19 เมษายน 2567, 11:30:22
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 263860 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #275 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2555, 20:33:28 »

21เหตุแห่งความล้มเหลว
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2555 เวลา 00:00 น.

ปราชญ์ชาวจีน นาม “กว๋อฉาง” ชี้เหตุแห่งความล้มเหลวของมนุษย์ไว้ 21 ประการ น่าสนใจ
การมุ่งสู่เป้าหมายเปรียบเหมือนการเดินทาง ย่อมพบความคดเคี้ยวยากลำบาก มีขวากหนามขวางกั้น แต่หากใช้ “ความพยายาม” เข้าสู้ ต้องประสบความสำเร็จถึงเส้นชัยในสักวัน ดังประโยคที่คุ้นเคยกันมานาน และเป็นที่เห็นจริง ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”

แล้วอะไรเล่า? คือ อุปสรรคสำคัญทำให้หลายคนก้าวไม่ถึงฝั่งฝัน ข้อน่าคิดนี้ มีเนื้อหาชิ้นหนึ่งเคยอ่านจากเว็บไซต์ www.pattanakit.net ซึ่งอ้าง บทความโดย รศ.ดร.ปราชญา กล้าผจญ ที่มา : วารสารวงการครู ปีที่ 2 ฉบับที่ 19 เดือนกรกฏาคม 2548 กล่าวถึง ปราชญ์ชาวจีน นามว่า ท่านกว๋อฉาง ได้ชี้เหตุแห่งความล้มเหลวของมนุษย์ไว้ 21 ประการ น่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาสรุปเพียงบางส่วนไว้ ณ ที่นี้ คือ

1.ความไม่เข้าใจผู้อื่น 2. สำคัญตนเองผิด 3.หยิ่งยโส อวดดี หลงตนว่าเก่ง มีปัญญา มีทรัพย์เกินใคร ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ถ่อมตนที่มีแต่คนอยากคบหาสมาคม 4.ใจคอคับแคบ 5.อิจฉาริษยา เป็นลักษณะของผู้ไม่เคยคิดดีต่อใคร จิตใจจึงมีแต่ความร้อนรุ่ม ไม่มีความสุข

6.ไม่เดียงสาต่องาน ขาดความรู้อย่างแท้จริง ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ในงานที่ปฏิบัติ 7.ขาดความรับผิดชอบ 8.เกียจคร้าน เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาด และล้มเหลวได้ง่าย

9.โลภ ความทะยานอยากได้ หากหนักเข้าอาจดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่ต้องการโดยวิธีมิชอบ เป็นการชักนำความหายนะเข้าสู่ตัว 10.ไร้สัจธรรม พูดปด ปากกับใจไม่ตรงกัน 11.คิดคด หลอกลวง ไม่จริงใจ ไม่ซื่อสัตย์ ทำให้สังคมวุ่นวาย ผู้นั้นย่อมไม่เป็นที่เชื่อถือ และเคารพของผู้อื่น 12.ไร้อุดมการณ์ ไม่มีจุดยืน ขาดความเป็นตัวเอง 13.ดื้อรั้น ละเลยการประพฤติปฏิบัติตามจารีตประเพณีดีงาม

14.ก่อหนี้เกินตัว เพราะไม่ประมาณตน นำความลำบากมาเยือนชีวิต เป็นภาระให้ต้องแก้ไข และชดใช้ ทั้งยังลดทอนความมุ่งมั่นตั้งใจในกิจการงานอื่นด้วย 15.สุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ จับจ่ายใช้สอยโดยไม่คำนึงถึงความสิ้นเปลือง 16.ติดการพนัน จิตใจจดจ่ออยู่กับอบายมุข จนขาดการยั้งคิด สู่เหตุแห่งความเสื่อมทรัพย์

17.คบคนเสเพล 18.ชอบทำตัวระรานผู้อื่นให้เดือดร้อน ผู้นั้นไม่น่าคบหา 19.คบคนไม่เลือก มีโอกาสสูงได้คนพาลเป็นมิตร และมักถูกชักชวน ชักจูงให้หลงผิดได้ง่าย

20.หุนหันพลันแล่น ด่วนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปด้วยความโกรธ ใจร้อน 21.ใจโลเล แปรปรวน เอาแน่เอานอนไม่ได้ ขาดความจริงจัง จึงควรฝึกจิตให้สุขุม

ความพยายามที่มาพร้อมความคิด และจิตใจดีงาม ถึงเรียกว่า ความสำเร็จเปี่ยมสุขที่แท้จริง.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #276 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2555, 20:35:17 »

กูเกิลออกแถลงการคดีประชาไท: พรบ.คอมพ์ฯ​ ยับยั้งนวัตกรรมและการลงทุน
By: lew  on 30/05/12 17:35 

ข่าวคดีประชาไทในวันนี้สำนักข่าวจำนวนมากรายงานกันทั่วโลก แต่เรื่องน่าสนใจคือบริษัทที่มีสำนักงานในไทยอย่างกูเกิลก็ออกมาแสดงความกังวลกับการใช้กฏหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 อย่างตรงไปตรงมา
กูเกิลยกตัวอย่างบริษัทโทรศัพท์ ว่าต้องไม่ได้รับโทษจากบทสนทนาของผู้โทร เว็บไซต์เองก็ไม่ควรต้องรับผิดจากข้อความบนเว็บไซต์เช่นเดียวกัน แต่การพิพากษาในวันนี้คือการลงโทษเว็บไซต์จากข้อความที่มีผู้อื่นมาโพสต์ พร้อมกับแสดงความกังวลด้านการลงทุน
พ.ร.บ. คอมพ์ฯ​ ยับยั้งการเกิดของนวัตกรรมและตัดโอกาสการลงทุนในประเทศที่มีคนที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ เราเข้าใจดีว่าเรื่องนี้ไม่่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เรื่องนี้ซับซ้อนและหลายๆ ครั้งก็ไม่อาจชี้ชัดไปได้ว่าผิดหรือถูก แต่หากมีความโปร่งใสในกฏระเบียบเกี่ยวกับการระบุให้ชัดเจนและการดำเนินการกับเนื้อหาที่ไม่ถูกกฎหมายประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าสู่เสรีภาพและการเปิดกว้างของอินเตอร์เน็ต และนั่นเป็นการช่วยให้คนไทยหลายล้านคนตั้งแต่เจ้าของกิจการขนาดเล็ก นักเรียน นักศึกษาไปถึงข้าราชการเชื่อมโยงกับคนทั้งโลกได้ และช่วยระบบเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไป
ผมเองเคยพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของกูเกิลที่ดูแลเรื่องนโยบายสาธารณะ ปัจจัยหนึ่งที่กูเกิลจะไปเปิดศูนย์ข้อมูลในประเทศต่างๆ คือ กฎหมายในประเทศนั้นๆ ยอมรับได้หรือไม่
ที่มา - Google Thailand
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #277 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 22:17:25 »

 
วันที่ 04 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 03:26 น.  ข่าวสดออนไลน์


ฝ่ายค้านที่ต้องการ

บทบรรณาธิการ ข่าวสด


พฤติกรรมการแสดงออกของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากคนจำนวนไม่น้อย

นอกเหนือไปจากเสียงวิจารณ์ด้วยอารมณ์แล้ว ในเสียงวิพากษ์เหล่านี้มีมุมมองที่น่าสนใจของนักวิชาการหลายคนรวมอยู่ด้วย อาทิ

นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ เห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อว่าไม่ได้เกิดขึ้นตามอารมณ์ แต่มีการวางแผนเตรียมการเตรียมบทเอาไว้แล้ว จุดมุ่งหมายคือต้องการที่จะสื่อว่า สภาไม่สามารถที่จะมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ อันเป็นสิ่งที่ล่อแหลมต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ซึ่งหากสังคมไทยไม่ยอมรับ ก็ถือเป็นเรื่องที่อันตรายเช่นกัน


นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นอาการของโรคแพ้เสียงข้างมาก(majority-allergy syndrome)

เช่น ค้านเลอะเทอะสะเปะสะปะ ล้อมกรอบฉุดดึงแย่งเก้าอี้ประธานสภา ซึ่งจะยิ่งทำให้ผูกขาดการเป็นฝ่ายค้านและการแพ้เลือกตั้ง

นายไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในสภา แม้ประธานจะทำผิดมากน้อยเพียงใด ก็ไม่ควรจะไปฉุดกระชากแขนหรือลากเก้าอี้

การประชุมมีการถ่ายทอดทั่วประเทศ ประชาชนมีสมองรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ส.ส.เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้มาทำงานเพื่อพัฒนาประเทศ

แต่การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนเป็นคนป่า เหมือนนักเลง


หวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงต้นตอปัญหา และผลของพฤติกรรมเช่นนี้ด้วยความมีสติ และนำไปปรับปรุงแก้ไขแนวทาง หลักคิด และการแสดงออกของสมาชิกให้เหมาะสมต่อไป

เพราะในการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยระบบรัฐสภานั้น สังคมต้องการฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง มีพลัง จริงจังในการทำงาน พอๆ กับที่ต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และมีคุณธรรม

ฉะนั้น พฤติกรรมของส.ส.บางส่วนในพรรคประชาธิปัตย์ จึงมิเพียงทำลายตัวเองเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายรัฐสภา

และทำร้ายสังคมไปด้วยในเวลาเดียวกัน

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek9EYzFOVEkwTkE9PQ%3D%3D&sectionid
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #278 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2555, 18:22:26 »

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์


ไม่เอาเข้าตัว

กระสา มันเสมอ


สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เชิญ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน และ ดร.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร มาออกราย การแสดงความคิดเห็นอยู่เสมอ

2 ท่านอาจารย์ เป็นอดีตคณบดีเก่าทั้งคู่ เป็นนักกฎหมาย เป็นพหูสูต มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง

ข้อสำคัญ ความคิดเห็นต่างๆ เป็นไปโดยสุจริต ไม่เอาเข้าตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

คนเราลองไม่เอาเข้าตัวเสียแล้ว รัฐบาลก็ควรสดับตรับฟังเป็นอย่างยิ่ง

ล่าสุด ท่านอาจารย์ ด๊อกเตอร์ อุกฤษ ชี้เหตุการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ต่อกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ พร้อมข้อสังเกตของความไม่ควร ทางควรปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา

