอยากมีอายุยืนยาวด้วยกันทั้งนั้น  ผมเองก็อยากอยู่กับครอบครัว และคนที่ผมรักไปนานๆ  แล้วทำยังไงถึงจะมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพที่ดี  ผมมีวิธีมาบอกครับ

1. อายุยืนยาวขึ้น 1 ปี ด้วยการกินดาร์กช็อกโกแลต

          การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  สหรัฐอเมริกาบอกว่าถ้าเรากินดาร์กช็อกโกแลตบ่อยๆ หรืออย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง  อาจจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้อีก 1 ปีเลย  เพราะว่าในดาร์กช็อกโกแลตมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำให้เลือดไม่ข้นหนืดจนเกินไป  เลือดเลยไหลได้สะดวก ไม่ไปติดหรือกระแทกหลอดเลือดมาก  จึงไม่เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด  เส้นเลือดก็ไม่อุดตัน

2. อายุยืนยาวขึ้น 2 ปี ด้วยเพศสัมพันธ์ที่ดี

          มีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ แล้วดีครับ  ช่วยเพิ่มอายุได้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว  มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอกว่าเป็นเพราะมันจะมีสารที่หลั่งออกมาหลังจากที่เราถึงจุดสุดยอด ที่ทำให้คลายเครียดได้ดีมาก  และจะทำให้เรารู้สึกสบายตัวร่างกาย และหัวใจเราก็ดีขึ้น  ฮอร์โมนคอร์ติโซนก็จะหลั่งออกมาน้อย  ผมเคยอ่านงานวิจัยอีกอันที่เขาศึกษากับคนออสเตรเลีย 2,338 คน  พบว่าการที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ หรือช่วยตัวเองสัปดาห์ละ 10 ครั้ง สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์

3. อายุยืนยาวขึ้น 3 ปี ด้วยการกินถั่ว

          อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน  มหาวิทยาลัยโลม่าลินดาที่แคลิฟอร์เนีย วิจัยพบว่าในถั่วจะมีไขมันโอเมก้า3  สารต้านอนุมูลอิสระ  ใยอาหารเยอะไขมันอิ่มตัวน้อย  แคลอรีน้อย  ทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะกับหัวใจ แต่ต้องเลือกแบบไม่มีเกลือนะครับ

4. อายุยืนยาวขึ้น 4 ปี ด้วยการดื่มไวน์

          นักวิทยาศาสตร์ชาวดัชช์ ให้ดื่มไวน์วันละครึ่งแก้ว จะทำให้ชีวิตเรายืนยาวได้ถึง 4 ปี  เพราะในไวน์จะมีสารโพลิฟิโนลิคคอมพาวน์ส ( polyphenolic compounds )  ซึ่งสารนี้จะทำให้เลือดเราไม่มีการเติบโตของไขมัน  พอเยื่อไขมันไม่สามารถเติบโตได้  เส้นเลือดเราจะสะอาดใสอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตะกอนตกค้าง หรือมีไขมันมาเกาะผนังหลอดเลือด

5. อายุยืนยาวขึ้น 5 ปี ด้วยการเล่นกอล์ฟ

          อาจจะมีหลายคนที่เล่นกอล์ฟกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าทำไมเล่นกอล์ฟแล้วทำให้อายุเรายืนยาวขึ้นได้  นั่นเพราะการเล่นกอล์ฟทำให้เราเดินครับ  เล่นกอล์ฟ 18 หลุม จะทำให้เราต้องเดินถึง 6-10 กม. เลยครับ  แล้วการเดินทำให้ร่างกายเราเผาผลาญแคลอรีได้ดี  เป็นการออกกำลังกายแบบ Low intensity  คือการออกกำลังกายแบบไม่หนัก  แต่หัวใจเต้นเร็ว และใช้ออกซิเจนเยอะมาก  ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วการตีกอล์ฟทำให้เราไม่เบื่อที่จะออกกำลังกายด้วย

6. อายุยืนยาวขึ้น 6 ปี ด้วยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

            กินทุกๆ มื้อเลยนะครับ  ให้เรื่องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นชีวิตประจำวัน  ไม่ใช่วันนี้พิเศษ ฉันจะไปกินอาหารเพื่อสุขภาพ  นานๆ กินทีแบบนั้นไม่ดีแน่ๆ  แล้วมีการวิจัยจากฮอลแลนด์บอกว่าการกินปลา เนื้อไม่ติดมัน น้ำมันมะกอก กระเทียม  คาร์โบไฮเดรตที่ดีอย่างข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต  เป็นประจำจะทำให้ไขมันในเลือดน้อยลง  สุขภาพร่างกายดีขึ้น โรคมะเร็งกับเบาหวานก็จะเกิดได้ยากขึ้น  แล้วถ้าไม่รู้ว่ามีอาหารอะไรอีกที่ดีต่อสุขภาพ ก็ดูจากสุขภาพดีนี้ก็ได้หาง่าย  ไม่แพงด้วย

