19 เมษายน 2567, 13:05:20
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 263864 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #375 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2556, 16:29:45 »


ขอบคุณคะพี่
แล้วก็จะให้ดูพี่เก่งวันนี้
หนิงก็เหลือบไปเห็นปาท่องโก๋จิ้มนมข้น..
อ๋ายยยย ของว่างในห้องประชุม คุกกี้ไม่ใช่เหรอ??

พี่ป๋า,แล้วมีใครได้ขยับ ได้เขยื่อนเลือนขั้นอีกคะปีนี้?
ชาวหอรัฐศาสตร์...ก้าวหน้ากันเร็ว
นายอำเภอสมคิด เพื่อนหนิงไม่รู้เป็นไงมั่งเนี่ย
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #376 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2556, 17:17:25 »

ใครมีลูก ที่ดูเหมือน สอนแล้วไม่ยอมฟัง ทั้งรู้ว่าทำแล้วจะโดน..น มาลองอ่านเรื่องของผมดูครับ

ปูพื้นฐานก่อนนะครับ
...ผมและภรรยาอายุ ประมาณ 40 ปี มีลูกสองคน อายุ 8 ขวบ และ 7 ขวบ
...ผมมีความรู้ถ้าเทียบก็ระดับ ปริญญาเอก ภรรยาก็ระดับปริญญาโท
...ผมและภรรยา ศึกษาเรื่องทฤษฎี และปรึกษาเพื่อนหมอเด็ก และหมอจิตเวชมาพอสมควร

แต่..
หลายปีที่ผ่านมา ผม และ ภรรยา สอนลูกแล้ว ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง ต่อต้านตลอด
เราคิดว่า นั่นเป็นภาวะของเด็กฉลาด คือ มองว่าการต่อต้าน เป็นการเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น
รู้จักการมองออกนอกกรอบ
แต่ ...มันไม่ใช่ซะแล้วครับ ลูกๆ มักจะต่อต้านขึ้นเรื่อยๆ แมักระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ เค้าต้านหมด

ปีที่แล้ว ภรรยาไม่ค่อยสบาย เราเลยตัดสินใจให้ภรรยา ลาออกมาคอยอบรมลูก
เราทั้งคู่ทำงานนอกบ้านหมด จึงคิดว่าปัญหามันเกิดจากการที่เราไม่มีเวลาให้ลูก...
เพื่อนๆ คงคิดว่า ถูกทางแล้วใช่มั๊ยครับ......แต่จริงแล้วมั้นใช่ แค่ส่วนเดียว

ผมเองก็ทำงานหนัก. ทำโอที แทบทุกวัน และต้องอ่านหนังสือสอบเพื่อความก้าวหน้าอีก
ทำให้ แทบไม่มีเวลาให้ลูกเลย.....กลับมาถึงบ้านทีไร มีแต่เสียงดุ เด็กๆ ที่ไม่ได้ดั่งใจภรรยาผม
ทั้งที่มันก็เป็นเรื่อง เดิมๆ แต่ เด็กไม่ยอมปรับตัวเอาเสียเลย ผมละไม่เข้าใจจริงๆในตอนนั้น

ไม่นานมานี้ ผมเริ่มเห็นท่าจะไม่ดีแล้ว เด็กโตขึ้นและโตพร้อมกับความต่อต้านที่ชัดเจนขึ้นด้วย
ผมได้มีเวลาคิดทบทวนดูว่า ทำไม ผมมีความรู้ท่วมหัว แต่สอนลูกตัวเองไม่ได้

เจอแล้วครับ...
เหตุการณ์ เก่าๆที่ผมนึกทบทวน...

...............................................
ขณะหม่าม๊า ลงไปซื้อของที่ เซเว่น
"ป๊า..ขาวแดง ห้ามจอดนะป๊า..."
"อืม..ม์ไม่เป็นไร แป๊บเดียว หม่าม๊าลงไปซื้อของ เดี๋ยวก็ขึ้นมาแล้ว เราจอดตีไฟไว้ไม่เป็นไรหรอก"
.............................................

ขณะรออาหารในร้านอาหาร
"ป๊า...ขอเล่นเกมในโทรศัพท์หน่อยครับ"
"เล่นแต่เกม เดี๋ยวสมองฝ่อ แป๊บเดียวเดียวอาหารก็มาแล้ว"
ว่าแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์ มาเช็ค LINE ฆ่าเวลา
.............................................

"เด็กๆ ตื่นได้แล้วนะ หม่าม๊าปลุกหลายรอบแล้ว ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า"
แต่..หม่าม๊า ก็ยังนอนอยู่บนที่นอน

...............................................

ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ เป็นเหมือนกันกับผมหรือเปล่า ที่เรามองข้ามอะไรไป..
ใช่ครับ....ผมมองข้าม สิ่งสำคัญไปสิ่งหนึ่ง...ที่
ในใจลูกๆผมคงอยากจะพูด ด้วยเสียงอันดังก้องทุกครั้งที่เค้าเกิดการต่อต้านว่า..