ขณะเดียวกัน ท่านอาจารย์ ด๊อกเตอร์ อัษฎางค์ นักฟุตบอลทีมชาติเก่าก็ชี้ทางบรรเทาทุกข์ให้รัฐบาลว่า ควรทำอะไรและไม่ทำอะไร

รายการที่ผ่านมานี้ สามารถเรียกมาย้อนดูได้ ถ้ารัฐบาลหูกว้าง ตายาว ในใจแยบยลด้วยโยนิโสมนสิการ

ความคิดเห็นที่ไม่เอาเข้าตัว จากเพื่อนร่วมชาติผู้มีประสบการณ์นั้นแตกต่างความคิดเห็นที่เอาเข้าตัวมาก

ในรัฐบาลด้วยกันเองก็มองเห็น

ยิ่งนอกรัฐบาล ยิ่งมองเห็นใหญ่

เห็นแล้ว จะเอาไปปฏิบัติให้สมจริงอย่างไรก็เป็นคุณ

เรื่อง 3 จังหวัดภาคใต้ ถึงที่สุดแล้ว การกระจายอำนาจออกไปให้ทั่วถึง ให้คนมีคุณค่าความเป็นคนขึ้นมา น่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เรื่องควรทำของรัฐบาล มีทุกวี่วัน ทั้งเฉพาะหน้า ท่ามกลาง ระยะยาว เพียงแต่ตั้งสติเป็น จับมั่นคั้นตายกับปัญหาใหญ่ๆ เป็น

การเมืองในห้วงหลัง บ่อนทำ ลายส่วนรวมลงทุกวิถีทาง เพราะความเห็นแก่ตัว การเอาตัวรอด มีแต่ผลประโยชน์และอำนาจเป็นพื้น

ลองทำงานด้วยการไม่เอาเข้าตัวดู พวกเห็นแก่ตัวอาจตายด้านไปเลยก็ได้
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #279 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2555, 18:29:01 »

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์


บนลงล่าง

วงค์ ตาวัน


การไต่สวนชันสูตรศพ ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ปี 2553 หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ "98 ศพ" นั้น เริ่มต้นและดำเนินไปเรื่อยๆ อาจใช้เวลาบ้างตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะต้องมีการสอบปากคำพยาน วินิจฉัยพยานหลักฐาน

ล่าสุดคดี 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม เริ่มต้นแล้วเช่นกัน

6 ศพวัดปทุมฯ เป็นจุดที่น่าสนใจมากที่สุด

ในทางคดี ผู้รู้บางคนเขาบอกว่า จุดนี้แหละจะเป็นจุดตายของผู้บงการ

เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากไม่มีการชุมนุม ไม่มีแกนนำ ไม่มีการ์ดเสื้อแดงหลงเหลือแล้ว พื้นที่ทั้งหมดอยู่ในมือศอฉ.แล้ว

จุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่ที่มีขอบเขต เห็นตัวคนยิงชัดเจน พยานหลักฐานมาก มีหัวกระสุนสีเขียวติดอยู่ที่ศพด้วย

6 ศพวัดปทุมฯ จะเป็นเรื่องจับโกหก ผู้สั่งการทั้งหมดอย่างดิ้นไม่หลุด!

การกล่าวอ้างถึงชายชุดดำ ผู้ก่อการร้าย จะต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน แต่ในข้อเท็จจริงขณะนั้นจะมี หลงเหลืออยู่ได้อย่างไร

ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ บ่งชี้เลยว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณนั้น

หลักฐานจากกล้องวิดีโอที่ตำรวจบนอาคารสูง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บันทึกภาพและเสียงชัดเจน

เจ้าหน้าที่รัฐชุดเขียวหมวกติดสติ๊กเกอร์สีชมพู

ยิงลงไปในวัดเป็นระยะๆ!

ขณะที่ผู้สื่อข่าวข่าวสด ติดตามความจริงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง

หากติดตามจากข่าวสด ผ่านหนังสือพิมพ์รายวันไปจนถึงหนังสือเล่มที่รวบรวมความจริงในเหตุการณ์นี้ทั้งหมด

โดยเฉพาะเล่มล่าสุด "98ศพ" ตอกหมุดความจริงเหตุการณ์ 10 เมษา- 19 พฤษภา 53

จะพบว่า นักข่าวได้ค้นหาจนได้หลักฐานจาก กล้องวิดีโอตำรวจ ซึ่งเป็นมุมที่เห็นเจ้าหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า ยิงลงไปในวัด และนำภาพนั้นมาตีพิมพ์บนหน้าหนังสือพิมพ์และหนังสือเล่ม

จากนั้นยังมีพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ขึ้นไปตรวจพิสูจน์บนรางรถไฟฟ้า จุดที่เห็นเจ้าหน้าที่ยืนและยิง

พิสูจน์วิถีการยิงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

จนล่าสุดในการไต่สวนชั้นศาล คำเบิกความของพนักงานสอบสวนตำรวจชัดเจนว่า

ศพที่นอนตายในวัดปทุมฯนั้น วิถีกระสุนเป็นการยิงจากบนลงล่าง

คือยิงจากรางรถไฟฟ้าลงไป

ความจริงและความอำมหิตกำลังปรากฏชัดเรื่อยๆ!
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #280 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2555, 22:27:33 »

ไม่อยู่หลายวันตามอ่านซะ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #281 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2555, 20:33:05 »

ซึ้งรสพระธรรม พระ”เจสัน-แฟนสาว”เห็นพ้อง “ถอนหมั้น” ครองเพศผ้าเหลืองตลอดชีวิต!
 

เป็นอีกหนึ่งข่าวช็อกวงการบันเทิง ในรอบวันที่ 26 มิถุนายน นี้ เมื่อมีรายงานว่า นักแสดงหนุ่ม เจสัน ยัง ซึ่งขณะนี้บวชเป็นพระ และกำลังปฎิบัติธรรม อยู่ที่วัดป่าห้วยส้มสุก จ. เชียงใหม่ ได้เตรียมแถลงถอนหมั้นอย่างเป็นทางการ กับ ดาริกา จาร์โกต้าร์ คู่หมั้นสาว เชื้อสายอินเดีย โดยมีทั้งญาติของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายคือ ตู่ – นพพล โกมารชุน และ ปรียานุช ปานประดับ มาร่วมชี้แจงถึงสาเหตุพร้อมกัน ในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ ที่โรงแรมโซฟิเทล โซ แบงคอก

สำหรับ สาเหตุของการถอนหมั้นครั้งนี้นั้น เกิดจากความเต็มใจของฝ่ายหญิง ที่อยากให้ พระเจสัน ได้ศึกษาพระธรรม ซึ่งพระเจสันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขออยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เจสัน ยัง และ ดาริกา จาร์โกต้าร์ ได้จัดงานหมั้นตามแบบประเพณีไทยเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม โรงแรมโซฟิเทล โซ แบงคอก ท่ามกลางบรรยากาศสุดชื่นมื่นของสองครอบครัว



สำหรับเส้นทางความรักของทั้งคู่ เจสัน เปิดเผยว่า เจอน้องดาในสถานที่ปฏิบัติธรรม เพราะฝ่ายหญิงเป็นคนชอบนั่งสมาธิและมีไลฟ์สไตล์ที่คล้ายกันมาก ก่อนหน้านี้ทั้งคู่วางแผนจะมีงานวิวาห์ในสิ้นปี 2555 นี้ แต่ เจสัน ยัง ขอบวชเพื่ออุทิศบุญให้กับบิดามารดาก่อน เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา แล้วเดินทางไปปฎิบัติธรรมกับพระอาจารย์ยุทธนา ธีรธมฺโม ณ วัดป่าห้วยส้มสุก ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
http://www.upyim.com/%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95/
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #282 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2555, 20:44:09 »

งง
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #283 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2555, 21:48:47 »

จำนวนคนอ่านล่าสุด 8840 คน   
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 22:50 น.  ข่าวสดออนไลน์


"ดาริกา" แถลงถอนหมั้นพระเจสัน-ยอมเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา

 เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 27 มิ.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่ห้องเดอะ บ็อกซ์ ชั้น 9 โรงแรมโซฟิเทล โซ แบงค็อก ย่านลุมพินี น.ส.ดาริกา จาโกต้า คู่หมั้นสาววัย 26 ปีของพระเจสันยัง พร้อมด้วยผู้ใหญ่ที่พระเจสันยังนับถือ ประกอบด้วย ผู้กำกับฯ ดัง ‘ตู่’นพพล โกมารชุน, ปรียานุช ปานประดับ, ‘ส้ม’ชนากานต์ ชัยศรี เปิดแถลงข่าวพิธีถอนหมั้นของน.ส.ดาริกากับพระเจสันยัง โดยที่หน้างานได้จัดชุดสังฆทานเล็กๆ ข้างในประกอบไปด้วย ขิงผง ใบชา ครีมเทียม กาแฟ และน้ำตาล แจกจ่ายให้สื่อมวลชน โดยการแถลงข่าวครั้งนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมาร่วมทำข่าวกันจนล้นห้อง

 สำหรับบรรยากาศในงานแถลงข่าว เริ่มด้วย ส้ม-ชนากานต์ กล่าวต้อนรับสื่อมวลชนทุกคนว่า ในวันนี้น้องดาจะมาเปิดใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และกับคำที่ว่า ความรักคือการให้ ซึ่งมันจะมีจริงๆ โดยในวันนี้มาพร้อมกับพี่ตู่-นพพล และคุณปรียานุช ซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายพระที่จะมาร่วมให้รายละเอียดต่างๆ กับสื่อมวลชน จากนั้น ส้ม-ชนากาสนต์ ก็ได้ให้คู่หมั้นของพระเจสันยังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

 โดยน.ส.ดาริกา เผยว่า วันนี้ตนรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะไม่นึกว่าจะมีผู้สนใจและนักข่าวมาทำข่าวเยอะขนาดนี้ วันนี้จะออกมาพูดถึงเรื่องของการถอนหมั้นว่ามันเกิดจากอะไร เริ่มจากแต่เดิมนั้น หลังจากที่ตนกับพระได้ทำพิธีหมั้นกันไปเมื่อปลายเดือนมี.ค. แล้วพระขอไปบวชเมื่อต้นเดือนเม.ย. โดยกำหนดครั้งแรกว่าจะบวชประมาณ 1 เดือน แต่พอ 1 เดือนผ่านไป ท่านก็ไม่สึก และได้มีการพูดคุยกับท่านซึ่งท่านก็บอกว่าท่านมีความปรารถนาที่จะอยู่ในผ้าเหลือง อยากจะศึกษาธรรมะแบบไม่มีกำหนด ไม่ปรารถนาทางโลกแล้ว