7. อายุยืนยาวขึ้น 7 ปี ด้วยการควบคุมน้ำหนัก

          นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด  ศึกษาพบว่าถ้าคุณสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์มาตรฐานได้โดยตลอด  คุณอาจจะเพิ่มชีวิตได้ถึง 7 ปีเลย  หรือหากตอนนี้ใครกำลังน้ำหนักตัวเกินอยู่ก็รีบลดเลยครับ  เพราะปล่อยให้น้ำหนักมากๆ ไม่ดี  กระดูก และไขข้อต้องรับน้ำหนักเยอะมากก็จะมีปัญหาได้  แล้วก็เสี่ยงกับการเกิดโรคหลายโรคด้วย  แต่ที่ต้องระวังด้วยคืออย่าดูแค่ตัวเลขของน้ำหนักเท่านั้น  ให้ดูไขมันด้วย เพราะคนผอมหลายคนเหมือนกันที่น้ำหนักน้อยแต่ไขมันเยอะ นั่นก็สุขภาพไม่ดีได้ง่ายเหมือนกัน

8. อายุยืนยาวขึ้น 8 ปี ด้วยการหัวเราะบ่อยๆ

           การที่เราหัวเราะ  ฮอร์โมนคอร์ติโซน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพจะหลั่งน้อยลง  ทำให้เรามีความสุข ผ่อนคลายไม่เครียด  เพราะสารเคมีที่ไม่ดีในร่างกายจะไม่หลั่งออกมาเลย  แล้วจะมีสารเคมีดี  เช่น เอ็นโดรฟิน อะดรีนาลีน หลั่งออกมาแทน ก็พยายามดูหนังตลก  อยู่กับเพื่อนให้เยอะๆ นะครับ จะได้หัวเราะ  แค่คุณหัวเราะวันละ 15 นาที  อาจจะทำให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้นอีก 8 ปีเลยนะครับ

รู้วิธีแล้วก็ลองเอาไปทำกันดูนะครับ  ผมเองก็เริ่มทำแล้วเหมือนกัน
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #116 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 23:29:42 »

 
ตามมาอ่านเรื่องดีๆ มีประโยชน์ค่ะ พี่เจี๊ยบ ...


 sleep
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #117 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2553, 21:42:24 »

จ้า ... น้องอ้อย อย่าลืมเอาเรื่องดีๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ


อาหาร แก้เครียด

Poomping Praison ...ส่งมา    
 
คนส่วนใหญ่มองว่า ' ความเครียด ' เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันอันแสนเร่งรีบ  แต่ที่จริงแล้วความเครียดก่อให้เกิดอาการป่วยมากมายนับไม่ถ้วน  ไล่มาตั้งแต่ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ท้องไส้ปั่นป่วน อาหารไม่ย่อย ปวดกระเพาะ ท้องผูก นอนไม่หลับ ไปจนถึงโรคซึมเศร้า  และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ความเครียด ยังเป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งด้วย
 
การจะทำใจให้ปลอดจากความเครียด ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นทุกวันนี้ คงทำได้ยากเต็มที  แต่เชื่อไหมคะว่าเราสามารถลดความเครียดได้ด้วยการกิน ! !


 
ตามหลักโภชนาการบ่งชี้ว่า  เวลาเครียดระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายจะเสียสมดุล  สารอาหาร และพลังงานที่สำรองไว้ถูกดึงมาใช้จนหมด  ฉะนั้น คนที่เครียดต้องการวิตามิน และเกลือแร่เสริม  ควรเลือกทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี  เพื่อเสริมระบบภูมิต้านทาน และระบบประสาทของร่างกาย  โดยเฉพาะวิตามินบี 6 จะช่วยผลิตสารเคมีในสมอง  พบมากในเมล็ดทานตะวัน ปลาทูน่า แซลมอน ข้าวกล้อง และกล้วย
 
นอกจากนี้เมื่อความเครียดมาเยือน  จะทำให้กล้ามเนื้อเครียดเกร็งอย่างไม่รู้ตัว  จึงควรบริโภคอาหารที่มีแคลเซียม และแมกนีเซียม  เพราะแร่ธาตุทั้งสองชนิดนี้จะร่วมกันควบคุมการทำงานของประสาท และช่วยให้กล้ามเนื้อหายเกร็ง  อาหารแคลเซียมสูง มีอาทิ ถั่วเหลือง เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย และโยเกิร์ต



คุณค่าทางโภชนาการจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน  ซึ่งพบได้ในอาหารปรุงแต่งน้อย  ที่ไม่ผ่านการแปรรูป  ช่วยป้องกันความเครียด และความกังวลใจได้เช่นกัน  ผลงานการวิจัยบางสำนักบ่งชี้ว่า  การทานอาหารมังสวิรัติ ช่วยลดระดับความเครียดลงได้  เช่นเดียวกับอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ หรือเส้นใยอาหาร  ก็ช่วยให้รู้สึกสบายท้อง และบรรเทาอาการท้องผูก  ลดความเครียดเกร็ง
 
ส่วนใครที่อยากปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นในเวลารวดเร็ว  ลองทานข้าวกล้อง  ผลิตภัณฑ์นม  กล้วย  สัตว์ปีก  และถั่ว  จะช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน  ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และหลับสบาย  ขณะเดียวกัน ควรทานผัก ผลไม้สดซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี อย่างเช่น บร็อกโคลี่ ส้ม ฝรั่ง และกะหล่ำปลี เพื่อชดเชยวิตามินซีที่สูญเสียไปอย่างรวดเร็วจากอาการเครียด
 
