18 เมษายน 2567, 22:56:55
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 263826 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #250 เมื่อ: 19 เมษายน 2555, 20:33:42 »

เป็นรุ่นพี่ที่ชาวสิงห์ดำภูมิใจมากเจ้าค่ะ
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #251 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2555, 18:48:27 »

บทความ ดร.วิษณุ เครืองาม
 
          ในฐานะที่ทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาลโดยหน้าที่ต่างๆกันถึง 15   ปี ผมขอยืนยันว่าพระองค์ทรงมีมาตรฐานเดียวโดยตลอด จะต่างกันก็ที่โอกาส เช่น คณะรัฐมนตรีบางคณะเข้ามาในช่วงที่ทรงพระประชวร บางคณะมีราชการงานเมืองต้องเข้าเฝ้าฯ ขอ พระราชทานมหากรุณาบ่อยหรือห่างตามเหตุการณ์
          ในการมีพระราชดำริ พระราชดำรัส และการทรงงานใดๆ ไม่มีเลยสักเรื่องที่จะแสดงว่าทรงรับเอาประโยชน์ส่วนพระองค์แม้พสกนิกรจะเต็มใจถวาย
          สมัย จอมพลถนอมเป็นนายกฯ คราวหนึ่งประจวบโอกาสครองราชย์ครอบ 25 ปี (พ.ศ. 2514) รัฐบาลจะสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์และถาวรวัตถุใหญ่โต “ ที่สุดในประเทศ ” ถวาย รับสั่งว่า “สิ้นเปลืองและไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน สร้างถนนกันรถติดดีกว่า”  นี่คือที่มาของ “ถนนรัชดาภิเษก”
          สมัยคุณ บรรหารเป็นนายกฯ เคยกราบบังคมทูลว่า จะสร้างทาวเวอร์หรือหอคอยสูงใหญ่ข้างสะพานพระราม 9 ใช้เป็นหอดูวิว หอโทรคมนาคม และเฉลิมพระเกียรติ รับสั่งว่า “เทคโนโลยีสมัยนี้ไม่ต้องสร้างหอโทรคมนาคมและเปลืองเงินเปล่าๆ ”
          นายกฯคนหนึ่งเคยกราบบังคมทูลถามว่า   ที่ พระอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ หน้าทำเนียบรัฐบาลนั้น ตอนพลบค่ำคนมักมาจุดประทัดแก้บน   บางทีก็ยิง ปืนสนั่นหวั่นไหว ดังรบกวนมาถึงสวนจิตรฯ หรือไม่รับสั่งว่า “อยู่ที่หลักการว่าทำอย่างนั้นผิดกฎหมายไหม ถ้าผิดก็ต้องห้าม แต่ถ้าเป็นเสรีภาพก็ต้องปล่อยไป รำคาญหนวกหูก็ต้องทน อย่าใช้มาตรฐานสวนจิตรฯ หรือทำเนียบรัฐบาลมาตัดสิน ”
          สมัยนายกฯทักษิณ เคยกราบบังคมทูลว่า
            เมื่อประทับรักษาพระองค์ที่วังไกลกังวลอย่างนี้ รัฐบาลจะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สำนักพระราชวังปรับปรุงวังไกลกังวล ให้สะดวกสบายสมกับที่จะใช้เป็นที่ประทับยาวนาน รวมทั้งจะปรับปรุงโรงพยาบาลหัวหินให้ทันสมัยพร้อมทุกประการ
            รับสั่งว่า  การปรับปรุงโรงพยาบาลเป็นประโยชน์แก่ทุกคนถ้ามีงบก็ควรทำ แต่การปรับปรุงวังไกลกังวลเป็นเรื่องพระสำราญ “ แค่นี้ก็พออยู่พอเพียงแล้ว ”
            รัฐบาลหลายคณะ เคยออกกฎหมายที่มุ่งจะเฉลิมพระเกียรติเช่นมีคำว่า “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ”
            มี พระราชกระแสให้รัฐบาลนำกลับไปปรับปรุงเพราะ   “ ไม่อาจทรงสถาปนาพระองค์เองได้ ”  เช่นเดียวกับที่ใน พ.ศ. 2512  ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ในร่างพระราชบัญญัติยศทหารซึ่งถวายพระยศ ทางทหารเป็น จอมพล จนร่างพระราชบัญญัตินั้นตกไปเองในที่สุด
          รัชกาล นี้ทรงลงพระปรมาภิไธยตรากฎหมายมาแล้ว ทั้งที่เป็นพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกานับหมื่นฉบับ ทรงวินิจฉัยฎีกานักโทษ ฎีการ้องทุกข์ขอพระราชทานความเป็นธรรมอีกหลายพันราย บางรายขอพระราชทานยืมเงิน บางรายขอความเป็นธรรมเรื่องแต่งตั้งโยกย้าย
          ราย หนึ่งพ่อตาย ลูกชายบวชหน้าไฟให้พ่อ อยู่มาก็ไม่ยอมสึก แม่มีลูกชายคนเดียวทำหนังสือถวายฎีกาว่าเดือดร้อนหนัก ขอพระมหากรุณาให้ลูกสึกมาช่วยเลี้ยงแม่เถิด โปรดให้ตรวจสอบแล้วมีพระราชกระแสว่า แท้จริงแม่ไม่ได้อยากให้ลูกสึก แต่ปัญหาคือแม่ลำบากยากจน จึงโปรดให้กรมประชาสงเคราะห์เข้าไปช่วยดูแล สอนอาชีพให้และหาเครื่องมือทำมาหากินไปให้แม่ ลงท้ายแม่ก็ทำมาหากินได้ ส่วนลูกก็อยู่ไปจนเป็นสมภาร
          พระ บาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวฯ ทรงสงเคราะห์ทั้งส่วนรวมและพระองค์เองเพื่อจะได้มีพระอนามัยดี ทรงงานเพื่อส่วนรวมต่อไป จึงทรงดนตรี ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ ทรงเล่นคอมพิวเตอร์ ทรงฉายภาพ ทรงกีฬา ทรงวาดรูป ปั้นรูป ทรงงานไม้งานช่าง จะทรงจับงานด้านใดก็ทรงทำได้ดี
          ที่คนไม่ใคร่ทราบคือ ทรงสนพระราชหฤทัยเป็นพิเศษในเรื่องภาษาไทย การศึกษา ระบบสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข และพุทธศาสนา ส่วนที่ทรงพระปรีชาทางดิน น้ำ ระบบระบายน้ำ และการแก้ปัญหาจราจรนั้นเป็นที่ทราบทั่วไปอยู่แล้ว
          เมื่อครั้งยังเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผมเคยได้รับพระมหากรุณาพระราชทานคำแนะนำเรื่องการใช้ถ้อยคำภาษาไทยหลายหน  
            ครั้งหนึ่งได้ถวาย “ รายชื่อ ” บุคคลให้ทรงแต่งตั้ง รับสั่งถามว่า ตั้งกี่คน ผมกราบบังคมทูลว่าคนเดียว ตรัสว่าคนเดียวเรียกว่า “ ชื่อ” ถ้า “ ราย ชื่อ ” ต้องหลายคน
            อีกคราวหนึ่ง มีหนังสือกราบบังคมทูลว่า   “ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมมาเพื่อทรงพิจารณา ” ทรงพระสรวลตรัสว่า “ ถ้าทูลเกล้าทูลกระหม่อมก็อยู่บน กระหม่อมยังไม่ถึงฉัน ถ้าจะให้ถึงฉัน ต้องทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายมาเพื่อทรงพิจารณา ”
          ในทางพระพุทธศาสนาก็ปรากฎว่าทรงรอบรู้ทั้งในทางปฎิบัติและปริยัติ ทรงรู้จักพระเป็นอันมาก เมื่อตรัสถึงเหตุการณ์ครั้งใดจะทรงย้อนไปถึงเรื่องราวครั้งเก่าก่อน เช่น   “ ครั้งสมเด็จพระสังฆราชยังเป็นพระญาณวราภรณ์ ” “ ครั้นเจ้าคุณประยุทธยังเป็นพระราชวรมุนี ”  
            และเคยตรัสเล่าเรื่องราวความเป็นอัครศาสนูปถัมภก ว่า ต้องทรงอุปถัมภ์ และคุ้มครองทุกศาสนา โดยไม่เลือกปฎิบัติ ทรงเล่าพระราชทานว่า ครั้งหนึ่งควีนจากประเทศหนึ่งทูลถามว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าแล้วชาวพุทธนับถืออะไรกัน เหตุใดไม่ยกพระพุทธเจ้าเป็นgod เสียเลย
            ได้ทรงตอบว่า พุทธศาสนานับถือ “ ธรรม ” เรานับถือธรรมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก เพราะธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก และได้ตรัสเล่าต่อไปว่า แม้ศาสนาอื่นก็ยังต้องทรงอุปถัมภ์ ฉะนั้นในฝ่ายพุทธศาสนาขอให้ทุกคนวางใจเถิดว่า จะเป็น เถรวาท มหายาน รามัญนิกาย มหานิกาย ธรรมยุต ก็ต้องทรงคุ้มครองและพระราชทานความเป็นธรรมเสมอกัน
          รัชกาลที่ 5 นั้น อะไรที่ไม่เคยมีและไม่มีคนไทยคนใดนึกว่าชีวิตนี้จะมี แต่ก็ทรงบันดาลหรือวางรากฐานให้มีขึ้นเป็นขึ้นทั่วถ้วน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล รถไฟ ไปรษณีย์ เลิกทาส จนคนรุ่นก่อนหน้านั้นต้องคิดว่าเหลือเชื่อ
            แต่ รัชกาลที่ 9 นั้น   อะไรที่ควรจะมี ควรจะคิดออก ควรจะทำเป็นนานแล้ว แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ไม่ใคร่คิดไม่ใคร่ทำ ก็ทรงบันดาลหรือวางรากฐานให้มีให้เป็นขึ้น เช่น เขื่อน ฝาย ประตูระบายน้ำ  ถนน  สะพาน  การสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อน คนประสบภัยธรรมชาติ การแก้ปัญหาจราจร การเพิ่มผลผลิตการเกษตร  การแก้ปัญหาความยากจน  ปัญหาพลังงาน
          สมัยผมเป็นเลขาธิการ ครม.   ต้องทูลเกล้าฯถวายเอกสารใส่ซองขนาดใหญ่สีขาว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย รับสั่งต่อไป หน้าซองไม่ต้องเขียนเลขที่หนังสือ จะได้หมุนเวียนกลับลงมาใช้หลายหน ไม่ต้องทิ้ง แม้แต่เรืองเล็กๆ ก็ควรประหยัด  เวลาร่างกฎหมายโปรดให้ถวายปะหน้า 2 แผ่น เผื่อว่าทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วหมึกซึมเลอะ จะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องรอถวายใหม่ เวลาตั้งรัฐมนตรีใหม่จะต้องเข้า เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฎิญาณ จะตรัสว่าให้รีบมาจะได้รีบไปทำงานไม่ต้องห่วงว่าติดเสาร์อาทิตย์ ประเทศไทยพระเจ้าแผ่นดินไม่มีวันหยุดราชการ
            พระมหากรุณาธิคุณปานนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก เจ้าประคุณเอ๋ย!
          ปี 2538    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีสวรรคต ลองคิดดูว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงวิปโยคขนาดไหน เสด็จไปทรงสดับพระพิธีธรรมที่พระที่นั่งดุสิตฯ ทุกราตรี แต่ทราบกันบ้างหรือไม่ว่าพอพระสวดจบ เสด็จลงมาประทับที่พระที่นั่งราชกรัณยสภาใกล้ๆกัน พระราชทานคำแนะนำการแก้ปัญหาจราจรแทบทุกคืน
            ปี 2553 อยู่ระหว่างประชวรประทับในโรงพยาบาล พระราชกรณียกิจอื่นภายนอกโรงพยาบาลทรงงดเสียเกือบสิ้น แต่การเสด็จไปเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ทอดพระเนตรโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมและเปิดสะพานระบายการจราจรเพื่อพสกนิกรของ พระองค์ เป็นเรื่องที่ทรงถือเป็นกิจสำคัญ
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นยอดแห่งผู้อดทน   อดกลั้น ในการประกอบพระราชกรณียกิจนั้นย่อมมีทั้งร้อนทั้งหนาวยาวนานและน่าเหนื่อย หนัก ดูเอาจากการพระราชทานปริญญาบัตรเถิด แม้แต่ที่ต้องทรงอดกลั้นด้วยขันติบารมีในคำจ้วงจาบหรือระคายเคืองเบื้องพระ ยุคลบาทอีกไม่รู้เท่าไร  อย่าลืมว่า พระชนมพรรษา   83   แล้ว ทรงงานมา 64 ปีแล้ว
          ดะไลลามะเคยพูดว่า “ใครอย่ามาชมตัวท่านเลยว่าเป็นยอดคน ไปดูที่พระเจ้าแผ่นดินเมืองไทยเถิด ”
            ผม เคยไปเฝ้าฯ เจ้าชายจิกมี กษัตริย์หนุ่มแห่งภูฎาน ตรัสว่า “กษัตริย์ของท่านเป็นแบบอย่างของข้าพเจ้าในการจะครองราชย์ให้คนรัก ”
            สุลต่านบรูไนที่ เป็นผู้แทนกษัตริย์   25   ประเทศ ถวายพระพรในคราวฉลองการครองราชย์สมบัติครบ 60 ปี เมื่อ พ.ศ. 2549  เคยทูลว่า การครองราชย์นานถึง 60 ปีเป็นเพียงตัวเลข สำคัญอยู่ที่ว่า 60 ปีนั้นได้ทำอะไร
          “ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ฝ่าพระบาททรงทำทุกอย่างตลอด60 ปี ให้เป็นประโยชน์ต่อชาวไทย ชาวเอเซีย และชาวโลก วาระนี้จึงทรงเป็นความภาคภูมิใจของบรรดาพระราชามหากษัตริย์ทั้งปวงโดยทั่ว กัน ”
 
          เมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี 2552 มีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
       “ความสุขความสวัสดีของ พระองค์จะมีได้ก็ด้วยการที่บ้านเมืองมีความเรียบร้อย”
 
            พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์นี้มีแต่ทรงให้พวกเรามาตลอด แต่พระราชดำรัสนี้มีนัยเป็นทั้งสิ่งที่ “ ทรงหวัง”   “ ทรงบอกให้รู้ ” และ ” ทรงขอ ”   ซึ่งน่าจะทรงประสงค์ยิ่งกว่าคำถวายพระพร   “ทรงพระเจริญ ”
          ไหนว่า ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย   แล้ว เรื่องอย่างนี้เราคนไทยจะพร้อมใจกันจัดถวายได้ไหมครับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #252 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2555, 22:26:40 »

พี่ป๋าอย่าเล่าเร็ว!
เรื่องสุดท้ายที่หน้าที่แล้ว
ยังอ่านไม่เข้าใจที!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #253 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2555, 22:31:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ แจง-24 เมื่อ 19 เมษายน 2555, 20:33:42
เป็นรุ่นพี่ที่ชาวสิงห์ดำภูมิใจมากเจ้าค่ะ

psst,พี่แจง
เมื่อคืนมีคนไทยส่งข่าวไปให้อ่าน
เรื่องอดีตนายกที่ไปอยู่ดูไบ
เขาไปดูบอลอังกฤษ bla blaไม่มีอะไรคะ

ที่สะดุดให้clickอ่านต่อ,คือลูกคนสุดท้องเค้า
อ้าว,รุ่นน้องสิงห์ดำ น้องแผนกหนิงด้วย!!
อุ๊ย,สลับซับซ้อนคะ ซ่อนเงื่อนจริงๆ
ต้องแยกคิด แยกมอง แยกแยะ หนักขึ้นไปอีก.
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #254 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2555, 18:45:33 »

"อากง" เสียชีวิต หลังปวดท้องหนักตั้งแต่วันศุกร์ ภรรยาบอก "กลับบ้านเรานะ ตอนนี้เค้าปล่อยตัวลื้อแล้ว"
วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14:49:40 น.
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลาประมาณ  10.20 น.วันที่  8 พฤษภาคม นายอานนท์ นำภา ทนายความสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์   ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กในชื่อ อานนท์ นำภา  ระบุว่า  นางรสมาริน ภรรยา  นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ อากง อายุ 61 ปี     ผู้ต้องขังคดีหมิ่นเบื้องสูง   ซึ่งถูกศาลอาญาฯ  พิพากษาจำคุก 20 ปี    ในความผิดมาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  ได้เสียชีวิตแล้ว  เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา   หลังมีอาการปวดท้อง เนื่องจากคาดว่า น่าจะเป็นผลพวงจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็ง  ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
 
โดยนายอานนท์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า

"อากง" เสียชีวิตแล้ว ป้าอุ๊โทรมาแจ้งเมื่อสักครู่ ช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนแกที่เรือน​จำหน่อยครับ !
 
ขณะที่ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์  เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว มติชนออนไลน์  เมื่อเวลา 11.00 น.   โดยยืนยันว่า นายอำพลได้เสียชีวิตลงแล้วจริงที่โรงพยาบาลกลาง  มีอาการปวดท้องมาตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยแพทย์ในเรือนจำได้ให้ยาบรรเทาปวดเบื้องต้นก่อนที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกลาง และเสียชีวิตเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา ของวันที่ 8 พฤษภาคม อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างให้แพทย์ชันสูตรสาเหตุของการเสียชีวิตแล้ว
 
"ทราบจากเพื่อนๆ เขาในคุกว่าที่ผ่านมามีบ่นว่าปวดท้องบ้าง และมีอาการท้องโต แต่วันนี้ก็ยังลงมากินข้าวได้ตามปกติตอน 7 โมงเช้า กระทั่งเริ่มมีอาการตอน 8 โมง ตอนนี้ก็จะส่งศพให้ทางโรงพยาบาลตำรวจชันสูตรสาเหตุต่อไป"
 
ด้านนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
 
"กราบ "อากง" อำพล .... (2494 - 8 พฤษภาคม 2555)"
 
นอกจากนี้ ยังโพสต์ข้อความ ต่ออีกว่า
 
"ผมเสียใจมาก ร้องไห้ออกมา แบบปล่อยโฮเลย ทั้งๆที่ไม่รู้จัก "อากง" มาก่อน ....

เพิ่งโทรคุยกับคุณ "ป๋าจอม" Nithiwat Wannasiri ได้รายละเอียดเพิ่มอีกเล็กน้อย

อากง มีอาการป่วยมาสักระยะหนึงแล้ว แต่ว่า ระบบเรือนจำ การรักษาอะไรมันก็ไม่ดีเหมือนข้างนอก เห็นว่า สุดท้าย (ข้อมูลนี้คงต้องเช็ครายละเอียดอีกที นะครับ) ต้องไหว้วาน อ.หวาน Suda Rangkupan ช่วยเดินเรื่องให้เข้าไปรักษาในโรงพยาบาลในเรือนจำ

อากง เข้า รพ.ในเรือนจำ ตั้งแต่วันศุกร์ วันนี้เสียชีวิต

แน่นอน "ป้าอุ๊" ไม่ได้อยู่ด้วยตอน "อากง" สิ้นใจ (โรงพยาบาลอยู่ในคุก คนนอกเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว) "ป๋าจอม" กำลังเดินทางเป็นเพื่อนไปกับ "ป้าอุ๊" ไปเรือนจำ"
 
ทั้งนี้ นายอำพลถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 2553 และถูกคุมขังสองเดือนก่อนศาลจะอนุญาตให้ประกันตัว แต่หลังนายอำพลไปรายงานตัวเพื่อรับทราบคำสั่งฟ้องของอัยการเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2554 ศาลก็ไม่อนุญาตให้ประกันตัวอีกจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีการยื่นขอประกันตัวอีกหลายครั้ง ด้วยเหตุที่ว่าเกรงจำเลยจะหลบหนี ส่วนการพิพากษานั้นในวันที่ 23 พ.ย. 2554 ศาลได้ตัดสินจำคุกนายอำพล 20 ปี จากการส่งข้อความสั้น (SMS) ที่ถูกอ้างว่ามีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นสถาบันไปยังเลขานุการส่วนตัวในอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงกลางปี 2553 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและนายอภิสิทธิ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
 
ล่าสุดเมื่อวันที่ 3  เมษายน ที่ผ่านมา นายอานนท์ นำภา ทนายความของนายอำพล   หรือ "อากง" ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ที่ถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี  เพิ่งดำเนินการยื่นถอนอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว เนื่องจากเจ้าตัวต้องการจะขอพระราชทานอภัยโทษ ประกอบกับอายุมากและเป็นโรคประจำตัว แต่ปรากฏว่า มาเสียชีวิตเสียก่อน
 
 

ประชาชนที่ทราบข่าวทยอยมารอที่ รพ.ราชทัณฑ์ ขณะที่ภรรยาอากงเข้าไปดูศพสามี
พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมราชทัณฑ์ (ภาพจากเฟซบุ๊กประชาไท)
 
 

ภรรยา-ลูกสาวอากง ร่ำไห้ พูดไม่ออก  (ภาพจากเฟซบุ๊กประชาไท)

 

นางพะเยา อัคฮาด มารดา "น้องเกด - กมนเกด อัคฮาด"
พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53
สวมกวดนางรสมาลิน
 (ภาพจากเฟซบุ๊ก Nithiwat Wannasiri)

ด้านสำนักข่าวประชาไทรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ นางรสมาลิน ภรรยานายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) และผู้ใกล้ชิดออกมาพบกับประชาชนที่รออยู่ภายนอก หลังจากพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อยู่พักใหญ่ โดยนางรสมาลินร้องไห้ และกล่าวว่าตอนนี้ยังไม่ขอพูดอะไร ขอตั้งสติก่อน

ขณะที่นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายของนายอำพล ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า มีการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ว่า อากงถูกส่งมาที่ รพ. ด้วยอาการปวดท้องเมื่อช่วงเที่ยงวันศุกร์ที่ผ่านมา และได้เข้าเตียงเมื่อ 15.40 น. แต่ยังไม่ทันได้เจาะเลือดหรือตรวจอะไร เพราะหมดเวลา และติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ต่อมา มีการเจาะเลือดในวันจันทร์ แต่ผลแล็บยังไม่มา เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับตับ เพราะตับโต โดยนายอำพลเสียชีวิตเวลาประมาณ 09.10 น. ของวันนี้ ด้านแพทย์ยังไม่กล้าฟันธงว่าเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด ขณะนี้กำลังรอการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย

ทนายของนายอำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า จริงๆ นายอำพลขอปล่อยตัวมาแปดครั้งแล้ว แต่ถูกยกคำร้องตลอด หากนายอำพลได้สิทธิการประกันตัวตั้งแต่ต้น จะได้ไปหาหมอทุก 3-6 เดือนอย่างที่ควรจะเป็น เพราะนายอำพลเพิ่งไปผ่าตัดมะเร็งในช่องปาก และอาจจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้

นางสาวพูนสุข กล่าวว่า จริงๆ อากงมีอาการปวดท้องมาเป็นเดือนแล้ว แต่เพิ่งเป็นหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะนี้ ถอนอุทธรณ์แล้ว อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งมีกำหนดจะทำภายในอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์หน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีผู้สื่อข่าวและประชาชนที่ทราบข่าวมาให้กำลังใจครอบครัวนายอำพล กว่า 50 คน สำหรับศพของนายอำพล จะออกจากโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ หลังชันสูตรศพตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ภรรยาของสุรชัย แซ่ด่าน ผู้ต้องหาคดี 112 อีกรายหนึ่ง ได้นำกระดาษโน้ตซึ่งเขียนโดยสุรชัยหลังรู้ข่าวมาให้ โดยมีข้อความ "เอาคนแก่คืออากงมาขังจนเสียชีวิต ที่ตายก็เพราะ ม.112 การรักษาก็ไม่ทั่วถึง ปวดท้องมานานนับเดือน ขอประกันตัวออกไปรักษาตัวภายนอก ก็ไม่ให้ประกันตัว จนอาการหนักมากแล้วจึงส่งตัวไปรักษา อยากฝากบอกญาติและครอบครัวของอากงว่า ควรจะเอาศพอากงทำประโยชน์ต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นครั้งสุดท้าย โดยตั้งศพต่อไปอย่าเพิ่งเผา จนกว่าจะมีการแก้ไข ม.112 และได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง"

ล่าสุด นางรสมาลิน ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวประชาไทหลังดูศพสามี โดยกล่าวว่า "แกเคยบอกว่าถ้าแกไปก็เอาไว้วัดด่านนะ แกจะดูแลหลานเอง เรื่องการเสียชีวิตดิฉันไม่ทราบ แต่ติดใจเรื่องอื่นมากกว่าว่าทำไมคนแก่อย่างอากงต้องมาติดคุกทรมานแบบนี้"

จากนั้นภรรยานายอำพลได้ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณสามีกลับบ้าน โดยกล่าวว่า "กลับบ้านเรานะ ตอนนี้เค้าปล่อยตัวลื้อแล้ว"


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336449341&grpid=00&catid=00
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #255 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2555, 18:47:32 »

ชุมนุมหน้าศาลอาญา หลัง "อากง" เสียชีวิต เตรียมแห่ศพเรียกร้องความยุติธรรม 9 พ.ค. (ชมคลิป-ภาพ)
วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 17:42:38 น.
 
หลังจาก มีรายงานข่าวว่า  ในช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค. ว่า นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ อากง สามีอายุ 61 ปี  ผู้ต้องขังคดีส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งถูกศาลอาญาฯ  พิพากษาจำคุก 20 ปี   ในความผิดมาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้เสียชีวิตแล้ว   หลังมีอาการปวดท้อง เนื่องจากคาดว่า น่าจะเป็นผลพวงจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็ง
 
 
ต่อมา พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์  เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ ยืนยันว่า นายอำพลได้เสียชีวิตลงแล้วจริงที่โรงพยาบาลกลาง  มีอาการปวดท้องมาตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยแพทย์ในเรือนจำได้ให้ยาบรรเทาปวดเบื้องต้นก่อนที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกลาง และเสียชีวิตเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา ของวันที่ 8 พ.ค. อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างให้แพทย์ชันสูตรสาเหตุของการเสียชีวิตแล้ว
 
 
ล่าสุดมีการเคลื่อนไหวที่บริเวณหน้าศาลอาญาถนนรัชดาฯ ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา   ผู้ร่วมชุมนุมประกอบด้วย  ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีเสื้อแดง นายพลท เฉลิมแสน ผู้อำนวยการวิทยุเรือนไทยเรดิโอ คลอง 4 ลำลูกกา ปทุมธานี และ นางสาวสุดา รังกุพันธ์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดจนกลุ่มปฎิญญาหน้าศาล กลุ่มนักโทษการเมืองไทย และแนวร่วมคนเสื้อแดง โดยมีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ติดตามการทำข่าวหลายสำนัก   ทั้งนี้ แกนนำยังไม่ได้หารือ ถึงแนวทางการเคลื่อนไหว คาดว่า จะมีการประชุมกันในช่วงเย็น  อย่างไรก็ตามในเวลา 1 ทุ่ม 12 นาที จะมีการจุดเทียนสีดำ ในบริเวณดังกล่าว
 
 
จากนั้นในช่วงเวลา 16.45 น. ไม้หนึ่ง ก. กุนที ได้เปิดเผยมติของกลุ่มเคลื่อนไหวอันประกอบด้วย แกนนำเสื้อแดง กลุ่มปฎิญญาหน้าศาล และ กลุ่มนักโทษการเมืองไทย ว่า การเคลื่อนไหววันนี้  ในเวลา 1  ทุ่ม 12 นาที จะมีการจุดเทียนสีดำ จากนั้นจะมีการอภิปราย แล้วสลายการชุมนุม หน้าบริเวณศาลอาญา รัชดาฯ ส่วนกิจกรรมวันที่ 9 พ.ค. จะนำศพของนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ อากง  ออกจากสถาบันนิติเวช ในเวลา 14.00 น. จากนั้นจะเคลื่อนไปกระทรวงยุติธรรม  ไปทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา  และมาทำพิธีรดน้ำศพ บริเวณหน้าศาลอาญา รัชดา

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336465460&grpid=00&catid=01&subcatid=0100
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #256 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2555, 18:49:51 »

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #257 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2555, 18:51:52 »

ชาวกรุงเก่าปลาบปลื้ม เตรียมรับเสด็จ"ในหลวง-ราชินี" เสด็จฯ"ทุ่งมะขามหย่อง"10-13 พ.ค.นี้
วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 12:36:33 น.
 
