02 พฤษภาคม 2567, 02:38:23
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 264711 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #300 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2555, 16:07:00 »

เรื่องเล่านี้ดีค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #301 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2555, 09:26:37 »

ขอบคุณครับป๋า อ่านแล้วก็ต้องหันมามองตัวเองว่ากำลังเป็นหมาขี้เรื้อนอยู่หรือเปล่า ขอบคุณครับ
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #302 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2555, 17:07:54 »

สวยจนตาค้าง 10 เกาะดีที่สุดปี 2012
 
นิตยสารด้านการท่องเที่ยวระดับโลกออกมาเปิดเผยข้อมูล 10 เกาะที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2012

ทราเวล แอนด์ ลีเชอร์ นิตยสารด้านการท่องเที่ยวชื่อดังของโลก ได้ออกมาเปิดเผยผลการประกาศรางวัล World’s Best Awards ประจำปี 2012 โดยมีการประกาศอันดับเกาะที่ดีที่สุดในโลก 10 อันดับ ซึ่งวัดจาก ความสวยงามทางธรรมชาติ, กิจกรรมต่างๆ/สถานที่ท่องเที่ยว, ร้านอาหาร/อาหาร, ความเป็นมิตรของผู้คน และความคุ้มค่าซึ่งในปีนี้เกาะที่ได้
อันดับที่ 1 คือ เกาะโบราเคย์ ประเทศฟิลิปปินส์,
อันดับที่ 2 เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย,
อันดับที่ 3 หมู่เกาะกาลาปากอส ประเทศเอกวาดอร์,
อันดับที่ 4 เกาะเมาวี (Maui) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา,
อันดับที่ 5 แนวปะการังใหญ่ (เกรท แบริเออร์ รีฟ) ประเทศออสเตรเลีย,
อันดับที่ 6 เกาะซานโตรินี่ ประเทศกรีซ ,
อันดับที่ 7 เกาะคาวายอี (Kauai) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา,
อันดับที่ 8 เกาะบิ๊กไอส์แลนด์ (เกาะฮาวาย) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา,
อันดับที่ 9 เกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี และ
อันดับที่ 10 แวนคูเวอร์ ไอส์แลนด์ รัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา

การจัดอันดับดังกล่าว ได้ทำการสำรวจความเห็นผู้อ่านผ่าน หน้านิตยสาร, ไอแพด และทางเว็บไซต์ ในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2010 ถึง 31 มีนาคม 2012 ที่ผ่านมา และเป็นที่น่าเสียดายที่ในปีนี้ไม่มีหมู่เกาะในประเทศไทยติดอันดับด้วย

http://www.yengo.com/news/txt/?id=12924&da_id=109114
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #303 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2555, 17:10:41 »

10 อาชีพมาแรงแห่งโลกอนาคต...ต้องอ่าน?


การเลือกสาขาวิชาที่เรียน ต้องมองไปในโลกแห่งอนาคตว่าอาชีพไหนรุ่ง...อาชีพไหนเรียนไปแล้วไม่มีงานทำ แนะนำว่าต้องอ่าน

อาชีพมาแรง
อันดับ 1. วิศวกรเนื้อเยื่อ อนาคตโลกเราจะมีผิวหนังปลอม และกระดูกอ่อนเทียมออกวางจำหน่าย เชื่อเถอะเรียนสาขานี้แล้วไม่ผิดหวัง
อันดับ 2. นักวางโครงสร้างยีน หรือแผนผังโครงสร้างทางพันธุกรรม (ยีน) ของมนุษย์
อันดับ 3. ชาวนา ว้าว!! เกษตรกรยุคใหม่ เกิดแน่เพราะอาหารจะขาดแคลน
อันดับ 4. ผู้ตรวจสอบเรื่องอาหาร คอยตรวจสอบผลกระทบทางพันธุกรรมต่างๆ เพราะการเพิ่มปริมาณอาหารให้เพียงพอต้องอาศัยการตัดแต่งพันธุกรรม
อันดับ 5. นักขุดข้อมูล ในอนาคตจะมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญมาจัดการข้อมูลต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อนักการตลาด
อันดับ 6. ช่างซ่อมด่วนตามเรียกใช้บริการตามสายผ่านวิดีโอโฟนเลยทีเดียว
อันดับ 7. นักแสดงแบบ Virtual Reality
อันดับ 8. นักโฆษณาเพื่อคนๆ เดียว โดยอุตสาหกรรมโทรทัศน์จะมุ่งเน้นไปที่เฉพาะบุคคลมากขึ้น
อันดับ 9. มนุษย์เลียนแบบ ในอนาคตจะไม่สามารถแยกได้เลยว่าเรากำลังคุยกับคนหรือหุ่น ปิดท้ายด้วย
อันดับ 10. วิศวกรแห่งความรู้ ว่ากันว่านักเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์จะประมวลผลงานไปเป็นซอฟท์แวร์ และอาจทำให้สมองมีขนาดเล็กลงได้

(ที่มา Komchadluek.net )
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #304 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2555, 17:26:06 »


สวัสดียามเย็นครับ... น้องป๋าทู..พี่ป้อม..น้องตี้ และพี่น้องทุกท่าน

คงต้องวางแผนไปสูดอากาศชมความงามของบอร์ราเคย์แล้วล่ะครับ.
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #305 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2555, 17:45:39 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=RpUobr8X_dg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=RpUobr8X_dg</a>
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #306 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2555, 16:51:37 »

สาว ๆ คนไหนที่รู้สึกว่าพฤติกรรมของหนุ่มข้างกายเริ่มเปลี่ยนไป หลายสิ่งหลายอย่างไม่เหมือนเดิม…เข้ามาฟังทางนี้ค่ะ เพราะกระปุกดอทคอมได้รวบรวมเอา 7 สัญญาณอันตราย ที่บ่งบอกว่าแฟนอาจกำลังนอกใจคุณอยู่มาบอกกัน เผื่อจะได้รู้ทันก่อนจะถูกเขานอกใจนานเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น…ไปดูกันเลยดีกว่า

1. ห่างเหินเกินจำเป็น

เข้าใจว่าคุณผู้ชายชอบใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นเตะฟุตบอล เล่นเกม หรือดื่มสังสรรค์เล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่าเดินตามเราต้อย ๆ ไปไหนมาไหน ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ้างครั้งบางคราวก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่ถ้ามันบ่อยซะจนไม่มีเวลาให้เราเลยก็ไม่ไหว แถมเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ทำเหมือนต่างคนต่างอยู่ มุมใครมุมมัน ไม่เข้ามาคลอเคลียออเซาะเหมือนเมื่อก่อน แหม…นี่มันช่างเป็นสัญญาณเบา ๆ ที่บอกว่าเขาอาจแบ่งเวลาไปให้ใครอยู่ก็เป็นได้

2. แอบไปคุยโทรศัพท์ที่อื่นบ่อย ๆ

จริงอยู่ว่าเขาอาจต้องปลีกตัวไปคุยธุระเรื่องงานในที่เงียบ ๆ บ้าง แต่ถ้าเริ่มจะบ่อยเกินไปคุณก็ควรสงสัยแล้วล่ะ เพราะเจ้านายเขาคงไม่โทรมาบ่อยขนาดนั้นทุกวันหรอก ดังนั้น ควรทดสอบง่าย ๆ ด้วยการลองถามว่าเขาคุยอะไรกับใครหลังวางสายดู แต่ต้องถามแบบใจเย็น ๆ นะ อย่าทำตัวเป็นฝ่ายหาเรื่องเขาก่อนเด็ดขาด แล้วลองสังเกตท่าทีของเขาดู ถ้าเขาตอบตะกุกตะกัก เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง หรือโมโหขึ้นมาซะเฉย ๆ คุณก็ควรจับตาดูแฟนของตัวเองให้ดีแล้วล่ะ

3. เสพติดโซเชียลเน็ตเวิร์กเกินจำเป็น

ปกติเขาเป็นพวกไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเท่าไหร่นัก แถมยังชอบบ่นคุณอยู่บ่อย ๆ เวลาที่คุณติดแชทกับเพื่อน ๆ แต่อยู่ดี ๆ เขากลับหันมาสนใจเอาดื้อ ๆ เลย โดยเฉพาะการใช้สังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ อินสตาแกรม อีกทั้งยังกดไลค์คนนู้นที ตอบทวิตคนนั้นที เยอะแยะไปหมด ที่สำคัญแต่ละคนที่เขาคุยด้วยนั้น คุณไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าเลย…ถ้าถึงขั้นนี้คุณก็ควรเริ่มสงสัยได้แล้วล่ะ

4. ถามอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็บ่น

ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยได้เจอหรือพูดคุยกันเท่าไหร่ แต่พอเวลาที่คุณถามไถ่สารทุกข์สุกดิบหรือถามความเป็นไปของชีวิต เขามักตอบแบบสั้น ๆ ไม่ค่อยได้ใจความ ถามคำตอบคำ ประมาณว่าขี้เกียจจะตอบคำถามที่แสนห่วงใยของคุณ แถมยังพยายามที่บ่ายเบี่ยงการพูดคุยกับคุณ หรือมักแสดงอาการไม่พอใจหาว่าคุณถามเซ้าซี้มากความ เหมือนไม่ไว้ใจกันซะอย่างนั้น -_-

5. ขาดความอดทน

เขามักจะชักสีหน้าไม่พอใจ พูดจาตะคอก หรือใส่อารมณ์กับคุณอยู่เรื่อย ๆ เหมือนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยอยู่ ทั้ง ๆ ทีเมื่อก่อนไม่เคยเป็นเลย

6. คุณทำอะไรก็ผิดไปซะหมด

ช่วงนี้คุณทำอะไรก็ดูจะไม่ดีไปซะหมด จนทำให้เขาหาเรื่องทะเลาะกับคุณอยู่ตลอดเวลา ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเขากำลังเห่อคนใหม่อยู่นั่นเอง จึงเห็นผู้หญิงคนนั้นดีทุกอย่าง และนึกเอามาเปรียบเทียบกับคุณอยู่ ทำให้ตอนนี้เขามองว่าคุณเป็นผู้หญิงที่เขาต้องทนอยู่ด้วยซะมากกว่า และอยากจะรีบไปใช้เวลาสวีทกับสาวคนใหม่คนนั้นเร็ว ๆ

7. หันมาสนใจเรื่องการแต่งตัวมากขึ้น

ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่ว่าคุณจะบ่นเรื่องการแต่งตัวอย่างไรก็ไม่เคยสนใจ แต่จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวมากขึ้น เสื้อผ้า หน้าผมต้องเป๊ะ ต้องเนี้ยบอยู่ตลอด แถมยังออกกำลังฟิตหุ่นอีกต่างหาก ซึ่งนี่เป็นสัญญาณบอกเป็นนัย ๆ ได้ว่าเขาอาจจะเปลี่ยนลุคใหม่ให้สาวอื่นประทับใจอยู่ก็ได้

และ นี่คือตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราหยิบมาบอกกัน หากสาว ๆ คนไหนรู้สึกว่าหนุ่มข้างกายเริ่มแปรเปลี่ยน ก็ลองนำเอาไปสังเกตพฤติกรรมของเขาดูได้จ้า อย่างไรก็ตาม ก่อนจะด่วนสรุปอะไรก็ควรใช้เหตุผลก่อนอารมณ์ เพราะมันอาจทำให้คุณต้องมาเสียใจทีหลังเอาได้เหมือนกันนะ

ที่มา กระปุกดอทคอม
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #307 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2555, 00:51:40 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=hzu-vDINFt4" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=hzu-vDINFt4</a>
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #308 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2555, 16:32:21 »

โปรดเกล้าฯ ครม.ปู 3 แล้ว เป็นไปตามโผ

1.นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ
2.ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี
3.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย
4.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม
5.นายพงศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน
6.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ
7.นายแพทย์ประดิษฐ์ สินธณรงค์ รมว.สาธารณสุข
8.นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.เกษตรและสหกรณ์
9.นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม
10.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญกุล รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
11.นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม
12.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย
13.นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย
14.นายประเสริฐ จันทรทรวงทอง รมช.คมนาคม
15.พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม
16.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ
17.นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สาธารณสุข
18.นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รมช.เกษตรและสหกรณ์
19.นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.เกษตรและสหกรณ์
20.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์
21.นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ
22.น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ

//Dan
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #309 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2555, 10:42:56 »

 ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #310 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2555, 17:22:04 »

ทะเลยุคแมงกะพรุนเบ่งบาน?
1 พฤศจิกายน 2012

สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ข่าวฝูงแมงกะพรุนถ้วยหลากสีลอยล่องหยุบหยับตามทะเลชายฝั่งตำบลแหลมกลัด จังหวัดตราด เผยแพร่จากเฟซบุ๊กสู่สื่อกระแสหลัก พัดพานักท่องเที่ยวจำนวนมากแห่ไปเยี่ยมชม แถมลงสัมผัสแมงกะพรุนตัวลื่นๆ ด้วยความหรรษาเปรมปรีดา คันนิดคันหน่อยก็ไม่เป็นไร เอาผักบุ้งทะเลทาถู ทาถู