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คือ กุญแจที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคเครียดถาวร  โดยนักโภชนาการทุกสำนักต่างเน้นย้ำว่า  อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด  ควรทานอาหารเช้าภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากตื่นนอน  คุณค่าของอาหารเช้า จะช่วยสตาร์ตกระบวนการเผาผลาญอาหารในแต่ละวัน แล้วส่งพลังงานไปเลี้ยงสมอง  ทำให้รู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง และมีสมาธิในการทำงาน  ไม่ควรเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟ  เพราะการดื่มกาแฟตอนท้องว่างอาจทำให้เฉื่อยชา  และง่วงนอนทั้งวัน
 
สำหรับสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาเครียด คือ การดื่มกาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  รวมทั้งอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทอด และของหมักดอง ซึ่งทำให้เกิดแก๊ส  เพราะความเครียดกระตุ้นให้มีแก๊สในกระเพาะอาหารมากขึ้นอยู่แล้ว  ไม่ควรซ้ำเติมร่างกายให้ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #118 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2553, 23:50:27 »

มาออกกำลังกาย " บำรุงสมอง " กันดีกว่า

Poomping Praison ...ส่งมา

ออกกำลังกาย ช่วยกระตุ้นฮอร์โมน-กล้ามเนื้อประสาท ให้เติบโต


ออกกำลังกาย ใช่แต่จะดีต่อร่างกายเท่านั้น  แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อสมอง พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ คลายความเครียด รักษาระดับฮอร์โมนให้คงที่ และช่วยชะลอความชราได้ด้วย

หลายคนพยายามออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที  สัปดาห์ละ 5 หนอยู่แล้ว  เพราะรู้ว่าช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง และเส้นเลือดสมองแตก  แต่ล่าสุดมีหลักฐานว่า ในการออกกำลังกายแต่ละนาทีนั้น  ยังได้ช่วยกระตุ้น และฟื้นฟูการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมองด้วย  ทำให้เราฉลาดขึ้น  มีความสุขขึ้น  อ่อนเยาว์ขึ้น และป้องกันไม่ให้สมองเกิดความเครียด และแก่ตัวลง

ในหนังสือเล่มใหม่ ดร.จอห์น เรทีย์ นักจิตเวชศาสตร์ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอกว่า  การออกกำลังกายต่างหาก  ไม่ใช่น้ำมันปลา หรือเกมโซโดกุ ที่ช่วยบำรุงสมองเหนือสิ่งอื่นใด  และยิ่งเราแข็งแรงขึ้นเท่าไร  สมองก็ยิ่งทำงานดีเท่านั้น

ผลวิจัยชี้ว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นสมอง  ทำให้เซลล์ประสาทมีการเชื่อมต่อกันดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น  การออกกำลังกายช่วยปลดปล่อยสารเคมีหลายชนิดเข้าสู่กระแสเลือด  ซึ่งจะไปบำรุงเลี้ยงสมอง  สารเคมีเหล่านี้ เช่น  BNDF ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง เซลล์ประสาทในสมองมีการเชื่อมต่อกันคล้ายกิ่งก้านของต้นไม้  ทำให้กิ่งก้านเหล่านี้เติบโต  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้


ประโยชน์ของสารดังกล่าวได้ลดน้อยถอยลง  เนื่องจากแรงกดดันของวิถีชีวิตสมัยใหม่  แต่การออกกำลังกายจะกระตุ้นการหลั่งสารเคมีชนิดนี้  และจะทำให้มีการผลิต " นักชำระล้าง " ภายในสมอง  ซึ่งก็คือเอ็นไซม์ และโปรตีนที่จะกำจัดของเสียที่อุดตัน  อันทำให้เกิดอาการคิดช้า และเหนี่ยวรั้งไม่ให้สมองทำงานอย่างเต็มที่


เมื่อเราแข็งแรงพอที่จะจ้ำได้เป็นครั้งคราว เช่น ว่ายน้ำอย่างเร็วในสระ หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่นาน 30 วินาที  ต่อมพิทูอิทารีในสมองก็จะปล่อยฮอร์โมนสร้างความเติบโตที่ชื่อ HGH ออกมา  เจ้าฮอร์โมนนี้จะเผาผลาญไขมันหน้าท้อง  จัดระเบียบเส้นใยกล้ามเนื้อ และเพิ่มเนื้อสมอง  โดยทั่วไป HGH จะอยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลาแค่ไม่กี่นาที  แต่ผลวิจัยชี้ว่าการจ้ำจะช่วยรักษาระดับของฮอร์โมนตัวนี้ไว้ได้นานถึง 4 ชั่วโมง

คุณหมอเรทีย์บอกว่า เราไม่ต้องทำถึงขนาดวิ่งมาราธอน  การออกกำลังกายของเราจะเลียนแบบการเคลื่อนไหวของบรรพบุรุษของเราซึ่งมีการออกกำลังกายตลอดเวลา เช่น เดินวันละ 12 ไมล์ทุกวัน