 น.ส.ดาริกา  เผยว่า ตอนแรกที่ตนได้ฟังก็รู้สึกตกใจ แต่ก็ยังให้เวลากับท่านได้คิดทบทวนถึงเรื่องที่ท่านปรารถนาจะศึกษาธรรม และในระหว่างนั้นก็ได้มีการพูดคุยกับท่านในเรื่องนี้หลายครั้ง จนสุดท้ายตนเองก็มาตั้งสติได้ว่า เรื่องที่ท่านปรารถนาจะทำเป็นสิ่งที่น่ายินดี รู้สึกว่าความสุขแบบนี้เป็นความสุขแบบลึกซึ้งจริงๆ ท่านเองท่านอยากสืบทอดพระพุทธศาสนา ซึ่งท่านก็ได้ขอโทษทุกคนทั้งตนและพ่อแม่ที่ไม่สามารถทำได้ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะสึกออกมาแล้วจะแต่งงาน ซึ่งเรื่องที่ท่านทำ ตนและทุกๆ คนเห็นว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครจะคิดได้แบบนี้ ท่านเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมแบบจริงจัง จึงเป็นสิ่งที่าเราทุกคนต้องส่งเสริม การที่ตนยอมถอนหมั้นก็ถือว่าเป็นการได้ทำบุญอย่างหนึ่ง เป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญใหญ่ เสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา เพราะจากนี้ไปท่านก็จะได้สอนคนได้อีกมากมาย ทำให้เราได้บุญไปด้วย

 น.ส.ดาริกา ระบุว่า มีคนถามเหมือนกันว่า เสียใจหรือเปล่าที่ต้องถอนหมั้น แรกๆ ก็ยอมรับว่ามีคิดบ้าง แต่พอตั้งสติได้ ทำจิตให้เป็นกุศลก็จะรู้ว่า ทางธรรมเป็นทางที่ขาวสะอาด ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ท่านให้โอกาสที่จะให้พวกเราได้ทำบุญกับท่าน ท่านจะได้ไม่ต้องห่วงถ้าถอนหมั้น และท่านจะได้ปฏิบัติธรรมอย่างสบายใจ ส่วนเราเองหลังจากที่ถอนหมั้นแล้วก็จะได้ปฏิบัติทางโลกต่อไป ท่านเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เชื่อว่าจะเป็นผลให้ทุกคนที่ได้รับรู้ได้รับบุญกุศลไปด้วย

 อดีตคู่หมั้นสาวได้กล่าวต่อไปว่า ส่วนในเรื่องของสินสอดทองหมั้น ที่ได้มีการทำในพิธีหมั้นนั้น ตามประเพณีแท้ๆ ของอินเดียจะไม่มีการหมั้น แต่ทางพระอยากจะจัดให้เพื่อเป็นการใหเเกียรติ เนื่องจากเราอยู่ในประเทศไทย แต่หลังจากที่หมั้นเสร็จ ของทุกอย่างตนก็ได้คืนไปให้พระหมดแล้ว

 “วันนี้ดาอยากให้ถือว่าเป้นงานบุญ อยากให้ทุกคนร่วมกันอนุฌโมทนา ท่านปฏิบัติดี เป็นตัวอย่างของทุกคน วันนี้ของที่นำมาให้กับสื่อมวลชนหน้างาน ซึ่งจัดเป็นชุดสังฆทานเล็กๆ ที่จะนำไปถวายพระได้เลย ความรักของเรามาจากธรรมะ ดาได้เป็นคนแนะนำให้ท่านปฏิบัติตั้งแต่ที่เราได้รู้จักกัน และเราได้รักกัน และจบลงด้วยธรรมะเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ แต่เราก็ยังเป็นกัลยารมิตรที่ดีต่อกัน” น.ส.ดาริกา กล่าว

 ด้าน ‘ตู่-นพพล’ ได้กล่าวว่า ในวันนี้ตนพร้อมกับนุชได้มาเป็นตัวแทนของพระ เพราะเราเป็นผู้ใหญ่ รวมถึงเป็นเถ้าแก่ในวันที่หมั้น ในวันที่พระพร้อมกับดาได้มาพบกับเราในครั้งแรก เข้ามาบอกเราว่าเขาจะหมั้น มาบอกเราถึงเรื่องความรัก โดยบอกว่าได้รู้จักกับครอบครัวของน้องดา ได้ประทับใจ เนื่องจากครอบครัวน้องดาเป็นครอบครัวที่ปฏิบัติธรรมมานาน คือพระเองอย่างที่ทุกคนทราบว่าเขาเป็นคนที่ขาด ไม่มีพ่อไม่มีแม่ พอมาพบในสิ่งที่ดี ครอบครัวของน้องดาเป็นครอบครัวที่ทำบุญและน้องดาเป็นสะพานบุญที่ทอดไปให้กับพระทำให้รู้จักธรรมะ น้องดาได้เป็นคนช่วยเหลือแนะนำให้รู้จักธรรมะอย่างแท้จริง ด้วยครอบครัวน้องดาเป็นครอบครัวอินเดียที่เคร่งในพระพุทธศาสนา ในตรงนี้เราจึงน่าจะต้องร่วมยินดีกับท่าน เราไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรมากขนาดไหน แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้

 ตนได้มีโอกาสคุยกับท่านทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานนมานี้ ท่านเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่สวยงามมากๆ ตนกับนุชชื่นชมและอนุโมทนากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน แต่มีบุคคลที่เสียสละมากกว่า ก็คือน้องดา เขาเสียสละในเรื่องความรัก เสียสละในเรื่องการแต่งงาน แต่เสียสละด้วยความรู้สึกอิ่มใจและสุขใจ ความจริงท่านเองได้บอกว่าท่านก็ห่วง ไม่รู้ว่าทางโลกจะคิดกับท่านอย่างไร และท่านจึงได้ทำจดหมายเพื่อมาชี้แจงกับทุกคน

 จากนั้นตู่-นพพลก็ได้อ่านจดหมายแถลงการณ์ให้สื่อมวลชนฟัง โดยสรุปว่า “น้องดาเป็นผู้หญิงที่เสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ตนกับนุชก็ขออนุโมทนาบุญด้วย”

 ผู้สื่อข่าวถาม อดีตคู่หมั้นของพระว่า พระบอกหรือไม่ว่าท่านจะบวชไม่สึก น.ส.ดาริกากล่าวว่า ตนบอกไม่ได้จริงๆ ว่าท่านจะสึกหรือเปล่า แต่ท่านบอกว่าอยากจะอยู่ต่อไป ครองผ้าเหลืองให้นานแบบไม่มีกำหนด ไม่ปรารถนาทางโลก

 ต่อข้อถามว่า ได้ข่าวว่าพระจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศแคนาดา ตู่-นพพล กล่าวว่า “ก็ทราบมาเช่นนั้นเหมือนกัน น่าจะเดินทางประมาณเดือนส.ค. ต้องไปก่อนช่วงเข้าพรรษา โดยครั้งนี้เป็นการนำไปของพระผู้ใหญ่ วันที่ตนได้ไปหาท่านที่วัดแต่ไม่ได้เจอท่าน แต่ท่านได้เดินทางไปพบกับพระผู้ใหญ่ในหลายๆ ท่าน ในหลายๆ วัด ในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่แคนาดา”

 ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า ในขณะเดียวกันนั้น ทางปรียานุช ปานประดับ ก็ได้เสริมรายละเอียดต่างๆ ขึ้นมาอีกว่า อยากจะทำให้ภาพของท่านชัดเจนขึ้น เพราะหลายคนอาจจะมองว่า พอท่านบวชเข้าไปแล้วดูเหมือนจะสงบนิ่ง ความจริงแล้ว ท่านสงบนิ่งมาก่อนที่จะบวช อย่างตอนถ่ายละคร ท่านเป็นคนที่กินมังสวิรัติ ขณะรอเข้าฉากท่านก็นั่งสมาธิอยู่แล้ว ท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามานานมากแล้ว และปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้นจริงๆ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

 http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME1EYzRNRFUzTUE9PQ==&subcatid=
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #284 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2555, 19:03:55 »

อาจารย์ท่านหนึ่งของ Cornell ชื่อ Karl Pillemer ซึ่งได้ไปสัมภาษณ์ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยคำถามเด็ดนั้นอยู่ที่ว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน”
แล้วก็นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ แต่เขาได้คัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการที่โดดเด่นเอาไว้ครับ โดยบทเรียนทั้ง 10 ประการ ประกอบด้วย

1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง ครับ คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูด เนื่องจากเรามักจะเสียใจและเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นนะครับ

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า นะครับ แต่ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา
9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้หยุดกังวลครับ หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นครับ

คัดลอกข้อความจาก email ของchathaphol phrawan
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #285 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2555, 22:25:01 »

 เยี่ยมค่ะป๋า
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #286 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2555, 19:51:30 »

10 พฤติกรรมของผู้หญิงที่ผู้ชายไม่ชอบ!