นับเป็นเสน่ห์พิเศษของคนไทย ประเทศอื่นๆ เวลาเกิดปรากฎการณ์ “แมงกะพรุนเบ่งบาน” (jellyfish bloom) ไม่ว่าจะเป็นแมงกะพรุนไฟมีพิษหรือแมงกะพรุนไม่มีพิษก็ตาม การท่องเที่ยวมักจะซบเซา ถ้าเป็นชนิดร้ายแรงก็สั่งปิดหาด ถ้าไม่มีพิษก็ยี้แหวะ

แต่การท่องเที่ยวไทยกลับเบ่งบานตามแมงกะพรุน

รายงานว่าช่วงปลายฝนต้นหนาว กระแสน้ำจะพัดพาแมงกะพรุนเข้ามาสู่ชายฝั่งแถบนี้ทุกปี แต่ปีนี้ดูจะมีจำนวนมากเป็นพิเศษ และมีหลากสี ไม่ใช่แต่สีขาว ตามข่าวเจ้าหน้าที่กรมประมงให้ความเห็นว่า เป็นปรากฏการณ์ที่น่าจะแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่

ด้วยความเคารพ ผู้เขียนไม่ได้อยากจะขัดแย้งอะไรกับนักวิชาการกรมประมง และที่แน่ๆ ผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญระบบนิเวศทะเล ที่สำคัญ ผู้เขียนไม่มีความรู้และข้อมูลท้องถิ่นนี้เลย แต่กระนั้นก็อยากขออนุญาตเล่าสู่กันฟังถึงปรากฏการณ์แมงกะพรุนเบ่งบานที่นักวิจัยทางทะเลทั่วโลกกำลังวิตกและถกเถียงกัน

ปรากฏการณ์แมงกะพรุนเบ่งบานเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อย่างไรก็ตาม ช่วงสิบกว่าปีมานี้ หลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยและจัดหนักกว่าปกติ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามันรุนแรงมากในพื้นที่หลายแห่ง สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล มันเยอะจนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรงต้องปิดดำเนินการชั่วคราวเพราะทางส่งน้ำอุดตัน มันทำลายการประมงหลายแห่ง ทั้งฟาร์มปลาแซลมอนในไอร์แลนด์ ทำลายเครื่องมือจับปลาในญี่ปุ่น ติดแหจับกุ้งในอ่าวเม็กซิโกเสียหายหลายล้านดอลลาร์ และแมงกะพรุนต่างถิ่นที่หลุดเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดจำนวนประชากรของปลาสเตอร์เจียนในทะเลแคสเปียน และการล่มสลายของธุรกิจไข่ปลาคาเวียร์ที่นั่น

นักวิจัยหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำชำเราของมนุษย์ต่อระบบนิเวศทะเล กำลังทำให้สังคมชีวิตในทะเลเปลี่ยนแปลงไป จากทะเลที่เคยเต็มไปด้วยปลา กลับไปสู่ทะเลยุคดึกดำบรรพ์ มีแมงกะพรุนเป็นเจ้าสมุทร

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เราจับปลาจนเกือบหมดทะเล ประเมินว่าปลาขนาดใหญ่ถูกจับหมดไป 90 เปอร์เซ็นต์รวมทั้งปลาหลายชนิดที่กินแมงกะพรุนเป็นอาหาร (เต่าทะเลที่กินแมงกะพรุนก็ลดจำนวนลงไปมากเช่นกัน)

เราปล่อยมลภาวะลงทะเลปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะจากการเกษตร จนชายฝั่งทะเลหลายแห่งมีปุ๋ยลงมามากเกินไป ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชนิดแพลงตอน และลดปริมาณออกซิเจนในน้ำ หนักมากๆ ก็ก่อให้เกิด “แดนตาย” (dead zone) ในทะเล ซึ่งขยายขอบเขตทวีคูณสองเท่าทุกๆ สิบปีตั้งแต่ทศวรรษ 60

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกยังทำให้อุณหภูมิผิวน้ำร้อนขึ้นและน้ำทะเลเป็นกรดมากขึ้น

ภาวะทั้งหมดนี้เอื้อต่อการเบ่งบานของแมงกะพรุน มันทนมลภาวะได้ดีกว่าปลา เพราะมันกินแพลงตอนที่บลูมกับมลภาวะได้ ในขณะที่แพลงตอนอาหารหลักของปลาหายไป มันทนภาวะออกซิเจนละลายในน้ำต่ำได้ และมันหดตัวได้เมื่อขาดอาหาร นอกจากนี้มันยังแพร่พันธุ์ได้หลากหลายวิธี หลายชนิดแบ่งตัวได้ และมันโตได้เร็ว อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นก็ช่วยให้แมงกะพรุนบางชนิดแพร่กระจายไปได้กว้างขวางขึ้นและในระดับน้ำที่ลึกขึ้น (อ่านรายละเอียดได้จาก “The Jellyfish Joyride” โดย Richardson และคณะ, 2009 ตามลิงค์ )

แมงกะพรุนเป็นสัตว์ผู้ล่า กินอาหารหลากหลายไม่เลือกมาก ทั้งแพลงตอน ไข่ปลา ลูกปลา เมื่อปลาตัวโตบางชนิดที่ล่ามันหายไป แมงกะพรุนที่เคยถูกปลากินกลับเป็นต่อ จึงกลายเป็นผู้กินปลาเสียเอง

พื้นที่ทางนิเวศที่ปลาเคยครอบครอง ก็ถูกแมงกะพรุนเบ่งบานเข้ามาแทนที่ โดยมีมนุษย์เป็นผู้สนับสนุน

นักวิจัยกำลังตรวจสอบข้อสังเกตเหล่านี้ ปัจจุบันมีความพยายามรวบรวมหลักฐานการเบ่งบานของแมงกะพรุน เป็นโครงการทีมใหญ่ชื่อ JEDI (Jellyfish Database Initiatives) ซึ่งสรุปว่ามีการเบ่งบานมากเป็นพิเศษในบางพื้นที่ เช่น ญี่ปุ่น บางที่มีเพิ่มขึ้นบ้าง เช่น แถวบ้านเรา มหาสมุทรอินเดีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลเหนือ North Sea ฯลฯ หากไม่เห็นเป็นแนวโน้มทั่วไปทั่วโลก แต่เนื่องจากว่าเทคนิคการติดตามดูปรากฏการณ์แมงกะพรุนเบ่งบานมีข้อจำกัดมากมาย ข้อสรุปที่ได้มาจึงไม่ใช่ข้อสรุปที่สามารถสรุปฟันธงอะไรได้

นักวิทยาศาสตร์คงต้องทำหน้าที่ศึกษาวิจัยต่อไป แต่สังคมไม่ต้องรอคำตอบสุดท้ายจากนักวิทยาศาสตร์ เราควรถือหลักการระวังไว้ก่อน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในทะเลเกิดจากการที่เรา 1) เอาของออกมาจากทะเลมากเกินไป 2) ใส่ของแปลกปลอมลงไปในทะเลมากเกินไป และ 3) ทำลายพื้นที่ชายขอบทะเลที่ปกป้องมัน

วิธีแก้ไขก็แค่กลับสมการ 1) จับสัตว์ทะเลน้อยลง (ยกเว้นแมงกะพรุน กินเยอะๆ เลย) 2) หยุดปล่อยมลภาวะและขยะลงทะเล สนับสนุนเกษตรธรรมชาติ/เกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง ลดละเลิกอุดหนุนเกษตรปุ๋ยเคมี 3) ฟื้นฟูธรรมชาติชายฝั่ง

หรือถ้าไม่คิดมาก ปล่อยมันไป ทำตัวเหมือนแมงกะพรุน ล่องลอยไปตามกระแส กินอะไรก็ได้ อาหารห่วยๆ ไม่กี่อย่างก็ได้ จู้จี้อะไรนักหนากับความหลากหลาย มลภาวะก็ดมๆ มันไปก็อยู่ได้ เป็นมะเร็งมั่งไรมั่งก็ไม่เป็นไร ออกลูกมาเรื่อยๆ ก็สืบพันธุ์ต่อไปได้

ฤาคนที่มีชีวิตเยี่ยงแมงกะพรุนจะอยู่รอดได้ดีกว่าคนที่มีชีวิตเหมือนปลาแซลมอนว่ายทวนน้ำ

http://thaipublica.org/2012/11/jellyfish-boom/
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #311 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2555, 17:24:49 »

บ้านไทยเย็น
25 พฤษภาคม 2012

สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

ด้วยความร้อนเหยียบๆ 40 องศา เดือนเมษายนที่ผ่านมาเรากระหน่ำเปิดแอร์กันบ้าคลั่ง จนได้บันทึกการใช้ไฟฟ้าเยอะเป็นประวัติการณ์ เกือบ 25,000 เมกะวัตต์ ถึงขั้นที่การไฟฟ้าต้องหันไปใช้น้ำมันเตาและดีเซลล์เป็นเชื้อเพลิงเสริมปั่นไฟ มันหมายถึงค่าไฟฟ้าต่อหน่วยที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามราคาเชื้อเพลิง

ปรากฎการณ์ร้อนเป็นบ้ากระตุ้นให้เกิดการอภิปรายถึงสาเหตุของความร้อนในสื่ออินเทอร์เน็ต กลุ่มต้นไม้ใหญ่ ผู้รณรงค์การอนุรักษ์ต้นไม้และฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวในเมืองและตามถนนหนทาง หยิบยกข้อมูลอุณหภูมิในประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นไม้เยอะๆ มาเปรียบเทียบ เช่น สิงคโปร์ ร้อนน้อยกว่าเราร่วม 10 องศา เป็นต้น

จริงๆ แล้ว สาเหตุที่ย่านกลางเมืองสิงคโปร์เย็นกว่าเราทั้งๆ ที่ตั้งบนเส้นศูนย์สูตร มาจากปัจจัยหลายประการ แน่นอนว่าต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านคลุมถนนและพื้นที่สีเขียวมากมายเป็นปัจจัยสำคัญมาก ถ้าอยากพิสูจน์ ก็แค่ลองวัดอุณหภูมิตามถนนเปรียบเทียบระหว่างใต้ร่มไม้กับกลางแดด เท่านั้นยังต่างกันได้ถึง 3-4 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเทียบกับพื้นที่มีต้นไม้เป็นดง พื้นเป็นดินเป็นหญ้าแทนคอนกรีต และไม่มีรถพ่นท่อไอเสียร้อนๆ อุณหภูมิยิ่งต่างมากขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีดงไม้กระจายอยู่มากมายทั่วเมือง ก็จะต่างได้อีกหลายองศา แต่นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นเกาะ ได้ลมทะเล และการวางทิศทางผังเมืองอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้นก็เป็นฐานสำคัญ เช่น ให้ถนนสายหลักตั้งรับทิศทางลมตามธรรมชาติ

กรุงเทพฯ ของเราตั้งอยู่ใกล้ทะเลก็จริง แต่ถนนกลางเมืองของเรามากมายหลายสายตั้งขวางทิศทางลม พอสร้างตึกสองข้างทางก็ไม่มีลมพัดระบายความร้อนระอุอ้าวจากคอนกรีต คายร้อนแอร์ และมลพิษจากท่อไอเสีย ความร้อนของกรุงเทพฯ จึงเป็นความร้อนที่มนุษย์สร้างเสียหลายองศาเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นความร้อนเชิงนโยบาย เพราะขาดนโยบายผังเมืองที่จะดูแลกายภาพและสิ่งแวดล้อมเมืองให้เหมาะสมกับภูมิประเทศท้องถิ่น

เมื่อเราไม่รู้จักคิดใช้ประโยชน์จากพลังของธรรมชาติ ไม่คิดให้ธรรมชาติบริการเรา เราก็ต้องลงทุนบริการตัวเอง ก็จ่ายค่าไฟกันไป ช่วงนี้จึงได้เห็นบทความแนะนำวิธีใช้ไฟฟ้าเปิดแอร์อย่างมีประสิทธิภาพตามสื่อต่างๆ ออกมาถี่เป็นพิเศษ

เพราะว่าเราพึ่งเครื่องปรับอากาศ แนวทางการประหยัดไฟฟ้าของเราจึงมุ่งสู่การปรับปรุงบ้านให้เป็นฉนวนกันความร้อนเก็บความเย็น

นั่นมักหมายถึงการใช้วัสดุก่อสร้างมากขึ้น กระจกสองชั้น ผนังสองชั้น หลังคาหลายๆ ชั้น