ถ้าใครอยากพัฒนาพลังสมองอย่างเต็มที่  สามารถทำได้โดยออกกำลังกายปานกลางวันละ 1 ชั่วโมง เช่น จ๊อกกิ้ง สัปดาห์ละ 4 วัน  หรือเล่นสควอช  หรือวิ่งสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  คนที่ไม่แข็งแรงควรเริ่มแต่น้อยก่อน

ดร.เรทีย์ได้ให้คำแนะนำสำหรับคนแต่ละกลุ่ม  คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจะสูญเสียมวลของสมอง 5% ในทุกๆ 10 ปี  เนื่องจากจุดประสานประสาท  ซึ่งหมายถึงบริเวณระหว่างเซลล์สมองต่างๆ ที่มีการส่งผ่านข้อมูล จะเสื่อมสภาพ  ในที่สุดจุดประสานนี้ก็จะขาดออกจากกัน  หลอดเลือดฝอยซึ่งส่งเลือดไปเลี้ยงสมองก็หดตัวตามวัย  ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง  เป็นเหตุให้คนเราขี้หลงขี้ลืมเมื่อแก่ตัว


ดร.เรทีย์พบว่า การออกกำลังกายสามารถป้องกันผลกระทบของภาวะชราภาพต่อสมองได้  ยิ่งเริ่มออกกำลังกายเร็วเท่าไรยิ่งดี  เพราะหากเรามีสมองที่มีเส้นประสาทเชื่อมต่อกันดี ก่อนที่จะเข้าสู่วัยชรา  ก็จะสามารถป้องกันผลกระทบดังกล่าวได้


ดร.เรทีย์ แนะนำให้ออกกำลังกายในแบบใดแบบหนึ่งทุกวัน  เช่น  เต้นลีลาศ  ตัดหญ้าในสนาม  เล่นเทนนิส  หรือเล่นกับหลานๆ  แต่ถ้าต้องการชะลอความแก่  ขอแนะนำให้ทดลองวิธีการเหล่านี้

1. ทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย  เช่น  เดิน  เต้นรำ  ทำสวน  เป็นเวลา 30-60 นาที  สัปดาห์ละ 4 วัน

2. ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก  หรือทำตามคำแนะนำในวิดีโอสอนการออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง  เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกระดูก  เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน

3. ออกกำลังกายจำพวกยืดหยุ่น หรือการทรงตัวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  เช่น  โยคะ  รำมวยจีน  หรือเล่นทรงตัวในลักษณะต่างๆ เป็นเวลา 30 นาที  เพื่อให้ร่างกายมีความว่องไว
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #119 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 12:02:18 »



        พี่เจี๊ยบ ขราาาา ... หม่ำเสร็จ  รอข้าวย่อย  จะรีบไปออกกำลังกายล่ะค่ะ  กลัวจะชราค่ะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #120 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2553, 21:35:10 »

สนับสนุนน้องอ้อยค่ะ

หมูยอ ใส่สารกันบูดแทบทุกยี่ห้อ

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

ตะลึง ! ! พบ" หมูยอ " แทบทุกยี่ห้อใส่ " สารกันบูด " เกินมาตรฐาน  ที่อ้างว่าขายหมดทุกวัน  ยิ่งต้องระวัง



ตรวจสอบพบ " หมูยอ " แทบทุกยี่ห้อใส่ " สารกันบูด " เกินมาตรฐาน  โดยเฉพาะที่อ้างขายหมดทุกวัน  ยิ่งต้องระวังให้หนัก  แนะนำให้ลวกก่อนทานทุกครั้ง  เพราะสามารถลดปริมาณสารกันบูดได้

" หมูยอ " นับเป็นอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่ง  ในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ง่าย  เพราะถูกพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถส่งขายไปทั่วประเทศ  แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องฝากฝังให้เพื่อนที่ไปเที่ยวภาคเหนือ หรืออีสานซื้อมาฝาก  ด้วยเหตุนี้ หมูยอจึงจำเป็นต้องผสม " สารกันบูด " เพราะมีส่วนผสมหลักเป็น " เนื้อหมู " ที่นำมาปั่นให้ละเอียด และนำไปผสมเครื่องปรุงตามสูตรใครสูตรมัน  ก่อนที่จะนำมาตีให้เหนียวจนสามารถปั้นเป็นแท่ง  จากนั้นจึงทำให้สุก



แม้จะสุกอยู่แล้ว  แต่อากาศบ้านเราที่มีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มาก  ดังนั้น จึงจำเป็นต้องผสมสารกันบูดลงไปอยู่ดี  โดยส่วนใหญ่นิยมใช้ " กรดเบนโซอิค " และ " กรดซอร์บิก " เพื่อถนอมไม่ให้หมูยอเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค

การผสมสารกันบูด 2 ชนิดข้างต้นไม่ใช่เรื่องต้องห้าม  เพราะกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ทำได้  แต่ต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม  เพราะถ้าใส่มากกว่านั้น  จะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค  เราจึงไปเดินตลาด และซูเปอร์มาร์เก็ต  เพื่อซื้อหมูยอที่วางขายอยู่ทั่วไป 5 ยี่ห้อ ได้แก่ ยี่ห้อ เจ๊หงษ์ หมูยอ, เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง, เวียงเหนือ หมูยอ, บ้านไผ่ หมูยอ และส.ขอนแก่น หมูยอ  นอกจากนี้ยังซื้อหมูยอจากตลาดดังเมืองเชียงใหม่มาอีก 3 ยี่ห้อ ได้แก่ ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ, วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ และสมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร  ซึ่งทั้ง 3 ยี่ห้อดังกล่าว ไม่ได้ระบุวันหมดอายุ เพราะแม่ค้าอ้างว่า " ขายหมดวันต่อวัน "