ภายหลังจากที่    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กำหนดเสด็จพระราชดำเนินออกจากที่ประทับโรงพยาบาลศิริราชเป็นครั้งแรก   มายังทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในช่วงระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคมนี้  โดยทางจังหวัดเร่งจัดเตรียมสถานที่รับเสด็จฯ  พร้อมจัดการแสดง ทุ่งมะขามหย่อง ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณถวาย    ยังความปลาบปลื้มสู่พสกนิกรและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่จะได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จถือเป็นบุญบารมีวาสนาของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นั้น
 
นายวิทยา  ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ว่า  ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมที่ อาคารศูนย์แสดงสินค้าผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและผลิตผลทางการเกษตร ภายในทุ่งมะขามหย่อง ต.บ้านใหม่ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเสด็จฯ  และถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งมีหมายกำหนดการจะเสด็จพระราชดำเนินมายังทุ่งมะขามหย่อง ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการแก้มลิงและเป็นสถานที่ตั้งพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย และที่สำคัญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จฯ มาเกี่ยวข้าว ณ ทุ่งมะขามหย่องเป็นครั้งแรกด้วย  ซึ่งหมายกำหนดการจะเสด็จพระราชดำเนินมาในระหว่างวันที่ 10- 13 พฤษภาคม 2555 ส่วนจะเป็นวันใดนั้นอยู่ในพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่าน
 
ผู้ว่าฯ พระนครศรีอยุธยา   กล่าวต่อว่า   เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมทางจังหวัดได้ได้ทำการจัดเตรียมสถานที่ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ เนื่องจากพระองค์ท่านจะเสด็จพระราชดำเนินออกจากที่ประทับโรงพยาบาลศิริราชเป็นครั้งแรก มายังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ทางจังหวัดได้จัดดำเนินการสร้างทางลาดพระบาทตลอดเส้นทางเสด็จจากพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย มายังพลับพลาที่ประทับกลางน้ำ เพื่อชมการแสดงแสง สี  เสียง รูปแบบ วีดีทัศน์ในเรื่อง ทุ่งมะขามหย่อง ผืนแผ่นดิน แห่งพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งจะมีเกาะกลางน้ำเป็นฉากหลังอย่างสวยงาม ในฉากการแสดงถวายจะมีผู้แสดงรำถวายเดินบนผิวน้ำ สวยงาม และมียังจัดการแสดง ร้องเพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าวถวาย  ได้เตรียมเรือพื้นบ้านโบราณ จำนวนกว่า 30 ลำ แสดงถวาย ในที่ประชุมได้จำลองภาพกราฟฟิกเพื่อมองให้เห็นภาพที่สวยงามอย่างสมพระเกียรติที่ จัดแสดงถวายในวันเสด็จฯ 
 
" นับเป็นบุญบารมีและเป็นวาสนาอย่างยิ่งของพสกนิกรชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่พระองค์ท่านมีหมายกำหนดการจะเสด็จพระราชดำเนินมายังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทางจังหวัดจึงได้จัดเตรียมการแสดงถวายให้พระองค์สุขเกษมสำราญให้มากที่สุด ซึ่งในขณะนี้พสกนิกรชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเริ่มทราบข่าวกันแล้วและทราบว่าต่างปลื้มปิติเป็นอย่างมากเพียงแค่ทราบข่าวว่าพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินมายังทุ่งมะขามหย่อง สำหรับประชาชนที่จะเดินทางมาเฝ้ารับเสด็จชื่นชมพระบารมีพระองค์ท่าน ไม่ต้องห่วงเนื่องจากทุ่งมะขามหย่องเป็นสวนสาธารณะ สามารถรองรับประชาชนที่จะเดินทางเฝ้ารับเสด็จได้เป็นแสนคน ด้านสถานที่ขณะนี้มีความพร้อมเหลือเพียงการตบแต่งสวนเก็บลายละเอียดให้สวยงามอีกไม่มากนัก " นายวิทยา กล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336455439&grpid=00&catid=19&subcatid=1900
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #258 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 10:24:39 »

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร   นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนและรัฐกาตาร์อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 13 - 15 พ.ค.55 และวันที่ 15 - 16 พฤษภาคม 55 ตามลำดับดังนี้

กำหนดการเยือนบาห์เรน
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2555
เวลา 12.50 น. - นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจังหวัดสมุทรปราการ โดยเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) (B777-200) เที่ยวบินพิเศษ TG 8800 ไปยังกรุงนามา ราชอาณาจักรบาห์เรน
เวลา 16.00 น. - เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงนามา ราชอาณาจักรบาห์เรน
- นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ H.M.King Hamad bin Isa Al Khalifa สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน และ H.R.H.Prince Salman bin Hamad Al Khalifa มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน
เวลา 20.00 น. - สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี
 
วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2555
เวลา 11.00 น. - พิธีต้อนรับนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
- นายกรัฐมนตรีหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีบาห์เรน ณ ห้องทำงานนายกรัฐมนตรีบาห์เรน พระราชวัง Al Gudaibiya
- นายกรัฐมนตรีนำคณะทางการและคณะธุรกิจไทยเข้าเฝ้านายกรัฐมนตรีบาห์เรน ณ ห้อง Yellow Majlls พระราชวัง Al Gudaibiya
- การหารือเต็มคณะระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีบาห์เรน ณ ห้อง Blue Majlls พระราชวัง Al Gudaibiya
- นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีบาห์เรนเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
เวลา12.30 น. - นายกรัฐมนตรีบาห์เรนพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี
เวลา 14.30 น. - นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมคณะนักธุรกิจไทย - บาห์เรน ณ โรงแรม Intercontinental Regency
เวลา 15.20 น. - นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมมัสยิดกลาง Alfath Grand Mosque
-นายกรัฐมนตรีหารือ (กลุ่มเล็ก) กับผู้นำศาสนา ณ มัสยิดกลาง Alfateh Grand Mosqe
เวลา 18.00 น. - พบปะชุมชนไทยในบาห์เรน ณ โรงแรม Ritz Carlton
เวลา 20.00 น. - นายกรัฐมนตรีบาห์เรนเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำให้กับนายกรัฐมนตรี (กลุ่มเล็ก)
 
วันที่ 15 พฤษภาคม 2555
เวลา 10.00 น. - นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์บัญชาการกองกำลังผสมทางทะเล
เวลา 12.00 น. - นายกรัฐมนตรีบาห์เรนเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ ณ โรงแรม Ritz Carlton
เวลา 14.30 น. - นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติราชอาณาจักรบาห์เรนโดยเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) (B777 - 200) เที่ยวบินพิเศษ ที่ TG 8801 ไปยังกรุงโดฮา รัฐกาตาร์
กำหนดการเยือนรัฐกาตาร์
 
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2555
เวลา 15.25 น. - เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงโดฮา
 
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2555
เวลา 11.00 น. - นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ H.H.Sheikh Hamad bin Khalifa Al-Thani เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ ณ พระราชวัง Amiri Diwan
- นายกรัฐมนตรีหารือข้อราชการกับ H.H.Sheikh Hamad bin Jassim Bin Jabr Al-
- Thani นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัฐกาตาร์ (เต็มคณะ)ณ พระราชวัง Amiri Diwan
- นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีกาตาร์ฯ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลรัฐกาตาร์ ณ พระราชวัง Amiri Diwan
- นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัฐกาตาร์เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ
เวลา14.45 น. - นายกรัฐมนตรีพบหารือกับผู้บริหารของ Aspetar - Qatar Orthopedic and Sport Medical Center
เวลา 15.40 น. - นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สำนักข่าวท้องถิ่น Al Jazeera ณ โรงแรม Four Seasons Doha
เวลา 16.45 น. - นายกรัฐมนตรีพบหารือกับนาย Hassan Al Thawadi เลขาธิการ Qatar 2022 Supreme Committee
เวลา 18.30 น. - นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองเพื่อพบปะกับภาคเอกชนไทยและกาตาร์
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2555
เวลา 07.20 น. - เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ
 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336464066&grpid=03&catid=03
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #259 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 10:27:05 »


จับตา! แก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ทวิ เพื่อประชาชนหรือเพื่อใคร ?
วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 22:59:48 น.
 
วันนี้  (8 พ.ค.2555)  เมื่อเวลา 09.00 น.  ณ  ห้องประชุมงบประมาณชั้น 3  อาคารรัฐสภา   นางสาวยิ่งลักษณ์   ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี  วาระสำคัญในส่วนกฎหมาย ที่ประชุมครม.เห็นชอบในหลักการ  ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน)
   
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 
   
 
ข้อเท็จจริง
   
กระทรวงมหาดไทย เสนอว่า
   
1. โดยที่หลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน  ทำให้เกิดปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนซึ่งเป็นผู้ขอรับบริการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอุปสรรคที่เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดิน  หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้กับผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ  ที่ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ 
 
 
 
 2. ดังนั้น เห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์  โดยให้ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ  สามารถขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้  จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 59 ทวิ ให้ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ  สามารถเลือกที่จะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้  เพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชน ตลอดจนเป็นการปรับปรุงกฎหมายให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน 
   
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
   
 
แก้ไขหลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์  โดยให้ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ  สามารถขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ (ร่างมาตรา 3 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336491022&grpid=&catid=01&subcatid=0000
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #260 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 11:44:42 »

วันที่ 09 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 09:34 น.  ข่าวสดออนไลน์


ข้อคิดท่านจุฬาฯ

บทบรรณาธิการ ข่าวสด

นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นำคณะกรรมการอิสลาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเยี่ยมชมศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

เพื่อให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเนื้อความที่น่าสนใจหลายประการด้วยกัน

อาทิ หลักสำคัญของอิสลามซึ่งมีองค์ประกอบอยู่ 3 ปรการด้วยกันคือ อีมาน อิสลาม และ เอี๊ยะซาน

จุฬาราชมนตรีเห็นว่าพี่น้องมุสลิมบางส่วนค่อนข้างจะหย่อนยานในเรื่องของเอี๊ยะซาน คือ การมีคุณธรรม มีจิตเมตตาต่อผู้อื่น

เพราะการมีไมตรีจิตต่อผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องใหญ่


นอกจากนั้นยังหย่อนยานในเรื่องมารยาท จึงต้องสร้างบุคลิกความเป็นมุสลิมว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะทำให้พี่น้องในประเทศไทยเข้าใจความเป็นอิสลามมากขึ้น

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อชาวมองโกลที่ยึดครองตะวันออกกลางและปกครองกรุงแบกแดดนั้น ในที่สุดเขารับอิสลามก็เพราะการมีเอี๊ยะซาน (ไมตรีจิต) ของชาวมุสลิมในแบกแดด

จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ในเอเชียกลางทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นในอุซเบกิสถานก็ดี หรือประเทศอื่นก็ดี เป็นมุสลิมทั้งนั้น

ขณะที่โรคเกลียดชังอิสลามในยุโรปกำลังจะลามเข้ามาในไทย ชาวมุสลิมจึงต้องแก้ไขปัญหา สร้างภาพลักษณ์ที่ดีงาม

ให้สังคมมีความเข้าใจอิสลาม


ข้อคิดของจุฬาราชมนตรีเป็นสิ่งที่สังคมไทยควรนำมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เพราะมิใช่แต่พี่น้องมุสลิมเท่านั้นที่จะต้องมีไมตรีจิตกับพี่น้องร่วมชาติร่วมสังคม เพื่อนร่วมชาติร่วมสังคมอื่นๆ ที่มิได้นับถือศาสนาอิสลาม ก็จะต้องมีความเข้าใจ ความเคารพ และไมตรีจิตต่อพี่น้องชาวมุสลิมเฉกเช่นกัน

เมื่อ"เข้าถึง-เข้าใจ"แล้ว ก็จะเริ่มมองเห็นโอกาสที่จะเกิดความสงบสันติ โอกาสที่จะแลกเปลี่ยนสันถวไมตรีต่อกัน โอกาสที่จะร่วมกัน"พัฒนา"ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไป

กำลังอาวุธอาจจะระงับปัญหาบางอย่างบางเวลาลงได้

แต่ไมตรีเท่านั้นที่จะทำให้ความปกติสุขเกิดขึ้นและดำรงอยู่

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek5qVXpNRGsxTmc9PQ==&sectionid=
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #261 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 11:58:41 »


ใช้เวลาร่วมชั่วโมงจึงอ่านจบครบถ้วน...