บ้านอีโคที่นำเสนอกันทั้งตามนิตยสารและบริษัทธุรกิจก่อสร้างต่างๆ จึงชอบเป็นอาคารปิดสนิทมิดชิด ป้องกันธาตุดินน้ำลมไฟจากภายนอก ให้อาศัยกันอยู่ในฟองอากาศที่มนุษย์เป็นผู้ควบคุม การันตีความสะดวกสบายตราบใดที่ไฟฟ้าไม่ดับ และน่าสนใจว่าบ้านและอาคารที่เจ้าของบอกว่ารักธรรมชาติ อยากอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ มักจะติดกระจกใหญ่มหึมา เห็นวิว ดูโปร่ง แต่ไม่รับลม เพราะกระจกส่วนใหญ่เปิดไม่ได้ โดยเฉพาะกระจกที่ติดในระดับสูง อากาศร้อนที่ลอยตัวขึ้นจึงออกไม่ได้ ต้องกระหน่ำเปิดแอร์อย่างเดียว

ต่อให้ใช้วัสดุดีเท่าไหร่ หรือระบบไฟฟ้าทรงประสิทธิภาพเท่าไหร่ มันยังคงเป็นการออกแบบบ้านที่ไม่เข้าท่าอยู่ดี

แทนที่จะยัดเยียดแบบบ้านไปสู้กับธรรมชาติ เราน่าจะหวนกลับไปที่พื้นฐาน เริ่มต้นที่การออกแบบ ให้ธรรมชาติที่มีอยู่เอื้อประโยชน์แก่เรา แล้วจึงค่อยดึงเทคโนโลยีดีๆ มาเสริม จะประหยัดแรงออมทุนไปได้เยอะ

มันเป็น ก.ไก่ ข.ไข่ ของศาสตร์แห่งสถาปัตยกรรม สถาปนิกทุกคนก็พูดอย่างนี้ และหลายคนก็ปฎิบัติ แต่เอาเข้าจริง โดยทั่วๆ ไปเรากลับไม่เห็นคนไทยสมัยนี้ทำกันเท่าไหร่เลย

ลองดูการสร้างบ้านของสัตว์ต่างๆ ไม่มีสัตว์ชนิดใดโง่สร้างบ้านต้านพลังธรรมชาติเหมือนมนุษย์ยุคนี้ สัตว์หลายชนิดใช้ดินเป็นกำแพงฉนวนกันความร้อน แต่มันมีช่องระบายอากาศเสมอ ระบบระบายอากาศและควบคุมอุณหภูมิในรังปลวกมีประสิทธิภาพสูงมาก จนเหมือนอยู่ในอาคารติดแอร์เย็นสบายกำลังพอเหมาะตลอดเวลา

สถาปนิกบ้านเมืองอื่นหันไปศึกษารังปลวกอย่างละเอียดจนสามารถออกแบบอาคารให้เย็นตามธรรมชาติได้เหมือนติดแอร์ 25-26 องศา ที่มีชื่อที่สุดคือตึกสำนักงาน/ห้างสรรพสินค้า Eastgate Centre ที่ซิมบับเวย์ในทวีปแอฟริกา

ในวงการออกแบบอาคาร เราพูดถึงรังปลวกกันมาก เพราะมันเจ๋งถึงขั้นมหัศจรรย์ แต่ปลวกก็เป็นแค่สัตว์กลุ่มหนึ่ง ยังมีบ้านสัตว์อีกมากมายให้เราเรียนรู้ เช่น รังนกหลายชนิด ที่เลือกยุทธศาสตร์สร้างบ้านโปร่งภายใต้ร่มไม้คุ้มกบาล

เมื่อผู้เขียนมีโอกาสสร้างบ้านเองเป็นครั้งแรก เลยอยากออกแบบบ้านให้ใช้ประโยชน์จากพลังตามธรรมชาติมากที่สุด โดยไม่ต้องพึ่งระบบไฮเทคสมัยใหม่ และเนื่องจากว่าได้บานประตูหน้าต่างรูปร่างต่างๆ นานาจากบ้านอื่นๆ ถึงสามหลัง เอามาผสมกัน จึงไม่ได้ใช้สถาปนิก เพราะมันกลายเป็นรายละเอียดจุกจิกเกินกว่าที่ใครจะมาอดทนทำให้โดยไม่คิดราคาแพง

บ้านนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งใกล้ๆ กับบ้านเพื่อนอีก 3-4 หลังที่ทำนาปลอดสารร่วมกัน มีวิวภูเขาอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งถ้าหันหน้าไปรับวิวตามจริตคนเมืองโหยหาอาหารตา บ้านก็จะร้อนมาก แต่ผู้เขียนก็อยากได้วิว จึงมีโจทย์ใหญ่ว่าจะออกแบบอย่างไรให้ได้ทั้งทิวทัศน์และความเย็น

เพราะขาดทั้งความรู้และประสบการณ์ ผู้เขียนจึงนั่งดูแดดลมตามมุมต่างๆ ของบ้านเพื่อนและในพื้นที่บริเวณนั้นทุกฤดู แก้แบบไปเรื่อยๆ จนครบปี

ได้แบบแล้วก็เริ่มสร้างกับช่างพื้นเมือง ในตอนเริ่มสร้างก็ไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ จึงเตรียมแผนสำรองไว้เป็นทางออกเสริม หลักง่ายๆ คือมีใต้ถุน เผื่อน้ำท่วมและหลบร้อนยามบ่าย เอาห้องน้ำและครัวไว้ทางทิศใต้รับแดดไป ด้านหนึ่งของครัวยื่นไปหน้าบ้านทางตะวันตก มีชายคายาวยื่นออกมา บังแดดบ่ายให้ห้องนั่งเล่นซึ่งเปิดบานเฟี้ยมกว้างรับวิว มีระเบียงทั้งด้านหน้าและทางทิศเหนือไว้หลบแดด มีลานโล่งเปิดหลังคาเล็กๆ กลางบ้านให้แสงเข้า และระบายลมจากช่องลมที่เยื้องกัน ทั้งเหนือ-ใต้ และออก-ตก ติดบานไหลแบบไทยบ้าน เปิดรับลมก็ได้ ปิดกันลมยามหนาวก็ได้ หน้าจั่วหลังคาก็มีช่องลม

แต่ที่พิเศษสุดคือ มุงหลังคาด้วยกระเบื้องที่ทำจากขยะกล่องนมมารีไซเคิล นอกจากจะได้อุดหนุนธุรกิจเขียวของจริงแล้ว หลังคากล่องนมยังเบา ไม่แตก ทนทาน แต่ถ้าต้องซ่อมก็ซ่อมเองได้ไม่ยาก ที่สำคัญ มันสะท้อนความร้อนออกไป ผู้ผลิตว่าช่วยทำให้บ้านเย็นกว่ามุงหลังคาลอนคู่ธรรมดาถึง 3-4 องศา (www.greenroof.in.th)
มุงหลังคาตีฝาเสร็จก็เข้าเดือนเมษาพอดี และช่วงปลายเมษาตอนที่ร้อนกันบ้าคลั่งกลางแจ้ง เราก็ได้พบว่าบ้านเราเย็นสบายลมโชยร่มดีทุกมุม ไม่ใช่เฉพาะใต้ถุนหรือระเบียงทิศเหนือที่เผื่อเอาไว้ ตกลงได้ทั้งวิวทั้งเย็นสมใจ (แต่หน้าหนาวยังต้องรอดู ว่าจะตั้งกระบะจุดไฟผิงกลางลานโล่งกลางบ้าน ปิดบานไหลกันลม แหงนหน้าดูดาว)
นี่ขนาดยังไม่ได้ปฎิบัติการแผนเสริม ปลูกต้นไม้บังแดดสร้างลม หรือติดผ้าบังแดดเสริมชายคา

ความสำเร็จมาจากทิศทางตั้งบ้านและหลังคากล่องนม ซึ่งต้องขอบอกว่าเย็นจริงอะไรจริง เพราะเราตั้งแทงค์น้ำไว้บนหลังคาบ้านเพื่ออาศัยแรงดึงดูดโลกช่วยให้มีน้ำไหล มีกระเบื้องกล่องนมมุงบนหอแทงค์น้ำ เป็นหอโด่ขึ้นมากลางแดด แต่ใต้ร่มหลังคาก็คงเย็นดี

ผู้เขียนออกแบบบ้านด้วยการสังเกตธรรมชาติตามจริตนักนิเวศวิทยา/ภูมิศาสตร์ แต่ผลที่ออกมาคลับคล้ายกับบ้านไทยเรือนหมู่ และได้ดึงเทคโนโลยีบ้านไทยที่สามารถปรับตัวให้โปร่งก็ได้ปิดก็ได้ตามสภาพอากาศ เช่น การใช้บานไหลมาเป็นองค์ประกอบ ถึงวันนี้จึงรู้สึกทึ่งในภูมิปัญญาบรรพบุรุษอย่างประจักษ์แจ้ง หลักสร้างบ้านไทยของเราเป็นการสร้างบ้านได้กลมกลืนกับธรรมชาติท้องถิ่นอย่างมากที่สุด ถ้าเทียบกับบ้านสัตว์ในเขตร้อน มันเป็นบ้านที่ผสมผสานเทคโนโลยีของรังปลวก รังนกกระจาบ และรังนกอีแพรดไปพร้อมๆ กัน

หลักนี้นำมาประยุกต์กับการสร้างอาคารสมัยใหม่ได้ ไม่จำเป็นต้องมีกาแลฟ้อนกระดกช่อฟ้าที่เข้าใจกันว่าเป็นเอกลักษณ์ไทย ปัญญาไทยลึกซึ้งกว่านั้น เราแค่ต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ก็อปปี้เพียงรูปลักษณ์ภายนอก

เจนีน เบนีอุส เจ๊ดันแห่งเทคโนโลยีเลียนแบบธรรมชาติ ที่โลกยอมรับกันว่าเป็นเทคโนโลยีของยุคการพัฒนายั่งยืนแห่งศตวรรษที่ 21 กล่าวว่า “ยิ่งโลกของเราขับเคลื่อนได้ลม้ายคล้ายคลึงกับกลไกในโลกธรรมชาติมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสามารถดำรงอยู่ในโลกใบนี้ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น”

มันน่าภูมิใจที่สังคมเรามีฐานปัญญาของแนวคิดนี้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะฉลาดดึงมาพัฒนากันหรือเปล่าเท่านั้น

http://thaipublica.org/2012/05/baan-thai/
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #312 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2555, 17:26:13 »

บ้านไทยเย็น ๒ (ตอน เอาแบบมาฝาก)
29 มิถุนายน 2012

สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

หลังจากที่เขียนเรื่องบ้านไทยเย็นไปเมื่อเดือนที่แล้ว มีผู้อ่านหลายคน (เกือบ 10 คน – สำหรับเราถือว่าเยอะแล้วล่ะ) ติดต่อมาว่าอยากดูแบบบ้านและอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม

อันที่จริง หลักการสร้างบ้านให้เย็นสบายเหมาะกับภูมิอากาศประเทศไทยมีให้หาอ่านได้มากมาย แต่บ้านไทยมันก็มีหลายไทยต่างถิ่น จึงสำคัญว่าเรารู้จักพื้นที่ที่จะสร้างบ้านดีแค่ไหน

ที่ของเราอยู่กลางทุ่ง ใกล้แม่น้ำคดเคี้ยวในที่ลุ่ม แต่ถัดขึ้นมาพ้นโซนลำน้ำเปลี่ยนเส้นทาง ดูเผินๆ เหมือนเป็นที่ราบแบน แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าผืนดินมันเทไปมุมหนึ่ง นี่คือทิศทางไหลของน้ำ เราเลือกจุดที่ได้วิวดีที่สุดเป็นที่ตั้งบ้าน ขุดสระไว้เป็นแหล่งน้ำ เอาดินขึ้นมาถมเฉพาะบริเวณที่จะสร้างบ้านและลงต้นไม้ มีทางน้ำเข้าและออกจากสระตามทางลาดธรรมชาติของพื้นที่ ไหลเชื่อมต่อกับระบบลำเหมืองในทุ่ง ดินที่ขุดคูก็เอาขึ้นมาถมเป็นถนนแคบๆ เข้าออกที่โดยไม่ขวางทางน้ำ เราจึงไม่ต้องขนดินจากข้างนอกเข้ามา ตัวสระน้ำขุดลึกตรงกลางไว้เก็บน้ำ ริมสระตื้นและลาดเพื่อปลูกพืชน้ำชนิดต่างๆ รอบสระ ซึ่งจะช่วยดูดซับมลพิษกลั่นกรองน้ำให้สะอาด (เท่าที่พอทำได้) ที่สำคัญ พืชเหล่านี้จะเป็นบ้านให้สัตว์น้ำและนกในนา หวังว่าจะพอช่วยเรากำจัดศัตรูต้นข้าวในนาได้บ้าง เพราะสระเราไม่กว้างเท่าไหร่ ผืนนาอยู่ตรงกลางที่ เราตั้งใจอนุรักษ์เอาไว้เป็นกองทุนนาส่วนรวม กินพื้นที่ราว 80 เปอร์เซ็นต์ของบริเวณบ้าน ใช้ปลูกข้าวร่วมกับเพื่อนๆ บ้านข้างเคียง ที่เหลือแบ่งเป็นโซนปลูกผักและต้นไม้ใหญ่