"ถ้าป๊า....ยังทำไม่ได้ ก็อย่า ริอาจ มาสอนพวกเรา" แต่เค้าไม่อยู่ในฐานะที่พูดได้เท่านั้นเอง

ผมเลย กลับมาแก้ที่ตัวปัญหา จากตัวผมเองก่อน
...ผมหยุดเรียนไม่เอาแล้วครับปริญญาใบที่ 4 เพราะ ต่อให้เราเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่สามารถสอนลูก
ให้เป็นคนดีได้ ...เราก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนนึง

...ผมหยุดพฤติกรรม ที่ปากว่าตาขยิบ ..ที่ผู้ใหญ่มักจะหาเหตุผลมาอ้างเสมอว่า "มันเป็นข้อยกเว้น"
แต่จริงแล้ว ถ้าไม่ทำให้เค้าเห็น คุณก็ไม่อาจได้ใจเค้าเลย

และชักชวนภรรยามาแก้ปัญหาด้วยกัน...

ได้ผลดีมากครับ ....แต่บอกตรงๆ (ผมและภรรยาเหนื่อย คอดๆ เลย เหนื่อยมาก...ก)
แต่คุ้ม ครับ ทุกวันนี้..แค่ทำให้เค้าเห็น ไม่ต้องบ่นมากพูดมาก เค้าก็เดินตามทางเรามาแล้วครับ

.......................................
จาก. http://pantip.com/topic/30906295
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #377 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2556, 17:57:27 »

ทุกข์ทบต้น...
วินทร์ เลียววาริณ

วิไลซื้อกระเป๋าถือใบหนึ่งจากห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง ในรายการลด 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเดินผ่านอีกห้างหนึ่ง เห็นกระเป๋าอย่างเดียวกันวางขายอยู่ ก็ลองเปรียบเทียบราคากัน แล้วพบว่าห้างแห่งที่สองขายกระเป๋าแบบเดียวกันถูกกว่าห้างแรก 250 บาท

ทั้งนี้เพราะห้างแรกใช้ลูกเล่นตั้งราคาสูงกว่าปกติ แล้วลดราคาลงมาเท่าเดิม เธอโกรธตัวเอง ด่าตัวเองว่าโง่เง่าจนถูกเขาหลอก ทำไมเลินเล่ออย่างนี้ ทำไมไม่ตรวจสอบราคาหลาย ๆ ห้างก่อน ทำไมไม่ถามเพื่อน ฯลฯ

ขณะกลับบ้านก็โมโหไปตลอดทาง ถึงบ้านแล้วก็ยังกลุ้มใจ ลูกมาหาก็ไม่อยากคุยด้วย ครั้นเวลาอาหารเย็นก็กินไม่อร่อย คิดถึงแต่เรื่องนี้ เวลานอนก็ไม่หลับเพราะยังโมโหตัวเองไม่หาย กลุ้มใจไปหลายวัน

รวมพลังงานที่เสียไป, เวลาที่หายไปกับการครุ่นคิดเรื่องนี้, สารพิษที่ร่างกายหลั่งออกมาตอนกลัดกลุ้ม, ความเสื่อมของหัวใจที่เกิดจากความโกรธ คำนวณออกมาแล้วจะพบว่าค่าเสียหายของงานนี้มากกว่า 250 บาท นี่เรียกว่า เสียสองเด้ง

เด้งแรกคือเสียทางวัตถุ เด้งที่สองคือเสียทางจิตใจ

วิไลเลิกซื้อสินค้าจากห้างแห่งนั้น ผ่านไปหนึ่งปี สองปี วิไลก็ยังโกรธตัวเองและห้างไม่หายในเหตุการณ์นั้น ทุกครั้งที่โกรธ เธอก็มีอาการหัวใจเต้นแรง นอนไม่หลับ มันเพิ่มจากเสียสองเด้งเป็นเสียสามเด้ง สี่เด้ง

ผ่านไปสิบปีเธอยังโกรธเรื่องนี้อยู่ คราวนี้จาก 3-4 เด้งกลายเป็น 10-20 เด้ง กลายเป็นทุกข์ทบต้น เป็นดอกเบี้ยอารมณ์ที่ทบซ้ำไม่หยุดหย่อน ตราบที่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้

สุดาทะเลาะกับสามี สามีด่าเธอด้วยถ้อยคำรุนแรง วันรุ่งขึ้นสามีขอโทษเธอ บอกว่าเมื่อคืนนี้ใช้คำพูดหยาบคายเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เธอยกโทษให้เขา แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ในใจเธอยังรู้สึกน้อยใจและโกรธ และงอนเขาไปหลายวันโดยที่เขาไม่รู้

ผ่านไปสิบปีความน้อยใจยังไม่จางหาย ผ่านไปยี่สิบปี ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นี้ เธอก็สัมผัสความโกรธและน้อยใจที่ปะทุวูบขึ้นมา นี่ก็คือทุกข์ทบต้น เป็นดอกเบี้ยอารมณ์ที่ทบซ้อนไม่หยุดหย่อน ตราบที่ยังไม่สามารถปล่อยวางตะกอนในใจได้

สมยศลงทุนในธุรกิจหนึ่ง กิจการของทั้งสองไม่เคยได้รับกำไร ผ่านไปสองปีสมยศเพิ่งพบว่าเพื่อนโกงเงินกำไรทั้งหมด ทั้งสองแยกทางกัน แต่สมยศไม่เคยลืมความเจ็บช้ำครั้งนี้ ผ่านไปสิบปี เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจของเขาเองแล้ว ความโกรธแค้นนั้นยังคงอยู่ มันทำให้เขาไม่มีความสุขทุกครั้งที่นึกถึงมัน

ทุกข์ทบต้น!