10 คุณชอบขุดคุ้ยความผิดเก่า ๆ ของเขามาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ไม่มีใครอยากจะรู้สึกผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผู้ชายมาก หากปัญหาหลายเรื่องจบลงแล้ว มีข้อสรุปแล้ว หรือให้อภัยเขาไปแล้ว แต่คุณก็ยังเอามันมาพูดอยู่ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า คุณไม่ได้ให้อภัยเขาจริง ๆ นี่นา และที่สำคัญไม่เคยลืมปัญหา (ซึ่งอาจเป็นปัญหาเล็ก ๆ) ได้เลยด้วย

9 คุณมีเงื่อนไขในการคบกันมากมาย
หรือก็คือการห้ามนู่นห้ามนี่ ถ้าทำอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนั้น สารพัด มันทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง และแน่นอนว่า ถ้าหนุ่ม ๆ อยู่กับใครแล้วเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นนกในกรง โดนบังคับอยู่ตลอด ความเบื่อหน่ายก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย

8 คุณบ่นด่าเขาได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างคุยหยอกล้อกับสาวอื่น หรือเรื่องเล็กกะจิ๋วอย่างการรีดเสื้อไม่เนี้ยบก็เถอะ ถ้าคุณสามารถหยิบยกเอาทุกอย่างที่สร้างความไม่พอใจให้กับคุณมาเป็นปัญหา มาบ่นด่าได้ตลอด ไม่มีการมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ ล่ะก็ ไม่มีใครเอาด้วยแน่ ๆ แม้ตอนนี้เขาจะรักคุณมากก็เถอะ แต่หากคุณมีนิสัยอย่างที่ว่าและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแล้ว เห็นทีว่าความรักของคุณจะคงอยู่อีกไม่นาน

7 คุณระรานแฟนเก่า
หยุดพฤติกรรมประเภทระรานแฟนเก่า อาละวาดเพื่อนผู้หญิงที่มาคุยกับเขา เพราะมันจะทำให้คุณเสียคะแนนในสายตาแฟนหนุ่มไปมาก มันแสดงถึงความไม่รู้จักควบคุมอารมณ์และแยกแยะอะไรไม่ออก แน่นอน…คุณทำให้เขาขายหน้าได้ขนาดนี้ มีหรือที่เขาจะยินดี และอยากจะมีแฟนจอมวีนอย่างคุณ

6 คุณดูแลตัวเองไม่เป็น
ผู้หญิงที่อยู่คนเดียวไม่เป็น ไม่มีเสน่ห์เลยสักนิดในสายตาผู้ชาย และถ้าหากเขารู้อย่างนั้นตั้งแต่ก่อนเข้าจีบคุณ เชื่อหรือไม่ว่าเขาจะไม่เลือกจีบคุณแน่ ๆ เพราะมันคือการหาภาระ หากรงขังให้ตัวเองเลยล่ะ ไม่มีใครอยากมีแฟนแล้วรู้สึกเหมือนต้องดูแลเด็กเล็กไม่รู้ประสา ทำอะไรเองไม่เป็นหรอกนะ

5 คุณเช็คโทรศัพท์มือถือ
หรือขอพาสเวิร์ดอีเมล เฟซบุ๊ก ประวัติแชทของเขา อะ ๆ อย่าลืมว่าคนเราแม้ว่าจะคบกันถึงขั้นไหน แต่ก็ควรจะให้เกียรติเขาและเคารพความเป็นส่วนตัวของเขาบ้าง ผู้ชายไม่แฮปปี้หรอกถ้าหากแฟนสาวของเขาไม่เชื่อใจจนถึงขั้นต้องเช็คกันอย่าง จริงจังขนาดนั้น เผลอ ๆ เขาจะยิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวเอง เพราะต้องระวังคำพูดคำจาเวลาคุยกับใครให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้แฟนสาว “คิดไปไกล” ซึ่งมันอึดอัดสุด ๆ ไปเลยล่ะ

4 คุณขี้หึงมาก
ผู้หญิงหึงเล็ก ๆ เป็นเรื่องที่น่ารัก แต่ถ้าหากถึงขั้นห้ามคุยโทรศัพท์กับผู้หญิง หรือห้ามไม่ให้ไปเขาเฮฮากับกลุ่มเพื่อนที่มีผู้หญิงอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ เตรียมตัวโดนตีตัวออกห่างไว้ได้เลย ก็แหม…โลกใบนี้มันมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเพศที่สามเท่านั้น คุณจะให้เขาเลี่ยงคบผู้หญิงไม่ได้หรอก ตัวคุณเองก็มีเพื่อนผู้ชายอยู่มากมายเหมือนกันไม่ใช่รึ­

3 คุณขอตามติดเขาไปทุกที่
ยอมรับมาเถอะว่าคุณรู้ดีอยู่แล้วว่าผู้ชายเป็นเพศที่รักอิสระ แต่คุณก็ห้ามความต้องการอยากไปนู่นมานี่กับเขาไม่ได้ ซึ่งมันจะดีมากถ้าหากแฟนหนุ่มของคุณเป็นคนที่ชอบอยู่กับคนรัก ไม่ค่อยอยากเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงเท่าไร แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นล่ะก็ ห่าง ๆ จากเขาบ้าง ปล่อยให้เขาไปทำอะไรกับเพื่อนฝูง หรือไปคนเดียวบ้างก็ดี ไม่งั้นล่ะก็ ถ้าเขาอึดอัดจนเบื่อคุณเมื่อไรอย่าหาว่าไม่เตือนนะ

2 คุณชอบขุดคุ้ยเรื่องแฟนเก่าหรือกิ๊กเก่าของเขา
น่าแปลกที่สาว ๆ มักอยากรู้เรื่องคนเก่าของแฟนหนุ่ม ขณะที่แฟนหนุ่มแทบไม่เคยเอ่ยปากถามคุณเลย เรื่องนี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเปิดโอกาสให้คุณถามได้ แต่ถ้าหากถามไปแล้วคุณต้องเก็บมาคิดเปรียบเทียบ หรืออยู่ในอาการ “โกรธย้อนหลังไปตอนที่ยังไม่รู้จักกัน” แล้วล่ะก็ หยุดพฤติกรรมนี้ด่วน หนุ่ม ๆ เขาไม่แฮปปี้ที่ต้องมานั่งอธิบายเวลาคุณปรี๊ดแตกหรือน้อยใจ เพราะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับแฟนเก่าเขาสักเท่าไรหรอกนะ

1 คุณโทรจิกเขาได้ตลอดเวลา
แม้ว่าคุณจะอยากรู้ว่าเขาทำอะไร อยู่กับใคร ที่ไหน แต่การโทรไปถามได้ตลอดทั้งวันจะทำให้คุณกลายเป็นคนที่น่าเบื่อเอาง่าย ๆ ยิ่งผู้ชายเป็นเพศที่ไม่ชอบอะไรที่ “เยอะ” อยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะอยากรู้อยากโทรไปสักเท่าไร อดใจไว้สักหน่อย รอให้เขาเป็นฝ่ายเป็นห่วงและอยากรู้ว่าคุณอยู่ไหนบ้าง จะทำให้คุณดูน่ารักและมีค่าในสายตาของแฟนหนุ่มขึ้นเยอะเลย
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #287 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2555, 21:18:23 »

ดูท่าผู้หญิงก็ไม่ชอบเหมือนกันนะน้องทู
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #288 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 16:15:27 »

จาก"ลูกสาว"หม่อมเต่า "เต่านา"ถึง"คนเสียสติ" คอลัมน์ ข่าวทะลุคน ข่าวสด 27 กรกฎาคม 2555


 
ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล เขียนชัดเจนให้สะท้านทุกหัวใจ "รักที่สุดคือในหลวง ห่วงที่สุดคือ คนที่รักในหลวงจนเสียสติ"

ทายาทราชสกุล บุตรี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประกาศจุดยืนไว้จะแจ้ง

คนไทยตอนนี้ สั่งสมความสับสนและคับแค้นใจมากๆ มีแต่ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน

"อย่าเอาแต่ช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาปักธงว่าประเทศไทยจะต้องวุ่นวายไร้ทางออก"

พร้อมเสนอว่าสิ่งที่ควรช่วยกันคิดคือ ในความขัดแย้งนี้ เมื่อตัดความโมโหและอคติอารมณ์ออกไป เรามีจุดร่วมกันที่ใดบ้าง

หากเชื่อว่าจุดร่วมนั้นคือความสงบสุขของประเทศและอนาคตที่ดีของลูกหลาน ต้องมามองอย่างมีสติว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร

แต่ถ้าหากอยากจะให้มันวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา

"หรือทำจนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่เดินหน้าไม่ได้ ถ้าจุดนั้นมาถึงคงจะวุ่นวายแบบยาวๆ คงจะพากันพังหมดแน่ๆ"

"มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับ "เต่านา-ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล"

เป็นเต่านาที่เคยวินิจฉัย "โรค" หนึ่งให้ฮือฮามาแล้ว

โรคอัน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปรี้ยงใส่ฝ่ายที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ "โรคขี้ข้าทักษิณ"

สวนผ่านเฟซบุ๊ก Taona Sonaku กระแทกแสกหน้าใครบางคนว่า

"วินิจฉัยแล้ว ไม่มีหรอกโรคขี้ข้าทักษิณ มีแต่โรคอยากกลับมาเป็นนายกฯ โดยไม่ต้องชนะเลือกตั้งทักษิณ

วินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีวันหรอกที่จะชนะทักษิณ เพราะหัวหน้าพรรคที่มีความจำเป็นต้องพยายามเลือกตั้งให้ชนะทักษิณ เป็นขี้ข้าที่ไม่มีประสิทธิภาพของอำนาจนอกระบบที่มีความกลัวประชาชนเป็นที่ตั้ง"

ย้ำยืนยันตัวตน ต่อต้านการรัฐประหาร

เพราะการรัฐประหารคือการล้มล้างทุกอย่าง

รวมทั้งการล้มล้างสถาบันด้วย

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1343353989&grpid=01&catid=01&subcatid=0100
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #289 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 16:21:13 »

เทน้ำที่อาบให้เด็กทิ้ง อย่าเทเด็กทารกทิ้งไปด้วย ! โดย เกษียร เตชะพีระ
วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เวลา 11:15:54 น.
 


