29 มีนาคม 2567, 04:47:11
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 262464 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #225 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2554, 17:41:16 »

คำทำนายของ"ด.ช.ปลาบู่"มาจากไหน? และทำไม "เขื่อนแตก-พิบัติภัยในไทย" ถึงเกิดขึ้นในวันที่ 31ธ.ค.นี้


เป็นที่น่าสนใจว่า ผู้ที่ใช้ชื่อว่า "MahasuraSinghanat" ได้โพสต์คลิปวีดีโ ผ่านเวบไซต์ยูทูปเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2554 หัวข้อ "ตามรอยพระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นสารคดีตามรอยพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ และมหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและทั่วโลกในอนาคตอันใกล้ ผ่านเด็ชายอายุ 5 ขวบ ซึ่งงเสียชีวิต 37 ปีมาแล้ว (ปัจจุบัน 2554) ชื่อปลาบู่ (เด็กชายสุทัศน์ คำสี) ความยาว 51:09 นาที (คลิปแรก) โดยอ้างถึงคำทำนาย ของ "เด็กชายปลาบู่" ก่อนจะมีการเผยแพร่ออกไป หรือถูกส่งต่ออย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีเนื้อหาอ้างถึงภัยพิบัติต่างๆ โดยเฉพาะ เขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก จะแตกในวันที่ 31 ธ.ค. นี้
 
 
ในคลิป นายทองใบ คำสี อายุ 73 ปี ชาว จ.จันทบุรี ได้เล่าประวัติเด็กชายปลาบู่ ณ สวนศรีมหาโพธิ์ เลขที่ 234/2 หมู่ 1 บ้านตามูล ต.ทรายขาว อ.สอยดาว จ.จันทบุรี
 

คำบอกเล่าก็คือ ปลาบู่ เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด รูปร่างหน้าตาดี ใครเห็นใครก็รัก ตอนอายุได้ประมาณ 3 - 4 ขวบ เริ่มระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถพูดได้หลายภาษาโดยไม่ได้ร่ำเรียนจากตำราหรือครูอาจารย์ที่ไหนเลย
 

นอกจากยี้ ยังได้อ้างคำพูดของ เด็กชายปลาบู่ ที่ได้บอกเอาไว้ว่า สมัยพุทธกาลตนเองชื่อ "อชิตะภิกษุ" ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทำนายไว้ว่าจะได้เป็น "พระพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตไตรย" ในอนาคต สาเหตุที่มาเกิดเพราะต้องการให้พ่อเป็น "สื่อ" ให้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องเขื่อนพังจากแรงแผ่นดินไหวและอื่นๆ ในปีที่ 38 หลังจากตนเองเสียชีวิต (ตรงกับ พ.ศ.2555) จะมาเกิดอีกครั้ง
 

คลิปที่ 2 ความยาว 1:29:17 ชั่วโมง เป็นการเลาประวัติของ เด็กชายปลาบู่ มีคำอธิบายระบุว่า "ชีวประวัติ เด็กชายสุทัศน์ คำสี (ปลาบู่)" พร้อมปรากฎภาพของเด็กชายปลาบู่ เป็นบันทึกวิดีโอจากคำบอกเล่าคุณตาทองใบ มีเนื้อหาชีวประวัติของปลาบู่ตั้งแต่เกิดมาจนเสียชีวิต โดยอ้างอิงจากชีวิตของคุณตาทองใบ พระโพธิสัตว์ผู้ถูกวางหน้าที่ให้เป็นผู้เชื่อมโยงและพยานบุคคลว่า พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติคือใคร
 

ที่น่าแปลกก็คือ มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานสถานที่ ถึงการกลับมาของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ในชาติใหม่ที่สัญญาไว้ว่า ตัวโตเท่านี้จะบวชเณรและจะมาหาพร้อมกับแม่ใหม่
 

ท้ายคลิปได้บรรยายว่า สารคดีรามรอยพระศรีฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลสำคัญ แก่ผู้ที่ติดตามและรอคอยการจุติของพระศรีฯ .... ตลอดจนการเตือนภัยพิบัติล่วงหน้า
 