ความทรงจำของมนุษย์มีความแปลกอย่างหนึ่งคือ มันจดจำเรื่องไม่ดีได้ลึกกว่านานกว่าเรื่องดี ๆ

เรามักจดจำเรื่องที่คนอื่นทำแย่ ๆ ต่อเราได้ ไม่ว่าผ่านมากี่สิบปีแล้ว เราจำเรื่องที่เราพูดหน้าชั้นเรียนแล้วถูกเพื่อนหัวเราะเยาะได้ เราจำเรื่องที่ใครบางคนนินทาเราลับหลังและเราบังเอิญได้ยินได้

คนแก่บางคนเริ่มมีอาการขี้ลืม แต่กลับจำเรื่องที่คนอื่นทำไม่ดีต่อเขาเมื่อห้าสิบปีก่อน แล้วความโกรธก็ปะทุขึ้นมาเหมือนว่า เหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง หัวใจเต้นแรง เหงื่อออก และคืนนั้นก็นอนไม่หลับ

เป็นดอกเบี้ยทบต้นที่แพงเหลือเกิน อย่างนี้เป็นโรคความจำเสื่อมก็ดีเหมือนกัน!

ทุกข์ทบต้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน เกิดขึ้นกับแทบทุกคน แต่คนฉลาดเลือกที่จบมันตั้งแต่เกิดความเสียหายแรก คนเขลาต่อเติมความเสียหายแรกเป็นความเสียหายใหม่ที่มักใหญ่กว่าเดิม การจบมันก่อนคือการยอมปล่อยมันลง ไม่แบกมันไว้

PUT IT DOWN! วางมันลง วางมันลง วางมันลง

นี่ก็คือเรื่องการยึดมั่นถือมั่นที่พระชอบเทศน์กัน มันเข้าใจไม่ยากอย่างที่คิด

ลองใช้หลักบัญชีง่าย ๆ แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสองช่อง ช่องซ้ายคือกำไร ช่องขวาคือขาดทุน

กำไรคือความสุข ความสบายใจ การได้เงินเพิ่ม

ขาดทุนคือความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ค่าบิลโรงพยาบาล ค่าเสียเวลาไปหาหมอ ค่าเสียโอกาสในการทำเรื่องสร้างสรรค์อื่น ค่าเสียโอกาสในการเล่นกับลูก หัวเราะ ยิ้มแย้ม ฯลฯ แล้วคูณจำนวนวันเดือนปีที่อารมณ์บูดนั้นเข้าไป เด็กประถมก็รู้ว่าควรเลือกทางไหน แต่คนไม่ยอมใครเลือกที่จะไม่รู้! กูไม่ยอมโว้ย!

เสียรู้ห้างไป 250 บาท ไม่ตายก็หาใหม่ได้ เพื่อนโกงเงินไม่ตายก็หาใหม่ได้ อย่าแบกมันไว้นานเป็นปี ๆ เพราะค่าแบกแพงกว่าค่าเสียหายในตัวเงิน ทะเลาะกับสามีเป็นเรื่องปกติธรรมดา มีใครบ้างที่ไม่ทะเลาะกับสามี?

เสียเงินไปแล้ว ไยต้องเสียอารมณ์เพิ่ม? ทุกข์เรื่องหนึ่งไปแล้วทำไมต้องทุกข์เพิ่มอีกเรื่อง? ค่าใช้จ่ายในการไม่ยอมคนอื่นนี้ มักแพงกว่าการยอม ๆ เขาบ้าง แล้วยุติความเสียหายแรกนั้นเพียงแค่นั้น อย่าให้มันลามมาถึงใจ จนกลายเป็นมะเร็งที่เกาะกินทั้งชีวิต

คำโบราณที่ว่า ยิ่งให้ยิ่งได้ ก็ตรงกับเรื่องนี้ ยอมให้เขาไป ได้ความสงบทางจิตคืนมา

คราวนี้ลองใช้หลักการ ‘หลายเด้ง’ ในอีกด้านหนึ่งของตาชั่งอารมณ์ อาจได้ผลต่างกัน

ซื้อขนมมากิน รสชาติอร่อยเหลือเกิน ก็แบ่งให้เพื่อนชิม จากสุขคนเดียวก็กลายเป็นสุขสองคน หรือสุขสองเด้ง

อ่านขำขันแล้วขำมาก เล่าให้เพื่อนสามคนฟัง ก็กลายเป็นสุขสามเด้ง

ได้ยินธรรมที่ดีมาก เล่าให้เพื่อนสี่คนฟังแล้วนำไปปฏิบัติ กลายเป็นสุขสี่เด้ง

ลองคิดดูว่าหากเราสามารถทำเรื่องดี ๆ ให้คนนับพัน นับหมื่นนับล้านคน มันก็กลายเป็นสุขพันเด้ง สุขหมื่นเด้ง สุขล้านเด้ง

และหากเราระลึกถึงความสุขชนิดนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังนี้ หัวใจเราจะอาบซ่านด้วยความปีติ มันก็กลายเป็นสุขทบต้น แล้วมีอะไรในโลกที่ดีไปกว่าสุขทบต้น?