ผลการทดสอบปริมาณสารกันบูด

- พบสารกันบูดในหมูยอทุกยี่ห้อ

- หมูยอยี่ห้อ เจ๊หงษ์ หมูยอ, เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง, ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ, วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ และสมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร มีปริมาณสารกันบูดมากเกินมาตรฐาน ตามรายละเอียด ดังนี้

1. วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ พบกรดเบนโซอิค 3931.83 มก./ กก.
2. สมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร พบกรดเบนโซอิค 2969.75 มก./กก.
3. เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง พบกรดเบนโซอิค 2486.80 มก./กก.
4. เจ๊หงษ์ หมูยอ พบกรดเบนโซอิค 2511.17 มก./กก.
5. ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ พบกรดซอร์บิก 1000.84 มก./กก


- หมูยอยี่ห้อ เวียงเหนือ หมูยอ, บ้านไผ่ หมูยอ และส.ขอนแก่น หมูยอ พบสารกันบูดไม่เกินมาตรฐาน แต่ยี่ห้อเวียงเหนือ หมูยอ มีปริมาณฉิวเฉียด คือ 915.89 มก./กก.

กินหมูยออย่างไรให้ปลอดภัย

ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นครราชสีมา เคยศึกษาหาวิธีเหมาะสมในการลดปริมาณกรดเบนโซอิคในหมูยอ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน  โดยทดลองลวกหมูยอ  เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับหมูยอที่ยังไม่ได้ลวก  พบว่าหมูยอที่ถูกลวกในน้ำเดือดจะมีปริมาณกรดเบนโซอิคลดลง  ส่วนจะลดมาก หรือน้อยแค่ไหนนั้น  ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของน้ำที่ใช้ลวก กับหมูยอ

ดังนั้น การที่เราแกะหมูยอทานทันที โดยไม่ลวกเสียก่อน  จึงไม่ควรกระทำอีกต่อไป  แต่ควรเจียดเวลาสักนิด  ลวกหมูยอก่อนรับประทานทุกครั้ง

**********************************
 
ที่มา นิตยสาร " ฉลาดซื้อ " ฉบับที่ 95  เขียนโดย กองบรรณาธิการฉลาดซื้อ 
      บันทึกการเข้า
nobizero
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #121 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2553, 00:17:45 »

ขอบคุณมากๆครับ ที่นำบทความมีประโยชน์มาให้ทราบกัน
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #122 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:28:27 »


ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับคำชมเชย และความสนใจที่ได้แวะเวียนมาอ่าน ...


นมแคลเซียมสูง

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

' นมแคลเซียมสูง ' กำลังเป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะในวัยผู้สูงอายุ และมีราคาแพงกว่า ' นมแบบปกติ '  จึงเป็นที่มาของคำถามว่า  เราจำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อซื้อ ' นมแคลเซียมสูง ' จริงหรือ ?  พบ ' ความจริง ' ของการตลาด ' นมแคลเซียมสูง' ได้ที่นี่
 
นมวัว เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ เพราะในนมสด 1 แก้ว ( 200 มิลลิลิตร ) จะมีแคลเซียม 240 มิลลิกรัม  ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูง จึงมีคำถามที่ควรหาคำตอบว่า ... เหตุใดยังต้องมีนมแคลเซียมสูงออกมาวางขายอีก ? ! ?
 
ในปัจจุบันจะสังเกตได้ว่า บรรจุภัณฑ์ของนมแคลเซียมสูงมีลักษณะดึงดูดผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย  ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารประชาสัมพันธ์ได้ผลดี  แม้แต่นมถั่วเหลือง ที่ถูกโจมตีว่าแคลเซียมต่ำ  ก็หันมาเติมแคลเซียมเพื่อลดจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์  เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันในตลาด  ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าเอะอะอะไร ก็ต้อง ' แคลเซียมสูง ' ไว้ก่อน  แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจจริงๆ ว่า  การที่นมมีแคลเซียมสูงนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการที่ ' ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ '
 
จากการสำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง  เราได้เลือกหยิบนมพร้อมดื่ม และนมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม  แบ่งเป็นนมโค 3 ยี่ห้อ ได้แก่ แอนลีน นูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย และโฟรโมสต์ แคลซีแม็กซ์, นมถั่ว เหลือง 4 ยี่ห้อ ได้แก่ แลคตาซอย ดีน่า ไวตามิลค์ และวีซอย ซึ่งล้วน อ้างว่ามี ' แคลเซียมสูง'  มาทดสอบหาปริมาณแคลเซียม

จากการทดสอบ พบว่า ...