ทุ่งแถวนี้ลมแรงมากในบางฤดู บางปีน้ำท่วม แต่ระบายเร็ว หน้าร้อนอากาศร้อนจัด หน้าหนาวเย็นเอาเรื่อง เราจึงต้องออกแบบบ้านใต้ถุนสูงไว้หนีน้ำและหลบร้อน บ้านต้องโปร่งได้ลม แต่ต้องปิดไม่รับลมได้ในหน้าหนาว และอย่าได้คิดติดกระจกบานใหญ่ยักษ์เต็มแนวฝาบ้านด้านนอกแบบบ้านสมัยใหม่ เพราะจะเจอพายุกระหน่ำแตกได้ง่ายๆ แถมร้อนอบอีกต่างหาก

เมืองไทยตั้งอยู่ทางซีกโลกเหนือ จะได้แดดร้อนทางทิศตะวันตกและทิศใต้ เราจึงไม่ควรสร้างบ้านหันไปทางทิศตะวันตก แต่บังเอิญวิวภูเขางามมันอยู่ทางนั้น จึงทำครัวยื่นออกมาพร้อมหลังคายาวคลุมระเบียงในมุมตะวันตก/ตะวันตกเฉียงใต้ ทอดร่มเงาให้แก่ห้องนั่งเล่นและส่วนอื่นๆ ของบ้าน ข้อดีอีกประการของการทำครัวยื่นออกมาคือให้ลมระบายควันทอด-ผัด-คั่ว ฯลฯ ออกไป เพราะลมกระแสหลักบ้านเราจะเป็นลมมรสุม พัดตามแนวเหนือ-ใต้ บ้านจึงต้องมีหน้าต่าง/ช่องทางลมเปิดปิดได้ตามแนวนี้ ช่วงหน้าหนาวก็เปิดรับแดดตอนกลางวัน พอตกเย็นก็ปิดบ้านก่อนมืดเพื่อเก็บความอบอุ่นเอาไว้

ภาพที่เอามาฝากเป็นแปลนและรูปบ้านซึ่งยังสร้างไม่เสร็จดี รายละเอียดเรื่องหลังคาบ้านอ่านได้ในบทความเดือนที่แล้ว

พอได้บ้านเย็นตามธรรมชาติแล้ว เรายังสามารถพัฒนาพื้นที่รอบบ้านให้มีอิทธิพลกำกับดูแลภูมิอากาศจำเพาะถิ่นต่อได้อีก การปลูกดงต้นไม้ใหญ่เป็นแนวใกล้บ้าน โดยเฉพาะทางทิศใต้ นอกจากจะช่วยบังแดดแรงเกินแล้ว ยังสามารถช่วยให้เกิดลมเย็นตามธรรมชาติได้อีก เพราะมันสร้างความแตกต่างของอุณหภูมิในพื้นที่ระหว่างโซนหลังคาบ้านกับยอดไม้ อากาศร้อนกว่าเหนือหลังคาบ้านจะลอยตัวขึ้นสูง อากาศเย็นจากดงไม้จะไหลมาแทนที่ ทำให้เกิดลมเย็นสบายพัดเข้าสู่บ้าน ดงไม้ยังช่วยกันลมแรงจากพายุได้อีกด้วย อย่าปลูกติดบ้านมากนักละกัน เดี๋ยวกิ่งไม้จะหักมาโดนหลังคา

รายละเอียดที่เหลือก็อยู่ไปปรับไป บ้านเราเอง ชอบอย่างไรเรารู้ดีที่สุด


http://thaipublica.org/2012/06/baan-thai-2/
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #313 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2555, 18:32:45 »

แมงกะพรุนชุมนุม

โดย : คมฉาน ตะวันฉาย

ทั้งๆ ที่รู้ว่า “แมง” มันต้องมี 8 ขา แบบที่รู้กัน แต่ผมก็ยังยินดีเรียกเจ้าสิ่งที่มันผุดว่าย ผุดดำอยู่บนผิวน้ำเบื้องหน้าว่า “แมงกะพรุน”

 
โดยไม่เกรงใจราชบัณฑิตที่แอบค้อนปะหลับปะเหลือก พร้อมทั้งตัวต้นเหตุ ไพรสน ศิริพูล โปรแกรมเมอร์ดีไซน์คนเก่งคนหนึ่งของยุคนี้ ที่นั่งอยู่หัวเรือเพื่อออกไปดูแมงกะพรุนกัน

เหตุที่ว่าเป็นตัวต้นเหตุก็เพราะว่า น้องเขามาทำโครงการพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ตามพระราชดำริฯ ของสมเด็จพระเทพฯ ที่ศูนย์ราชการุณย์ บอกแค่นี้เดี๋ยวคนจะสงสัย แต่ถ้าบอกว่า “ค่ายผู้อพยพเขาล้าน” คนรุ่นเกิดทันสงครามเขมร คงคุ้นชื่อเป็นอย่างดี(เดี๋ยววันหลังผมจะเล่าเรื่องศูนย์ราชการุณย์นี้สู่กันฟัง)

ทีนี้ เจ้าสนในฐานะเจ้าหน้าที่ทำงาน กับอาจารย์อีกท่านเจ้าของโครงการ ก็ลงเรือลำเล็ก ล่องตามคลองเขาล้านที่สองฝั่งเป็นป่าโกงกางที่สมบูรณ์เพื่อจะทำเส้นทางศึกษาป่าชายเลน ก็ไปเห็นเจ้าแมงกะพรุนถ้วยตัวเล็กๆ ประมาณกำปั้นเรานี่แหละ มันลอยกันเกลื่อนคลอง คนไม่เคยเห็นนี่ครับ ก็ตื่นเต้น พอคนเรือเห็นตื่นเต้นกับเจ้าสิ่งนี้ ก็เลยพาออกไปจากปากคลองสู่ทะเลใหญ่ไม่ไกล ก็เห็นเจ้าแมงกะพรุนที่ว่า ออกันแน่นขนัด ชนิดหัวชนหัว (แบบในรูปที่ฮือฮากันนั่นแหละ) ทะเลกว้างใหญ่ แต่เจ้าพวกนี้ ออกันแน่นเป็นสายแบบในรูป พอยืนขึ้นก็จะเห็นว่าแถบแมงกะพรุนที่ว่านี้มันยาวเหยียด เป็นสาย ยาวนับร้อยๆ เมตร เป็นใครๆ ก็ตื่นเต้นครับ

พอเข้าฝั่ง เจ้าสนจึงได้เอารูปขึ้นเฟสบุ๊คเข้าไปดูกันในกลุ่มแฟนเพจ แค่นั้นแหละเป็นเรื่อง คนฮือฮากันทั่วโลกออนไลน์ จนออกไปสู่สื่อหลัก ทั้งๆ ที่อาจารย์ท่านที่ไปด้วย ท่านเป็นช่างภาพด้วยซ้ำ ท่านก็ถ่ายรูปมา แต่ท่านไม่ได้เอาขึ้นเฟส อย่าว่าแต่เจ้าสนเลยครับที่ตั้งตัวแทบไม่ทันกับการติดต่อมา ชนิดที่เรียกว่าดังชั่วข้ามคืน ทางศูนย์ราชการุณย์ แม้กระทั่งทาง ททท. สำนักงานตราด ก็ตั้งตัวไม่ทัน เพราะมีคนโทรมาถามไม่ขาดสาย ทุกสายถามเรื่องแมงกะพรุนที่ว่านี้ทั้งสิ้น ถ้าอย่างนั้นมาเอาคำตอบต่อไปนี้ครับ ล้วนเป็นข้อมูลจากชาวบ้านริมทะเลย่านนั้นทั้งนั้น

เจ้าแมงกะพรุนที่ว่า เรียกว่า "แมงกะพรุนถ้วย" ครับ ขนาดเท่ากำปั้นอย่างที่บอก สีก็จะมีสีขาวใส สีขาวขุ่น สีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเข้มขึ้นมาอีกนิด สีฟ้า สีน้ำเงิน บางตัวตัวสีขาว แต่ปลายขอบร่มจะเป็นเส้นสีดำๆ บางตัวขอบระโยงระยางค์ที่เป็นพู่ๆ ดูเหมือนหางนั้น เป็นสีน้ำตาล ถ้ามันกระจายกันอยู่ ก็ไม่แปลกนัก แต่พอมารวมกันจนเหมือนปลาสวายมากินขนมปัง ยิ่งพอใช้คอมพิวเตอร์ ดันสีขึ้นมาหน่อย จากน้ำขุ่นๆ มันก็เลยดูเขียวๆ จากแมงกะพรุนสีทึมๆ ก็เลยกลายเป็น “แมงกะพรุนหลากสี” แบบพาดหัวข่าวซะอย่างนั้น

ปรากฏการณ์แมงกะพรุนถ้วยนี้จะเริ่มมีมาให้เห็นเมื่อเข้ากลางเดือนตุลาคมหรือประมาณปลายฝนต่อหนาว จะมีแมงกะพรุนให้เห็นประมาณ 5-7 วัน มากหรือน้อย มีสีอะไรบ้าง ไม่อาจบอกได้ ที่จะโชคดีเห็นแน่นแบบในรูปที่ฮือฮานั้นน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ชาวบ้านเขาเห็นจนชินตา เหมือนคนริมแม่น้ำโขงที่หนองคายไม่ได้ตื่นเต้นกับบั้งไฟพญานาค แต่ส่วนมากจะเห็นเขากระจายกันทั่วไป มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่คลื่นลมในแต่ละวัน ถ้าช่วงน้ำขึ้น เขาก็จะถูกน้ำพัดไหลเข้าไปรวมกันมากริมหาดหรือในคลองต่างๆ เช่นคลองมะโรง คลองเขาล้าน ก็จะดูแน่น ดูหนา แต่ถ้าน้ำลง เขาก็จะถูกน้ำพัดออกมาทะเลกว้าง

ถ้าวันไหน น้ำใส แดดดี ก็จะถ่ายรูปออกมาได้สวยงาม แม้กระทั่งตัวสีใสๆ ขาวๆ ก็เถอะ แต่ถ้าวันไหนแดดหลบ ลมพัด กระแสน้ำไหล ฝนปรอย แทบจะต้องโยนกล้องทิ้ง เพราะผิวน้ำ แม้จะเห็นแมงกะพรุน แต่พื้นน้ำมันขาวไปหมด ก็ต้องมาใช้คอมพิวเตอร์แต่งสีช่วยนั่นแหละ วันแรกที่ไพรสนได้ภาพมา กระพรุนเยอะ แต่แดดไม่จัด น้ำขุ่น วันสองผมลงเรือ แดดดี น้ำใสกิ้ก แต่กะพรุนกระจายไม่รวมกลุ่ม วันสามผมลงเรืออีก วันนี้ แดดด้าน น้ำขุ่น กะพรุนกระจายบางตา ทั้งผมทั้งไพรสน ส่ายหน้าดิกท่านผู้อ่านก็คาดคะเนเอาก็แล้วกันว่าควรจะทำบุญก่อนมาดูกะพรุนหรือเปล่า

แล้วไม่ใช่ว่าจะมีที่หาดราชการุณย์หรือหาดเขาล้านนี้ที่เดียว ชาวบ้านเขาบอกว่า มันไล่มาตั้งแต่ชายฝั่งเขมรนั่นเลยเชียว ลมและกระแสน้ำจะพัดเขามาเรื่อยๆ ตรงบ้านคลองมะโรงที่ห่างจากเขาล้านไปราว 7-8 กม.นั้น ยิ่งน่าตื่นเต้นใหญ่คือเวลามันเข้ามาในคลอง จะเห็นแต่เจ้าแมงกะพรุนถ้วยนี้เต็มคลองเลย เวลาชาวบ้านออกเรือประมง ใบพัดเรือ ฟันเจ้าพวกนี้ตายเป็นเบือ เพราะมันแน่นจริงๆ แล้วมันก็ไหลไปเข้าบ้านคลองมะรูด ที่มีอ่าวเล็กๆ ริมป่าสนทะเลใกล้พระรูปเสด็จเตี่ย ช่วงที่แมงกะพรุนเข้าต้องเรียกอ่าวแมงกะพรุนด้วยซ้ำเพราะมันเต็มทั้งอ่าว แล้วก็ลอยมาหาดเขาล้าน หาดทับทิม แล้วจึงจะพัดลอยไปถึงแหลมงอบโน่น คุณโยธิน ททท.สำนักงานตราด บอกผมว่าบางปีลอยมาติดหลังสำนักงานจนต้องตักทิ้งเลย มันเยอะมาก แต่ไม่คิดว่าคนจะฮือฮาขนาดนี้ ถ้ารู้แบบนี้ ทำประชาสัมพันธ์นานแล้ว