วินทร์ เลียววาริณ, 24 สิงหาคม 2556
#ข่าวหน้าหนึ่ง, www.winbookclub.com
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #378 เมื่อ: 02 กันยายน 2556, 21:35:53 »

คิดแต่เรื่องดีๆที่มีแต่ความสุขดีกว่าเน๊าะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #379 เมื่อ: 04 กันยายน 2556, 20:41:00 »

พี่ป๋า,
แล้วเค้าปิดถนนประท้วงยางทำไม??
มีอะไรอยู่เบื้องหลัง??
เล่าเรื่องของเขาให้ฟังหน่อยคะ.
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #380 เมื่อ: 06 กันยายน 2556, 13:40:37 »

. วันหนึ่ง ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแห่งน็อตเทรอะดามกลุ่มหนึ่งกลับไปเยี่ยมสถาบัน
ไม่ช้าวงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียดในเรื่องการทำงานและปัญหาชีวิต

แล้วอาจารย์ก็เสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า
อาจารย์เดินเข้าไปในครัวและออกมาพร้อมกับกาแฟ
เหยือกโตและถ้วยกาแฟแบบต่างๆ บ้างเป็นถ้วยกระเบื้อง บ้างเป็นถ้วยพลาสติก
และบ้างทำด้วยแก้ว โดยบางใบเป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา บางใบสวยวิจิตรสูงค่า

อาจารย์บอกให้ลูกศิษย์แต่ละคนจัดการการดื่ม
กาแฟร้อนๆ กันเอาเอง และเมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคนแล้ว
อาจารย์ก็กล่าวว่า ลองสังเกตุดูกันหรือเปล่าว่า ถ้วยสวยๆ แพงๆ
ถูกเลือกไปหมดเหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก
เป็นเรื่องปกตินะที่พวกเราต่างก็มักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
ซึ่งนี่คือที่มาของความเครียดและปัญหาทั้งหลายแหล่ในชีวิต
ในขณะที่สิ่งที่พวกเราต้องการแท้จริงแล้วคือกาแฟไม่ใช่ถ้วยกาแฟ
แต่จิตสำนึกกลับนำพาเราไปเลือกที่ถ้วยและมิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย

หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคมก็คือถ้วยใส่กาแฟ
มันเป็นเพียงเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยหยิบจับหรือประคองชีวิตของเรา มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ
ของชีวิตเปลี่ยนไป

บางครั้ง.........การมัวไปเพ่งเล็งที่ถ้วยใส่กาแฟก็ทำให้เราลืมที่จะใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #381 เมื่อ: 06 กันยายน 2556, 16:00:41 »

ชายหนุ่มคนหนึ่งคิดว่าพระพุทธศาสนาต้องมีดีอะไรแน่นอน ไม่อย่างนั้นผู้เฒ่า ผู้แก่ทั้งหลายคงไม่ทำบุญทำทานใส่บาตรพระสงฆ์ใด้ทุกวัน จึงอยากใด้อะไรดีๆ จากพระพุทธศาสนาบ้าง เขาขอสมัครเข้าไปบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง หลังจากบวชแล้วเขาก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนธรรมจนใด้เป็น "มหา" แล้วก็ลาสึกออกมามีครอบครัว ทำมาหากินเหมือนคนทั่วไป แต่ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ยังตั้งตัวไม่ใด้ ทุกข์ใจกับครอบครัว ทุกข์ใจกับอาชีพการงาน ทุกข์ใจกับผู้ร่วมงาน เขาจึงมีความคิดว่าธรรมที่ตนเรียนมาไม่ใด้ช่วยอะไรเขาเลย

วันหนึ่งเขาไปหาหลวงพ่อที่วัดแล้วบอกท่านว่า

"หลวงพ่อครับ ธรรมในพุทธศาสนาผมเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร ผมศึกษาเล่าเรียนจนรู้เรื่องตลอด แต่ไม่ช่วยให้ผมดีขึ้นเลย ผมยังตั้งตัวไม่ใด้จนเดี๋ยวนี้"

หลวงพ่อใด้ฟังแล้วก็ใด้แต่ยิ้มๆ แล้วบอกว่าให้เขาฃื้อยาแก้ใอให้หน่อย

เขารับปากแล้วไปฃื้อมาถวาย ต่อมา2-3วัน เขาเข้าไปหาหลวงพ่ออีกเพื่อถามอาการ

"เป็นไงบ้างครับหลวงพ่อ หายดีแล้วหรือยัง "

" ยังเลย ดูเหมือนจะหนักกว่าเก่าเสียด้วย "

สงสัยจะฃื้อยาผิดมา จึงไม่ใด้ผล เขาหยิบขวดยามาดูให้แน่ใจ มันก็ยาแก้ไอ

"หลวงพ่อไม่ได้อ่านฉลากยาหรือครับ"

" อ่านสิ อ่านหลายครั้งแล้ว อ่านจนจำได้แล้ว"

"อ้าวแล้วหลวงพ่อทำไมถึงยังไม่หายละครับ"

"ฉันไม่ใด้กินมัน ฉันแค่อ่านฉลากอย่างเดียว"

หลวงพ่อตอบอย่างหน้าตาเฉย

เขาชักฉุนหลวงพ่อ เลยต่อว่าไป

"โธ่หลวงพ่อ ยานี่แค่อ่านฉลากอย่างเดียว แต่ไม่ใด้กินมันจะหายใด้อย่างใรกัน หลวงพ่อก็"

"เออจริงของเอ็ง ไหนส่งยามาให้ฃิ "