- นมโค ยี่ห้อ แอ นลีนและโฟรโมสต์ แคลซีแม็กซ์ มีปริมาณ แคลเซียมสูงกว่านมธรรมดาจริง  ขณะที่ยี่ห้อ นูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย มีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่านมโคธรรมดา

- ส่วนนมถั่ว เหลืองนั้น มีทั้งแบบที่มีแคลเซียม ' ต่ำกว่า ' ' สูงกว่า ' และ ' ใกล้เคียง ' กับนมโคธรรมดา  ทั้งนี้ยี่ห้อ วีซอย สูตรน้ำตาลน้อย มี แคลเซียมมากที่สุด ที่ 173 มก./ 100 มล.  ส่วน แลคตาซอย มี แคลเซียมน้อยที่สุด ที่ 66 มก./ 100 มล.
 
- ปริมาณแคลเซียมส่วนใหญ่มีความใกล้เคียงกับฉลากโภชนาการที่ระบุไว้ข้างกล่อง  ยกเว้น ยี่ห้อนูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย ทั้ง 2 สูตร ที่มีปริมาณ แคลเซียมที่แท้จริงน้อยกว่าปริมาณที่ระบุในฉลากค่อนข้างมาก  ส่วนนมถั่วเหลืองที่มีแคลเซียมน้อยกว่าที่ฉลากระบุ คือ ดีน่า สูตรผสมน้ำแครอท และวีซอย สูตรไม่มีน้ำตาล
 
แคลเซียมสูง ...ไม่สำคัญ เท่าการดูดซึม
 
จากการสอบถาม ผศ.ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ทราบว่า  การดื่มนม หรือนมถั่วเหลืองแคลเซียมสูง ไม่มีดีไปกว่าการดื่มนมธรรมดา  เพราะแม้นมจะมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าจริง  แต่ร่างกายของเราจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้ทั้งหมด  สืบเนื่องจากกระบวนการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย  ซึ่งหากบริโภคแคลเซียมปริมาณมากในครั้งเดียว  ร่างกายจะดูดซึมน้อย  แต่หากทยอยบริโภคทีละนิด  ร่างกายจะดูดซึมได้มากขึ้น
 
นอกจากนี้ กระบวนการดูดซึมแคลเซียมยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การดื่มนมขณะท้องว่าง  ซึ่งร่างกายจะดูดนำไปใช้ได้น้อยกว่าตอนที่ท้องไม่ว่าง  รวมทั้งแคลเซียมไม่ได้มีแค่ในนมเท่านั้น  อาหารประเภทอื่นๆ ก็มีแคลเซียมเช่นกัน เช่น เต้าหู้แข็ง ถั่ว งา ปลาเล็กปลาน้อย ปลากรอบ ปลาป่น กะปิด กุ้งแห้ง ผักคะน้า และผักกวางตุ้ง
 
ความจริงเกี่ยวกับ ' แคลเซียม ' และความคลุมเครือในโฆษณา
 
- การระบุ แคลเซียม- 10 ที่มีขนาดเล็กกว่าแคลเซียมธรรมดา 10 เท่า  ซึ่งเรามัก เข้าใจว่าจะสามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ดีกว่านั้น  ความจริงแล้วการดูดซึมของร่างกายจะเป็นไปตามกระบวนการที่ระบุไว้ข้างต้น  นอกจากนี้ ความจริงแล้วขนาด ของแคลเซียมมีเพียงขนาดเดียวเท่านั้น ! !
 
- การที่ ระบุว่า การบริโภคนมแคลเซียมสูงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ  แต่ ต้องบริโภค ' วิตามิน เค ' ให้สูงตามไปด้วย  โดยอ้างว่าวิตามิน เค อาจมีส่วนช่วยในการป้องกันการสลายตัวของแคลเซียมนั้น  ความจริงแล้วร่างกายเราสามารถผลิตวิตามิน เค ได้เอง  โดยไม่จำเป็นต้องบริโภคจากภายนอก

- การที่ ระบุว่า นมแคลเซียม 1 กล่องมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าปกติ 4 เท่านั้น เป็นความจริง  แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็ญสำคัญคือเรื่องการดูดซึมเข้าร่างกาย
 
- การที่ ระบุว่า มีการผสม ' โอลิโก ฟรุกโตส ' ในนมแคลเซียมสูง  โดยอ้างว่า ' โอลิโก ฟรุกโตส ' อาจช่วยเรื่องการดูดซึมแคลเซียมนั้น  ความจริงจากการวิจัยพบ ว่าเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน และจำเป็นต้องได้รับการวิจัยต่อไปอีกมาก

-------------------------------------------
 
ที่มา นิตยสาร ′ ฉลาดซื้อ ′ ฉบับที่ 90 โดย กองบรรณาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #123 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553, 13:21:02 »

มหัศจรรย์ จาก ปลาทู

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสร์ 07 ... ส่งมา

" ปลาทู " ปลาทะเลที่ผู้คนคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ด้วยเป็นสัตว์ทะเลที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทกับสำรับกับข้าวคนไทยมานานเท่านาน


 
ปลาทูคลุกข้าวเคล้าน้ำปลา  น้ำพริกปลาทูอันเลื่องชื่อ  ต้มยำปลาทู  เมี่ยงปลาทู  ปลาทูต้มกะทิ ฯลฯ  ล้วนแต่เป็นอาหารอร่อยทรงคุณค่า เหมาะกับทุกเพศทุกวัย  ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น  วัยทำงาน  และคนชรา