อีกอย่างก่อนที่เจ้าแมงกะพรุนถ้วยนี้จะมา แมงกะพรุนใหญ่ที่ชาวบ้านเรียก “ลอดช่อง” จะเข้ามาก่อน พอเจ้าลอดช่องเริ่มบาง แมงกะพรุนถ้วยก็จะเข้ามา เจ้ากะพรุนถ้วยนี้ โดนแล้วคัน แต่ไม่เท่าแมงกะพรุนไฟ ขายได้ มีคนจับไปขายเป็นเข่งๆ คิดดูว่าได้มากขนาดไหน แต่ที่ทำราคาคือเจ้าแมงกะพรุนที่เรียกว่า ลอดช่อง เขาจะเอาไปดองกับน้ำต้นนนทรี เห็นว่าดองแล้วกินได้เลยไม่ต้องเอาไปต้ม ไปย่าง พอดองแล้วตัวมันจะแข็ง ขายได้กิโลละ 50 บาท เอามาทำอาหารนี่แหละแต่ไม่รู้ทำอะไรบ้าง

สรุปก็คือ ปรากฏการณ์แมงกะพรุนมาชุมนุมนี้เป็นเรื่องธรรมดาตามช่วงเวลาที่บอกและมาทุกปี แต่เวลาไม่แน่นอนต้องสอบถามเอา แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ หิ่งห้อย ที่ไหนว่ามาก มาเห็นย่านนี้จะนึกว่าเป็นไฟกระพริบ มันเยอะ มันมากจริงๆ ทั้งที่บ้านคลองมะโรง บ้านคลองมะรูด แม้กระทั่งที่เขาล้าน แสดงว่าธรรมชาติ ทั้งน้ำ ทั้งป่าที่นี่ยังเอื้อกับธรรมชาติมาก อีกทั้งเส้นทางท่องเที่ยวสายตราด-บ้านหาดเล็กนี้ ยังมีหาดสวยน้ำใสเหมือนอยู่ทางอันดามันอีกหลายที่

เดินทางไปไม่ยากครับ จากสถานีขนส่งเมืองตราด จะมีรถตู้ไปหาดเล็ก ลงหน้าศูนย์ราชการุณย์ ที่นั่นเขามีห้องพัก ที่กางเต็นท์ ร้านอาหารพร้อม โทรสอบถามที่ 0 3956 1015, 0 3952 1838 ถ้าสอบถามเรื่องเรือก็ที่ พี่แมว โทร.08 7540 2238 พี่แชร์ 08 6151 8293 ส่วนที่คลองมะโรงทั้งดูหิ่งห้อย ทั้งเรือออกไปดูกะพรุน และที่พักโฮมสเตย์ โทรถามพี่ป๊ะ 09 0397 8150 ส่วนที่บ้างคลองมะรูด หมู่บ้านปันหยีของภาคตะวันออก ไปดูอ่าวแมงกะพรุน เทศกาลหิ่งห้อย โทร. เจ๊แมว 08 6111 4394 ที่ผมให้เบอร์โทรมากอย่างนี้เพราะจะได้โทรสอบถามว่าเริ่มเห็นกะพรุนมาหรือยัง หรือให้เขาคาดการณ์กะช่วงเวลาให้ จะได้ไปแล้วไม่ผิดหวัง จองเรือ จองที่พัก ถามไถ่กันได้ แต่ถ้าจะถามเรื่องอื่นๆ ด้วยก็ต้องของ ททท. สำนักงานตราด โทร.0 3959 7259-60 ถ้าเรื่องเที่ยวตราดคงต้องถามที่นี่

ถ้าแค่แมงกะพรุนตัวสองตัวก็เฉยๆ แต่พอแมงกะพรุนมาชุมนุม มันเป็นอะไรที่เกินบรรยาย อยากให้มาเห็นกับตา แม้จะธรรมดาของชาวบ้าน แต่สำหรับเราๆ ท่านๆ มันอเมซิ่งจริงๆ ปีนี้ไม่ทัน ปีหน้าหาวันมาได้เลย แล้วจะเห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ตราดใกล้แค่นี้ อย่ามองผ่านไปเชียว

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/travel/20121028/475392/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1.html
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #314 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2555, 02:35:47 »

พี่ป๋าขา,
ฝากแปะคะ เพิ่งได้รับจากพี่รัฐศาสตร์สิงหอชาย รุ่น26
ที่ไปใช้ชีวิตที่ชิคาโก20กว่าปีแล้ว..ส่งมาให้อ่าน
กลัวหาย,แปะอ่านกันที่นี่คะ in trendดี









"ซัมซุง มหาอำนาจอิเล็กทรอนิกส์"
จนวันก่อนเห็นข่าวยอดขายสมาร์ทโฟนของ "ซัมซุง" ชนะ "ไอโฟน" ของ "แอปเปิล" แล้ว
ผมจึงหยิบหนังสือเล่มนี้มาพลิกอ่านอีกครั้ง
คนรุ่นใหม่อาจไม่แปลกใจในปรากฏการณ์นี้มากนัก
แต่คนอายุ 30 ปีขึ้นไปที่ยังจำภาพ "ซัมซุง" ในอดีตได้คงแปลกใจ
เพราะในอดีตภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ซัมซุง คือ สินค้าราคาถูก
เกรดต่ำกว่าสินค้าจากญี่ปุ่น แต่เพียงชั่วเวลาไม่นาน "ซัมซุง" กลับกลายเป็นสินค้าเกรดเอ

โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อนของ "ซัมซุง" โชว์นวัตกรรม "จอสี"
 และเสียงโทร.เข้าที่ไพเราะกว่าเสียงโมโนโทน
เหนือกว่า "โนเกีย" ซึ่งเป็นเจ้าตลาดในยุคนั้น
คุยกับผู้บริหาร "เอไอเอส" ในยุคนั้น เขายังบ่นเลยว่า "ซัมซุง"
กล้าหาญมากที่ตั้งราคาสูงกว่ามือถือทั่วไป
ทั้งที่ใช้แบรนด์ "ซัมซุง" แต่สุดท้าย "ซัมซุง" รุ่นนั้นก็ประสบความสำเร็จ

จากวันนั้นเป็นต้นมา "ซัมซุง" ก็ไม่ใช่ "ซัมซุง" ที่เราคุ้นเคย
เขาเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ไม่ผลิตสินค้าเกรดต่ำ ราคาถูกอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ
สินค้า "ซัมซุง" กลายเป็นสินค้าคุณภาพ ที่โชว์เหนือเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดจาก "ลี กอน ฮี" ที่รับสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อ "ลี เบียง ชอล"
ผมพลิกหนังสือเล่มนี้แบบอ่านเล่น ไม่ได้อ่านจริงจัง แต่กลับพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
เป็นคาถา "ซัมซุง ที่ "พ่อ" มอบให้กับ "ลูก"
วันที่ "ลี เบียง ชอล" ประกาศว่าผู้สืบทอดกิจการ "ซัมซุง" คือ "ลี กอน ฮี" บุตรชายคนที่ 3
เขาเรียกลูกชายมาที่ห้องทำงาน แล้วหยิบพู่กันจุ่มหมึกเขียนข้อความสั้นๆ

"จงรับฟัง"

นี่คือ คาถาข้อแรกของการเป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กรใหญ่ที่ "พ่อ" มอบให้กับ "ลูก"
"ลี เบียง ชอล" รู้ซึ้งถึงสัจธรรมของ "อำนาจ" ว่ายิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งรับฟังน้อยลง และเมื่อ "พูด" มากกว่า "ฟัง"
"ความรู้ใหม่" ก็ไม่เกิด


"ลาร์ลี่ คิง" นักพูดชื่อดัง เคยบอกว่า "เราไม่เคยฉลาดขึ้นจากการพูด" มีแต่การฟังเท่านั้นที่จะได้ "ความรู้" จากผู้อื่น
เขาจึงเตือน "ลี กอน ฮี" ตั้งแต่เริ่มต้นการเรียนรู้งานในตำแหน่ง "ประธาน"
ในวันที่ "ลี กวน ฮี" มีอำนาจเต็มใน "ซัมซุง" เขาจึงเป็นคนที่ได้รับคำชมอย่างมากว่าเป็น "ผู้ฟัง" ที่ดี
ทั้งที่ "ลี กวน ฮี" เป็นคนพูดเก่ง เขาสามารถบรรยายติดต่อกัน 3-4 ชั่วโมงได้อย่างสบาย
แต่ "จุดเด่น" ของเขากลับอยู่ที่การรับฟัง
ฟังเพื่อนนักธุรกิจ ฟังนักวิชาการ ฟังผู้บริหาร ฟังพนักงาน ฯลฯ
จากนั้นจึงเริ่มตั้งคำถาม
"ทำไม-ทำไม-ทำไม ฯลฯ" ว่ากันทุกปัญหา "ลี กวน ฮี" จะตั้งคำถามว่า "ทำไม" อย่างน้อย 6 คำถาม
คาถาเรื่อง "จงรับฟัง" นั้น ผมจำได้ว่า "กานต์  ตระกูลฮุน"
กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ "เอสซีจี" หรือ "ปูนซิเมนต์ไทย" เคยบอกว่า
ตอนที่จะเปลี่ยนองค์กร "เอสซีจี" สู่นวัตกรรม

เขาต้องเข้าอบรมหลักสูตรหนึ่ง
ชื่อว่า "การฟัง"
สอนให้รู้จักอดทนรับฟังความคิดเห็นของลูกน้องเพราะถ้าไม่มีท่าทีรับฟังก็จะไม่มีลูกน้องคนใด
กล้าเสนอความเห็นที่นอกกรอบและองค์กรนั้นก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง


คาถาบทที่สองที่ "ลี เบียง ชอล" มอบให้กับลูกชายผู้สืบทอดกิจการ ก็คือ "ไก่ไม้"

"ไก่ไม้" คือ ไม้ที่แกะสลักเป็นตัวไก่
ในห้องนอนของเขาจะมี "ไก่ไม้" แขวนอยู่
"ไก่ไม้" นั้นมาจากนิทานเรื่องหนึ่งในหนังสือคำสอนของ "จวงจื่อ" ปราชญ์คนหนึ่งของจีน
คนเลี้ยงไก่ชนชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อ "จี้ เซิง จื่อ" เป็นคนเลี้ยงไก่ชนให้กับ "โจว ซวน อ๋อง"
วันหนึ่ง "โจว ซวน อ๋อง" นำไก่ชนตัวหนึ่งมาให้เลี้ยง
ผ่านไป 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ก็ถามเขาว่า "ไก่ชนใช้ได้หรือยัง"
"ยังไม่ได้ เพราะมันยังเดินกร่างอยู่ ทะนงตน ท้าทายไปทั่ว" จี้ เซิง จื่อ ตอบ
ผ่านไปอีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ก็ถามด้วยคำถามเดิม
"ไก่ชนใช้ได้แล้วหรือยัง"
คำตอบของ "จี้ เซิง จื่อ" เหมือนเดิม คือ "ยัง"
แต่เหตุผลเปลี่ยนไป "ยังไม่ได้ ตอนนี้ไม่ท้าทายไก่ตัวอื่นแล้ว แต่มักจะโดดตีถ้าไก่ตัวอื่นเข้าใกล้"

อีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ถามอีก "ไก่ชนใช้ได้หรือยัง"
"ยังไม่ได้ ตอนนี้ไม่โดดตีแล้ว และลดความทระนงตนลงแต่สายตายังดุร้าย เหมือนพร้อมจะตีกับไก่ตัวอื่น"

อีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ถามด้วยคำถามเดิม
ครั้งนี้คำตอบมีพัฒนาการ
"จี เซิง จื่อ" ตอบว่าพอใช้ได้แล้ว เพราะเมื่อไก่ตัวอื่นขัน ก็ไม่แสดงอาการตอบ เป็นราวกับ "ไก่ไม้"
"เห็นไก่ตัวอื่นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไก่ตัวอื่นเห็นก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เดินหนีไปหมด"

ครับ "ไก่ชน" ที่ดีนั้นไม่ใช่ "ไก่" ที่ตีเก่ง ฮึกเหิมห้าวหาญท้าทีท้าต่อยไปทั่ว แต่ "ไก่ชน" ที่ดีต้อง "นิ่ง" เป็น
สงบสยบเคลื่อนไหว รู้จักเก็บความรู้สึกของตนเอง แต่สามารถเปล่งประกายจนไก่ชนตัวอื่นยำเกรงชนะโดยไม่ต้องชน
ผู้บริหารที่ดีในความหมายของ "ลี เบียง ชอล" คือ ต้องใจเย็น สงบนิ่งในสถานการณ์ที่กดดันให้ได้
"นิ่ง" เหมือน "ไก่ไม้"

เขามอบ "ไก่ไม้" ให้ลูกชาย เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้รู้จัก "นิ่ง"

"จงรับฟัง" และ "ไก่ไม้" อาจไม่ใช่คาถาที่นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ "ซัมซุง"
แต่เป็นคาถาที่ "ลี กวน ฮี" ใช้ในการบริหารงานมาโดยตลอด
และนำพา "ซัมซุง" ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน

      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #315 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2555, 00:28:09 »