ขอบคุณ.. น้องป๋า
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #262 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 12:35:35 »

วันที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 02:36 น.  ข่าวสดออนไลน์


จุฬาราชมนตรีชี้ทางดับ"ไฟใต้"

 หมายเหตุ : นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นำคณะกรรมการอิสลาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเยี่ยมชมศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กำลังใจ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศอ.บต. รวมทั้งเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ศอ.บต. จ.ยะลา ดังนี้

วันนี้ผมมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่มาร่วมกับท่านทั้งหลาย มาแสดงความยินดี ชื่นชมต่อท่านเลขาธิการศอ.บต. และมาให้กำลังใจท่านในฐานะที่ท่านตั้งใจทำงาน และขอชื่นชมแนวคิดของท่านที่จะเข้ามาแก้ไขพื้นที่ภาคใต้ของเรา

ผมเดินทางมาถึงสี่แยกบ่อทอง เห็นป้ายที่ท่านเขียนไว้ว่า พร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับประชาชน ผมรู้สึกชื่นใจครับ ทำให้นึกถึงประวัติ ศาสตร์ ผมเป็นคนเรียนปอเนาะ แต่ก็ชอบอ่านประวัติศาสตร์ข้างนอก

ในสมัยที่มองโกลโดยเจงกิสข่านยกทัพเข้าไปยึดแบกแดดนั้น มีการต่อต้านการปกครองเพราะมองโกลไม่ใช่มุสลิม แต่เข้ามาปกครองมุสลิมในแบกแดด ซึ่งเป็นยุคทองของอิสลามในสมัยนั้น มีการต่อต้านอำนาจรัฐอย่างมากมาย

ตนกูลากู ซึ่งเป็นหลานของเจงกิสข่านปกครองแบกแดดอยู่ ได้เรียกประชุมอุลามะอฺ (นักปราชญ์มุสลิม) และถามอุลามะอฺทั้งหลายว่า เราชาวมองโกลไม่ใช่มุสลิม แต่มาปกครองพวกท่านด้วยความยุติธรรม ท่านจะเลือกผู้ปกครองที่มีความเป็นธรรมหรือท่านจะเลือกผู้ปกครองที่เป็นมุสลิม

ปรากฏว่าอุลามะอฺทั้งหมดนั้นพากันนิ่งเงียบและขอเวลาไปประชุมนอกรอบเป็นเวลา 1 คืน รุ่งขึ้นก็มีอุลามะอฺท่านหนึ่งชื่ออิบนุฏอฆุส บอกว่าหัวใจของการปกครองคือความเป็นธรรม

เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เข้ามาปกครองและให้ความเป็นธรรม นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการ ทำให้การต่อต้านอำนาจรัฐลดหย่อนลง


ผมคิดว่าท่านทวี (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง) กำลังนำความเป็นธรรมมาสถาปนาให้เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ของเรา พี่น้องบางกลุ่มบางสถานที่ได้ถูกกระทำมาเป็นระยะเวลานานนั้นก็จะได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมา และจะทำให้ความสงบร่มเย็นเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา

ผมอยากเรียนว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ของเรานั้นได้ส่งผลไปถึงภาคเหนือ ผมได้เดินทางไปภาคเหนือ ไปเชียงใหม่ เชียงราย มีพื้นที่หนึ่งพี่น้องมุสลิมจะไปสร้างมัสยิดในพื้นที่ชุมชนชาวพุทธ ปรากฏว่าชาวพุทธไม่ยอม เขากลัว

ผมนำมาเล่าให้ฟังเพื่อต้องการให้เห็นว่าเรื่องสะเทือนในภาคใต้ ได้ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งมีชุมชนมุสลิมชาวจีนเป็นชนส่วนน้อยอยู่ คือลัทธิอิสลาโมโฟเบีย (กระแสความเกลียดชังอิสลาม) ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา


โรคเกลียดชังอิสลามในยุโรปกำลังจะลามเข้ามาในประเทศไทยของเรา เพราะฉะนั้นเราชาวมุสลิมจะต้องแก้ไขปัญหา สร้างภาพลักษณ์ที่ดีงาม ให้สังคมมีความเข้าใจอิสลาม

ในอิสลามมีองค์ประกอบอยู่ 3 หลัก คือ อีมาน อิสลาม และเอี๊ยะซาน เราค่อนข้างจะหย่อนยานในเรื่องของเอี๊ยะซาน คือ การมีคุณธรรม มีจิตเมตตาต่อผู้อื่น มีไมตรีจิตต่อผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องใหญ่

ในเรื่องมารยาท เราหย่อนยานเรื่องนี้กันมาก เราต้องสร้างบุคลิกความเป็นมุสลิมว่าเป็นอย่างไร จะทำให้พี่น้องในประเทศไทยเข้าใจความเป็นอิสลามมากขึ้น

ชาวมองโกลที่ยึดแบกแดด ปกครองแบกแดดนั้นในที่สุดเขารับอิสลามก็เพราะการมีเอี๊ยะซาน (มีไมตรีจิต) ของชาวมุสลิมในแบกแดด จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ไปดู ในเอเชียกลางทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นในอุซเบกิสถานก็ดี หรือประเทศอื่นก็ดี เป็นมุสลิมทั้งนั้น ประเทศเล็ก ประเทศน้อยที่อยู่ในอาณาจักรโซเวียต สมัยโบราณเมื่อ 30-40 ปีก่อน วันนี้เป็นมุสลิมทั้งนั้น

มุสลิมเหล่านี้ได้หลั่งไหลเข้าไปทางตอนเหนือของประเทศจีน ในมณฑลซินเกียง ตามพื้นที่ต่างๆ ก็เพราะการมีเอี๊ยะซาน การมีไมตรีจิตของคนมุสลิม เพราะฉะนั้นเราต้องแสดงความเป็นไมตรี จิตต่อคนอื่นให้มากขึ้น เพราะอิสลามสอนให้เรามีเมตตาต่อผู้อื่น

ผมขอฝากว่าพวกเราในฐานะผู้นำ เราต้องปลูกฝังการมีไมตรีจิตต่อผู้อื่นให้มากขึ้น เพื่อให้คนรักอิสลาม เข้าใจอิสลามมากขึ้น เหมือนกับกัลยาณชนได้กระทำไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ ไม่มีใครทำได้นอกจากพวกท่านที่เป็นผู้นำศาสนา


เลขาฯ ศอ.บต.บอกว่ายาเสพติดกลัวศาสนา ถูกต้องแล้ว ยาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของบ้านเราในวันนี้ และเป็นภารกิจของพวกเราที่ต้องช่วยกันดูแล เพราะยาเสพติดทำลายความเป็นมนุษย์ของคนเรา

เราเป็นมนุษย์อยู่ได้เพราะรู้จักคิด แต่ยาเสพติดทำให้คนไม่รู้จักคิดนี่คือการทำลายความเป็นมนุษย์ เป็นการทำลายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากว่ามีปัญหายาเสพติดอยู่ไม่ต้องพูดถึงปัญหาอื่นๆ เราทำอะไรไม่ได้ถ้าเด็กติดยา ถ้าลูกหลานของเราติดยาอย่าโยนภาระให้กับราชการ ราชการแก้ไม่ได้หรอกครับ

ลูกอยู่กับเราทุกวัน อยู่กับเราทุกคืน คนที่จะแก้ปัญหาลูกหลานได้คือพ่อแม่ผู้ปกครอง ดังนั้น ผู้นำศาสนาจึงต้องสร้างความตระหนักให้แก่ชุมชน ไม่ใช่อิหม่ามทำหน้าที่นำละหมาดอย่างเดียว ต้องสร้างความตระหนักแก่ชุมชน มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน

เราต้องยกระดับมัสยิดขึ้นมาให้เป็นองค์กรที่มีศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนด้วย โดยเฉพาะปัญหาของยาเสพติด ก็คงต้องขอชื่นชมและให้กำลังใจเลขาธิการ ศอ.บต. พวกเราจะเป็นกำลังใจให้ท่านในการทำงาน เราต้องให้ความร่วมมือกับท่าน

ในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ มีอามีรุ้ลมุอฺมีนีน (ผู้ปกครอง) อีกท่านหนึ่ง คือ ท่านอุมัร บิน อับดุลอาซิซ เป็นผู้ปกครองที่มีความเป็นธรรมสูงสุดในราชวงศ์อุมัยยะฮ์

มีผู้ปกครองหัวเมืองท่านหนึ่งเสนอให้ท่านสร้างกำแพงกั้นไปถึงตอนเหนือของแอฟริกา เพราะกลัวจักรพรรดิโรมันในสมัยนั้นซึ่งกำลังเรืองอำนาจ แผ่เข้ามาโจมตีโลกอิสลาม จึงจำเป็นต้องสร้างกำแพงกั้นระหว่างพรมแดน

ท่านอุมัรบอกว่าท่านกำลังคิดการใหญ่ ท่านจะเอางบประมาณที่ไหนมาทำ จะเอาคนที่ไหนมาทำเพราะพรมแดนยาวมาก แต่สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือ การสร้างกำแพงขึ้นในหัวใจของประชาชน และการให้ความเป็นธรรมกับประชาชน และประชาชนจะลุกขึ้นมาเป็นกำแพงให้กับประเทศชาติเอง

เพราะฉะนั้น วันนี้ ท่านทวีกำลังจะมาสร้างกำแพง (จุฬาราชมนตรีร้องไห้) พวกเราต้องให้ความร่วมมือและช่วยเหลือท่าน

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek5qTXpNekV3TWc9PQ==&catid=07
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Uncle.Table
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: นิเทศศศาตร์
กระทู้: 865

« ตอบ #263 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 18:26:16 »

ขอบคุณลุงทู อัจฉริยะของรุ่น24 ที่นำเรื่องของเขามาเล่าครับ
 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #264 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 10:42:13 »

โด่ง อรรถชัย เขียนจดหมายสอน ตั๊ก ปม อากง
12 พ.ค. 55 08.11 น.     
 

โด่ง อรรถชัย เขียนจดหมายสอน ตั๊ก ปม อากง
จากกรณีที่ ตั๊ก บงกช คงมาลัย นางเอกสาวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความทางผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นในกรณีการเสียชีวิตของ "อากง" จำเลยในคดี ม.112 จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ล่าสุด ในเพจ "Red Intelligence" ได้นำจดหมายของดารารุ่นพี่ "โด่ง อรรถชัย อนันตเมฆ" เขียนถึงดาราสาว โดยอ้างว่านำมาจากเฟซบุ๊คของ โด่ง อรรถชัย มีข้อความดังนี้คือ

"จดหมายถึงตั๊ก จากพี่โด่ง อรรถชัย อนันตเมฆ ผ่านเฟซบุ๊ค Attachai Anantameak :Poppy

เรื่อง..... ตั๊กคงไม่รู้

ตั๊ก คงไม่เข้าใจเรื่องอากง มันไม่ใช่อย่างที่ตั๊กแสดงความคิดออกมา

ตั๊ก รู้ไหมว่าอากงไม่ใช่คนเสื้อแดง .... Huh?Huh?

ตั๊กรู้ไหม ว่าอากงรักในหลวงเหมือนตั๊ก .....Huh?Huh??
(ที่บ้านอากงมีหลักฐานมากมาย ที่พี่เห็นในภาพอาจมากกว่าที่บ้านตั๊กซะด้วยซ้ำ)

ตั๊กรู้ไหมว่า อีมี่ โทรศัพท์ มือถือ ที่ใช้เป็นหลักฐานมัดอากงนั้น มันปลอมได้ (มาบุญครองทำซ้ำขายมากมาย)

ตั๊กรู้ไหมว่า อากงส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นดังกล่าวไปยังเลขาอภิสิทธิ์

ตั๊กคิดไหมว่า หากใครสักคนต้องการส่งข้อความหมิ่นเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่สถาบัน เขาจะส่งไปยังเลขา "ส่วนตัว" นายกเพื่ออะไร

ตั๊ก.... แล้วตั๊กคิดว่า เบอร์โทรศัพท์ ของเลขา "ส่วนตัว" ของนายกนี่มันหามาส่งกันง่ายๆ หรือ แม้แต่ในศาลก็ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าอากง รู้เบอร์นายสมเกียรติ "เลขาส่วนตัว" นายกนั่นได้อย่างไร

ตั๊กรู้ไหมว่า กระบวนการพิจารณาของศาลไทย เป็นระบบกล่าวหา...