มติชน กระแสทัศน์ 27 กรกฎาคม 2555

 
หลังคณะนิติราษฎร์แถลงข่าวสืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีมีผู้ยื่นคำร้องว่าการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาขัดมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ศกนี้ โดยเสนอให้ "แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ" (www.enlightened-jurists.com/blog/66) แล้ว ปฏิกิริยาตอบกลับก็เป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่านดังที่คาดหมายได้ ในจำนวนนั้น บ้างก็มีการยกเหตุผลข้อมูลมาประกอบข้อโต้แย้ง แต่บ้างก็เป็นผรุสวาทด้วยความโกรธเกลียดหวาดระแวง โดยมิพักฟังเหตุผลข้อมูลของคณะนิติราษฎร์ผู้เสนอเลย
 
 
ในท่วงทำนอง...."อคติครองใจให้คับแคบ สองมือแนบบังตาหาเห็นไม่ สองนิ้วอุดรูหูปิดรูใจ อวิชชาเป็นใหญ่แทนปัญญา"

นี่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะข้อเสนอในเรื่องสำคัญที่เป็นปัญหาของบ้านเมืองมาหลายปีนี้ ควรแก่การนำมาพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบเยือกเย็น ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่มีข้อเสนอไหนสมบูรณ์แบบ เพราะต่างก็มองจากมุมเฉพาะของตัว เห็นปัญหาบางอย่างและเน้นให้คำตอบบางเรื่อง แต่มันจะคลี่คลายพัฒนารอบด้านขึ้นได้ ก็โดยผ่านการขัดเกลาแลกเปลี่ยนในเวทีสาธารณะอย่างตั้งใจฟังและจริงจังกับบรรดาผู้ที่มองจากมุมอื่น เห็นปัญหาอื่นและเสนอคำตอบอื่นโดยบริสุทธิ์ใจเท่านั้น

ส่วนตัวผม เมื่อครุ่นคิดกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ในขั้นต้นแล้ว ก็อดคิดถึงภาษิตประโยคหนึ่งของฝรั่งไม่ได้ว่า

"Don′t throw the baby out with the bathwater!"หรือในพากย์ไทยคือ : "เทน้ำที่อาบให้เด็กทิ้ง อย่าเทเด็กทารกทิ้งไปด้วย!"



เรื่องนี้พูดไม่ง่าย และคนจำนวนไม่น้อยอาจจะโกรธและเข้าใจผิดเพราะความร้อนแรงของภาวะขัดแย้งเฉพาะหน้าทางการเมือง แต่ผมขออนุญาตพูดให้เพื่อนมิตรฟังด้วยความหวังดี อาจจะขัดหูเพื่อนบ้าง ก็ต้องขออภัย ถือว่าพยายามทำตามหน้าที่ของเพื่อนที่พึงมีต่อกัน

ตามอุปมาอุปไมยข้างต้น ตุลาการการเมืองที่ตีความกฎหมายโดยพลการและขยายอำนาจจนล่วงล้ำก้ำเกินเขตอำนาจโดยชอบของตน อาจเปรียบได้กับ "น้ำที่อาบให้เด็ก"

ส่วนสถาบันตุลาการที่ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของเสียงข้างน้อยกลุ่มต่างๆ จากอำนาจเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งนั้น เป็นสิ่งจำเป็นในระบอบเสรีประชาธิปไตย เปรียบเหมือน "เด็กทารก" ที่ควรเก็บรักษาไว้

ข้อชวนคิดคือ ในกระบวนการที่เราหาทางแก้ไขปัญหาตุลาการการเมือง อย่าพลอยเท "เด็กทารก" ทิ้งไปกับ "น้ำที่อาบให้เด็ก" ด้วย



ในทางรัฐศาสตร์ แนวโน้มอันตรายของรัฐบาลเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง ที่สำคัญมีด้วยกัน

4 ประการ กล่าวคือ : -

1) รัฐบาลเสียงข้างมากอาจบิดเบือนฉวยใช้อำนาจรัฐในมือเพิ่มโอกาสให้ฝ่ายตนชนะเลือกตั้งกลับสู่อำนาจอีก อาทิ การเลือกตั้งสกปรก พ.ศ.2500 ของพรรคเสรีมนังคศิลาฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม, และเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ใช้อำนาจรัฐสกัดจุดพรรคคู่แข่งอย่างเข้มข้นในการเลือกตั้งทั่วไปหลายๆ ครั้ง เป็นต้น

2) รัฐบาลเสียงข้างมากรวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่อาจจงใจละเลยหลักนิติรัฐเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ร่วมของตนหรือเพื่อสนองอารมณ์ความรู้สึกร้อนแรงเฉพาะหน้า แล้วไปก้าวล่วงสิทธิของเสียงข้างน้อย โดยเฉพาะในยามสงคราม การก่อการร้ายหรือสถานการณ์คับขันหน้าสิ่วหน้าขวาน อาทิ การปราบปรามสังหารหมู่นักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมประท้วงอยู่ในธรรมศาสตร์ เมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519, การฆ่าตัดตอนผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติด 2,000 กว่าคน, การสลายการชุมนุม และขนย้ายผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 80 กว่าคนที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส, การสั่งห้ามเผยแพร่วีซีดีกรณีตากใบโดยทางราชการ เป็นต้น

3) รัฐบาลเสียงข้างมากรวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่อาจจงใจละเลยสิทธิของชนเชื้อชาติ หรือศาสนาส่วนน้อยเนื่องจากอคติลำเอียง ความเกลียดชัง ความไม่เข้าใจทางเชื้อชาติศาสนาที่หยั่งลึกยาวนานและไม่ได้รับการใส่ใจแก้ไข อาทิ มาตรการรัฐนิยมและชาตินิยมอื่นๆ ที่เลือกปฏิบัติและจำกัดกีดกันสิทธิของคนจีน, คนมลายูมุสลิมและชาวคริสต์สมัยรัฐบาลพิบูลสงคราม ก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง, กระแสต่อต้านคนญวนเนื่องจาก "โรคจู๋" ระบาดช่วงปี พ.ศ.2519, กระแสเกลียดชังคนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แสดงออกแพร่หลายดกดื่นตามเว็บบอร์ดต่างๆ หลังเหตุไม่สงบชายแดนภาคใต้กลับปะทุขึ้นมา เป็นต้น

4) ประชาชนส่วนใหญ่อาจถูกปลุกระดมจนอารมณ์พลุ่งพล่านเกรี้ยวกราดกลายเป็นม็อบ กระทำการละเมิดหลักนิติรัฐและสิทธิของเสียงข้างน้อย หรือกดดันให้ผู้แทนเสียงข้างมากกระทำเช่นนั้น เช่น ม็อบประชาทัณฑ์ฆ่าโหดนักศึกษาที่สนามหลวงและธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 เป็นต้น

ในระบอบประชาธิปไตย มีกลไกมาตรการใหญ่ๆ 4 ชนิดที่ใช้มาป้องกันกำกับควบคุมการใช้อำนาจอย่างไร้ขีดจำกัดของเสียงข้างมาก ได้แก่ : -

1) บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ต้องใช้มติเสียงข้างมากเป็นพิเศษในการลงมติบางกรณี เช่น สองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแทนเสียงข้างมากธรรมดาในกรณีรัฐสภาลงมติยืนยันร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภาหรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา (มาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ 2550), หรือบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ถ่วงเวลาลงมติเนิ่นช้าออกไปเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาอารมณ์สงบเยือกเย็นลง เช่น การให้รอไว้สิบห้าวันหลังพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระที่สองเสร็จแล้ว ก่อนที่รัฐสภาจะพิจารณาในวาระที่สาม (มาตรา 291 ข้อ 5 ของรัฐธรรมนูญ 2550) เป็นต้น

2) ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีคณะตุลาการอันประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทางนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์ส่วนน้อย-ได้มีอำนาจทบทวนยับยั้งการที่เสียงข้างมากในสภาจะละเมิดรัฐธรรมนูญ

3) การแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็นฝักฝ่ายเพื่อคานอำนาจกัน ได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ, บริหาร, ตุลาการ รวมทั้งบทบาทของสถาบันสื่อมวลชนนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ (บางครั้งเรียกว่า "อำนาจที่ 4") หรือแม้แต่ธนาคารชาติ (ในแง่การเงินการธนาคาร) ในการเป็นหมาเฝ้าบ้าน คอยป้องปรามการบิดเบือนฉวยใช้อำนาจของเสียงข้างมากก็จัดอยู่ในข่ายนี้

4) การจัดวางกลไกตรวจสอบ-ถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันการเมืองต่างๆ ในระบบ เช่น ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 110 ของรัฐธรรมนูญ 2550), กลไกการยื่นกระทู้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี (มาตรา 158-160 ของรัฐธรรมนูญ 2550), วุฒิสภาตรวจสอบทบทวนกฎหมายที่ผ่านโดยสภาผู้แทนฯ (มาตรา 147-149 ของรัฐธรรมนูญ 2550), พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจยับยั้งร่างกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาแล้วและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา เพื่อให้พิจารณาทบทวนเมื่อพระองค์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย (มาตรา 151ของรัฐธรรมนูญ 2550), องค์การมหาชนอิสระต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง, คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน, ผู้ตรวจการแผ่นดิน (หมวด 11 ของรัฐธรรมนูญ 2550) เป็นต้น



น่าเสียดายที่ว่าเช่นเดียวกับระบบจำนวนมากของบ้านเมืองหลังรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 และหลังความขัดแย้งร้อนแรงทางการเมืองหลายปีที่ผ่านมา ระบบตุลาการของเรากำลังเสียดุลและจำเป็นต้องปรับดึงเข้าสู่จุดสมดุลใหม่

เรื่องนี้ต้องทำไม่ช้าก็เร็ว มิฉะนั้นการสร้างความยุติธรรมในบ้านเมืองก็จะเรรวนไปหมดและยิ่งเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้น แก้ไขยากขึ้น

แต่ไม่ว่าจะในรูปและชื่อเดิมว่าศาลรัฐธรรมนูญ หรือในรูปและชื่อใหม่ว่าคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ หรืออื่นใดก็ตาม การทำหน้าที่ (function) ในการจำกัดอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของเสียงข้างมาก ไม่ให้ละเมิดล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน ของบุคคลและเสียงข้างน้อย ยังมีความจำเป็นอย่างที่จะมองข้ามหรือละเลยหรือปฏิเสธเสียมิได้ อย่าลืมว่าเสียงข้างน้อยไม่ได้มีแต่ชนชั้นนำกลุ่มตรงข้าม แต่ยังมีเสียงข้างน้อยทางอุดมการณ์ เสียงข้างน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนา

รวมทั้งเสียงข้างน้อยทางเพศสภาพอยู่ด้วยเสมอในสังคมของเรา ซึ่งเอาเข้าจริง เราทุกคนทุกฝ่ายมีสิทธิเป็นและได้เคยเป็นเสียงข้างน้อยมาในสถานการณ์ต่างๆ กันไป การลิดรอนกลไกอำนาจสถาบันที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก (non-majoritarian institutions)

จึงควรคำนึงถึงความจำเป็นของกลไกถ่วงดุลและสมดุลที่เหมาะสมว่าจะคงอยู่ตรงไหน อย่างไรด้วย

บ้านเมืองเราเคยเอนเอียงไปทางแอนตี้เสียงข้างน้อยมากช่วงก่อนรัฐประหาร 2549, แล้วก็กลับมาเอนเอียงไปทางแอนตี้เสียงข้างมากอย่างหนักช่วงหลังรัฐประหาร 2549, ในกระบวนการปรับแก้หาสมดุลใหม่ ผมหวังว่าเราจะรอบคอบระมัดระวัง เก็บรับบทเรียนจากความโน้มเอียงที่ผิดพลาดทั้งสองรอบนั้นไว้ประกอบการพิจารณา

ไม่เหวี่ยงไปทางตรงข้ามจนเสียกลไกเครื่องมือที่จำเป็นบางอย่างสำหรับระบอบเสรีประชาธิปไตยไป

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1343352395&grpid=01&catid=02&subcatid=0200
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #290 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 16:30:23 »



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341025901&grpid=03&catid=02&subcatid=0207
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #291 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 16:37:33 »

ชนเผ่า"ฮัดซา" ในแทนซาเนีย กุญแจไขปริศนา "กินมากไป" สาเหตุใหญ่"โรคอ้วน"
วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01:10 น.
 