หลวงพ่อตอบแล้วเปิดขวดยาที่เขาส่งให้ ยกขึ้นจิบนิดหนึ่ง แล้วพูดว่า

" ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เหมือนยาแก้ใอขวดนี้นั่นแหละใอ้ทิดเอ๋ย อ่านแต่ธรรมที่อยู่ในตำราในพระไตรปิฎก แต่ไม่ใด้เอามาปฏิบัติตามก็แก้ทุกข์ ให้ไม่ใด้หรอก เหมือนอ่านแค่ฉลากยา จะทำให้หายโรค ใด้อย่างไรกัน จริงใหมเล่า"

เขาไม่ใด้ตอบหลวงพ่อ แต่ตาสว่างขึ้นทันใด
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #382 เมื่อ: 07 กันยายน 2556, 09:16:09 »

อานิสงส์ของการสวดมนต์
เทศนาโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่าน เจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา

เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย
เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”


ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย
และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย

เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร

การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ

• เมื่อฟังธรรม
• เมื่อแสดงธรรม
• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
• เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น ๒ เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม

การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

• กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
• ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
• วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการ ขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว

อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน

การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น


*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด

*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก

ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่าง ดีเยี่ยม

ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใดๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล..

จากหนังสือ อมตะธรรม : สมเด็จโต พรหมรังษี

ที่มา http://www.kanlayanatam.com/sara/sara64.htm
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #383 เมื่อ: 07 กันยายน 2556, 11:31:20 »

เปาปุ้นจิ้น กับ นักการเมือง
เล่ากันว่า สมัยที่เปาบุ้นจิ้น สั่งประหารชีวิตใคร ก่อนตายจะอนุญาตให้ขออะไรได้เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาล ไปจัดการให้ตามที่ปรารถนาจนสมหวังทุกครั้ง
 
เปาบุ้นจิ้น :: “เอาล่ะ เจ้าคอรัปชั่นมามาก สมควรตาย แต่ก่อนตายข้าจะให้เจ้าขออะไรได้อย่างหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย”
 
นักการเมือง :: “จริงรึ ท่านพูดแล้วอย่าคืนคำนะ”
 
เปาบุ้นจิ้น :: “ข้ารักษาสัจจะ”
นักการเมือง :: “(ยิ้มอย่างมีเลศนัย) ถ้าอย่างนั้น สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะขอคือ “ขอให้ปล่อยตัวข้าเดี๋ยวนี้” ท่านห้ามคืนคำนะ”
 
ปรากฏว่า ทุกคนในศาลเงียบกริบ คิดไม่ถึงว่าจะเจอทีเด็ดนักการเมือง กล้าเล่นมุกศรีธนญชัยกับท่านเปา สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ท่านเปา ว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร
 
ท่านเปาบุ้นจิ้น เอามือลูบหนวดครุ่นคิดสักครู่ แล้วยกค้อนขึ้น ทุบโต๊ะดังสนั่น พร้อมประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “เจ้าหน้าที่ศาล ปล่อยตัวเขาไปเดี๋ยวนี้..................... แต่เก็บหัวไว้”
 
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #384 เมื่อ: 07 กันยายน 2556, 12:30:52 »

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต


ธรรมิกสูตร
.... [๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด พระราชาเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
สมัยนั้น แม้พวกข้าราชการ ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพวกข้าราชการไม่ตั้ง
อยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้พราหมณ์และคฤหบดีก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ชาวนิคมและชาวชนบท ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทไม่ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อคืนและวันหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ ฤดูและปีก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอเมื่อฤดูและปีหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ ลมย่อมพัดไม่สม่ำเสมอ เมื่อลมพัดไม่สม่ำเสมอ ลมก็เดินผิดทางไม่สม่ำเสมอ ย่อมพัดเวียนไป เมื่อลมเดินผิดทางไม่สม่ำเสมอพัดเวียนไป เทวดาย่อมกำเริบ เมื่อเทวดากำเริบฝนย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาลเมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกัน ดูกรภิกษุทั้งหลายมนุษย์ผู้บริโภคข้าวที่สุกไม่เสมอกัน ย่อมเป็นผู้มีอายุน้อย มีผิวพรรณเศร้าหมองมีกำลังน้อย มีอาพาธมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย


.... สมัยใด พระราชาเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมสมัยนั้น แม้ข้าราชการก็ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อข้าราชการตั้งอยู่ในธรรสมัยนั้น แม้พราหมณ์และคฤหบดีก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ชาวนิคมและชาวชนบท ก็ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนสม่ำเสมอกัน หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรหมุนเวียนสม่ำเสมอ คืนและวันก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อคืนและวันย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอกัน เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนหมุนเวียนสม่ำเสมอ ฤดูและปีก็ย่อมหมุนเวียนไปสม่ำเสมอ เมื่อฤดูและปีหมุนเวียนไปสม่ำเสมอกัน ลมย่อมพัดสม่ำเสมอ เมื่อลมพัดสม่ำเสมอ ลมย่อมพัดไปถูกทาง เมื่อลมพัดไปถูกทาง เทวดาย่อมไม่กำเริบ เมื่อเทวดาไม่กำเริบ ฝนย่อมตกต้องตามฤดูกาล เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าก็สุกเสมอกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ผู้บริโภคข้าวกล้าที่สุกเสมอกัน ย่อมมีอายุยืน มีผิวพรรณดี มีกำลัง และมีอาพาธน้อย ฯ