นั่นเป็นเพราะคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของปลาทูที่เปี่ยมไปด้วย " วิตามินดี " ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัสเข้าลำไส้  เพื่อนำไปสร้างเสริม และซ่อมแซมกระดูกและฟัน  ทั้งยังช่วยรักษาระบบประสาท และการทำงานของหัวใจให้อยู่ในสภาพที่ดีสม่ำเสมอ  และยังช่วยในเรื่องการแข็งตัวของเลือด  ช่วยควบคุมแคลเซียมไปยังส่วนต่างๆ อย่างเพียงพอ  ทั้งยังมีไอโอดีนส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ

ปลาทูยังมีกรดอะมิโนโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายสูงกว่าปลาชนิดอื่น โดยเฉพาะไลซีน ที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ข้อ และทรีโอนีน ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในวัยเด็ก

ที่สำคัญปลาเพื่อนรักตัวนี้  ยังมี " โอเมก้า 3 " ที่ทรงคุณค่ากับร่างกายมากมาย

ศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์โรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( มศว. ) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Antiaging Medicine กล่าวว่า " โอเมก้า 3 " เป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว  ซึ่งจากการวิจัย พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในปลานั้น จะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์สร้างสมดุล ปรับระดับความข้นของเลือดให้อยู่ในภาวะปกติเป็นการช่วยลดอัตรา การเกิดโรคหัวใจ และยังช่วยบำรุงตับอ่อนเลี่ยงความเสี่ยงที่จะ ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้

นอกจากนี้มีการพบว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3  ช่วยให้ระบบประสาทและสมองดีขึ้น ป้องกันและแก้ไขโรคความจำเสื่อม หรือโรคที่สมองไม่สั่งงาน  ช่วยเสริมสภาวะจิตใจ  สุขภาพสายตา  เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค  และช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด



คุณสมบัติอันเต็มเปี่ยมนี้  ส่วนใหญ่แล้วจะพบอยู่ใน " น้ำมันปลา " หรือน้ำมันที่สกัดจากปลาที่อยู่ในเขตหนาว  แซลมอน ปลาแมคเคอเรล หรือ ปลาทะเลน้ำลึก อย่างปลาโอ ปลาซาบะ ปลาทูน่า รวมไปถึงปลากะพง และ " ปลาทู " ยอดฮิตของเราด้วย

เนื้อปลาทู 100 กรัม  จะมีสารโอเมก้า 3 อยู่ประมาณ 2-3 กรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องการได้รับโอเมก้า 3 ประมาณวันละ 3 กรัมเท่านั้น



" ผู้ที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี  ควรจะหาอาหารที่ประกอบด้วยโอเมก้า 3 และหาน้ำมันปลารับประทานได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก  ซึ่งเป็นวัยแห่งการเจริญเติบโต  และที่สำคัญในวัยนี้โอเมก้า 3 จะช่วยบำรุงสมอง  จนถึงวัยสูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ  โอเมก้า 3 ก็ช่วยปรับสมดุล ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ "

หากผู้ที่ต้องการจะเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยอาศัยประโยชน์จากปลาทะเลน้ำลึกแล้ว  ปลาทูถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

นี่คือ มหัศจรรย์ปลาทู เพื่อนสนิทคนไทย
      บันทึกการเข้า
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #124 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 16:14:28 »

  
 
    เพื่อนนักเรียนเก่ารุ่นเดียวกับผมได้แฟ๊กส่งเรื่องเกี่ยวกับการปฎิบัติตัวเมื่อเกษียณงาน  ซึ่งเขียนโดย
  
ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เคยเขียนไว้ในนิตยสาร ( จำชื่อไม่ได้ ) ฉบับหนึ่ง   เวียนส่งให้เพื่อนๆ รุ่นเดียว

 ได้อ่านเล่น  ผมเห็นว่าอาจจะมีประโยชน์กับชาว cmadong ( ชาย)  ที่ตอนนี้เริ่มทยอยเกษียณงานกันแล้ว

 จึงนำมาแบ่งกันอ่านเล่นบ้าง

        " เผลอเดี๋ยวเดียว คนรุ่นผมก็จะอายุ 65 ปีแล้ว  ตอนผมเด็กๆ ความแก่นั้นวัดกันที่อายุ 60 จะมีงานแซยิด

 ใครมีหลานๆ ก็จะมาร่วมอวยพร  แล้วมีการเชิญคนมามีการรดนํ้า  ซึ่งผมผ่านแซยิดมาแล้วโดยเพื่อนๆ และลูก

 ศิษย์จัดงานเลี้ยงให้

          พอเราแก่ลง  อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีสุขภาพดีทั้งกาย และใจ  คือร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้

 เจ็บและอารมณ์ดี  คนสูงอายุหลายคนต้องการอยู่ถึง 100 ปี  มีเรื่องตลกว่าคนคนหนึ่งร่างกายแข็งแรงมาก

 แต่พอแก่ตัวเข้าก็หลงลืมเป็นอัลไซเมอร์  สิ่งที่ " แข็ง " ก็ไม่มีประโยชน์  เพราะลืมไปว่ามีไว้เพื่อประโยชน์อันใด