 
10. แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงมหาดไทย)
​คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย จำนวน 23 ราย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
​1. นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดมหาสารคาม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ
​2. นายสุวิทย์ สุบงกฎ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดกาฬสินธุ์
​3. นายชุมพร  แสงมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดลำพูน ให้ดำรงตำแหน่ง  ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดน่าน
​4. นายธงชัย ลืออดุลย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดมุกดาหาร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดบึงกาฬ
​5. นายอภินันท์ จันทรังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดนครปฐม  ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดบุรีรัมย์
​6. นายชูชาติ กีฬาแปง รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดเชียงใหม่ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดพะเยา
​7. นายมณเฑียร ทองนิตย์ รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมที่ดิน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดเพชรบุรี
​8. นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดสมุทรสาคร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดแพร่
​9. นายนพวัชร สิงห์ศักดา รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดอุดรธานี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดมหาสารคาม
​10. นายสกลสฤษฎ์ บุญประดิษฐ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดนครราชสีมา   ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดมุกดาหาร
​11. ว่าที่ร้อยตรี เชิดศักดิ์ จำปาเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดกาญจนบุรี    ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดระนอง
​12. นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดเชียงราย  ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดลำพูน
​13. นายเหนือชาย จิระอภิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดชุมพร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสตูล
​14. นายภัครธรณ์ เทียนไชย รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดชลบุรี  ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสระแก้ว
​15. นายสุรพล แสวงศักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดราชบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสิงห์บุรี
​16. นางสุมิตรา ศรีสมบัติ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสุโขทัย
​17. นายสุภัทร์ ศรีสุนทรพินิต รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดสุพรรณบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสุพรรณบุรี
​18. นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสุราษฎร์ธานี
​19. นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดอุตรดิตถ์
​20. นายพงศธร สัจจชลพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดกาญจนบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 
​21. นายประดิษฐ์ สุคนธสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองต้น) จังหวัดนราธิวาส ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 
​22. ว่าที่ร้อยตำรวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมป้องกันและบรรเทา   สาธารณภัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 
​23. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมการพัฒนาชุมชน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 
​ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #316 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2555, 18:00:41 »

http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F12877611/F12877611.html
ถ้าสงสารเขาจริง ให้เขาได้หยุดขอทาน ให้เขาได้อยุ่กับพ่อแม่ ให้เขาได้เรียนหนังสือ ให้เขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเถอะ ขอร้อง!!!

พบเด็กขอทาน โทรมูลนิธิกระจกเงา
โทร 02-941-4194 ถึง 5 ต่อ 105
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #317 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2555, 19:05:18 »

"จาตุรนต์ ฉายแสง" ชำแหละยุทธการ "ชนชั้นนำ" วางเกมรบ "ใน-นอก" สภา
วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 10:00:23 น.

 สัมภาษณ์พิเศษ โดย พนัสชัย คงศิริขันต์     (มติชนรายวัน 21 พ.ย.2555)



 

"...อาจเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่เคลื่อนไหว แต่อาจจะยังไม่ใช่เฮือกสุดท้ายของชนชั้นนำหรือผู้ที่ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยส่วนอื่นๆ..."

เมื่อฝ่ายค้านนำโดย "พรรคประชาธิปัตย์" (ปชป.) เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เปิด "เกมรบ" ในสภาระหว่างวันที่ 25-28 พฤศจิกายน

ขณะที่ "องค์การพิทักษ์สยาม" (อพส.) ซึ่งนำโดย "พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์" หรือ "เสธ.อ้าย" นัดชุมนุมใหญ่ตั้งเป้าเปิด "เกมรบ" นอกสภาเพื่อล้มรัฐบาลในวันที่ 24 พฤศจิกายน

"จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี วิเคราะห์ถึงยุทธศาสตร์การวางเกมรบ "ใน-นอก" สภาผ่าน "มติชน"

- ให้มองยุทธศาสตร์ฝ่ายค้านวางเกมยื่นญัตติซักฟอกโดยพุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรี ทั้งที่คาดว่าจะเน้นไปที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในโครงการจำนำข้าว

เวลาผ่านมา 1 ปีกว่า ฝ่ายค้านคงพุ่งเป้าไปที่นายกฯ อภิปรายคนอื่นบ้างเท่าที่มีข้อมูลชัดเจนเพียงพอ ในกรณีจำนำข้าว เท่าที่ผ่านมาเห็นฝ่ายค้านถือเป็นเรื่องใหญ่ ปัญหาเชิงนโยบาย และต้องการจี้มาที่นายกฯ ซึ่งมีทั้งเป็นจุดอ่อนและจุดแข็ง มีทั้งข้อดีและข้อเสียของฝ่ายค้าน คือจะได้พยายามชี้ให้เห็นปัญหานายกฯ แต่เรื่องทุจริตก็ยากที่จะถึงนายกฯ แม้ตั้งใจพุ่งเป้าไปที่นายกฯแต่อาจไปไม่ถึง ฝ่ายค้านอาจชั่งน้ำหนักมาแล้วทำให้เห็นได้ว่างานนี้เขาพุ่งเป้าที่นายกฯเต็มๆ

- การที่นายกฯไม่ค่อยได้ตอบกระทู้ในสภา หากนายกฯเข้าสภาเพื่อชี้แจงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเป็นอุปสรรคหรือไม่

ผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คือนายกฯเป็นนายกฯมา 1 ปีกว่า ก็มีประสบการณ์ในการทำงานและบริหารเต็มที่และรู้ว่างานไหนไปถึงไหน ดังนั้น ข้อมูลจากกระทรวง จากเจ้าหน้าที่มาให้ก็เพียงพอที่จะชี้แจง ส่วนเรื่องที่เป็นภาระรับผิดชอบรัฐมนตรีโดยตรง รัฐมนตรีสามารถชี้แจงได้ บางเรื่องเป็นความรับผิดชอบของนายกฯโดยตรงแล้วฝ่ายค้านหยิบยกมาอภิปราย จะให้นายกฯตอบแทนรัฐมนตรีก็คงไม่ได้ ต้องให้รัฐมนตรีขึ้นมาตอบตามสิทธิข้อบังคับและรัฐธรรมนูญ ดังนั้น รัฐมนตรีตอบในส่วนตนเองรับผิดชอบ หรือตอบในลักษณะนโยบายหรือผลงานโดยรวม ผมคิดว่าถ้านายกฯชี้แจงตามข้อเท็จจริงและความเข้าใจไม่น่าจะเป็นปัญหา การที่ไม่ค่อยได้โต้ตอบกับฝ่ายค้าน ไม่น่าจะเป็นปัญหา เพราะว่าการชี้แจงของรัฐบาลคงไม่ใช่การโต้ตอบแค่คำต่อคำกับฝ่ายค้าน ถนัดเรื่องอะไรก็ชี้แจงไปในเรื่องนั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์จะมีแทคติคอย่างไร เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เหมือนกัน

- ฝ่ายค้านจะโจมตีนายกฯเรื่องใดพิเศษในสภา

ผมคิดว่า 2 ส่วน 1.จำนำข้าว และ 2.เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น

- หากฝ่ายค้านพาดพิงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในฐานะพี่ชายของนายกฯจะรับมืออย่างไร

เรื่องแบบนี้เจอมากันจนชินแล้ว ผมคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วง ถ้าหากเป็นไปตามข้อบังคับใครมีหน้าที่ชี้แจงก็ชี้แจง

- นายกฯจะเป็นจุดอ่อนให้ตกเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายค้านหรือไม่

ผมคิดว่าไม่ใช่จุดอ่อน ถ้าให้คาดการณ์การอภิปราย กล่าวหากับการแก้ข้อกล่าวหาจะเหมือนเพลงคนละเพลงกัน คงไม่ได้เห็นโต้ตอบคำต่อคำ แต่ว่าในการตอบผมเชื่อว่าเราจะเห็นการให้ข้อเท็จจริงกับการอธิบายนโยบาย และส่วนที่เป็นประเด็นเฉพาะมากๆ ที่เป็นจุดที่จะเอาให้ตายไม่น่าจะถึงนายกรัฐมนตรี

- แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีปัจจัยภายนอกมาผสมโรงโดยกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มรัฐบาล

การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามมีขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน ขณะที่อภิปรายไม่ไว้วางใจมีในวันที่ 25 พฤศจิกายน คาดการณ์ได้ว่าจะมีความพยายามโยง 2 เรื่องเข้าด้วยกัน เช่นว่า เมื่ออภิปรายไปแล้ว ก็สรุปเองว่าฝ่ายรัฐบาลตอบไม่ได้ แต่ยกมือแล้วชนะเป็นเผด็จการรัฐสภา ดังนั้น ต้องอาศัยการชุมนุมของประชาชนล้มรัฐบาลอาจเกิดขึ้นได้ จริงๆ การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือที่ฝ่ายค้านจะตรวจสอบรัฐบาลได้ดีที่สุด ช่วยรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติได้มากที่สุด การยกมือแน่นอนมีทั้งได้เสียงครบและไม่ครบ แต่จะมีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลทันทีหรือไม่ แต่ผลทางการเมืองมีได้ ถ้าหากว่าการอภิปรายมีน้ำหนัก ดังนั้น การเอาเรื่องอภิปรายไปโยงการชุมนุมนอกสภา จริงๆ แล้วจะทำให้ความน่าเชื่อถือการอภิปรายไม่ไว้วางใจลดน้อยลงไปด้วยซ้ำ ทำให้เหมือนว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่การตรวจสอบรัฐบาลแต่เป็นส่วนหนึ่งของเกมที่จะร่วมกันล้มรัฐบาล

- ประเมินสถานการณ์จะเลวร้ายหรือไม่ เพราะในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 หรือแม้แต่การคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองหน้ารัฐสภา

ถ้าขัดขวางไม่ให้มีการอภิปรายหรือลงมติ ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายค้านและฝ่ายผู้ชุมนุม ไม่ใช่เป็นภาระของรัฐบาล หากอภิปรายไม่ได้ คนไม่อาจเข้าไปประชุมได้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะโทษรัฐบาลได้ ดังนั้น ผมยังไม่เห็นว่าจะเกิดการชุมนุมไปขัดขวางการอภิปรายไม่ไว้วางใจและการลงมติ แต่ถ้าอภิปรายหรือการลงมติแล้วมีการปลุกความไม่พอใจขึ้นมาแล้วกระทำการรุนแรงหรือผิดกฎหมายมากๆ ก็อาจจะเกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองได้

- พรรคเพื่อไทยจะเพลี่ยงพล้ำเหมือนรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์หรือไม่

กรณี 2 รัฐบาลไม่ใช่เพลี่ยงพล้ำหรือผิดพลาดของ 2 รัฐบาล และ 2 อดีตนายกฯ แต่เป็นเรื่องของการใช้รัฐธรรมนูญและกลไกตามรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและขัดต่อหลักนิติรัฐ จัดการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยามและพวกไม่น่าเข้มข้นดุเดือดและมีคนร่วมมากเป็นเวลานานได้เท่ากลุ่มพันธมิตร ถ้าจะล้มรัฐบาลจริงก็ต้องใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ กรณีจะยุบพรรคเพื่อไทยยังไม่มีกรณีที่จ่ออยู่รอการตัดสิน กรณีจะจัดการนายกฯยังไม่เห็นประเด็นอะไรถูกยกขึ้นมาอย่างชัดเจน ถึงแม้เขาจัดการได้ใช้เวลาอีกหน่อย ไม่มีทางบรรลุวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการจริงๆ คือการทำให้พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลอย่างมั่นคงยังไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ถึงจะจัดการโดยไม่เป็นตามหลักนิติธรรมเลยได้สำเร็จ นายกฯคนต่อไปยังเป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าทำอย่างนั้นกันจริงๆ ความเสียหายทางการเมืองโดยเฉพาะความเสียหายต่อความชอบธรรมจะเกิดขึ้นอย่างมาก ต่อฝ่ายที่จัดการคือฝ่ายชนชั้นนำที่มาใช้การเคลื่อนไหวในสภาและนอกสภา และกลไกตามรัฐธรรมนูญ เพื่อจะจัดการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เขาจะต้องเสียต้นทุนไปอีกมาก ต้นทุนที่เสียไปมากแล้วก็อาจจะเสียจนเกือบไม่เหลืออะไร

ดังนั้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถ้าสมมุติเขาสำเร็จในระยะสั้น เขาก็จะแพ้และล้มเหลวในระยะยาว แต่แนวโน้มโอกาสจะสำเร็จระยะสั้นไม่น่าจะสูง เพียงแต่ความเสียหายเขาอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศได้มาก การจะฟื้นการเคลื่อนไหวแบบนี้ขึ้นมาอีกจะทำได้ยากมาก เพราะทั่วทั้งสังคมจะเรียนรู้ว่ามันก็เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของพวกนี้