 
แนวคิดที่ว่าการออกกำลังกายสำคัญกว่าการรับประทานอาหารจะช่วยต่อสู้กับโรคอ้วน กำลังได้รับการท้าทายกับงานศึกษาชิ้นใหม่
 
 

 
 
การศึกษาในกลุ่มชนเผ่าฮัดซา (Hadza) ซึ่งยังเป็นไม่กี่ชนเผ่าในโลกที่ยังดำรงชีวิตในฐานะนักล่าอาหารจากธรรมชาติ ชี้ให้เห็นว่า ความต้องการแคลอรี่ต้องการคือลักษณะเด่นของมนุษย์ และชาวตะวันตกกำลังเริ่มเป็นโรคอ้วนมากขึ้น เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไป มากกว่าการไม่ออกกำลังกาย
 
องค์การอนามัยโลกเผยว่า 1 ใน 10 ของประชากรโลก จะป่วยเป็นโรคอ้วนภายในปี 2015 และเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลก คาดว่าจะมีน้ำหนักเกิน ขณะที่การใช้ชีวิตเช่นชาวตะวันตก ถูกมองว่าเป็นเสมือนปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแพร่ขยายของโรคอ้วน
 
อย่างไรก็ดี มีปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่นกัน อาทิ การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง หรือมีปริมาณมากเกินไป และการใช้ชีวิตแบบนั่งๆนอนๆมากเกินไป และพึ่งพาเครื่องมืออุปกรณ์ทุ่นแรงมากเกินไป อาทิ รถยนต์หรือเครื่องจักรต่างๆ ซึ่งยังคงเป็นถกเถียงกันต่อไปว่า ปัจจัยใดมีผลมากกว่ากัน
 
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางรายตั้งข้อสมมุติฐานว่า ความต้องการแคลอรี่ของมนุษย์ ได้ลดลงอย่างฮวบฮาบนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และนี่ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคอ้วนมากกว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค
 
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร PLoS ONE ในกลุ่มชนเผ่าฮัดซา ในประเทศแทนซาเนีย ซึ่งยังดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชป่าเป็นอาหาร ถูกใช้เป็นโมเดลจำลองของการใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคโบราณ
 
โดยสมาชิกชนเผ่าฮัดซากว่า 1,000 คน ยังคงดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ เก็บผลไม้และรากพืชเป็นอาหาร ด้วยวิธีการเดินเท้า และยังคงใช้เครื่องมือแบบโบราณ อาทิ ธนู ขวานขนาดเล็ก และแท่งไม้สำหรับขุดดิน
 
ทีมนักวิทยาศาสตร์ทั้งจากสหรัฐฯ แทนซาเนีย และอังกฤษ ได้วัดการใช้พลังงานของชนเผ่าฮัดซาทั้งชายและหญิงจำนวน 30 คน ที่มีอายุระหว่าง 18-75 ปี  และพบว่าระดับกิจกรรมทางร่างกายในทั้งสองเพศมีระดับค่อนข้างสูงกว่าคนทั่วไป  แต่เมื่อคำนวณขนาดและน้ำหนัก พบว่าอัตราการเผาผลาญแทบไม่ต่างจากผู้ใหญ่ชาวตะวันตกที่มีกิจกรรมต่ำกว่า
 
ดร.เฮอร์แมน พอนต์เซอร์ จากภาควิชามานุษยวิทยา วิทยาลัยฮันเตอร์ นิวยอร์ก  กล่าวว่า นักวิจัยทุกคนต่างคาดกันว่ากลุ่มนักล่าดังกล่าวมีการเผาผลาญพลังงานหลายร้อยแคลอรีต่อวันมากกว่าชาวตะวันตกในวัยเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดคาด ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความซับซ้อนของการใช้พลังงานของร่างกาย แต่เน้นย้ำว่า การออกกำลังกายอย่างไรก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ร่างกายยังคงมีสุขภาพดีเสมอ
 
สำหรับเขาคิดว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวตะวันตกกำลังอ้วนขึ้นก็คือ การรับประทานที่มากเกินไป ไม่ใช่เพราะเราออกกำลังกายน้อยเกินไป การบริหารร่างกายอยู่เสมอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพดี การรับประทานน้อยลงต่างหากที่ทำให้ผอมลง

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1343303670&grpid=01&catid=09&subcatid=0902
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #292 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 17:02:45 »

“ร้าน 0 บาท” ขายอะไร ? ทำไม”ร้านสะดวกซื้อ”ยักษ์ใหญ่ต้องสะดุ้ง !!
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เวลา 23:35:33 น.
 


เรามักได้ยินเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้าง ถามว่า มีงานพิเศษอะไรให้ทำบ้าง
 
โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน ที่มักมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ด้วยค่าครองชีพที่ทะยานไม่หยุด
 
หลายคนอยากหารายได้เสริมด้วยการตั้งร้านขายของชำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชุมชนที่อยู่อาศัย
 
แต่เมื่อหันกลับไปพบ”ร้านสะดวกซื้อ”ที่ชื่อเหมือนกันตั้งเรียงรายอยู่ทั่วทุกหัวระแหง หากตั้งเองคงแข่งขันลำบาก
 
 
แต่วันนี้หลังจากสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิล เพื่อสิ่งแวดล้อม(TIPMSE) ที่ร่วมผนึกพลังภาคีเครือข่าย ทำโครงการต้นแบบ “ร้าน 0 บาท”สอดรับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของศูนย์วัสดุรีไซเคิลกลุ่มอาชีพซาเล้ง ชุมชนอ่อนนุช เขตประเวศ
 

 
ด้วยการให้ชาวบ้านรวมตัวกันตั้งร้านค้าขึ้นมาในชุมชน แต่แทนที่จะซื้อของด้วยการจ่ายเป็นเงินสดกลับให้เก็บ”ขยะ”ที่สามารถนำกลับไปผลิตใหม่ได้”หรือรีไซเคิลมาจ่ายแทนการใช้เงินสด โดยรูปแบบของร้านใช้แนวคิดลักษณะเดียวกับร้านค้าสหกรณ์ ทุก 6 เดือนมีเงินปันผลให้สมาชิก
 
   

“แม้จะไม่มีเงินสดก็สามารถซื้อสินค้าได้ด้วยการหาวัสดุรีไซเคิลมาแลกเปลี่ยน”ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กระป๋องเครื่องดื่ม กล่องกระดาษ กล่องเครื่องดื่ม โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ เข้ามาร่วมสนับสนุน เช่น บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด เข้ามาช่วยรับซื้อเศษแก้ว ,บริษัท เอสซีจี จำกัด(มหาชน) ช่วยรับซื้อถุงพลาสติกที่ขายไม่ได้ วัสดุพิษ เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย เป็นต้น
 

 
โดยนายสมพงษ์ ตันเจริญผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)และประธานคณะกรรมการบริหาร สถาบันบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิล เพื่อสิ่งแวดล้อม ส.อ.ท.กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นในทุกด้าน สิ่งของอุปโภคบริโภคพร้อมใจกันปรับตัวขึ้นราคา ในขณะที่รายรับไม่สมดุลกับรายจ่าย ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบถึงคนไทยทั่วประเทศ
 

 
TIPMSE ได้พยายามหาทางออกในบทบาท และขอบเขตที่มีความเชี่ยวชาญ คือ การจัดการวัสดุรีไซเคิล ซึ่งมีมูลค่าเป็นเงินสด สามารถนำมาจับจ่ายใช้สอย ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้ ในรูปแบบร้านค้าต่าง ๆ เช่น  ร้านของชำ ร้านข้าวแกง ร้านรับแลกสินค้าเคลื่อนที่ ตามความต้องการของแต่ละชุมชน โดยมีแนวคิดในการใช้วัสดุรีไซเคิลแทนเงินสด เพื่อแลกสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในชุมชน และลดปริมาณขยะในประเทศ รวมทั้งเป็นการสร้างวัฒนธรรมการคัดแยกขยะให้กับคนไทย
 

 

นายยุทธพงษ์ วัฒนะลาภา ผู้อำนวยการสถาบัน TIPMSE กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการทำโครงการ”ร้าน 0 บาท”มี 3 ประการ ได้แก่ 1.เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยการใช้วัสดุรีไซเคิลแทนเงินสด 2.เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมองเห็นมูลค่าของวัสดุรีไซเคิล ก่อนทิ้งเป็นขยะ และ 3.เพื่อรณรงค์ให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ที่คนรุ่นใหม่ ร่วมใจคัดแยกวัสดุรีไซเคิล ซึ่งคาดว่าจะทำให้สร้างวัฒนธรรมที่คนในชุมชนจะสามารถจัดการคัดแยกขยะจากต้นทาง จะช่วยให้ปัญหาขยะในชุมชนลดลง ทั้งยังสามารถลดค่าครองชีพของคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ทาง TIPMSE พยายามจะขยายร้าน 0 บาทออกไปยังชุมชนต่าง ๆ ที่มีความพร้อม เพราะจะให้ทางชุมชนบริการจัดการกันเอง
 