ตั๊กรู้ไหม ว่า จากระบบกฎหมายดังกล่าว หากตั๊กตกที่นั่งเดียวกับอากง ตั๊กก็คงลำบาก

ตั๊กรู้ไหมว่า หากศาลยังไม่ตัดสินถึงที่สุด ตามกฎหมายยังถือว่า อากงบริสุทธิ์ และ อากงติดคุกอยู่ในฐานะคนบริสุทธิ์ จนตาย (ยังมีคนที่ติดอยู่ในคุกในสภาพนี้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไม่มีวาสนา)

ตั๊กรู้ไหม ว่า การรับสารภาพของอากง เป็นสิ่งที่ทนายแนะนำ เพราะ จะทำให้ติดคุกน้อยกว่าการยืนหยัดต่อสู้ความจริง

ตั๊กเข้าใจเรื่องการประกันตัวไหม รู้เรื่อง เขาให้กำนันเป๊าะ วัฒนา อัศวเหม ประกันตัว ไหม

กระบวนการยุติธรรมไทยปัจจุบัน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมาก เปิดช่องให้ ผู้มีอำนาจ ผู้มีวาสนา ผู้ถือกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐ มากมาย ด้วยคำว่า ดุลยพินิจ

ซึ่งบ่อยครั้ง ดุลยพินิจ ทางราชการ กับ ดุลยพินิจ ของประชาชนไม่ตรงกัน

ในกรณีของอากง ศาลใช้ดุลยพินิจ ว่า กลัวอากงหลบหนี จึงไม่ให้ประกัน ในขณะเวลาเดียวกัน สนธิ ลิ้มทองกุล ศาลให้ประกัน ทั้งที่อัตราโทษ 85 ปี มากกว่า อากง ถึง 70 ปี (อากงโทษจำคุก 15 ปี)

เราคงไม่ตำหนิดุลยพินิจของศาล .... (เพราะห้ามวิจารณ์)

แต่ถามจริงๆ ในดุลยพินิจของตั๊ก ใครมันจะอยากหนีมากกว่ากัน ระหว่างคนที่มีโทษจำคุก 85 ปี กับ 15 ปี

และถ้าหาก เหตุการณ์นี้ ตกมาที่ตั๊กและญาติมิตรในอนาคต ตั๊กจะทำอย่างไร

แท้จริง ประเด็นของอากง มันเกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่า "อากงผิดจริงหรือไม่" ไม่ใช่ เรื่อง "หมิ่นสถาบัน" อย่างที่ตั๊กเข้าใจ

ตั๊กรู้ไหมว่าการเมืองมันเป็นเรื่องสกปรก

ตั๊กเคยรู้หรือไม่ว่าตลอดเวลามีคนใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการใส่ร้ายฝ่ายตรงกันข้าม
ตั๊กเคยได้ยิน เรื่อง ที่คนตะโกนในโรงหนัง ว่า "ปรีดี ฆ่าในหลวง" ไหม (ไปหาอ่านได้ตามเว็บไซต์ต่างๆ พิมพ์ในกูเกิ้ลก็น่าจะมี)

ตั๊กคิดว่าพวกที่ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ กับ อากง ใครเป็นภัยต่อในหลวงมากกว่ากัน ถ้ารักในหลวง ตั๊กควรทำอย่างไร

สุดท้าย อยากให้ตั๊กรู้ว่า คนที่ออกมาต่อสู้เรื่องอากง ไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดง แต่มีนักวิชาการ อาจารย์ มากมาย ที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ตั๊กรู้ไหมว่าพวกเขาไม่ได้มาต่อสู้พียงเพื่ออากง แต่เขามาต่อสู้เพื่อ ตั๊ก และ ครอบครัวด้วย

แท้จริงพวกเขามาต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของคนไทย ต่อสู้เพื่อมนุษย์ทุกคนที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกฎหมายไทยที่ยังมีข้อบกพร่อง จนอาจเป็นเครื่องมือของใครต่อใครที่มีอำนาจ ซึ่งในที่สุด เมื่อสังคมมีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม ทุกคนก็จะได้รับประโยชน์ แม้แต่ตั๊ก ครอบครัวของตั๊ก ลูกของตั๊กในอนาคต สามีตั๊ก คนที่ตั๊กรัก แม้แต่คนเสื้อทุกสี ก็จะได้รับประโยชน์ จากการต่อสู้ของพวกเขาในครั้งนี้

อยากให้ตั๊กได้รู้ว่า ตั๊กคือคนหนึ่งที่พวกเขาออกมาต่อสู้เพื่อ ....

พี่รู้จักตั๊ก เชื่อว่าแท้จริงแล้ว ตั๊กมีจิตใจที่ดี ตรงไปตรงมา และ เป็นคนรากหญ้า เชื่อว่าที่ตั๊กโพสต์ออกมาแบบนั้น ก็เพราะ ตั๊กไม่รู้ ดังนั้น ตั๊กต้องขจัดความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ โดยด่วน

ตั๊กไม่ใช่คนโง่ แต่ที่ตั๊กไม่รู้ พี่วิเคราะห์ว่าเพราะตั๊ก "ไม่ฟัง"

และ การไม่ฟังอาจเกิดจาก "อคติ"

เราเป็นดารา มีชีวิต มีอาชีพวันนี้ได้ แท้จริงก็เพราะประชาชน

เราเป็นคนของประชาชน ต้องรักประชาชน ประชาชนทุกคน มีบุญคุณกับตั๊ก "ไม่เว้นแม้แต่อากง"
พี่เชื่อว่า ในช่วงชีวิตอากง อากงและครอบครัว ต้องเคยสนับสนุนตั๊กบ้าง ไม่มาก ก็ น้อย

น้าทอม ดันดี เคยพูดว่า "ข้าวชามน้ำจอก ที่ชาวบ้านให้เรากิน เราอย่าลืมบุญคณ"

แค่ขจัดอคติที่มีกับประชาชน รับฟังพวกเขาบ้าง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

หวังว่าตั๊กคงได้อ่านที่พี่เขียน และทบทวนสิ่งที่ตัวเองคิดให้ดี เชื่อพี่ รักประชาชน กตัญญูต่อประชาชน รับใช้ประชาชน อยู่ข้างประชาชน แล้วจะเจริญอย่างมีเสรีภาพ ครับ

"พี่โด่ง"

คลิกอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตั๊ก บงกช แรง! โพสต์เฟซบุ๊ค พวกเชียร์อากงตกนรกแน่

อ.ธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถึง ตั๊ก บงกช ปมอากง


http://news.sanook.com/1117340/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%81-%E0%B8%9B%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%87/
 
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #265 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 10:45:07 »

ตั๊ก บงกช แรง! โพสต์เฟซบุ๊ค พวกเชียร์อากงตกนรกแน่
12 พ.ค. 55 10.00 น.      

ตั๊ก บงกช แรง! โพสต์เฟซบุ๊ค พวกเชียร์อากงตกนรกแน่
ทำเอาหลายคนงงไปเลย เมื่อนักแสดงสุดเซ็กซี่"ตั๊ก บงกช" ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดร้อนเรื่อง "อากง sms" หรือ "นายอำพล ตั้งนพกุล" ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมือวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา จากโรคมะเร็งตับ

โดยในโลกออนไลน์มีการส่งต่อภาพที่อ้างว่ามาจากเฟซบุ๊คของ "ตั๊ก บงกช คงมาลัย" ซึ่งมีการโพสต์ข้อความว่า

"เวรกรรมของอากง"

"แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น Azn"  

"จริงๆ แผ่นดินก็ดีอยู่แล้ว จะได้ดียิ่นขึ้นเน้อออออ"  

"ถึงฉันจะเปิดนม เปิดอะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี หรืออะไรก็ตามที่คุณจะสันหามาด่า แต่ฉันก็ไม่โง่ แล้วทำไมคุณกล้าสู้เพื่ออากง แล้วเมื่อไหร่คุณจะตายค่ะ จะได้ไปช่วยอากงต่อในนรก เพราะอากงคุณตกนรกแน่ จากกรรมที่หมิ่นพ่อของฉัน"

"คุณรักอากง ฉันก็รักครอบครัวพ่อของฉัน ทำไมเหรอ "

ทั้งนี้ หลังจากภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปจนทั่ว ได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก แต่ข้อความดังกล่าวจะมาจากเฟซบุ๊คของ"ตั๊ก บงกช"จริงหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป

 ตั๊ก บงกช คงมาลัย เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2528 จบการศึกษาที่โรงเรียนลาดปลาเค้าพิทยาคม จากนั้นพักการเรียนเข้าวงการบันเทิง เพื่อต้องการหาเงินเลี้ยงครอบครัว มีผลงานแจ้งเกิดด้วยวัยเพียง 15 ปี จากบท "สา" ในภาพยนตร์เรื่อง "บางระจัน" ต่อมามีผลงานภาพยนตร์เรื่อง "ขุนแผน" แล้วมาพลิกบทบาทเป็น "สมทรง" ในเรื่อง "ไอ้ฟัก" ตามด้วย "อำมหิตพิศวาส" รับบทเป็น แพรว

ทางด้านผลงานละคร ตั๊กแสดงละครเรื่อง "ซุ้มสะบันงา", "ลูกแม่" ทางช่อง 7, "นิราศสองภพ" ทางช่อง 3, "เสน่ห์จันทร์" ช่อง 5 และ "รักแผลงฤทธิ์" ช่อง 3 และยังเคยเป็นพิธีกรรายการ "ตอกไข่ใส่จอ" ทางไอทีวี ด้วย

นอกจากนี้ ตั๊ก บงกชยังมีผลงานถ่ายแบบ แนวเซ็กซี่วาบหวิวให้กับนิตยสารหลายเล่มด้วยกัน ด้วยอุปนิสัยเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา และเชื่อมั่นในตัวเองทำให้ตั๊ก ตกเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการคบหาเพื่อนชาย หรือแม้แต่การอาจมีปัญหากระทบกระทั่งเรื่องการทำงานกับผู้อื่นบ้างแต่โดยมากก็ผ่านไปได้ด้วยดี และตั๊ก บงกชยังขึ้นชื่อว่า เป็นนางเอกยอดกตัญญู ที่รักแม่มากๆ อีกด้วย


http://news.sanook.com/1116919/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%8A-%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%84-%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B9%88/
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #266 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 10:47:16 »

อ.ธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถึง ตั๊ก บงกช ปมอากง
10 พ.ค. 55 18.25 น.     

อ.ธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถึง ตั๊ก บงกช ปมอากง
เกษียร เตชะพีระ อ.ธรรมศาสตร์  โพสต์เฟซบุ๊กฝากถึง "ตั๊ก บงกช" กรณี "อากง" เสียชีวิต ระบุขาดปัญญาและความเข้าใจ ในการแสดงความรัก

จากกรณี "ตั๊ก บงกช คงมาลัย" ดาราสาวชื่อดัง โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ นายอำพล ตั้งนพคุณ หรือ "อากง" จำเลยในคดี ม.112 จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยต่อมา นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และอดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้ทวีตข้อความการโพสต์ดังกล่าวของตั๊ก บงกช

ล่าสุด นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงใน เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีนี้ว่า

"ฝากถึงยะใสกับคุณบงกช คงมาลัย: การแสดงความรักที่ไม่กอปรด้วยปัญญาและความเข้าใจ อาจทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดอยู่แล้วได้ ด้วยความเขลาและขาดความรับผิดชอบ

"การทำด้วยความรัก โดยตัวมันเองไม่ผิด แต่สิ่งที่ทำนั้น หากขาดความรู้ความเข้าใจที่รอบคอบรัดกุมรองรับ ก็อาจกลายเป็นการกระหน่ำซ้ำเติมทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดสูญเสียอยู่แล้วให้เขาเสียใจยิ่งขึ้นได้"

"ลองคิดถึงกรณีทำนองเดียวกันแล้วมีคนมาโพสต์ด้วยน้ำเสียงเลือดเย็นคล้ายๆ กันกับการจากไปของน้องโบว์ดู แล้วญาติมิตรของเธอจะรู้สึกอย่างไร? มันถูกต้องหรือไม่? เป็นสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ควรทำต่อกันหรือไม่? "

"ความรักที่ไม่กอปรด้วยปัญญาหากถือเอาอารมณ์สะใจตนเองเป็นที่ตั้งจึงอาจทำร้ายพสกนิกรของในหลวงด้วยกันด้วยความเขลาและขาดความรับผิดชอบ"

"น่าเสียดายที่คุณยะใสที่น่าจะมีความเข้าใจและรับผิดชอบทางการเมืองจากประสบการณ์ที่มีมากกว่าก็ดูจะเป็นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน"

http://news.sanook.com/1117022/%E0%B8%AD.%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%8A-%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%87/
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #267 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 10:59:03 »

ล่มกลางคัน! เสื้อแดงพัทยารวมตัวฮือขับไล่ "ตั๊ก บงกช" ถึงกองถ่าย
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 08:37:00 น
 
    

เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองพัทยาจำนวนกว่า 30 คน ได้มารวมตัวกันที่บริเวณปากซอยพัทยา 6 ถนนเลียบสายชายหาด หมู่ที่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อช่วยกันขับไล่ "ตั้ก -บงกช คงมาลัย" ที่จะเดินทางยกกองถ่ายมาถ่ายทำหนังภายในซอยพัทยา 6 เนื่องจากไม่พอใจ ตั๊ก บงกช โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำพล ตั้งนพคุณ หรือ อากง ผู้ต้องขังตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่า เมื่อรถของกองถ่ายมาถึงบริเวณดังกล่าว กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาดักรออยู่ได้แสดงตัวพากันออกมาตะโกนต่อว่า ตั๊ก บงกช พร้อมทั้งชูป้ายข้อความต่างๆ จนทำให้การถ่ายหนังต้องล่มลงกลางคัน ซึ่งขณะนั้น ตั๊ก บงกช ยังอยู่ภายในรถเบ็นซ์ สีดำ พร้อมกับนักแสดงชายชาวต่างชาติ พร้อมทีมงานกำลังทำการถ่ายหนังกันอยู่ ก่อนที่ทีมงานจะรีบพากับขับรถหลบหนีออกมา โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงพากันขับขี่รถจักรยานยนต์ไล่ติดตามพร้อมทั้งตะโกนด่าและขับไล่ออกมาจากเขตเมืองพัทยา

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336873051&grpid=03&catid=03
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #268 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 12:41:29 »

“จ๋า ณัฐฐาวีรนุช” กับความเชื่อที่ว่า 'ถ้าเราดีพอ คนดีๆก็จะอยู่กับเรา' - ดาวต่างมุม
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2555 เวลา 08:00 น.
     