- เป็นเกมชี้วัดสงครามครั้งสุดท้ายของชนชั้นนำหรือไม่

เกือบจะพูดอย่างนั้น คงไม่ใช่สุดท้าย เพราะว่ากลุ่มพันธมิตรก็ยังไม่ได้ร่วม ชนชั้นนำด้วยอาจร่วมเพียงบางส่วน ไม่ร่วมเพียงบางส่วน รัฐธรรมนูญและกลไกตามรัฐธรรมนูญก็ยังอยู่ ครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ยังมีครั้งต่อไปในรูปแบบต่อไปก็ยังมีอีกได้ ตราบใดที่ประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย และยังมีการสู้กัน สวนทางกันของสองกระแสที่ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยกระแสหนึ่ง กับอีกกระแสต้องการดึงให้ประเทศถอยหลังไม่เชื่อถือระบอบประชาธิปไตยให้ประชาชนปกครองบ้านเมือง ไม่เชื่อถือรัฐสภา เป็นสองกระแสที่สวนทางกลาง เหมือนยังชักกะเย่อกัน

- ถ้าเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของกลุ่มผู้ชุมนุมและชนชั้นนำบางส่วนแล้วทำไมถึงยังวางบันไดขั้นที่จะไปนำไปสู่เหตุการณ์ก่อน 19 กันยายน 2549 ทั้งที่อาจเกิดความเสียมากกว่าทุกครั้ง

มันอาจเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่เคลื่อนไหว แต่อาจจะยังไม่ใช่เฮือกสุดท้ายของชนชั้นนำหรือผู้ที่ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยส่วนอื่นๆ ถ้าจะถามว่าทำไมเขายังเคลื่อนไหวกันแบบนี้ ผมคิดว่าคำอธิบายน่าจะอยู่ในแบบที่ว่าการเคลื่อนไหวของพวกที่ไม่เชื่อระบอบประชาธิปไตย มีเรื่องที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลเรื่องลี้ลับซับซ้อนปนอยู่ด้วย ซึ่งบางทีเราคาดไม่ถูก แต่การที่เขาใช้เหตุข้ออ้างที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ทำให้การเคลื่อนไหวลดความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือลงอย่างมาก การเคลื่อนไหวแบบนี้ถ้าจะประสบความสำเร็จได้บ้างก็จะเกิดจากความมุทะลุบ้าบิ่น บ้าเลือด แต่สังคมไทยอยู่ในขั้นที่กำลังจะพัฒนาไป ภูมิภาคและของโลก ไม่อาจปล่อยให้การเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล มาดึงประเทศถอยหลังอย่างที่เขาจะคิดกันอีกแล้ว

- เงื่อนไขยึดอำนาจเพื่อล้มรัฐบาลยังมีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่

ถ้าเราวิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผลเป็นไปได้ยากมาก เพราะจะถูกต่อต้านและไม่สำเร็จ ดังนั้น สิ่งสำคัญมากถ้าเราหลีกเลี่ยงความเสียหาย นอกจากการเตรียมมาตรการต่างๆ รับมือให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่สำคัญกว่าคือการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทุกฝ่ายให้มากที่สุด ถ้าหากเราทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจได้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในระยะยาว ผมคิดว่าการเคลื่อนไหววันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ จะมีพลังและคนลดน้อยถอยลงอย่างมาก

- ตกลงเกมในหรือนอกสภาอะไรน่าห่วงมาก

ถ้าดูตามเหตุตามผลมองแบบเคารพกฎกติกา คิดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องให้ความสำคัญ แต่ให้ความสำคัญทั้ง 2 เรื่อง แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจส่งผลสะเทือนได้มากกว่าการเคลื่อนไหวนอกสภา แต่การเคลื่อนไหวนอกสภาจะทำความเสียหายให้กับประเทศชาติได้มากกว่า

ที่มา: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353464933&grpid=01&catid=01&subcatid=0100
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #318 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2555, 18:42:55 »



ผลว่ายังไงคะพี่ป๋า เรื่องข้างบนน่ะ
นี่ข้าวหอมไทยกระสอบละ 37 €
เดิม 32 € ก็ว่าแพงแล้ว!
ถามทางร้านเวียตนามเค้าบอกเค้าก็ไม่รู้
เลยซื้อข้าวกัมพูชาค่ะ..jasmin riceจาก
กัมปูเจี๋ย..31 €

ตกลงว่าใครตุนข้าวหอม?
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #319 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2555, 23:40:00 »

อาชีพที่ได้เงินเดือนสูงสุดและต่ำสุดของนักศึกษาจบใหม่

 
updated: 27 พ.ย. 2555 เวลา 02:26:47 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

สถิติ อาชีพที่ได้เงินเดือนสูงสุดและต่ำสุดของนักศึกษาจบใหม่ จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยข้อมูล 4 อาชีพที่ได้เงินเดือนสูงสุด และ 5 อาชีพที่ได้เงินเดือนต่ำสุด ของ นักศึกษาจบใหม่


อาชีพที่ได้เงินเดือนสูงสุดและต่ำสุดของนักศึกษาจบใหม่

5 อันดับ อาชีพที่ได้เงินเดือนต่ำสุด ของ ” กลุ่มนักศึกษาจบใหม่ ” ได้แก่

    อันดับที่ 5 นักโภชนาการ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 11,361 บาท
    อันดับที่ 4 นักบัญชี การเงิน เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 10,174 บาท
    อันดับที่ 3 นักทรัพยากรบุคคล เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 10,115 บาท
    อันดับที่ 2 นักประชาสัมพันธ์ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 9,719 บาท
    อันดับที่ 1 เจ้าหน้าที่ธุรการ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 9,311 บาท

4 อันดับ อาชีพที่ได้เงินเดือนสูงสุด ของ ” กลุ่มนักศึกษาจบใหม่ ” ได่แก่

    อันดับที่ 4 สถาปนิก เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 15,756 บาท
    อันดับที่ 3 เภสัชกร เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 17,389 บาท
    อันดับที่ 2 ทันตแพทย์ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 48,359 บาท
    อันดับที่ 1 แพทย์ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 51,285 บาท

ข้อมูล : สำนักสถิติแห่งชาติ

เรียบเรียง  :  http://www.facebook.com/infographic.thailand
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #320 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2555, 23:57:15 »

เบื้องหลังลีลาศึก 2 เวชชาชีวะ ปั้น "ยิ่งลักษณ์" ซีอีโอประเทศ

วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:49 น.

 
สงครามอภิปรายไม่ไว้วางใจ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี พ่วงรัฐมนตรีอีก 3 คน ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ผ่านพ้นไปด้วยจำนวนมือที่มีมากกว่าของฝ่ายรัฐบาล

เพราะมีมือที่มองเห็นของพรรคฝ่ายค้านอย่างภูมิใจไทย (ภท.) มัดจำไว้วางใจล่วงหน้าถึง 31 เสียง

เป็นไปตามการคาดการณ์ของ "จาตุรนต์ ฉายแสง" แกนนำระดับมันสมองของทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ประเมินไว้ว่าฝ่ายค้านไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ถนัดมือ

แต่กว่าจะถึงวันลงมติ ฝ่ายเพื่อไทยก็เตรียมตัวรับฝ่ายค้านแบบเต็มอัตราศึก ผ่านสงครามตัวแทนของ 2 คนในตระกูล "เวชชาชีวะ" ที่อยู่คนละขั้ว คนละข้าง ทางการเมือง

หาก "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ประธานวิป หัวหอกของฝ่ายค้าน คือตัวแทนของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในฝ่ายรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็คือหัวกระบวนที่ต้องตอบโต้ด้วยเครื่องมือทางความคิดที่ผลิตจาก "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" และทีมงาน

ศูนย์บัญชาการใหญ่ในห้องเลขาธิการนายกฯ อาคารรัฐสภา ชั้น 2 มี 2 แม่ทัพประจำการเขียนสคริปต์ตามวาระทาง การเมืองที่ถูกพาดพิงถึงนายกรัฐมนตรี

คนแรกคือ "วราเทพ รัตนากร" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเขียนคำอธิบายความด้านแนวทางบริหารนโยบาย การบริหารจัดการในฐานะผู้นำรัฐบาล ส่วนแม่ทัพคนที่ 2 คือ "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" เลขาธิการนายกฯ รับผิดชอบตอบโต้ประเด็นทางการเมือง

ทั้ง 2 กุนซือไขข้อสงสัย เหตุใดนายกรัฐมนตรีต้องอภิปรายด้วย organization chart โครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะต้องการให้ประชาชนเห็นภาพว่าการบริหารของเพื่อไทย ยกให้นายกรัฐมนตรีเป็นเหมือน "ซีอีโอ" ใหญ่ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติการ

คำชี้แจงในสคริปต์จึงจงใจแสดงให้ภาพการบริหารและอำนาจในการสั่งการ ผ่านระดับปฏิบัติการของรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการ

คีย์เวิร์ดคำอธิบายจากฝ่ายรัฐบาลจึงให้ทุกคนกล่าวว่า "ฝ่ายปฏิบัติการย่อมสื่อสารได้ละเอียดกว่าผู้มอบนโยบาย"

ขณะที่ฝ่ายค้าน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ประธานวิปฝ่ายค้าน ประเมินผลงานว่าการอภิปรายที่ผ่านมาน่าพอใจ และกระบวนการจัดญัตติอภิปรายที่ลับที่สุด เป็นกลไกสำคัญทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องอยู่ในสถานะตั้งรับทำให้ตลอด 3 วัน ทุกก้าวเดินในเกมอภิปรายจึงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จึงเห็นภาพทั้ง "อภิสิทธิ์-จุรินทร์" ไม่จำเป็นต้องออกไปบัญชาเกมนอกห้องเหมือนครั้งก่อน

นอกจากการซักฟอกในสภา ฝ่ายค้านเตรียมแผนคู่ขนาน ขนทีมข้อมูล ทีมงานโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกหลายสิบชีวิต เพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่อทันทีในโลกออนไลน์ ทันทีที่ ส.ส.ในพรรคอภิปรายจบ

ทั้ง "ทวิตเตอร์-เฟซบุ๊ก" จึงเป็นช่องทางหลักในการชี้แจงข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบอย่างละเอียดยิบทั้งภาพและตัวอักษร

ส่วนการเตรียมตัวของบรรดา "ขุนพล" ซุ่มเก็บข้อมูลทั้งในทางลับและเปิดเผยรวบรวมหมัดน็อกเรื่อง "นโยบายจำนำข้าว"

ทางเปิดเผย-ฝ่ายค้านมีการขอข้อมูล อาศัยกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นโควตาฝ่ายค้านในการรวบรวมเอกสารสำคัญจากรัฐบาล และรวบรวมปากคำจากนักธุรกิจค้าข้าว แม้หน่วยงานภาครัฐไม่ยอมร่วมมือมาให้ปากคำ จนถึงขั้นใช้ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร ดึงตัวข้าราชการระดับ "บิ๊ก" มาให้ข้อมูล แต่ก็ถูกฝ่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทยโดดร่มทำให้องค์ประชุมไม่ครบ จึงไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกได้

แต่ในทางลับ-มีการใช้คอนเน็กชั่นทั้งฝ่ายราชการกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สถาบันการเงิน ช่วยตามแกะรอยที่มาที่ไปถึงกระบวนการค้าขายข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนพบเงื่อนงำการซื้อขายข้าวระบบรัฐต่อรัฐ หรือ "จีทูจี" ที่โยงใยไปถึงบริษัทเอกชนที่รับซื้อข้าวของรัฐ มี "เสี่ย ป." ที่อ้างว่าเป็นบุคคลใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"

ความเคลื่อนไหวในทางการเมือง-ภาคต่อจากการตรวจสอบในสภา ฉากต่อไปพรรคประชาธิปัตย์จะขยายแผล นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการของ ป.ป.ช. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพราะฝ่ายค้าน-รัฐบาลต่างฝ่ายต่างประเมินตัวเองอยู่ในแดนบวก ได้แต้มต่อ

"ประชาชาติธุรกิจ" ส่งข้อสอบอภิปรายให้นักวิชาการร่วมวงประเมิน "ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของเว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลทางการเมืองไทย ประเมินว่า

"ฝ่ายค้านทำการบ้านมาดี การเก็บข้อมูลค่อนข้างใช้ได้ ทำให้เห็นถึงการทุจริตโครงการจำนำข้าว โดยเฉพาะการแปลงร่างของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งเป็นของคนเจ้าเดิม ๆ ที่ถูกจับทุจริตในปี 2546-2547 มาเป็นบริษัทสยามอินดิก้า ชี้ให้เห็นว่าเกิดขบวนการแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายจำนำข้าว"

"ส่วนฝ่ายรัฐบาลตอบคำถามไม่ชัดเจนเลยไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์"

"อ.จรัส" บอกว่า น้ำหนักพยานหลักฐานของรัฐบาลที่นำมาตอบโต้ฝ่ายค้านไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่เขากลับเชื่อถือข้อมูลฝ่ายค้านมากกว่า "ข้อมูลที่ของฝ่ายรัฐบาลที่นำมาโต้แย้งนั้นไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร

แต่ผมไม่ได้เชื่อข้อมูลของฝ่ายค้านว่าจะถูกต้องหรือไม่ แต่ในอดีตสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ไปวิจัยนโยบายจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งผลวิจัยดังกล่าวเปิดเผย ออกมาให้เห็นถึงตัวแสดงต่างๆ ที่ทุจริตรับผลประโยชน์ในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งไม่แตกต่างจากตัวละครที่ฝ่ายค้านนำมาเปิดเผย ข้อกล่าวหาที่ระบุว่าเป็นการฟอกเงินก็น่าจะเชื่อถือได้"

"ผมฟังการอภิปรายอย่างเป็นกลาง คิดว่ารัฐบาลควรต้องทบทวนนโยบายจำนำข้าว หากยังใช้นโยบายเดิมต่อไปก็จะเกิดความเสียหาย หากรัฐบาลยังขยายนโยบายไปอีกในปีต่อโดยที่ไม่ฟังเสียงท้วงติง ก็ไม่น่าจะเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่ดี"

เมื่อเสียงข้างน้อยของฝ่ายค้านไม่สามารถชนะเสียงส่วนใหญ่ของรัฐบาลได้ ผลกระทบจากการอภิปรายที่ทำให้รัฐบาลต้องไปขบคิดมีหรือไม่ "อ.จรัส" ให้คำตอบว่า

"ผลกระทบจากการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจโครงการรับจำนำข้าว อาจไม่ทำให้รัฐบาลปรับ ครม. แต่สามารถหาแพะมาฆ่าเพื่อรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ แต่ถึงจะมีการปรับ ครม.ก็ไม่ได้ลดความเสียหาย เพราะเครือข่ายการทุจริตไม่อยู่ที่ตัวรัฐมนตรี แต่อยู่ที่ตัวนโยบายที่ออกแบบมาให้เอื้อประโยชน์กับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง"

เขาบอกว่า มี 2 หน่วยงานที่จะหยุดการขับเคลื่อนโครงการรับจำนำข้าวได้ คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) "แม้รัฐบาลจะได้เสียงข้างมากยกมือสนับสนุนให้ทำหน้าที่ต่อ สามารถเดินหน้าโครงการจำนำข้าวต่อไปได้ แต่ก็มีมาตรการในระบบที่จะหยุดการทุจริตคอร์รัปชั่น คือ ป.ป.ช. ขณะเดียวกัน คตง.ก็มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับวินัยทางการเงิน การคลัง และงบประมาณ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 253"

"แต่ถ้า ป.ป.ช. และ คตง.ไม่สามารถหยุดได้ก็ต้องปล่อยไป เชื่อว่าประเทศก็คงล่มจมในที่สุด มีตัวอย่างแล้วว่าประเทศประชาธิปไตยก็สามารถล่มจมได้ เช่น สหรัฐอเมริกา กรีซ ขณะนี้ประชาชนกรีซก็นำสิ่งของที่ตนเก็บสะสมไว้มาขายข้างถนนแล้ว"

เกมการเมืองส่งท้ายวาระประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป 2555 ยังไม่จบ ต้องติดตามคดีต่อเนื่อง ที่ไปบรรจุวาระที่เครือข่ายองค์กรอิสระ

และทั้งสองฝ่ายจะกลับมาดวลเรื่อง "แก้ไขรัฐธรรมนูญ" กันอีกครั้งในสมัยประชุมนิติบัญญัติ 21 ธันวาคม 2555

 

(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3-5 ธันวาคม 2555)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354347810&grpid=01&catid=01&subcatid=0100
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #321 เมื่อ: 02 ธันวาคม 2555, 00:01:43 »

พิศณุ นิลกลัด : เหตุผลที่นักกีฬาเศรษฐีหมดตัว

วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:00:44 น.

   

คลุกวงใน  (มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ30พ.ย.-6ธ.ค.55)

 


ผมพากย์มวยชิงแชมป์โลกให้ทีวีช่อง 7 มาตั้งแต่ปี 2530 ทำให้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของนักมวยเอกของโลกตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างเยอะ

อ่านทั้งประวัติครอบครัว ประวัติชีวิต ความฝัน ความมุ่งมั่น ความสำเร็จ รวมถึงความล้มเหลวของนักมวยระดับสุดยอดของโลกในแต่ละยุค

การได้อ่านมาก ได้พากย์บ่อย ทำให้เกิดความสนิทสนมรักใคร่โดยที่ไม่เคยพบหน้ารู้จักกัน

ผมไม่เคยไม่ชอบนักมวยที่พากย์แม้แต่คนเดียว มีแต่ชอบมากหรือชอบน้อย

นักมวยบางคนผมพากย์บ่นบ้าง เขียนติบ้างก็ไม่ใช่เพราะเกลียด

บ่น-ติเพราะไม่ถูกใจหรือเห็นว่าเขาทำไม่ถูกมากกว่า

ก็เพราะความ "สนิทสนมรักใคร่" เพราะเห็นกันมานานนี่แหละ เวลาได้ยินข่าวนักกีฬาตกอับหรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะดำเนินชีวิตผิดพลาด ผมรู้สึกเศร้าใจทุกครั้ง



เฮกเตอร์ คาร์มาโช อดีตนักมวยชาวเปอร์โตริกัน แชมป์โลก 3 สถาบันรุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวต ไลต์เวต และ ไลต์เวลเตอร์เวต ช่วงปี 1983-1991 เพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ขณะอายุ 50 ปี

คามาโชถูกยิงที่ใบหน้าเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน บาดเจ็บสาหัสและมีชีวิตอยู่ด้วยเครื่องช่วยหายใจ หลังจากครอบครัวตัดสินใจให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก คามาโชก็สิ้นลม

ตอนนี้ยังจับตัวมือปืนไม่ได้ ตำรวจสันนิษฐานว่าการฆาตกรรมมีสาเหตุเกี่ยวพันกับยาเสพติด เพราะในรถยนต์ที่คามาโชนั่งด้านข้างคนขับขณะถูกยิง พบโคเคนอยู่หลายถุง

สมัยเป็นแชมป์โลก คามาโชใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือย เสื้อคลุมขณะเดินขึ้นเวทีและกางเกงชกมวยปักเลื่อมสั่งทำพิเศษของเขานั้น ราคาประมาณ 8,000 ดอลลาร์ หรือ 320,000 บาท

ค่าตัวสูงที่สุดในอาชีพนักมวยของคามาโช คือ 3 ล้านดอลลาร์ตอนชกกับ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา ในปี 1997 ซึ่งคามาโชแพ้คะแนนอย่างเอกฉันท์

คามาโชเคยมีเงินมหาศาล แต่หมดตัวเพราะติดยาเสพติดและบริหารจัดการไม่เป็น เขาขาดเงินถึงขั้นตัดสินใจปล้นร้านคอมพิวเตอร์และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 7 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือแค่รอลงอาญาด้วยเห็นว่าก่อเหตุปล้นขณะอยู่ในอาการเมายาเสพติด

แต่ไม่กี่วันให้หลังเขาทำผิดเงื่อนไขรอลงอาญา เลยถูกส่งเข้าคุก 2 สัปดาห์



คามาโชไม่ใช่นักกีฬาคนแรกและคนสุดท้ายที่ชีวิตจบลงอย่างน่าเศร้าหลังหมดยุครุ่งเรือง

เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ช่องกีฬา ESPN ได้เสนอสารคดีเรื่อง Broke หรือ ถังแตก แสดงเรื่องราวน่าสนใจของนักกีฬาที่เคยร่ำรวยมหาศาล แต่ปัจจุบันสิ้นเนื้อประดาตัว

จากสถิติพบว่า นักบาสเกตบอล NBA จำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ หมดตัวหลังจากเลิกเล่นได้ 5 ปีทั้งๆ ที่โดยเฉลี่ย นักบาสเกตบอล ได้เงินฤดูกาลละ 5.15 ล้านดอลลาร์ หรือ 155 ล้านบาท

ส่วนนักอเมริกันฟุตบอล NFL จำนวน 78 เปอร์เซ็นต์หมดตัวหลังจากเลิกแข่งเพียง 2 ปี

โดยเฉลี่ย นักอเมริกันฟุตบอล NFL ได้ค่าตัวฤดูกาลแข่งขันละ 1.1 ล้านดอลลาร์ หรือ 33 ล้านบาท

"สูตรสำเร็จ" แห่งความล้มเหลวของนักกีฬาอาชีพ คือ ซื้อบ้านหลายหลัง ซื้อรถราคาแพงมากหลายคัน ซื้อเครื่องเพชรเต็มตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกีฬาแอฟริกันอเมริกัน เครื่องเพชรชิ้นโตหรือที่มีศัพท์แสลงเรียกสั้นๆ ว่า บลิง (Bling) เป็นเครื่องแสดงสถานภาพของนักกีฬา

นักกีฬาในทีมเดียวกันก็แข่งกันเองว่าใครมีเพชรเม็ดโตกว่ากัน ลานจอดรถของทีมจึงกลายเป็นลานประชันความฟู่ฟ่าว่ารถใครราคาแพงกว่ากัน



ถามว่า นักอเมริกันฟุตบอล NFL กับนักกีฬา NBA ใครขี้อวดกว่ากัน คำตอบก็คือ นักอเมริกันฟุตบอล

เหตุผลก็เพราะนักอเมริกันฟุตบอลมีอาการที่คนตั้งชื่อล้อเลียนว่า Helmet Syndrome เนื่องจากขณะที่กำลังแข่งขันอยู่ในสนาม นักอเมริกันฟุตบอลต้องสวมหมวกกันน็อก เวลาถ่ายทอดโทรทัศน์ ผู้ชมก็ไม่ค่อยคุ้นหรือไม่เคยเห็นหน้ายกเว้นแต่นักกีฬาคนดังๆ พอเวลาอยู่นอกสนามจึงต้องอวดรวยเต็มที่เพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นที่สนใจ ไปไหนมาไหนต้องมีผู้ติดตามเป็นสิบๆ คน

หลังเลิกราจากการเป็นนักกีฬาอาชีพในวัยเพียง 30 ต้นๆ นักกีฬาเหล่านี้ก็บริหารจัดการเงินไม่เป็นเพราะร่ำรวยภายในเวลาพริบตาขณะอายุ 20 กว่าๆ มีทั้งลงทุนผิดพลาด ผู้จัดการส่วนตัวที่จ้างให้มาดูแลทรัพย์สินโกง

นักกีฬาที่หมดตัวทุกคนเคยคิดเหมือนกันหมดว่าเรื่องอย่างนี้ไม่มีวันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #322 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2555, 09:07:13 »


ขอบคุณสำหรับข้อมูลและแง่คิดครับป๋า
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #323 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2555, 00:00:45 »

ภัยร้ายจากการใช้บัตรประชาชน
 

เพราะทุกวันนี้ ไม่ว่าเราจะทำธุรกรรมอะไร ก็จะต้องใช้บัตรประชาชน การเซ็นสำเนาถูกต้อง เพื่อแสดงตัวตนของเรา จึงขอนำเอาวิธีการเซ็นสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่ถูกต้องมาฝาก เพราะไม่ควรประมาทและเพื่อป้องกันตัวเราเองจากกลุ่มมิจฉาชีพในโลกยุคปัจจุบันกันครับ

1. การเซ็นสำเนาถูกต้อง บางคนอาจจะมีวิธีที่แตกต่างกัน เพราะบางคนอาจจะขีดเส้นขนาน แล้วเขียน "สำเนาถูกต้อง" แต่จะมีเส้นหรือไม่มีเส้นขีด ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น

2. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเซ็นรับรองสำเนา ทุกครั้งหลังจากเซ็นรับรองแล้ว ต้องเขียนรายละเอียดกำกับด้วยว่า ใช้เพื่ออะไร เช่น ใช้เพื่อสมัครงานเท่านั้น ใช้เพื่อเปิดบัญชีธนาคารเท่านั้น

3. นอกจากจะเซ็นกำกับรายละเอียดแล้ว สิ่งที่ควรเขียนลงบนสำเนาคือ วัน เดือน ปี เพื่อเป็นการกำหนดอายุการใช้งานของสำเนาเราได้อีกด้วย

4. ต้องเขียนข้อความทั้งหมด ลงบนสำเนา ส่วนที่เป็นบัตรประชาชน หรือ บนเอกสารสำคัญอื่นๆ

5. และที่สำคัญต้องใช้ปากกาหมึกสีดำเท่านั้น เพราะเครื่องถ่ายเอกสารบางชนิด สามารถถ่ายเอกสาร โดยดึงหมึกสีน้ำเงินออก ให้เหลือแต่ข้อความบนบัตรประชาชนได้

สำหรับหลักการทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นวิธีการเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง ที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง และเป็นเทคนิคในการป้องกันตัวเองจากกลุ่มมิจฉาชีพได้อีกด้วยนะครับ

ข้อมูลจากเพจ KBank_SME
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #324 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2555, 21:48:50 »

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><