 
มีจดหมายที่ "ทองใบ คำสี" บิดาของเด็กชายปลาบู่ เขียนบอกเล่าไว้ โดยมีเนื้อหาพูดถึงคำทำนายของ เด็กชายปลาบู่ ดังนี้
         
          "คำทำนายเด็กชายปลาบู่
          บ้านเลขที่ 234/2 หมู่ 1 บ้านตามูล
          ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว
          จังหวัดจันทบุรี 2 2 1 8 0
          วันที่ 28 กันยายน 2554
         
 
สวัสดีครับ ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน
 
กระผม ชื่อนายทอง ใบคำสี เกิดวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2481 อายุ 73 ปี เป็นชาวอำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี กระผมมีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 1 คน บุตรชายของผมคนเดียวชื่อ "ปลาบู่" ซึ่งได้เสียชีวิตมาแล้ว 37 ปี ตอนเขามีอายุได้ 5 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน
 
 
ก่อนตายบุตร ชาย บอกกับผมว่า อีก 15 วันหนูจะตายแล้ว หนูอยากคุยกับพ่อ และให้ผมไปซื้อเทปมาบันทึกเสียงเขา แต่ผมไม่ได้ทำตาม เพราะไม่เชื่อว่าเขาจะตายจริงๆ
 
 
กระผมได้ฟังหลายๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอนที่บุตรชายได้เล่าเมื่อ วันที่ 23-25 มิถุนายน พ.ศ.2517 เป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว เรื่องสำคัญๆ ที่เขาเล่าคือ เรื่องอดีตชาติของเขา และบุคคลสำคัญๆ เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและโลกในอนาคต เรื่องราวในอนาคตของประเทศไทย เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 เรื่องดวงอาทิตย์ โลก จักรวาล ธาตุ เหล็กไหล มีความเป็นมาอย่างไร เรื่องขุมทรัพย์ในแผ่นดินที่พระแม่ธรณีเก็บเอาไว้หลายๆ แห่ง ฯลฯ
 
 
รวมถึงต้องการให้พ่อเป็น "ทูต" หรือ "สื่อ" ให้มีการเตรียมการป้องกันเขื่อนที่จะพังจากแรงแผ่นดินไหว การวางท่อใหญ่ๆ เพื่อระบายน้ำจากตัวเขื่อนลงทะเลเพราะน้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และเรื่องการขุดคลองลัดคอคอดลูกน้ำเต้าเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ ไหลเร็วขึ้น (ปัจจุบันเป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว)
 
 
ในเรื่องอดีตชาติของเขา เขาบอกว่า หนูระลึกชาติได้จริงๆ เป็นปู่ของปู่ทวด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้มั้ย ตาเป็นทิพย์ หูเป็นทิพย์ หมดทั้งตัวเป็นไพฑูรณ์ เมื่อชาติก่อนโน้นหนูเคยเกิดเป็นพระชื่อ "อชิตะ" ตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตได้บอกว่าหนูจะได้เป็น "พระศรีอาริยเมตไตรย" ไง ไม่ต้องมีตำรา ไม่ต้องมีคัมภีร์ก็เทศน์ได้
 
 
อยากให้พ่อช่วยเป็นทูตทางวิญญาณบอกให้ท่านทราบ จะได้ป้องกันไว้ก่อนที่เขื่อนจะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว "แผ่นดินแยก เขื่อนแตกขาด" เขื่อนกักเก็บน้ำที่จังหวัดตาก จะพังเสียก่อนจะแก้ไขไม่ได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก จะได้พังไม่มาก จากหนักจะได้เป็นเบา
 
 
"หนูมองเห็นความเสียหาย มีคนตายมากมาย อำเภอสามเงา ตากนครสวรรค์ อโยธยา ปทุมธานี นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช ท่าเรือคลองเตย เครื่องบินโดยสารไอพ่นจมน้ำด้วย"
 