.... เมื่อฝูงโคข้ามไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงไปคด โคเหล่านั้นย่อม ไปคดทั้งหมด ในเมื่อโคผู้นำไปคด ในมนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับสมมติให้เป็นผู้นำ ถ้าผู้นั้นประพฤติอธรรม
ประชาชนนอกนี้ก็จะประพฤติอธรรมเหมือนกัน แว่นแคว้น ทั้งหมดจะได้ประสบความทุกข์ ถ้าพระราชาเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ ในธรรม เมื่อฝูงโคข้ามไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงไปตรง โคเหล่า นั้นย่อมไปตรงทั้งหมด ในเมื่อโคผู้นำไปตรง ในหมู่มนุษย์ ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับสมมติให้เป็นผู้นำ ถ้าผู้นั้นประพฤติ ธรรม ประชาชนนอกนี้ย่อมประพฤติธรรมเหมือนกัน แว่น แคว้นทั้งหมดย่อมได้ประสบความสุข ถ้าพระราชาเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม ฯ


จบสูตรที่ ๑๐
จบปัตตกรรมวรรคที่ ๒
-----------------------------------------------------
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปัตตกรรมสูตร ๒. อันนนาถสูตร ๓. สพรหมกสูตร
๔. นิรยสูตร ๕. รูปสูตร ๖. สราคสูตร ๗. อหิสูตร ๘. เทว-
*ทัตตสูตร ๙. ปธานสูตร ๑๐. ธรรมิกสูตร ฯ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #385 เมื่อ: 23 กันยายน 2556, 14:33:46 »

เขาเล่าว่า.   ให้ทุกคนดูแลรักษาของล้ำค่า 4. อย่างนี้ดีๆ

1.ร่างกาย
เป็นสิ่งเดียวที่จะอยู่ไปกับเราตราบสิ้นชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอะไร ไม่มีใครจะดูแลเขาได้ดีเท่ากับตัวเรา
2.คู่ชีวิต
คือคนที่จะดูแล เข้าข้างและปกป้องเราไปตลอดชีวิต ลงทุนเพียงนิดผลได้ทวีคูณ
3.เพื่อน
เพื่อนดีๆมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินทุกอย่างบนโลก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน จริงใจ ฯลฯ มีเงินก็ซื้อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
4.ทรัพย์สมบัติ
ยิ่งอายุมากขึ้น ความสามารถในการหามันเพิ่มจะยิ่งลดลง ดังนั้นต้องรู้จักใช้มันให้คุ้มค่าสูงสุด
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #386 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2556, 04:29:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 23 กันยายน 2556, 14:33:46
เขาเล่าว่า.   ให้ทุกคนดูแลรักษาของล้ำค่า 4. อย่างนี้ดีๆ

1.ร่างกาย
เป็นสิ่งเดียวที่จะอยู่ไปกับเราตราบสิ้นชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอะไร ไม่มีใครจะดูแลเขาได้ดีเท่ากับตัวเรา
2.คู่ชีวิต
คือคนที่จะดูแล เข้าข้างและปกป้องเราไปตลอดชีวิต ลงทุนเพียงนิดผลได้ทวีคูณ
3.เพื่อน
เพื่อนดีๆมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินทุกอย่างบนโลก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน จริงใจ ฯลฯ มีเงินก็ซื้อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
4.ทรัพย์สมบัติ
ยิ่งอายุมากขึ้น ความสามารถในการหามันเพิ่มจะยิ่งลดลง ดังนั้นต้องรู้จักใช้มันให้คุ้มค่าสูงสุด

ไม่จริงคะ!
เข้าข้างผิดๆ
ผิดจิตสำนึกนี่..
ไม่ดีคะ!
ไม่"ergänzen"กันและกันไม่ว่า..
พาลจะพาเราคิดไขว้เขวอีก..
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #387 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2556, 04:34:46 »




psst พี่ป๋า
เมล์เวียนที่ส่งวันนี้ พี่เขียนเหรอคะ??
พี่คงหมายถึง"พี่เมา 15"?
ถ้าหมายถึงพี่เมาและพี่เขียนเอง...
อ่านแล้ว,พี่เมาไปเป็นเพื่อนพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่??

หากไม่ได้หมายถึงพี่เมา??
นายก/ที่ปรึกษาเมาแฟ็ด??
ประชุมได้แน่นะเค๊อะ?


      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #388 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2556, 23:51:03 »

มิน่าไม่ค่อยรู้เรื่อง
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #389 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2556, 02:12:16 »

หนิงเหรอ??
รู้เรื่องกว่าใครเลยแหละ!!
ตามนั้นคะ

เดี๋ยวจาทอด<'))))><จิ้มน้ำพริกซะนี่.
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #390 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2556, 16:25:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 02 ตุลาคม 2556, 02:12:16
หนิงเหรอ??
รู้เรื่องกว่าใครเลยแหละ!!
ตามนั้นคะ

เดี๋ยวจาทอด<'))))><จิ้มน้ำพริกซะนี่.