 
นางบัวรินทร์ เสรีย์วงศ์ ผู้จัดการร้าน 0 บาท กล่าวว่า เดิมชาวบ้านเก็บของเก่าขายจะนำของที่เก็บได้ไปขายให้กับร้านรับซื้อของเก่านอกชุมชน ทำให้เสียค่ารถค่าน้ำมันในการเดินทาง พอมีร้าน 0 บาทขึ้น ซาเล้งส่วนหนึ่งจะนำของมาขายเพื่อแลกสินค้าอุปโภคบริโภคไปใช้ในครัวเรือน ส่วนราคาการรับซื้อจะขึ้นลงตามตลาดจะไม่แตกต่างจากร้านรับซื้อด้านนอก เพราะส่วนหนึ่งทางร้าน 0 บาทจะนำขึ้นรถไปขายให้กับร้านรับซื้อของเก่ารายใหญ่ทั่วไป แต่คนในชุมชนที่มาขายประหยัดค่าเดินทางและเวลาไม่ต้องนำไปขายไกล ส่วนบริษัทใหญ่ที่มารับซื้อมีเพียง 2-3 รายที่ให้ราคาดีกว่า ทั้งนี้ หากรวมรายได้จากการขายขยะรีไซเคิลทุกอย่างต่อเดือนได้ประมาณ 20,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งจะแบ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 10,000บาท ในการซื้อสินค้ามาขายภายในร้าน แบ่งเป็นค่าบริหารจัดการภายในร้าน ที่เหลือเป็นกำไรเก็บไว้จ่ายเป็นเงินปันผลคืนให้สมาชิก
 
 

ขณะเดียวกันทางกลุ่มได้รวมตัวกันนำขยะที่ได้มาเพิ่มมูลค่า เช่น นำกระป่องน้ำอัดลมมาทำเป็นกระเป๋า กล่องใส่ดินสอปากกา กล่องใส่กระดาษทิชชู่ ถังขยะ เป็นต้น ทำให้เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านที่ทำอาชีพเก็บของเก่าในชุมชน
 

 
นอกจากนี้ ทางชุมชนได้ร่วมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกันในหลายด้าน ทั้งการทำห้องสมุดชุมชน การปลูกพืชผักสวนครัวรับประทานกันเอง โดยให้เก็บขยะมาแลกเปลี่ยนในการเก็บพืชผักสวนครัวไปรับประทาน รวมทั้งมีการร่วมกันเลี้ยงหมูหลุมด้วย
 

 

 
นางพิศมัย  พันธเสน  อาชีพเก็บของเก่าหนึ่งในสมาชิกร้าน 0 บาท กล่าวว่า การร่วมกลุ่มกันของชาวบ้านในชุมชนทำให้เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหลาย ๆ ด้านทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยปลูกฝังให้ลูก ๆ  ในหลาย ๆ ด้านทั้งรู้จักค่าของเงิน การคัดแยกขยะว่า อะไรมีมูลค่าเท่าไหร่ อะไรขายได้ไม่ได้ เช่น ตัวเองจะให้เงินค่าขนมลูกวันละ 10 บาท หากต้องการซื้อขนมที่ราคาสูงกว่านั้น หรืออยากกินขนมหลายอย่าง เงินที่ให้ไว้ไม่พอ เด็ก ๆ จะช่วยกันไปเก็บขยะบริเวณรอบชุมชน เพื่อนำไปแลกขนมที่ร้าน 0 บาท ซึ่งทำให้ชุมชนเองสะอาดขึ้น
 
 

 
ใครที่ได้อ่านแนวคิดนี้ หากจะลองนำไปทำบ้างเป็นการส่วนตัว ก็คิดว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากจะช่วยเสริมรายได้ให้ตัวเองแล้ว ยังได้ช่วยเหลือสังคม ช่วยลดปริมาณขยะในประเทศไทย ซึ่งสำนักจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ พบว่า ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ปริมาณขยะในแต่ละวันของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี จากเดิมในปี 2548 มีปริมาณขยะโดยรวมจำนวน 39,221 ตันต่อวัน แต่ในปี 2553 เพิ่มเป็น 41,532 ตันต่อวัน
 

 
หากเปลี่ยนปริมาณขยะเหล่านี้เป็นเงิน จะมีมูลค่ามหาศาลเพียงใด ลองคิดดูเอาเองแล้วกัน !!
 

 เรื่องโดย: กฤษณา  ไพฑูรย์
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #293 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 20:39:43 »

เจ๋งจริง... รัฐบาลน่าจะส่งเสริมให้มีหมู่บ้านละ 1 ร้าน
ทั่นผู้ช่วยผู้ตรวจช่วยนำเหนอหน่อยเหอะ
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #294 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 19:36:31 »

เผยกลเม็ดเด็ดในการดูแลความรักให้ยืนยาว



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใครว่าจีบสาวมาเป็นแฟนนั้นยากแล้ว แต่การดูแลความรักให้คงอยู่ตลอดไปกลับยากยิ่งกว่าหลายเท่านัก เพราะความรักไม่ได้มีแค่ฉันรักเธอและเธอรักฉันตอบ ทว่ามันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ช่วยประคับประคองความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน ต่อไปได้ คุณรู้ไหมว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร? ถ้าไม่แน่ใจงั้นลองมาดูกลเม็ดที่เรานำมาฝากกันดีกว่า

 ความซื่อสัตย์

          นับเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากที่สุดข้อหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งทั้งคุณและแฟนสาวควรจะแสดงความซื่อสัตย์ต่อกันเสมอ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง แล้วเมื่อมีความซื่อสัตย์ต่อกันอย่างดีแล้ว สิ่งที่ตามมาเพื่อต่อยอดความรักให้งอกงามมากยิ่งขึ้นนั่นคือ ความเชื่อใจ เพราะต่างฝ่ายจะได้ไม่ต้องคอยมาระแวงว่าจะแอบไปหวานเสน่ห์ใส่คนอื่นหรือ เปล่าไงล่ะ

 ยอมรับในตัวตนของกันและกัน

          คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ล้วนเดินทางจากต่างที่มา ถูกเลี้ยงดูมาคนละแบบ อีกทั้งยังดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมที่อาจจะต่างกันสุดขั้ว แต่สิ่งที่จะหลอมรวมให้ความสัมพันธ์เดินหน้าต่อไปได้ก็คือ ยอมรับ ในตัวตนของกันและกัน ไม่มีใครเหมือนกันไปหมดทุกอย่างหรอก อะไรที่คุณชอบ แฟนคุณอาจไม่ชอบก็ได้นี่นา ซึ่งการบีบบังคับให้อีกฝ่ายชอบเหมือนกับตัวเองชอบ ก็คงเป็นไปไม่ได้ทุกเรื่อง หากคุณรู้จักยอมรับและทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น เพียงเท่านี้ความต่างก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป

 มีอะไรก็หันหน้ามาคุยกันแบบเปิดอก

          คู่รักหลาย ๆ คู่ มักมีปัญหาในเรื่องของการสื่อสารกันอยู่เสมอ เพราะต่างฝ่ายต่างคิดเอาเองว่าคุณต้องเข้าใจฉันสิ แค่นี้ทำไมต้องให้บอกด้วย แหมมม เรามันก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งนะครับ ไม่มีใครสามารถอ่านใจได้หรอก อีกอย่างอาจเกิดความเข้าใจผิดมากขึ้นไปอีก หากคุณสองคนคิดไม่เหมือนกัน คราวนี้จากเรื่องเล็กนิดเดียวก็อาจกลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โตไปเลยก็ได้ อย่าลืมนะครับว่ามีอะไรให้พูดกันตรง ๆ อย่างมีเหตุผล แล้วทุกอย่างจะค่อย ๆ



 รู้จักประนีประนอม

          คนเป็นแฟนกัน หากจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเด็นอยู่ที่เวลาโต้เถียงกันจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่เป็นฝ่ายยอม และหาทางประนีประนอมกันบ้างหรือเปล่า หากต่างคนต่างดื้อดึง เชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ย่อมไม่มีทางสงบศึกกันได้แน่ หรือถ้าถึงที่สุดแล้วไม่มีใครยอม เอาเป็นว่าผู้ชายแมน ๆ อย่างเรานี่แหละ ต้องยอมเป็นฝ่ายที่ยกธงขาวขอสงบศึกก่อน (แม้คุณจะไม่ได้เป็นคนผิดก็ตาม) ซึ่งเมื่อผู้หญิงเห็นเราถอยแล้ว เธอก็จะลดดีกรีความโกรธลงมาเอง จากนั้นคุณก็หาทางประนีประนอมกันซะ

 เรื่องของเซ็กส์ก็สำคัญไม่แพ้กันนะ

          สำหรับคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน บางทีความรักอาจค่อย ๆ ดูไม่น่าสนใจ ไม่มีอะไรให้น่าค้นหาเหมือนตอนแรก ๆ ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและท้าทายเสมอ โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง ไม่แปลกหรอกครับ ที่ "เซ็กส์" จะมีบทบาทต่อความสัมพันธ์ เพราะเซ็กส์ไม่ใช่แค่เรื่องของกิจกรรมทางกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความรักที่ชาย-หญิงมีต่อกันอีกรูปแบบหนึ่งด้วย ฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าชีวิตเซ็กส์ของคุณเริ่มเฉื่อยชา ดำเนินไปเพราะความเคยชิน ถ้างั้นลองหาสิ่งแปลกใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มสีสันดูบ้างสิ เช่น พาเธอไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด ตามสถานที่ที่มีบรรยากาศโรแมนติก เพื่อบิ้วด์อารมณ์สักหน่อย ไม่แน่นะว่ามันอาจจะเร่าร้อนกว่าเก่าก็เป็นได้

          หวังว่าข้อมูลที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันในวันนี้ คงจะช่วยให้คุณนำไปปรับใช้กับคู่รักของตัวเองได้บ้างนะ เพื่อรักษาความรักดีดีให้อยู่กับคุณได้ตราบนานเท่านาน
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #295 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 23:59:11 »

เงินโผล่2ล.ส่งคืนถูกเย้ยอดีตผู้ว่าฯควัก2หมื่นปลอบขวัญ
อดีตผู้ว่าฯนครนายกควัก2หมื่น มอบ 2 แม่ลูกเงินโผล่เข้าบัญชีธนาคาร 2 ล้านส่งคืน กลับถูกเพื่อนบ้านต่อว่า"โง่"
               30ก.ค.2555 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย อดีต ผวจ.นครนายก พร้อมด้วยสมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.นครนายก นำเงิน 20,000 บาท ไปมอบให้กับ น.ส.ยุวดี ชำนิพงษ์ และนางธนพร ชำนิพงษ์ สองแม่ลูกน้ำใจงามภายในบ้านพักบ้านวังปลาจีด ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก เพื่อสนับสนุนในการทำความดีและนำเงินไปใช้หนี้สินของครอบครัว