 
เขาถามผมว่า "รถไฟลอยฟ้ามันเหาะได้มั้ยพ่อ?"  "รถไฟใต้ดินมันมุดน้ำได้มั้ยพ่อ?" (ปีพ.ศ.2517 ยังไม่มีรถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน) ใต้กรุงเทพฯ - ธนบุรี ไม่มีลูกรัง - หิน มีแต่ทรายทับถมโคลนตมอยู่ลึกๆ คนโบราณก่อสร้างเมืองไม่ต้องตอกเสาเข็ม เอาซุงมาทำแพบก จึงทำได้มั่นคงแข็งแรง
 
 
แม่น้ำเจ้าพระยาถูกขุดลอกให้ลึกๆ เป็นอันตรายมากๆ เพราะทรายทับถมตมเลนเหลือบางมากๆ ทำให้ตมเลนปูดทะลักขึ้นมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกรามบ้านช่องสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมากๆ จมดินยังไม่พอ เพราะเสาเข็มยังจมยังไม่ถึงดินดาน รถไฟยังวิ่งสะเทือนเขย่าเม็ดทรายที่หุ้มเสาเข็ม ทำให้เสาเข็มทรุดตัว
 
หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึกๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ
 
 
ตึกราม บ้านช่อง สิ่งก่อสร้างต่างๆ จะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว น้ำในตัวเขื่อนที่พังยังไหลมาท่วมซ้ำเติม ทุกข์ยาก ลำบากมากๆ การสร้างเขื่อนใหญ่อยู่เหนือพระนคร เป็นอันตราย เพราะแรงแผ่นดินไหวแรงมาก เหมือนเมื่อก่อน ครั้งนานๆ โน้น ที่ไดโนเสาร์ตายหมด!!
 
 
เขียนถึงตรงนี้เด็กอายุเพียง 5 ขวบ 8 เดือน 15 วัน บ่นว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้วางท่อใหญ่ๆ เพื่อเอาน้ำออกสู่ทะเล ไม่มีท่อปล่อยน้ำออกจากเขื่อน เพราะถ้าระดับน้ำในเขื่อนเต็มขึ้นมา ก็จะมีการปล่อยน้ำออกจากตัวเขื่อน น้ำก็จะท่วมบ้านเรือนที่อยู่ใต้ตัวเขื่อน แต่ถ้ามีการวางท่อใหญ่ๆ จากตัวเขื่อนลงสู่ทะเลเลย น้ำก็จะระบายลงท่อไปสู่ทะเล ไม่ท่วมบ้านเรือนและแผ่นดินที่อยู่ข้างบน น้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ในระยะยาว

 
ปลาบู่ถามผมว่าอีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? (2544) จะมีเครื่องบินชนตึก อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร ? (2547) จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร? (2552) จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ แต่อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนทั้งไทย พม่า ฯลฯ กรุงเทพฯจมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง "ในเวลายามสองในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย" (ยามสอง คือประมาณเวลา 22.00 –24.00 น.)
 
 
กระผม ได้ฟังหลายๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอน ตามเรื่องที่ปลาบู่เล่าเป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว ปัจจุบันนี้กระผมอายุ 73 ปีแล้ว เป็นห่วงประเทศชาติ เชื่อว่าต้องเป็นความจริงตามที่ปลาบู่เล่า เพราะที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาหมดแล้ว เหลือแต่ที่ยังไม่ถึง
 
 
ปลาบู่บอกว่า พ่อครับที่ดินแปลงนี้ยกให้หนูนะ (ที่สวนศรีมหาโพธิ์ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ได้ปลูกต้นโพธิ์ตามที่ลูกชายขอไว้กว่า 200 ต้น เป็นเวลา 36 ปีแล้ว) และให้ทำถนนให้รอบเหมือนกับสนามหลวง ให้ปลูกต้นโพธิ์ให้ด้วย หากหนูตายไปแล้วพ่อจะรู้เอง.. ให้จำปานของหนูไว้ให้ดี.. หนูจะกลับมาเกิดอีกครั้งเป็นลูกของ... ตัวโตเท่านี้จะบวชเณร ออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด "สุทัศน์เทพไพฑูรย์" (สวนศรีมหาโพธิ์) พร้อมกับแม่ใหม่ จะมาทำปาฏิหารย์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ลูกชายบอกว่าต่อไปประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่นๆ ต่างประเทศจะมาพึ่งพาประเทศไทย และพระพุทธศาสนาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศอื่นๆ จะเสียหายเพราะภัยพิบัติและการสู้รบจากสงคราม) จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ในปีที่ 40 หลังจากเสียชีวิต (ตรงกับ พ.ศ. 2557)
 