        ผมมีอาจารย์ฝรั่งท่านหนึ่งท่านอายุมากแล้ว  ท่านสอนผมว่าอย่าดื่มวิสกี้ห่วยๆ, กินเศษเนื้อ ( ที่ใส่ในแฮม

เบอร์เกอร์ )  และต้องสวมรองเท้าดีๆ  อย่าทำงานมาก  แต่ควรมีงานต้องออกนอกบ้านสัปดาห์ละครั้งก็พอ

และควรเป็นงานที่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ซึ่งไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา

        อาจารย์ผมอยู่บ้านหลังเบ้อเริ่ม และอยู่คนเดียว  แต่มีคนแวะซื้อของส่งมาให้อาทิตย์ละครั้ง  เวลาออกไป

นอกบ้านตอนกลางคืน  ก็จะมีไฟอัตโนมัติเปิดไว้ให้ขโมยนึกว่ามีคนอยู่บ้าน  อาจารย์ผมยังทำอาหารเองวันศุกร์

ก็จะปิ้งปลา  เวลาทำอาหารก็จะดื่มมอลส์วิสกี้ 2 เป๊ก  มีเนยชั้นดีแกล้ม  ท่านจะออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน

ทุกวัน  แล้วนั่งดูโอเปร่า และอ่านหนังสือ " ขนาดแก่ๆ อายุ 92 แล้วก็ยังจีบสาวอายุ 60 ได้ "

       พอผมแก่ลงสิ่งแรกที่ทำคือ ลดกิจกรรมทุกอย่างลง  แม้การอ่านหนังสือก็อ่านน้อยลงดูทีวีมากขึ้น  งานที่ทำ

ก็เลือกที่ไม่ซีเรียสมาก  ผมมีโรคประจำตัวคือเบาหวาน  แต่ก็มีช๊อคโกแล๊ต และขนมนานาชนิดสำหรับคนเบา

หวานกิน  ผมกินผลไม้ทุกวัน  การแก่อย่างมีความสุขคือ แก่โดยไม่เป็นภาระกับคนอื่น  และรู้จักหาความสุขมา

ใส่ตัว  ผมลองคิดดูว่า " แก่อย่างมีความสุข " นั้นทำอย่างไร

        1 ) ออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอ และเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย  เช่น  เดิน และว่ายนํ้า เป็นต้น

นอกนั้นถ้าเล่นกอล์ฟได้อาทิตย์ละครั้งก็ดี  ผมเล่นกอล์ฟอาทิตย์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย  หากมีวันหยุดยาว

5-6 วันก็เล่นทุกวัน  เล่นคนเดียวก็ได้

        2 ) เลือกกินอาหารที่มีคุณภาพ  แม้จะแพงหน่อย เช่น ผักสดๆ  เนื้อดีๆ

        3 ) รู้จักนั่ง นอน เฉยๆ บ้าง  อย่างน้อยวันละ 2-3 ช.ม. ( ไม่นับเวลานอนหลับ )

        4 ) อยู่บ้านให้มากๆ  ทำบ้านให้น่าอยู่  อย่างผมลงทุนทำโรงหนังขนาดเล็กไว้ห้องใต้ดิน  ฟังเพลงก็ได้

ดูหนังก็ได้  การอยู่บ้านทำให้เราแต่งกายตามสบายได้

       5 ) เป็นคนลืมง่าย  โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดี  เก็บไว้แต่เรื่องดีๆ

       6 ) รักษาอารมณ์อย่าโกรธง่าย  ปล่อยเลยตามเลยเสียบ้าง  ใครจะด่าว่าอย่างไรก็ไม่ถือสา

       7 ) คบคนให้น้อยลง  พบคนที่เรารักชอบจริงๆ เท่านั้น  เพราะเราเหลือเวลาน้อยแล้ว

       8 ) หลีกเลี่ยงการรับตำแหน่ง  หรืองานที่มีคนเชิญไป  ต้องใจแข็ง

       9 ) ให้มากกว่ารับ  เราแก่แล้ว  ควรเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ

      10 ) หาเวลาว่างไปที่ที่เราชอบ  อาจเป็นต่างจังหวัด หรือต่างประเทศก็ได้

      11 ) หาเวลาพบ  กินอาหาร  หรือเล่นกีฬากับเพื่อน และลูกบ้าง

      12 ) หากยังอยากให้ชีวิตมีการท้าทายอยู่  ก็ทำอะไรที่เป็นการแข่งขันกับตัวเอง  ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น

 เช่น  ลดแต้มต่อกอล์ฟลง ( จะส่งผลให้กินเงินเพื่อนได้ 20-30 บาท )

       การเป็นคนแก่ที่ไม่แก่ได้นั้น  จะต้องรู้จักคบหาสมาคมกับคนกับคนอายุน้อยๆ บ้าง  ถ้ามีหลานก็

คุยกับหลานบ่อยๆ  จะได้ไม่เป็นคนขวางโลก

       ผมไม่ขออยู่ถึงร้อยปี  แค่ 80 ปีก็พอแล้ว  แต่ถ้าอายุ 80 ยังตีกอล์ฟได้ และฟันฟางยังดีอยู่ก็พอ

 ใจแล้ว  ...  # อ่านแล้ว  ทำได้มากน้อย เพียงใด  ก็ขอให้ทำบ้าง #



 

 
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><