 
               ทั้งนี้ ทั้งสองคนมีน้ำใจงาม นำเงินที่เพิ่มเข้าบัญชีเงินฝากของตัวเองกว่า 2 ล้านบาท คืนให้กับธนาคารกรุงเทพฯ สาขาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก เพราะเห็นว่าไม่ใช่เงินของตัวเอง
              
               นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ได้มอบเงิน 20,000 บาท เพื่อให้นำไปใช้หนี้ และมอบเกียรติบัติเพื่อเชิดชู เพราะคนดีมีน้ำใจอย่าง น.ส.ยุวดีหายาก หลังจากนำเงินไปคืนให้ธนาคารแล้ว ก็ยังถูกเพื่อนบ้านต่อว่า ทำไมโง่ นำเงินไปคืน ทั้งที่ครอบครัวมีหนี้สินกว่า 1 หมื่นบาท แทนที่จะนำเงินไปใช้หนี้ก่อน นอกจากนั้นยังถูกเจ้าหน้าที่ธนาคารต่อว่าทำให้ธนาคารเสื่อมเสีย
               ทั้งนี้ ทั้งสองแม่ลูกก็ไม่ได้เสียกำลังใจยืนยัน จะทำความดีต่อไป ซึ่งคนประเภทนี้หายากในสังคม จึงนำเงินมามอบให้เพื่อเป็นกำลับใจ คนทำดีต้องได้รับการยกย่องเชิดชู ทำให้เขารู้สึกว่าสังคงไม่ได้ทอดทิ้ง จะทำให้คนมีกำลังใจทำดีต่อไป
               นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า นางธนพรยืนยันว่า จะสอนลูกสอนหลานที่มีอยู่ 7 คนให้เป็นคนดีไม่คดโกงใคร แม้เขาจะมีอาชีพเย็บผ้าขาย ยังสอนลูกว่าทุกเข็มที่เย็บผ้าอย่าหลอกลูกค้า งานที่ออกมาต้องมีคุณภาพ
               อย่างไรก็ตาม ขอวิงวอนคนในสังคมต้องช่วยกันสนับสนุนคนทำความดี ให้มีกำลังใจไม่ท้อแท้ ถ้าใครเจอคนลักษณะนี้ต้องช่วยกันสนับสนุนให้กำลังใจ อย่าไปมองโลกแบบเห็นแก่ตัวว่า ต้องกอบโกยตักตวงไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นคนดีจะหมดกำลังใจ

http://www.komchadluek.net/detail/20120730/136504/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%882%E0%B8%A5.%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AF%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%812%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D.html#.UBa8gGEZe1t
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #296 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2555, 13:45:49 »

วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์


"เรื่องเทพเทือกจะถูกถอดถอน ยากยกกำลังยาก แค่ส.ว.สายอำมาตย์กับส.ว.สายสะตอไม่เอาด้วยก็จบ แต่..."

สันตะวา


หนังสือพิมพ์ข่าวสด ทดแทนผู้อ่านด้วยสาระ ความจริง ความรับผิดชอบ ฉบับนี้ตรงกับวันอังคารที่ 28 สิงหาคม พุทธศักราช 2555 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง

สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ 1 ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประชาชนให้คะแนนความตั้งใจทำงานของนายกรัฐมนตรี 6.95 คะแนน ผลงานนายกรัฐมนตรี 6.41 คะแนนความตั้งใจทำงานของคณะรัฐมนตรี 6.25 จากเต็ม 10 ต่อเนื่องจาก นิด้าโพล ที่เพิ่งให้ สอบผ่าน

ประชาชนสะท้อน ผ่าน ดุสิตโพล ด้วยว่า ผลงานยอดเยี่ยมอันดับ 1 การปราบยาเสพติด รองลงมา การขึ้นเงินเดือน ส่วนผลงานยอดแย่อันดับ 1 การแก้ปัญหาราคาสินค้าแพง รองลงมา การแก้ปัญหาน้ำท่วม

1 ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทุก โพลมาตรฐาน ให้ผ่านหมด หวังว่ารัฐบาลจะนำความคิดเห็น เสียงสะท้อนประชาชน ไปพัฒนา ปรับปรุง แก้ไข ในปีที่ 2 ของการทำงาน โดยเฉพาะบรรดา ยอดแย่ ทั้งตัวผลงาน และตัวบุคคล นายกฯปู หัวหน้ารัฐบาลต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ประชาชนเดี๋ยวนี้ก้าวไปไกลแล้ว ให้ผ่านได้ ก็ให้ตกได้ สอบตก เมื่อไหร่ รัฐบาลอาจได้นับถอยหลัง

จับตาวันนี้ ศาลอาญานัด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ช่วงเหตุการณ์ 98 ศพ เข้าเบิกความคดี พัน คำกอง แท็กซี่เสื้อแดงถูกยิงตายย่านราชปรารภ 15 พ.ค. 2553 ทนายความฝ่ายคนตายแจ้งว่า บิ๊กป๊อก ประสานเบื้องต้นมาแน่

ถัดไปพฤหัสฯที่ 30 ส.ค.ถึงคิว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ขึ้นศาลวันสืบพยานนัดสุดท้ายคดีเดียวกัน ถือเป็นครั้งแรกของ คู่หูผู้มีอำนาจเต็มแห่งศอฉ. ในคดี 98 ศพ

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันจันทร์ ร้อยตรีอภิสิทธิ์ กับ เทพเทือก ไปให้ปากคำต่อดีเอสไอ คดี 98 ศพ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการตามกฎหมายปกติ ใครเอะอะ โวยวาย ตั้งแง่ คนนั้นออกอาการ ไม่ปกติ

วุฒิสภายุค ท่านประธาน นิคม ไวยรัชพานิช เริ่มกระบวนการพิจารณาถอดถอน กรณีป.ป.ช.ชี้มูล สุเทพ เทือกสุบรรณสมัยเป็นรองนายกฯ กระทำขัดรัฐธรรมนูญ แทรกแซงข้าราชการ กำหนดลงมติ 18 ก.ย. ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของส.ว.ที่มีอยู่ปัจจุบัน หรือ 89 เสียงขึ้นไป จึงจะถอดถอนได้ พร้อมกับเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี

เรื่อง เทพเทือก จะถูกถอดถอน ต้องกลับไปเลี้ยงหลานนาน 5 ปีนั้น เขารู้กันตั้งแต่ กล้านรงค์ จันทิก โฆษกป.ป.ช.แถลงมติชี้มูลเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วว่า ยาก ยกกำลังยาก 89 จาก 150 แค่ส.ว.สรรหาสายอำมาตย์กับส.ว.เลือกตั้งสายสะตอ ไม่เอาด้วยก็จบ แต่ประเด็นที่ใครต่อใครสงสัยก็คือ ทำไมป.ป.ช.ไม่ส่งอัยการสูงสุดพิจารณาร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองด้วย ป.ป.ช.ตอบหน่อยได้ไหม
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #297 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2555, 14:58:21 »

วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7943 ข่าวสดรายวัน


วีระชัย แนวบุญเนียร อดีตกกต.ลาลับ

คอลัมน์ ข่าวทะลุคน



ป่วยด้วยโรคไตมานานนับปี

วีระชัย แนวบุญเนียร อดีตกรรม การการเลือกตั้ง(กกต.) ถึงแก่กรรมด้วยโรคไตวาย เมื่อ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา

หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลภูมิพลฯ

ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ศาลา 3 จนถึง 30 ส.ค.นี้

สิริอายุได้ 72 ปี

เกิดเมื่อ 23 ธ.ค.2483

ปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ จากสหรัฐ อเมริกา ปริญญาโท สังคมศาสตร์ จากสหราชอาณาจักร และสำเร็จหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

ลูกหม้อกระทรวงมหาดไทย ผ่านตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ว่าฯนนทบุรี เชียงใหม่ สงขลา มหาสารคาม

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมโยธาธิการ

หลังเกษียณอายุราชการ ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฝ่ายการ มีส่วนร่วมของประชาชน ในยุคที่มีพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน เมื่อ 21 ต.ค. 2544

ลาออกจาก กกต. เมื่อ 29 ก.ค.2549 สืบเนื่องจากศาลอาญา มีคำพิพากษา 25 ก.ค.2549 ให้ ตัดสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี พร้อม พล.ต.อ.วาสนา และ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และให้จำคุก 4 ปี ในคดีที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ฟ้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ต่อมา 24 เม.ย.2551 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

ปัจจุบันคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

ธ.ค.2553 ศาลสั่งจำคุก 2 ปี ในคดีขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองร่วมกับอดีต 4 กกต. แต่ให้รอลงอาญา

มีโรคประจำตัวคือโรคไต ต้องเข้าฟอกไต 3 ครั้งต่อสัปดาห์

ลาลับด้วยโรคไตวาย ทิ้งไว้แต่ผลงานให้ระลึกถึง

หน้า 6
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #298 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2555, 16:44:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 10 กรกฎาคม 2555, 19:03:55
อาจารย์ท่านหนึ่งของ Cornell ชื่อ Karl Pillemer ซึ่งได้ไปสัมภาษณ์ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยคำถามเด็ดนั้นอยู่ที่ว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน”
แล้วก็นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ แต่เขาได้คัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการที่โดดเด่นเอาไว้ครับ โดยบทเรียนทั้ง 10 ประการ ประกอบด้วย

1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง ครับ คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูด เนื่องจากเรามักจะเสียใจและเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นนะครับ

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า นะครับ แต่ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา
9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้หยุดกังวลครับ หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นครับ

คัดลอกข้อความจาก email ของchathaphol phrawan


 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #299 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2555, 14:39:16 »

เรื่องเล่าปัญญาจากหมาขี้เรือน


ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ



วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง นอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ



อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง



เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้า ท่าล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก



อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ



หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทราด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน



อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ



"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี”



“คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้ง วันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก"



พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว



ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง



แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบ ครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่

:ไม่ทราบที่มา แต่มองเห็นทางไป
วีระ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
  หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><