 
ที่สวนศรีมหาโพธิ์จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของผู้หญิง และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา (ในยุคที่เกิดความทุกข์ยากเพราะภัยพิบัติ) บนเขาลับแล (โครงการจัดตั้งฯ วัดป่าร่มโพธิ์ศรีฯ) จะเป็นวัดที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร จะมีพระองค์หนึ่งมีบุญบารมีมาก จะมาช่วยพ่อสร้างวัด จะมีคนมาถวายให้สร้างโน่นสร้างนี่จนสร้างไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งในปัจจุบันผมได้สร้างรอลูกชายตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาหาทั้งสองที่ และได้เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรชายในชาติใหม่มาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว
 
 
กระผมขอวิงวอนรัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบช่วยพิจารณาเรื่องการนำรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้วเพราะสับเปลี่ยนเป็นรางใหม่ (ซึ่งปัจจุบันวางกองๆ ไว้มากมายตามสถานีรถไฟ) นำไปเสริมตัวเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะรับแรงแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการเขียนจดหมายของกระผมในครั้งนี้ และท่านคงทราบดีว่าในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงในด้านธรณีวิทยาทำให้เกิด แผ่นดินไหวบ่อยครั้ง และสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงทั่วทั้งโลก การป้องกันเตรียมการไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา
 
 
          ขอแสดงความนับถือ
          ทองใบ คำสี
          ป.ล. มีพยานหลักฐานทั้ง พยานบุคคล และสถานที่ (อ.สอยดาว จ.จันทบุรี)"
 
 
อย่างไรก็ตาม น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุถึงคำทำนายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนทั่วไปดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท โดยในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถคำนวณล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นเมื่อใด โดยยืนยันว่า เขื่อนภูมิพลและเขื่อนต่างๆ ในประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแรง สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ถึง 7.5 ริกเตอร์  ดังนั้น ประชาชนไม่ควรตื่นตระหนกกับข่าวลือต่างๆ แต่ขอให้เตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างมีสติ
 

ด้านนายณรงค์ ไทยประยูร ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล ได้แถลงข่าวหลังจากเกิดข่าวลือในโซเชียลมีเดียว่า ได้สร้างความแตกตื่นแก่ประชาชนในจังหวัดตาก และจังหวัดใกล้เคียง เช่น กำแพงเพชร นครสวรรค์ ฯลฯ ทั้งนี้ทางเขื่อนภูมิพล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขอยืนยันและให้ความมั่นใจว่า เขื่อนภูมิพล มีความมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย เนื่องจากเขื่อนภูมิพลถูกออกแบบให้ทนต่อการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ถึง 7.5 ริกเตอร์ โดยที่เขื่อนไม่ได้ตั้งอยู่ในแนวรอยเลื่อนหลักที่จะเกิดแผ่นดินไหว และปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง
 
 
ที่มา :
-ตามรอยพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ : http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Sl8Vc1xpzcA
-ชีวประวัติเด็กชายสุทัศน์ คำสี (ปลาบู่) : http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=LUPmGZB5WLE)
-ย้อนรอยคำทำนายเด็กชายปลาบู่ว่อนเน็ต http://www.komchadluek.net
 
(ที่มา:มติชนออนไลน์)
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #226 เมื่อ: 01 มกราคม 2555, 18:37:23 »

สวัสดีปีใหม่ 2555
<a href="http://www.youtube.com/v/H5aF_Fr9MaI?version=3&amp;amp;hl=en_GB" target="_blank">http://www.youtube.com/v/H5aF_Fr9MaI?version=3&amp;amp;hl=en_GB</a>

http://youtu.be/H5aF_Fr9MaI
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #227 เมื่อ: 29 มกราคม 2555, 20:51:24 »

การเมืองจุฬาฯ เดือด.. "บุญสม-ภิรมย์" ชิงอธิการบดี !!
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:29:08 น.
 

อุณหภูมิการสรรหาอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แทน "นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล" อธิการบดีจุฬาฯ คนปัจจุบัน ที่จะหมดวาระในวันที่ 31 มีนาคม 2555 ดูจะมาถึงจุดเดือดสูงสุด

เมื่อในการประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งอธิการบดี ที่มี "นพ.เกษม วัฒนชัย" องคมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ยังไม่ทันเริ่มให้แคนดิเดตที่ได้คะแนนหยั่งเสียงสูงสุดจากการเสนอรายชื่อของสภาคณาจารย์ คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย ตลอดจนคณะ / สำนัก / วิชา / วิทยาลัย / สถาบัน หรือส่วนงานที่มีคณะกรรมการบริหาร มาแสดงวิสัยทัศน์ ก็มีเหตุการณ์ต้อง "ล้มกระดาน" การแสดงวิสัยทัศน์ดังกล่าวไม่เป็นท่า เมื่อ นพ.เกษม ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสรรหา ประกาศขอไม่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาต่อ พร้อมกับวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุม

แว่วว่าก่อนที่ นพ.เกษม จะวอล์กเอาต์ออกนั้น กรรมการสรรหาที่มาจากฟากสภาคณาจารย์ และสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการบริหารงานของอธิการบดีคนปัจจุบันในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแต่งตั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงซึ่งเป็นคดีความอยู่ในตอนนี้ มาเป็นประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตรในหลักสูตรหนึ่ง เรื่องที่เพิกเฉยต่อหนังสือร้องเรียนของสภาคณาจารย์กรณีขอให้มหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบผู้ที่ออกใบปลิวสนับสนุนอธิการบดีคนปัจจุบัน โดยใช้ข้อความระบุว่า "ใช้สิทธิเต็ม 100% เสนอชื่อคนเดียว โดยไม่ต้องเหลียวแลใคร"

เรื่องนี้ นพ.เกษม ก็ยอมรับว่าได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นประธานคณะกรรมการสรรหาจริง แต่ไม่ขอบอกเหตุผลว่าลาออกเพราะอะไร



ฟากหนึ่ง ให้ข่าวว่าเหตุผลที่ นพ.เกษม ลาออก มีสาเหตุมาจากการจดบันทึกการประชุมของคณะกรรมการสรรหา ในวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แถมการจดบันทึกที่คลาดเคลื่อนดังกล่าว มีการกล่าวหาว่ามาจากการที่เลขานุการของที่ประชุมคณะกรรมการสรรหา พาบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย มาเข้าประชุมและให้เป็นคนจดบันทึกด้วย โดยข่าวระบุว่าบุคคลดังกล่าว คือบุคลากรสายปฏิบัติงานระดับ 9 ที่ออกใบปลิวสนับสนุน นพ.ภิรมย์ โดยใช้ข้อความว่า "ใช้สิทธิเต็ม 100% เสนอชื่อคนเดียว โดยไม่ต้องเหลียวแลใคร"

พร้อมระบุว่าผลการประชุมในวันที่ 13 มกราคม นอกจากจะมีการเปิดซองรายชื่อแคนดิเดต 3 ราย ที่ชิงเก้าอี้อธิการบดีจุฬาฯ ได้แก่ นพ.ภิรมย์ อธิการบดีจุฬาฯ คนปัจจุบัน "นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์" คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และ "นายศุภชัย ยาวะประภาษ" คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แล้ว

ยังมีการกำหนดกติกาให้เรียกแคนดิเดตทีละคนมาแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหา ในวันที่ 23 มกราคม โดยเริ่มจากผู้ที่ได้คะแนนหยั่งเสียงสูงสุดเป็นลำดับแรก ตามมาด้วยผู้ที่ได้คะแนนหยั่งเสียงเป็นลำดับ 2 และ 3 จนครบทั้ง 3 คน แล้วค่อยให้คณะกรรมการสรรหา พิจารณาตัดสิน ก่อนนำรายชื่อผู้เหมาะสมเพียงหนึ่งเดียว เสนอต่อสภามหาวิทยาลัยที่มี นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นนายกสภาฯ ในวันที่ 26 มกราคม เพื่อพิจารณานำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งถ้าเรียงตามลำดับคะแนนหยั่งเสียงตามกติกาดังกล่าว ก็จะเป็น นพ.ภิรมย์ มาแสดงวิสัยทัศน์ เป็นคนแรก