ก้อมัวเมาไง
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #391 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2556, 23:25:11 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=KnrTzm5T3WU" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=KnrTzm5T3WU</a>
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #392 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2556, 19:50:57 »

ศาลโปรดอย่าก้าวล่วงพระราชอำนาจ 
 
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
facebook.com/verapat
 
 
     สังคมไทยเริ่มชินชากับการที่ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ขยายอำนาจเข้าไปตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่ง 'รัฐสภา' แก้ไขให้ 'ประชาชน' มีโอกาสเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สมาชิกวุฒิสภา ประหนึ่งว่าหากประชาชนชาวไทยจะมีโอกาสเลือกผู้แทนตนเองได้ ก็จะต้อง 'ขออนุญาต' จากศาลซึ่งประชาชนไม่ได้เลือกมาเสียก่อน
 
     เรื่องนี้นอกจากละเมิดสามัญสำนึกทางประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญอย่างโจ่งแจ้ง โดยศาลกำลังละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68  ทั้งด้านเนื้อหา กล่าวคือ ศาลนำเรื่องการใช้อำนาจของรัฐสภาไปปะปนกับเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนและพรรคการเมือง อีกทั้งละเมิดกระบวนการโดยเบียดบังอำนาจของอัยการสูงสุดเพื่อนำอำนาจนั้นมาไว้กับตนให้รับพิจารณาคดีได้เองแต่ผู้เดียว
 
     การขยายอำนาจเช่นนี้อาจเป็นเพราะศาลมีความปรารถนาดีว่า 'ประชาธิปไตย' ไม่ใช่เรื่องของ 'เสียงข้างมาก' เท่านั้น แต่เสียงข้างมากต้องถูกตรวจสอบถ่วงดุลได้
 
     การตรวจสอบถ่วงดุลนั้นสำคัญจริง แม้แต่กรณีที่รัฐสภาเสียงข้างมากจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็เช่นกัน กระบวนการทั้งหมดต้องมีขั้นตอนให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยได้แสดงความเห็นและเสนอแนะคัดค้าน มิอาจรวบรัดตัดตอนให้แล้วเสร็จในทันทีได้ เช่น มีกรรมาธิการที่มีสัดส่วนและมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่อภิปรายหรือลงมติอย่างเปิดเผยให้สังคมร่วมตรวจสอบทั้ง 3 วาระ
 
     คำถามสำคัญก็คือ เมื่อรัฐสภาได้ลงมติเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว  จะยังมีผู้ใดที่จะตรวจสอบถ่วงดุลรัฐสภาได้?
 
     คำตอบนั้น หาใช่ ศาลรัฐธรรมนูญ หาใช่ รัฐสภา และ หาใช่ คณะรัฐมนตรี
 
     แต่เป็น "พระราชอำนาจ" โดยเฉพาะของพระมหากษัตริย์ซึ่งยึดโยงกับจิตสำนึกและเจตจำนงของปวงชน
 
     ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ประกอบกับ มาตรา 151 ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า เมื่อรัฐสภาได้ลงมติเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญและส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้นายกรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน 20 วันเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งเมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ ผู้ที่จะยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ผู้เดียว ก็คือ พระมหากษัตริย์ 
 
     โดยหากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้องปรึกษากันว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร หากรัฐสภาทบทวนแล้วเกิดความยับยั้งชั่งใจว่าไม่ควรดำเนินการต่อ ร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็ยังประกาศใช้ไม่ได้
 
     แต่หากรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา นายกรัฐมนตรีจะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง
 
     ซึ่งเมื่อรัฐสภาได้มีมติยืนยันเช่นนี้ หากพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยก็ดำเนินการประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป แต่หากพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธย และไม่พระราชทานคืนมาภายใน 30 วัน รัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
 
     กระบวนการนี้ เป็นหนึ่งในเครื่องช่วยพิสูจน์ว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็น "พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ" กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์พระประมุขของปวงชน ย่อมทรงใช้พระราชอำนาจถ่วงดุลอำนาจของผู้แทนปวงชนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่มาจากปวงชน และหากผู้แทนปวงชนมั่นใจแน่วแน่ที่จะรับผิดชอบโดยยืนยันมติต่อพระมหากษัตริย์อีกครั้ง พระมหากษัตริย์ก็มิอาจยับยั้งมติดังกล่าวของผู้แทนปวงชนได้
 
     สมควรย้ำว่า การที่รัฐสภาจะตัดสินใจยืนยันมติต่อพระมหากษัตริย์ หรือการที่พระมหากษัตริย์จะทรงยับยั้งมติของรัฐสภาเช่นว่านี้ หาใช่เรื่องของอำนาจทางกฎหมายหรือคณิตศาสตร์เสียงข้างมากเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการทางการเมืองที่ผูกติดอยู่กับความชอบธรรมและแรงสนับสนุนจากเจตจำนงของปวงชนเป็นสำคัญ
 
     แม้บางสำนักความคิดจะมองอย่างแคบว่ากรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีขัดแย้งกับรัฐสภาเท่านั้น แต่อำนาจใดที่ใช้ไปโดยขัดต่อมติของปวงชนโดยปราศจากเหตุุผลและขาดความชอบธรรม อำนาจนั้นก็ย่อมสูญสิ้นไปในที่สุด ไม่เว้นแต่อำนาจของประมุขหรือผู้แทนของปวงชน
 
     ดังนั้น เมื่อรัฐสภาได้ลงมติเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ นายกรัฐมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายต่อพระมหากษัตริย์แล้ว ก็ย่อมเป็นกระบวนการขั้นตอนที่พ้นไปจากทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ  เพราะพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจเช่นใด ย่อมไม่มีผู้ใดไปกำหนดได้ นอกเหนือไปจากความชอบธรรมที่พระมหากษัตริย์ทรงต้องยึดโยงการตัดสินใจกับเหตุผลและเจตจำนงของปวงชน ซึ่งองค์ประมุขและผู้แทนต่างร่วมกันรับผิดชอบ
 