“จ๋า - ณัฐฐาวีรนุช ทองมี” นักแสดงสาวคนนี้ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอเก็บตัวเงียบหายจากวงการไป แต่ล่าสุดเธอกลับมาแล้วพร้อมกับภาพยนตร์เรื่อง “ไอมิสยู รักฉัน อย่าคิดถึงฉัน” แต่ก่อนหน้านี้ถ้าจะพูดถึงเรื่องข่าวคราวเรียกว่า เธอคนนี้ตกเป็นข่าวแทบจะทุกวัน แต่วันนี้ “จ๋า ณัฐฐาวีรนุช ทองมี” เธอบอกกับเราว่า เธอเป็นจ๋า คนใหม่ที่มีจุดยืนของตัวเอง และมีเป้าหมายกับคำว่า “ดอกเตอร์”

“ช่วงที่เงียบไป ช่วงนั้นอาจจะเป็นเพราะไม่มีข่าว แต่ว่างานมีตลอด ก็ถ่ายหนังก่อนหน้านี้ก็มี ส.ค.ส. และ วาเลนไทน์ สวีทตี้ และก็มาเรื่อง ไอมิสยู แต่ว่าก่อนหน้าที่จะถ่ายหนังก็มีไปเมืองนอกประมาณเดือนหนึ่ง ตั้งใจจะไปหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ และไปเที่ยวด้วย แต่พอดีมีหนังก็เลยต้องรีบกลับมา ความตั้งใจแรกจะอยู่สัก 3 เดือน พอมีหนังเข้ามาก็เลยกลับมาหาตังค์ก่อนแล้วพอกลับมาก็เจอน้ำท่วม แล้วจากนั้นก็มีงานเข้ามาต่อเนื่องเลย”

ได้ข่าวว่ากำลังทำดอกเตอร์อยู่ด้วย?

“ใช่คะ ตอนนี้คือจำเป็นต้องจบภายในปีครึ่ง (หัวเราะ) ยังไงก็ต้องให้จบค่ะ”

คือตั้งใจว่ายังไงก็จะเป็นดอกเตอร์ให้ได้?

“คือที่บ้านชอบเรียน แต่ไม่ได้ใจว่าฉันจะต้องเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ คือมีโอกาสก็เรียนไป รู้สึกว่าการเรียนยังไงก็ช่วยให้ชีวิตดีอยู่แล้ว คือเก็บเป็นทุนไว้ อาจจะเอาไว้ใช้ในอนาคต คิดว่ายังไงมันดีกับเรา”

จ๋า เรียนสาขาอะไร?

“ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือจ๋าเรียนตรีก็คณะเดียวกัน เรียนปริญญาโท ก็ยุโรปศึกษา ก็พอมาดอกเตอร์ก็เข้าสายเดิม แล้วก็ตั้งใจว่าวิทยานิพนธ์เนี้ย ตั้งใจว่าการใช้หนังไทยโปรโมตประเทศ มันก็เกี่ยวกันตั้งการเมืองและการโปรโมตประเทศ ทางด้านบันเทิง ก็คือครบสูตรทางด้านที่เรียนมา”

แล้วพอเป็นดอกเตอร์แล้ว งานในวงการบันเทิงจะรับน้อยลงไหม จะหันไปทำงานที่เรียนมาหรือเปล่า?

“แก่แล้วด้วยค่ะ จ๋าว่าทุกอย่างมันก็เป็นไปการดำเนินชีวิตไปตามกาลเวลา วันนี้มันยังเหมาะกับจ๋าอยู่ก็ทำไปก่อนว่าสิ่งที่เรามีมันทำอะไรได้บ้าง เพราะจ๋าคงไม่รู้สึกว่าจะขายแค่เรื่องของบันเทิงไปตลอด”

อยู่วงการบันมากี่ปีแล้วถึงคิดแบบนี้?

“12 ปี แล้วค่ะ”

เลยคิดอยากจะทำเบื้องหลัง?

“จริง ๆ จ๋าคิดมาตลอด แล้วก็ลองทำเบื้องหลังอยู่บ้าง ก็ทำรายการอยู่ที่เป็นโปรดิวเซอร์เอง ชื่อ ไรเบอร์รี่ ทำให้กับไชนาวี ป้อนช่องตัวเอง แต่มีอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ จัดการบริหารเองหมดแล้ว แล้วเรื่องหนัง จ๋า มีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่ปื๊ด (ธนิตย์ จิตนุกูล) ได้กำกับหนังสั้น ชื่อเรื่อง ทั้งหัวใจให้หมดเลย แต่ตอนนี้ยังไม่ออกฉาย เป็นโปรเจคท์ที่ทำถวายพ่อหลวง เรียกว่าชื่อเป็นผู้กำกับ แต่จริง ๆแล้วต้องเรียนว่าเป็นนักเรียนที่เรียนกำกับมากกว่า เพราะว่าพี่ปื๊ดเขาช่วยดูแล ทีมงานก็ยังช่วย
ดูแลอยู่ คือจริงจ๋า ว่าดารานักแสดงทุกคน เขารักการสร้างงานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสเบื้องหน้ามาก่อน แต่พอเราอยู่เบื้องหน้านาน ๆ การรักในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ก็อยากจะมาเป็นคนที่เสนอไอเดียบ้าง พอมีโอกาสมาให้เรา เราก็อยากลอง”

วงการนี้ให้อะไรจ๋า บ้าง?

“ให้เยอะมาก ถ้าตอนเริ่มต้นให้ความรับผิดชอบ ตอนเด็ก ๆ เรายังไม่รู้ เราก็เริ่มต้นเรียนรู้จากการเริ่มทำ ได้เรียนรู้ในเรื่องของการวางตัว ให้ความอดทน และให้ความอดทนทางสภาพจิตใจคือทุกอย่าง เรียนรู้การเข้าใจคนหลายอย่างมาก”

ในเรื่องของข่าว ที่ผ่านมาข่าวจ๋าเยอะมาก จ๋าใช้วิธีไหนในการดูแลสภาพจิตใจของตัวเอง?

“มีคนชอบคิดว่าจ๋าไม่เป็นอะไรหรอก เพราะตอนออกสื่อจ๋าดูไม่เป็นอะไรในตอนที่ออกมาพูด แต่จริง ๆ เราเครียดมาแล้ว มันดาวน์มากจนเบื่อ ไม่อยากเจอใครเลยก็เป็น สิ่งที่ทำได้ก็คือพยายามอยู่กับตัวเอง ทำความเข้าใจแล้วก็ปล่อยวาง และยืนยันมั่นคงกับสิ่งที่ตัวเองเป็น จ๋ายึดคำกล่าวไว้ว่า ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยถูกพูดถึง แต่ของเราอาจจะถูกพูดถึงในวงกว้าง เพราะเราเป็นคนที่ทำงานข้างหน้าสื่อ ก็ปกติค่ะ แต่ถ้าวันใดที่เราทำอะไรแล้วไม่มีใครพูดถึง เราอาจจะกลับมาคิดอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน”

ตรงนั้นมันสอนอะไรเราบ้าง?

“สอนมากค่ะ สอนเราว่า เราจะไม่ตัดสินใครจากการได้ยิน คือเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก จ๋าว่าทุกวงการแหละต้องมีการนินทา แม้แต่ในวงการนักเรียนก็ยังมี เพียงแต่ว่าคนที่ถูกพูดอาจจะไม่รู้จักกันเยอะ เพียงแต่ว่าเวลาที่เราได้ยินใครพูดถึงใครมันก็อาจจะเป็นมุมมองด้านเดียวก็ได้ เราก็เลยไม่เคยตัดสินใครจากการที่คนบอก อย่างเรื่องข่าว ตรงนั้นก็เป็นหน้าที่ของนักข่าว ซึ่งคนที่ถูกเสนอข่าวเขาก็มีสิทธิที่จะออกมาแก้ ออกมาบอกจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น จริง ๆ มันก็เป็นได้ทั้งหมด มันก็อยู่ที่หน้าที่ใครหน้าที่มัน”

ที่เงียบ ๆ ไป จ๋า พยายามเอาตัวเองออกห่างวงการ หรือ คิดอะไรอยู่ในช่วงนั้น?

“หลายอย่าง และคิดถึงอนาคตตัวเองด้วย แล้วข่าวช่วงนั้นถูกโยงถึงหลาย ๆ
คน จ๋าก็รำคาญ ก็บางทีก็ไม่ได้อยากเจอคนเยอะ อันนี้ก็พูดตามตรง บางทีก็เลยคิดว่าเราลองไปทำอย่างอื่นดูไหม สมองมันปลอดโปร่งด้วย เป็นประสบการณ์ใหม่ด้วย แล้วก็อยากจะเรียนให้จบ ก็เลยตั้งเป้าของเราไปเลย”

แต่พอมีงานเข้ามา กลับมาทำงานมันก็ต้องมีข่าวอีกนะ?

“คืออันนั้นมันก็มีเหตุและผลของมัน สมมุตินะคะว่าถ้ามีอีเวนต์มา แล้วเอาตัวเองไปออกงานอีเวนต์เพื่อได้สตังค์ เอาตัวเองไปขายในข่าว จ๋าก็จะรู้สึกว่าไม่เป็นไรไว้ก่อนแล้วกัน แต่ถ้าหนังคือสิ่งที่จ๋าชอบ แต่ถ้ามันจะต้องตามมาด้วยข่าว ก็ไม่เป็นไรเพราะเรารักงานหนัง คือมันอยู่ที่จ๋าเลือกจะทำหรือเปล่า ณ อารมณ์ช่วงนั้น ๆ”

กลับมาเรื่องหนังบ้าง เป็นการกลับมาเจอกับพี่ติ๊ก (เจษฎาภรณ์ ผลดี)?

“เชื่อไหมว่า วันนั้นที่นักข่าวเข้ากองครั้งแรกที่กองถ่ายหนังเรื่องแรกที่เล่นกับพี่ติ๊ก เรื่อง รักแท้ปาฏิหาริย์ วันนั้นจ๋าเป็นเด็กใหม่ แล้วพี่ติ๊กเป็นพระเอก เป็นซุปตาร์ ทุกคนถูกเสน่ห์พี่ติ๊กดึงเข้าข้างสองข้างหมด จ๋าจำภาพได้ว่าเป็นโต๊ะม้าหิน พี่ติ๊กนั่งหัวโต๊ะ แล้วมีนักข่าวล้อม จ๋าก็นั่งฟังจ๋าก็สนุกดี ก็คิด อืม...ดาราเขาเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้ววันนี้พอได้กลับมาทำงานกันอีก ก็เหมือนกับเราคุ้นเคยกันมาแล้ว มันก็ง่าย อีกอย่างพี่เขาก็เป็นคนที่มีฝีมือมาก มันเลยง่ายคือ เคมีมันตรงกันในเรื่องของการทำงานมากค่ะ”

แล้ววันนี้คิดว่าตัวเองมีพลังของดาราแล้วยัง?

“จ๋า ก็ยังเป็นจ๋าค่ะ คือจ๋าพยายามไม่ยึดติด แม่สอนตั้งแต่เด็กได้ดีก็ดีใจแต่อย่าเหลิง อะไรก็คืออย่าเหลิง จ๋าถูกกดตั้งแต่เด็ก ถึงจะเรียนเก่งเกรดดีก็ไม่เคยได้ของขวัญอะไรเลย แม่สอนไว้ถ้าได้ดีก็ดีกับตัว ถูกสอนมาแบบนี้แล้วพอได้อะไรดี ๆมาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าอะไรที่เป็นสิ่งดีก็ดีที่สุด ไม่ว่าจะดีขนาดไหนก็ดีแค่นั้น”

พูดถึงหนังหน่อย เห็นว่าเรื่องนี้ต้องเล่นเป็นวิญญาณ?

“บทบาทในเรื่องนี้ แต่ละคนพลิกหมด สำหรับจ๋า ที่ผ่านมาคนจะจำจ๋า แต่คอมเมดี้ พอมาเรื่องนี้ก็ดราม่า ถามว่าเล่นเป็นวิญญาณยากไหม เล่นเป็น
ผีไม่ยากนะคะ แต่ในเรื่องนี้ ผีไม่ใช่ผี ก็คือออกมาในรูปแบบของคน แสดงความรู้สึกเหมือนคน อาจจะพูดได้น้อย อาจจะแสดงอารมณ์ที่แบบออกท่าทางไม่ได้ เราก็ต้องแสดงออกแบบนิ่ง ๆ แต่อารมณ์ออกยาก”

เล่นหนังรักหลอน ๆ มาแล้ว วันนี้ขอถามเรื่องมุมมองความรัก จ๋า ในวันนี้เป็นยังไง?

“จ๋าโตแล้ว ไม่อยากเลือกแล้ว ส่วนสเปกเนี่ย ตอนเด็ก ๆเราอาจจะเยอะนะ คือแบบยิบย่อย คนนั้นก็น่ารักดี แต่เตี้ยไปหน่อย คนนี้ดำไม่ชอบ แต่พอเราโตขึ้น สเปกเราก็จะมาแบบรวม ๆมากกว่า เช่น คนนี้อยู่ด้วยแล้วสบายใจไหม จริงใจกับเราหรือเปล่า มีอนาคตร่วมกันได้ไหม”

แล้วที่เขาบอกว่าอายุมากขึ้น จะเลือกน้อยลง จ๋า ว่าจริงไหม?

“ไม่จริงนะ ยิ่งอายุมากเรายิ่งเลือกมากกว่าเดิม แต่ไม่ได้เลือกเป็นรายละเอียดเยอะ ๆ เท่าเดิม”

กลัวขึ้นคานไหม?

“ ไม่กลัวขึ้นคาน แต่ไม่อยาก ก็คือเหมือนปล่อย ถ้าไม่มีจริง ๆ ถ้ามันจะต้องอยู่คนเดียว เราก็ต้องอยู่คนเดียว แต่ถ้าถามว่าอยากอยู่คนเดียวไหม ก็ไม่อยากอยู่คนเดียว”

เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมคะ?