ตามมาด้วย นายบุญสม และ นายศุภชัย ตามลำดับ



อย่างไรก็ตาม อีกฟากกลับให้ข้อมูลว่าเหตุผลที่ นพ.เกษม ลาออก ไม่ใช่เพราะบันทึกการประชุมที่คลาดเคลื่อน เพราะบันทึกดังกล่าวถูกต้องแล้ว แต่ที่ นพ.เกษม ลาออก เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมของกรรมการสรรหาบางท่าน ที่ไม่ปฏิบัติตามกติกามากกว่า โดยผลการประชุมของคณะกรรมการสรรหา เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมานั้น มีการกำหนดกติกาก่อนการเปิดซองรายชื่อแคนดิเดต หรือพูดง่ายๆ ว่ามีการกำหนดกติกาก่อนที่จะทราบว่าใครเป็นแคนดิเดตที่ได้คะแนนหยั่งเสียงสูงสุดเป็นอันดับ 1

โดยกติกา กำหนดให้ผู้ที่ได้คะแนนหยั่งเสียงสูงสุดมาแสดงวิสัยทัศน์เพียงคนเดียว ถ้าพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม ก็ให้นำรายชื่อนั้นเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยในวันที่ 26 มกราคม แต่ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็ค่อยว่ากันอีกที ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเรียกคนที่ได้คะแนนหยั่งเสียงลำดับถัดไป มาแสดงวิสัยทัศน์ และด้วยเหตุผลที่ให้ผู้ได้คะแนนหยั่งเสียงสูงสุดมาแสดงวิสัยทัศน์เพียงคนเดียว เหตุนี้จึงได้ทำหนังสือเชิญเฉพาะ นพ.ภิรมย์ ให้มาแสดงวิสัยทัศน์ ส่วนแคนดิเดตอีก 2 ท่าน ไม่ได้ทำหนังสือเชิญมา

ความร้อนแรงของการเมืองภายในจุฬาฯ ยังกระทบชิ่งมาถึง นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ผู้เป็น 1 ใน 6 คณะกรรมการสรรหา โดยถูกมองว่ายืนข้าง นพ.ภิรมย์ เนื่องจากในการประชุมคณะกรรมการหาที่ผ่านมา ออกรับแทนบุคลากรสายปฏิบัติงานผู้ทำใบปลิวเชียร์ นพ.ภิรมย์ โดยระบุว่ามีสิทธิทำได้ แถมมีข่าวว่า นพ.กำจร บอกว่าควรเชิญเฉพาะ นพ.ภิรมย์ มาแสดงวิสัยทัศน์ เพราะหากเชิญทั้ง 2 ท่านมาแล้วไม่ได้รับการเสนอรายชื่อต่อสภามหาวิทยาลัย ก็จะทำให้ทั้ง 2 ท่านอายเปล่าๆ เรื่องนี้ นพ.กำจร ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ พร้อมยืนยันว่าตนเองเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างใคร

"ผมไม่ขอให้สัมภาษณ์ ไม่ปฏิเสธและไม่รับว่าพูดจริงหรือไม่ แต่ผมยืนยันว่าการสรรหาอธิการบดีในทุกมหาวิทยาลัย มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และมีการออกใบปลิว ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากมหาวิทยาลัยเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่ทางสภามหาวิทยาลัยต้องดูแล ฉะนั้น จะให้ผมมาบอกว่าผิดหรือถูก คงบอกไม่ได้ เพราะต้องคงความเป็นกลาง แต่ถ้าถามว่าผิดไหม คงต้องถามว่าแล้วมีข้อบังคับห้ามไว้หรือไม่ ส่วนที่ถามว่าผมพูดอย่างนั้นจริงหรือไม่" นพ.กำจร กล่าว