     แต่หากผู้ใดพยายามสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง เช่น อ้างมาตรา 68 เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงถ่วงดึงกระบวนการดังกล่าวไว้ ประหนึ่งศาลรู้ดีจนไปตัดสินและรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ได้จนพระองค์ต้องทรงลำบากพระราชหฤทัยจากการถูกดึงเข้าไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง นอกจากผู้นั้นจะไม่เคารพในรัฐธรรมนูญแล้ว ผู้นั้นยังอาจเอื้อมไม่เคารพในพระราชอำนาจตลอดจนพระราชปรีชาญาณที่จะทรงรับผิดชอบต่อพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์เองอีกด้วย
 
     แม้บัดนี้ปรากฏว่าศาลไม่เคารพกรอบอำนาจของตนเองตามรัฐธรรมนูญ  แต่หากศาลยังพอมีความยำเกรงในพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์อยู่บ้าง ก็ยังไม่สายเกินไปที่ศาลจะยกคำร้องหรือจำหน่ายคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใด ๆ ที่ค้างอยู่ในศาล เพื่อน้อมให้เรื่องดังกล่าวเป็นพระบรมราชวินิจฉัยขององค์พระประมุขแห่งปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ.
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #393 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2556, 20:38:36 »

บทกลอนจากตำรวจ .. " นักกลอนกินข้าวกล่อง นอนยุงกัด " "
ประชาชน แตกแยก แบ่งฟากฝ่าย
พ่นน้ำลาย ด่าเหลือง-แดง แข่งกันใหญ่
นักการเมือง ต่างด่าทอ นี่หนอไทย
ชาติถึงได้ ล้าหลัง ฝรั่งเมิน
ทรัพยากร ธรรมชาติ มีมากล้น
ไม่อับจน ปลูกสิ่งใด ได้กินผล
หลายประเทศ อยากอาศัย อยากได้ยล
ทำไมคน ของเรา ไม่รักกัน
มีปัญหาใด ให้ใช้ ปัญญาแก้
มุ่งผลแพ้ หรือชนะ จะพาหมอง
เพราะต่างฝ่าย ต่างทุ่มเท มุ่งประลอง
ต่างจดจ้อง ใช้กำลัง ห้ำหั่นกัน
ไม่เคารพ กติกา มารยาท
ยืนด่ากราด เอ็งไม่ดี ไม่เหมาะสม
ครั้นตนได้ เป็นใหญ่ ประชาตรม
สุดระทม เอาแต่ได้ เป้าหมายเดียว
คนลำบาก คือ"ตำรวจ" ถูกสวดทั่ว
หาว่าชั่ว ปกป้องโจร ปล้นแผ่นดิน
ถูกทำร้าย ถูกด่าทอ อยู่อาจินต์
ดุจดั่งเศษ ธุลีดิน สิ้นค่าคน
เป็นตำรวจ เราดูแล ทั้งแดง-เหลือง
ทั้งกวนเมือง หน้ากากขาว เราเฝ้าหนอ
ป้อง พิทักษ์ ให้ทุกฝ่าย ไม่รีรอ
อยากจะขอ ให้เห็นใจ ในสิ่งทำ
เขียนบทกลอน ครั่งนี้ เพื่อบอกกล่าว
บอกเรื่องราว ให้เข้าใจ ในหน้าที่
ขอพี่น้อง ผองเพื่อน มองแง่ดี
จะได้มีผู้ "พิทักษ์" รักษาเกมส์
ด้วยหน้าที่ ชีวิต รับผิดชอบ
คือคำตอบ ที่รบอยู่ มิรู้สิ้น
ทั้งคำด่า คำบ่น โดนจนชิน
อยากได้ยิน ได้เห็นท่าน รักกันเอง "
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #394 เมื่อ: 02 ธันวาคม 2556, 00:39:34 »

จิตที่มิได้อบรมแล้ว
มิได้รักษาคุ้มครองแล้ว
เป็นจิตที่ไม่สมควรแก่การงาน
ย่อมเป็นไปเพื่อโทษ
มิใช่ประโยชน์ใหญ่

-สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #395 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2556, 21:03:36 »

ขออวยชัยปีใหม่ให้ทุกข์น้อย
เรื่องเศร้าสร้อยให้มลายหายไปสิ้น
สุขภาพแข็งแรงแกร่งกายิน
ใช้ชีวินมีสุขสนุกสบาย
พธู 2524
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #396 เมื่อ: 01 มกราคม 2557, 18:34:30 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=IRmciNHGRN0" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=IRmciNHGRN0</a>
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #397 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 23:00:23 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=bvLaTupw-hk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=bvLaTupw-hk</a>
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #398 เมื่อ: 25 มกราคม 2557, 09:59:23 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=BPE-Orwp2YQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=BPE-Orwp2YQ</a>
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #399 เมื่อ: 24 กุมภาพันธ์ 2557, 02:51:57 »


พี่ป๋าทู,
ยินว่าพี่ป่วย?
พี่เป็นอะไร?
seriousมั้ยคะ?
นอกจากเบาหวานแล้ว,พี่เป็นอะไร?
ตอบด่วนคะ..เรื่องของพี่ เล่าได้
เค้าไม่ว่า!
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><