“ไม่เคยเจอง่ะ พูดตรง ๆ เชื่อไหมตัวเองยังไม่รู้ แต่เห็นคนอื่นแบบนะที่เขามีความรัก เออ ก็ดูแล้วเขาเกิดมาเป็นคู่กันจริง ๆ อันนี้สำหรับคนอื่นนะ แต่ของตัวเองเนี่ยจ๋ายังไม่รู้นะ เพราะยังไม่เคยเจอ ไม่รู้ว่ามันมีจริงที่จะเกิดกับเราไหม”

แล้วศรัทธาในรักแท้ไหม?

“จ๋าเชื่อนะว่ารักแท้มีจริง แต่ไม่รู้ว่าทำบุญมาพอหรือเปล่า แค่นั้นแหละ (หัวเราะ )”

ตัวจ๋าเองเชื่อไหมว่าเวลา จ๋าลัคกี้อินเกมแล้วมักจะไม่ลัคกี้อินเลิฟนะ?

“ก็สังเกตตัวเองเหมือนกันนะ เพราะว่าตัวจ๋าเอง เวลาที่จ๋าให้จ๋าก็ให้หมด แต่ว่าตอนนี้เราโตขึ้น การที่เราจะให้ใครทั้งหมดเนี่ยมันก็ต้องดูดี ๆ ว่าถ้าเอาสิ่งที่ดี ๆ
ของเราทั้งหมดไป สิ่งที่เราได้ตอบกลับมามันควรหรือว่าเหมาะสมกันไหม ตอนเด็ก ๆอาจจะคิดน้อยหน่อยเพราะว่าความรับผิดชอบหน้าที่อาจจะยังไม่หนักมาก แต่ตอนนี้เราโตแล้วก็คิดมากขึ้น แต่จริง ๆ คนเราก็เปลี่ยนไม่ได้ทั้งหมดหรอก อย่างเช่นบอกว่าเราโตแล้วเราไม่แคร์หรอก แต่จริง ๆ พอเจอคนที่เราชอบเราก็แคร์อยู่ดี แต่เราอาจจะดึงตัวเองออกมารักษาระยะได้”

เวลามีความรัก จ๋า ทุ่มเทไหม?

“เกินค่ะ เกินความจำเป็น เกินความจำเป็นในที่นี้หมายความว่า เมื่อก่อนเราอาจจะเลือกคบกับคนที่ เรามีใจให้กัน แต่เราอาจจะมองว่าชีวิตเราดูแล้วไม่น่าจะไปด้วยกันได้เท่าไร แต่เรามีใจให้กันในตอนนั้นก็เลยไม่สนใจก็ยังทุ่มเทให้อยู่ แต่ปัจจุบันนี้ถ้ามองแล้วว่า ทัศนคติ หรือแอติจูด ที่ดูแล้วไปด้วยกันไม่ค่อยได้เท่าไร มันก็อาจจะเดินไปด้วยกันยาก ก็ต้องเปลี่ยนมุมมองหาคนที่อยู่ด้วยกันได้ แล้วค่อยไปเต็มร้อย แต่เมื่อก่อนเราจะเต็มร้อยไปก่อน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไปกันไม่รอด เพราะเราเด็ก ให้ใจก่อน เต็มร้อยก่อน”

เคยกลับมามองตัวเองไหมว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก?

“มีทุกช่วงความผิดพลาดเกิดแตกต่างกันไป เคยมีช่วงที่เราไม่ดีพอ เราอาจจะเจอคนดี แต่ช่วงนั้นเรายังรู้สึกว่าเรายังสนุกกับการใช้ชีวิต เราเลยไม่ให้ความสำคัญกับเขาเท่าที่ควร ก็เคยเจอ แล้วมาพลิกแบบว่าเราให้ความสำคัญกับเขาเกินไป จนลืมเรื่องทุกอย่างของตัวเอง สุดท้ายเดินไปไหนไม่ได้ก็เคยเจอ มันแล้วแต่ช่วงแล้วแต่กับคนก็ไม่เหมือนกัน ตอนนี้จ๋า เอาตัวเองมาอยู่ตรงกลางแล้วพยายามทำตัวเองให้ดี จ๋าเชื่อว่าวันนี้ถ้าเราทำดีพอ คนดี ๆ ก็น่าจะอยู่กับเรา”

และเราก็เชื่อเช่นกันว่า สักวันนักแสดงสาวสวย ว่าที่ดอกเตอร์คนนี้ เธอจะเจอคนที่พอดีและดีพอกับเธอแน่นอนในอนาคต.

เรื่อง คนกลาง / ภาพ วรัญญู เหมือนเดช

http://www.dailynews.co.th/entertainment/114158
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #269 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 13:04:04 »

มหารัตนเจดีย์ฯ...เจดีย์แห่งสามโลก
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2555 เวลา 05:00 น.

 

วันที่ 5 เดือน 5 ปี 2555 ณ จุดที่สามโลกธาตุ สวรรค์ แดนมนุษย์ และบาดาลมาบรรจบ พิธีสมโภชมหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุก็เริ่มต้นขึ้น...

สิ่งก่อสร้างทางพระพุทธศาสนาแห่งนี้ริเริ่มโดยหลวงตาอ๋อย หรือที่รู้จักกันในนาม “หลวงตาย่ามแดง” ผู้อุปฐากครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายวัดป่าในภาคอีสาน ทั้งยังเป็นผู้อุทิศตนในการช่วยเหลือผู้คนมากมาย จนราวปี พ.ศ. 2535 หลวงตาอ๋อยพิจารณาแล้วเห็นว่าถึงเวลาที่จะกลับไปโปรดลูกหลานตนเองในบ้านเกิดที่ขอนแก่น

ปี พ.ศ. 2542 หลวงตาอ๋อยระลึกได้ว่ายังมีที่ดินเก่าแก่อยู่แปลงหนึ่งราว 5 ไร่ ที่ ต.พระลับ อ.เมือง จึงได้ว่าจ้างรถแบ๊กโฮมาปรับที่ดินเพื่อเตรียมพื้นที่ไว้ทำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมส่วนตัว แต่แล้วระหว่างที่กำลังปรับแต่งนั้นเกิดไปขุดเจอพระขรรค์สำริดโบราณเข้า ทำให้หลวงตาอ๋อยฉุกคิดได้ว่าที่ดินแปลงนี้คงไม่ธรรมดาแน่ เมื่อกำหนดจิตดูจึงรู้ด้วยญาณวิถีว่า ผืนแผ่นดินที่ว่านี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหลวงตาอ๋อยเรียกว่า “แผ่นดินสามโลกธาตุ” จึงดำริให้สร้างวัดขึ้นโดยร่วมกับศิษยานุศิษย์จัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมให้เพียงพอเหมาะสมกับการสร้างวัด จนมีที่ดินรวมกว่า 73 ไร่

“หลวงตาบอกให้ผมเป็นคนออกแบบ ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะออกแบบได้ เพราะไม่เคยออกแบบงานสถาปัตยกรรมแบบนี้มาก่อน หลังจากนั้นก็ลืมไปนานจนอยู่มาวันหนึ่งหลวงตาให้ไปถือศีล ผมเตรียมเสบียงไปเพียบเพราะกลัวว่าจะลำบาก คืนแรกกับวันแรกผ่านไปด้วยการนอนสมาธิ เหมือนกับได้พักผ่อนเต็มที่ พอคืนต่อมาระหว่างที่หลับไปก็รู้สึกตัวเหมือนตื่นขึ้นมา แล้วหลวงตาก็มาชวนให้ไปด้วยกัน” กำธร ศีลอุดมทรัพย์  ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา บริษัท น้อมบุญ จำกัด สถาปนิกโนเนมและโนสกิลล์สำหรับงานออกแบบเจดีย์ บอกเล่า

แรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่เหมือนกับฝันและจริงในคืนนั้น หลังจากหลวงตาอ๋อยพาข้ามมิติไปเห็นหมู่ปราสาทขอมที่มีแผนผังซับซ้อน พร้อมกับบอกว่าสถาปนิกที่ใครต่อใครไม่แน่ใจในความสามารถว่าจะออกแบบมหาเจดีย์ได้หรือไม่คนนี้ ในอดีตชาติเคยเป็นผู้ออกแบบปราสาทบายนมาก่อน นับจากวันนั้นงานออกแบบที่ไม่เคยทำและดูจะไม่ถนัดก็เสร็จสมบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็ว

องค์พระมหาเจดีย์ซึ่งสื่อความหมายของ “พุทธภาวะ” ตั้งอยู่ท่ามกลางบึงน้ำล้อมรอบ 4 ทิศ เปรียบเป็นโอฆสสงสารอันสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ปลียอดของพระมหาเจดีย์รูปดอกบัวตูมเป็นส่วนสื่อถึงพุทธภาวะ หมายความว่า ดอกบัวแห่งความรู้แจ้งนี้งอกขึ้นมาจากบึงน้ำแห่งวัฏสงสาร เติบโตขึ้นเพื่อที่จะเบ่งบานสู่เบื้องบนคือพระนิพพานในที่สุด

ฐานทักษิณาเป็นรูปสี่เหลี่ยมแทนพระอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ส่วนเจดีย์ทิศทั้งสี่แทนมหาภูตรูป 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นธาตุองค์ประกอบพื้นฐานของโลก เป็นที่สถิตของเทวรูปแทนองค์ท้าวจาตุมหาราชิกาทั้ง 4 เทวราชผู้ดูแลมนุษย์ พิทักษ์โลก และพระพุทธศาสนา โดยทิศใต้ ธาตุดิน เป็นที่สถิตของท้าววิรุฬหก เจ้าแห่งกุมภัณฑ์ ปฐพี และจตุบาท ทิศเหนือ ธาตุไฟ เป็นที่สถิตของท้าวเวสสุวัณหรือท้าวกุเวร เจ้าแห่งจิตวิญญาณและโชคลาภ ทิศตะวันออก ธาตุลม เป็นที่สถิตของท้าวธตรฐ เจ้าแห่งคนธรรพ์ เวหา และทวิบาท และทิศตะวันตก ธาตุน้ำ เป็นที่สถิตของท้าววิรูปักษ์ เจ้าแห่งนาค ห้วงน้ำบาดาลและอปาทิกะ

ฐานชั้นที่ 2 ส่วนประดิษฐานพระประธานเป็นรูป 8 เหลี่ยม หมายถึงมรรคมีองค์ 8 ทางสายกลาง ทางสายตรงอันเป็นแนวปฏิบัติเพื่อเข้าสู่นิพพาน องค์พระเจดีย์ที่ออกแบบให้เป็นวิหารเจดีย์ลักษณะเป็นคัพภวิสัย คือเป็นห้องโถงโล่งทรงระฆังคว่ำ เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน พระนีลวรรณโณศีโลทรัพอุดม หรือหลวงปู่เจ้าพระองค์ดำทรงเครื่องจักรพรรดิ หรือที่ผู้คนมักเรียกว่าหลวงปู่ดำ

ความหมายในทางแนวตั้งขององค์มหาเจดีย์นั้น ชั้นล่างสุดเป็นชั้นบาดาล ถัดมาเป็นมนุษย์ภูมิ หมายถึงชั้นเดียวกับองค์พระเจดีย์ซึ่งทั้งสองชั้นนั้นเป็นชั้นที่ผู้คนจะเข้าไปกราบไหว้และประกอบพิธีทางศาสนาได้ แต่นับตั้งแต่ส่วนหลังคาขึ้นไปนั้นคือชั้นเทวภูมิ โดมใหญ่นั้นมีรูปปั้นเทพนมลอยตัวประจำอยู่ทั้ง 8 ด้าน ที่สันโดมมีพญานาคประคองพุ่มดอกไม้โคมไฟบูชาพระมหาเจดีย์เคียงอยู่ด้วยกัน

ถัดขึ้นไปโดมชั้นพรหม มีกระจกหน้าต่างแต่งด้วยสัญลักษณ์ธรรมวิชัย ซึ่งเป็นรูปธรรม จักรประกอบด้วยเปลวเพลิงสามยอด หมายถึงการหมุนเผยแผ่ไปของรัตนะทั้ง 3 ประการ ขึ้นไปชั้นโดมพระนิพพาน เป็นโดมว่างแทนนิพพานภาวะรูปดวงตาสลักบนกระจกทั้ง 8 ด้าน ก่อนจะถัดขึ้นไปเป็นส่วนยอด รูปดอกบัวนั้นยังสื่อถึงการระลึกถึงและบูชาถึงองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พระอรหันต์ผู้สืบส่วนสายปฏิบัติวัดป่าเนื่องมาแต่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ขณะที่ยอดฉัตร 9 ชั้นนั้นสะท้อนความมุ่งหมายที่จะให้พระมหาเจดีย์นี้เป็นมหาบุญถวายแด่พระมหาโพธิสัตว์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระภัทรมหาราชผู้เป็นที่รักแห่งปวงชนชาวไทย

“ส่วนใต้พระรัตนเจดีย์ฯซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์นั้นจะจัดเป็นห้องแสดงปริศนาธรรม และเราจะมีการให้ความรู้แก่คนที่เข้ามาสักการะเกี่ยวกับความหมายที่แฝงอยู่ในมหารัตนเจดีย์ ถึงแม้วันนี้หลวงตาอ๋อยจะไม่อยู่แล้วแต่พวกเราก็จะสานต่อเจตนารมณ์ของท่านต่อไป เพื่อให้มหารัตนเจดีย์ฯเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง” มานะ จิระนภากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้อมบุญ จำกัด บอกเล่า

หลวงตาย่ามแดงของเหล่าศิษยานุศิษย์เคยบอกไว้ว่า “สร้างมหาเจดีย์ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่จะสงเคราะห์ลูกหลาน ให้ลูกหลานได้มีโอกาสสร้างบุญใหญ่กัน ต่อไปจะได้สบาย”

และวันนี้มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุเสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 7 ปี 7 เดือน แม้ว่าวันนี้จะไม่มีหลวงตาอ๋อย หากแต่มหาเจดีย์แห่งนี้จะยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนรุ่นต่อ ๆ ไป เพื่อร่วมกันสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่เป็นที่พึ่งให้กับมนุษย์ต่อไป.

http://www.dailynews.co.th/article/725/114136

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #270 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 13:10:30 »

เหลือเชื่อ หนุ่มฟื้นจาก"ความตาย"ในงานศพ หลังสิ้นลมเพราะ"หัวใจวาย"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ว่า เกิดเหตุฮือฮาเหลือเชื่อ เมื่อนายฮัมดี ฮาเซฟ อัล นูบี บริกรวัย 28 ปีชาวอียิปต์ ซึ่งถูกแพทย์ประกาศว่า เสียชีวิตเพราะอาการหัวใจวายตาย ได้ฟื้นขึ้นระหว่างงานศพตัวเอง ท่ามกลางความยินดีปรีดาของเหล่าญาติที่เห็นเขาฟื้นจากความตายอย่างไม่น่าเชื่อ
 
รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้ ญาติซึ่งเชื่อว่า นายฮัมดี ได้เสียชีวิตไปแล้ว และได้ล้างตัวเขาตามพิธีกรรมตามศาสนาอิสลาม และเตรียมนำเขาไปฝังในวันศุกร์ ก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นในระหว่างงานศพ ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าญาติที่เข้าร่วมพิธีอย่างมาก และญาติ ๆ ต่างพากันจัดงานฉลองให้แก่นายฮัมดี ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
 
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนฟื้นในงานศพตัวเอง โดยเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่งเกิดเหตุย่าทวดจีนวัย 95 ปี ปืนออกจากโลงศพ 6 วันหลังจากเธอถูกคิดว่าเสียชีวิตเพราะล้ม โดยร่างกายเธอไม่ไหวติงและไม่หายใจเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จากอาการบาดเจ็บหนักบริเวณศีรษะ ก่อนที่เธอจะถูกนำตัวลงโลงศพ แต่เธอได้ฟื้นขึ้นก่อนวันทำพิธีเผาเพียงวันก่อน โดยเพื่อนบ้านต้องพบกับโลงเปล่า ก่อนพบว่า เธอเข้ามาอยู่ในครัว


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336888192&grpid=03&catid=06&subcatid=0600
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #271 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2555, 13:22:59 »


"วิสั้น"รถไฟฟ้า
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 18:00:18 น.
 
    
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12 โดย สรกล อดุลยานนท์

 
 
 
ถือเป็นการตัดสินใจที่มี "วิชั่น" หรือ "วิสัยทัศน์" กว้างไกลจริงๆ

เพราะมองเห็นอนาคตล่วงหน้าตั้ง 17 ปี

ถ้าใครเป็น "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" คงต้องเอามือก่ายหน้าผาก เมื่อกรุงเทพมหานครต่อสัญญาเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสล่วงหน้า 17 ปี

คือ สัญญาเดิมจะหมดลงในอีก 17 ปีข้างหน้า

แต่ กทม.ต่อสัญญาให้กับ "บีทีเอส" เลยตั้งแต่วันนี้

ต่อไปอีก 13 ปี

ถ้าผู้ว่าฯกทม.เป็นคนสังกัดพรรคเพื่อไทย รับรองได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์เอาตาย

เพราะมีที่ไหนทำสัญญาจ้างล่วงหน้าตั้งแต่ 17 ปี

จะอ้างว่าเพื่อให้เอกชนกล้าลงทุนซื้อขบวนรถ

ถามจริงๆ อายุการใช้งานของรถนานขนาดนั้นเชียวหรือ

กทม.อ้างว่าไม่ได้ต่อสัมปทาน แต่เป็นสัญญาจ้างให้เป็นผู้เดินรถไฟฟ้าเท่านั้น และเป็นการขยายเวลาให้เท่ากับที่จ้าง "บีทีเอส" เดินรถในเส้นทางต่อขยาย "อ่อนนุช-แบริ่ง" และ "ตากสิน-วงเวียนใหญ่"

คือ สัญญาเดิมกับเส้นทางเก่าของ "บีทีเอส" นั้นเหลือ 17 ปี

แต่สัญญา "ส่วนต่อขยาย" กทม.ทำกับ "บีทีเอส" 30 ปี มากกว่าสัญญาเก่า 13 ปี

คราวนี้ก็เลยต่อสัญญาเดินรถในเส้นทางเก่าอีก 13 ปีให้ครบ 30 ปีเท่ากัน

เป็นตรรกะที่ง่ายเกินไปหรือเปล่า

ไม่คิดเลยหรือว่าจะไม่มีคนตั้งคำถามว่าตอนที่ทำสัญญาเดินรถเส้นทางต่อขยายนั้นทำไมไม่ทำสัญญาแค่ 17 ปีเพื่อให้เท่ากับสัญญาในเส้นทางเก่า

17 ปี นานนะครับ สำหรับแค่ "การเดินรถ" เพราะ กทม.เป็นคนลงทุนในส่วนต่อขยายเอง

แต่กลับเล่นเกมทำสัญญาส่วนต่อขยายนาน 30 ปี เกินเวลาสัญญาเก่าไป 13 ปี

แล้วใช้เป็นข้ออ้างในการต่อสัญญาในเส้นทางเดิมอีก 13 ปี เพื่อให้ครบกำหนดเวลาเดียวกัน

เส้นทางรถไฟฟ้าของ กทม.นั้นคือ "ไข่แดง" ที่มีค่าอย่างยิ่ง เพราะยึดเส้นทางกลางเมืองไว้หมด ทั้งสยาม สุขุมวิท สีลม

อย่าลืมว่าธุรกิจรถไฟฟ้านั้นไม่ใช่เพียง "ค่าโดยสาร"

สื่อโฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้าและในรถไฟฟ้านั้นมีมูลค่ามหาศาล

คนในแวดวงโฆษณารู้ดี

หรือผลประโยชน์ในการต่อเชื่อมอาคารสำนักงาน หรือศูนย์การค้ากับสถานีรถไฟฟ้าไม่ใช่จะขอเปิดทางง่ายๆ นะครับ

ในแวดวงธุรกิจก็รู้ดี

ล่าสุด สถาบันกวดวิชา "ครูอุ๊" ที่พญาไทเพิ่งออกมาโวย ตรงแยกพญาไทรถติดมากเพราะมีสถาบันกวดวิชามากมาย

เขาลงทุนทำทางเชื่อมเองยังไม่ได้เลย

กทม.ไฟเขียว แต่ต้องรอ "บีทีเอส" อนุมัติ

"อนุสรณ์ ศิวะกุล" หรือสามี "ครูอุ๊" บอกกับ "มติชนออนไลน์" เองว่า "บีทีเอส" เรียกค่าใช้จ่ายสูงถึง 25 ล้านบาท

ผลประโยชน์จากค่าโฆษณาหรือค่าเปิดทางเข้าตึกจากสถานีรถไฟฟ้าในปี 2555 เท่าไร

อีก 17 ปี เพิ่มขึ้นเกินกว่าเท่าตัวแน่อน

ค่าเดินรถ 1,800 ล้านในเวลา 30 ปีไม่แพงหรอกครับ

แต่ควรทำหรือไม่

และผลประโยชน์ที่นอกเหนือจากนั้นต่างหากที่น่าสนใจ

คำถามก็คือ กทม.รู้หรือไม่

หรือว่าทำเป็นไม่รู้

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1336811812&grpid=03&catid=02&subcatid=0200
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #272 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2555, 07:27:10 »

ทัศนคติของคนต่างชาติมองการทำงานของคนไทย....
เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:


1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง
คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
- เจฟฟรีย์ บาร์น


2. การโต้แย้ง
เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ "
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ


3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
- ไมเคิล วิดฟิล์ค


4. ความรับผิดชอบ
4.1 ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า
ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนาน ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง
4.2 ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน


5. วิธีแก้ไขปัญหา
คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายครั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก


6. บอกแต่ข่าวดีคนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ
6.1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา
6.2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า จะทำงานเสร็จทันเวลาๆไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย
- โจนาธาน ธอมพ์สัน


7. คำว่า " ไม่เป็นไร "
เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์


8. ทักษะในการทำงาน
8.1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า
8.2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด
8.3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้วไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม
- เดวิด กิลเบิร์ก


9. ความซื่อสัตย์
พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์


10. ระบบพวกพ้อง
คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์


11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว
พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร

- วิลเลี่ยม แมคคินสัน


12. นับถือระบบอาวุโส
คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
- เนลสัน ฟอร์ด


ผู้บริหารบางคนต้องปรับปรุงตามด้วยนะ เพราะว่าพอมีพนักงานโต้แย้ง แต่ก็ไม่รับฟังเหตุผลก็มี ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะโต้แย้งสักเท่าไร อยู่ไม่ได้ก็ลาออกไป


People Magazine
จาก people
[17 พฤษภาคม 2555]
http://moinet/wboard/Question.asp?ID=9912
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #273 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2555, 00:15:19 »

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14:49 น.  ข่าวสดออนไลน์


สังคมเน็ตฮือประณาม!! ภาพปริศนาอ้างคณะรัฐศาสตร์ม.ดัง เล่นพวกสอบปลัด

 ตลอดช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา มีกระแสฮือฮาในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หลังมีมือนิรนามโพสต์รูปที่ระบุว่ามาจากกลุ่มพูดคุยในเฟซบุ๊กของชาว ′สิงห์แดง 58′ โดยลบชื่อของบุคคลที่เกี่ยวข้องออก เหลือแต่ข้อความว่า:
 
 
 ′เรียนเพื่อนๆ สิงห์แดง 58 ทุกท่านนะครับ

 ใครจะสอบปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครอง ปฏิบัติการ กรมการปกครอง)

 กรุณาแจ้งรายชื่อให้ผมด้วย เนื่องจากรุ่นพี่ของเรา อยากได้รายชื่อรุ่น 58 ที่ประสงค์จะสอบ ซึ่งอาจจะมีทีเด็ดจากการแจ้งรายชื่อในครานี้ ไม่มากก็น้อย

 ดังนั้น เพื่อให้ทำการนี้ให้สำเร็จ ผมจะรวบรวมส่งรายชื่อ อันประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้ ชื่อ-นามสกุล เลขทะเบียน เบอร์โทรศัพท์ และ Email

 พิมพ์ตอบไว้ในกระทู้นี้หน่อย

 สำหรับคนที่ไม่ได้สอบ แต่เห็นข่าวนี้ ก็ช่วยกันกระจายในหมู่พวกเราในทางลับ แต่ทั่วถึง ให้ด้วยนะครับ เพื่อประโยชน์อันสูงสุดของพวกเรา

 รบกวนแจ้งข่าวนี้กันด้วยครับ ขอบคุณครับ เพื่อนๆ′

 ปล. อยากได้รายชื่อไม่เกิน 1 สัปดาห์หลังนี้อ่ะครับ′
 
 
 ภาพดังกล่าวมีการส่งต่ออย่างแพร่หลาย มีคนแสดงความคิดเห็นจำนวนมากอย่างอย่างเผ็ดร้อน หลายคนชี้ว่ารูปนี้เป็นหลักฐานที่ส่อถึงพฤติกรรม ′ใช้เส้น′ ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศ ซึ่งเป็นอนาคตทางการเมืองการปกครองระดับประเทศ แต่กลับใช้ระบบอุปถัมภ์กันเสียเอง ขณะที่ มีผู้แสดงความเห็นประณามคนที่ปล่อยรูปนี้ เนื่องจากทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม รูปนี้ถูกลบออกแล้วในเวลาต่อมา

 จากการสอบถามผู้ที่นำภาพจากกลุ่ม ′สิงห์แดง 58′ นี้มาปล่อยเป็นคนแรก ระบุว่า ถูกเว็บไซต์เฟซบุ๊กแจ้งว่าลบรูปนี้ออกจากระบบเนื่องจากมีผู้ใช้เว็บไซต์หลายคนระดมกดปุ่ม ′Report′ เพื่อให้ภาพนี้ถูกลบ ตนคาดว่าเป็นนักศึกษาสถาบันดังกล่าวที่ต้องการปิดเรื่องนี้ ตนได้โพสต์รูปนี้ใหม่อีกครั้งแล้วเพื่อให้สังคมตัดสินการกระทำของบุคคลในรูป ทั้งนี้ ไม่ขอให้รายละเอียดว่าตนได้ภาพนี้มาจากกลุ่ม ′สิงห์แดง 58′ ได้อย่างไร แต่เตือนว่าถ้าหากภาพนี้ถูก ′Report′ จนหายไปอีก จะแฉรูปเพิ่มเติมด้วย

 "ยังไม่อยากบอกว่าคนที่เขียนข้อความในรูปเป็นใคร แต่บอกได้ในขณะนี้สมาชิกกลุ่มสิงห์แดง 58 กำลังโมโหอย่างมาก และพยายามค้นหาว่าใครเป็นผู้แฉข้อความดังกล่าว ซึ่งกระทู้นี้ก็ถูกลบไปแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

 จากการสอบถามนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งนี้บางส่วน มีความคิดเห็นต่างกัน บ้างก็เห็นว่าเหตุการณ์ในรูปเป็นเรื่องที่ทำกันปกติ มีเช่นนี้ทุกปี บางส่วนก็โต้ว่ารูปนี้ไม่มีอะไร เป็นการนัดติวสำหรับสอบปลัดอำเภอเท่านั้น
 


http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek56YzFPVGczTlE9PQ%3D%3D&sectionid
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #274 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2555, 00:46:00 »

 ขอบคุณค่ะป๋า  มีเรื่องดีๆมาเล่าให้ฟังตามอ่านซะะะะะะ  ง่วงแล้วจ่ะ แล้วจะมาอ่านใหม่นะคะ sleep
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><