การสรรหาอธิการบดีจุฬาฯ ครั้งนี้ ถูกจับตามองจากประชาคม นอกจากในฐานะมหาวิทยาลัยพี่ใหญ่แล้ว ยังถือเป็นการสรรหาอธิการบดีจุฬาฯ ครั้งแรก ภายหลังจุฬาฯ ออกนอกระบบราชการ มาเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ ตาม พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต้องมีการออกข้อบังคับการสรรหาอธิการบดีจุฬาฯ ใหม่

โดยคณะกรรมการสรรหา ประกอบด้วย 6 คน และประธาน 1 คน รวมเป็น 7 คน สภามหาวิทยาลัยคัดเลือกมาจากผู้แทนคณาจารย์ ผู้แทนผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ นายกสมาคมนิสิตเก่าโดยตำแหน่ง ประธานสภาคณาจารย์โดยตำแหน่ง และบุคคลภายนอก

ส่วนผู้ที่เป็นประธานนั้น ตามข้อบังคับสภามหาวิทยาลัย จะคัดเลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัย



นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกของการใช้ข้อบังคับจุฬาฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาอธิการบดี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นปีแรกที่ให้สภาคณาจารย์ดำเนินการให้บุคลากรสายปฏิบัติงานระดับไม่ต่ำกว่า P7 หรือเทียบเท่า (ข้าราชการซี 3) และลูกจ้างเงินนอกที่บรรจุด้วยวุฒิปริญญาตรี สามารถเสนอชื่อ และลงคะแนนหยั่งเสียงผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นอธิการบดีจุฬาฯ ได้

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเพียงปีแรกที่เปิดให้บุคลากรสายปฏิบัติงาน สามารถเสนอชื่อ และลงคะแนนหยั่งเสียงเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นอธิการบดีจุฬาฯ ก็เกิดปัญหาแล้ว โดยบุคลากรสายปฏิบัติงานระดับ 9 ออกใบปลิวเชิญชวนให้บุคลากรด้วยกันเสนอชื่ออธิการบดีต่อสภาคณาจารย์เพียงชื่อเดียว ตามที่เป็นข่าว

ขณะที่ฝ่ายสภาคณาจารย์มองว่าทำให้เกิดความสับสน และแตกแยกในสายสภาคณาจารย์ เพราะทำให้เข้าใจว่าสภาคณาจารย์จะเสนอรายชื่อแคนดิเดตต่อคณะกรรมการสรรหาเพียงชื่อเดียว ทั้งที่ตามข้อบังคับจุฬาฯ มีสิทธิเสนอรายชื่อได้ถึง 3 รายชื่อ ทำให้สภาคณาจารย์ทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัยขอให้สอบสวนบุคลากรคนที่ออกใบปลิวดังกล่าวว่ามีจุดประสงค์อะไร

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองภายในจุฬาฯ เดือดระอุ มีการชิงไหวชิงพริบระหว่าง 2 ขั้วอำนาจเก่า โดยฟากหนึ่งสนับสนุน นพ.ภิรมย์ ให้เป็นอธิการบดีต่ออีกสมัย กับอีกฟากส่งนายบุญสม มาไล่บี้ เพื่อเป็นอธิการบดีจุฬาฯ คนต่อไป เพื่อรองรับการทำงานของกรรมการสภาจุฬาฯ ชุดใหม่ โดยเฉพาะ "นายกสภาจุฬาฯ" คนใหม่

ฉะนั้น ต้องรอดูการประชุมสภาจุฬาฯ ว่าดีกรีความร้อนแรงจะพุ่งไปกว่านี้อีกหรือไม่ ในเมื่อ นพ.เกษม ที่จะครบวาระการเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัยในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ ได้ปฏิเสธการทาบทามของจุฬาฯ ไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัยต่ออีก

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327738612&grpid=no&catid=&subcatid=
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #228 เมื่อ: 29 มกราคม 2555, 21:05:31 »

การเมืองไม่ว่าระดับไหนก็ยุ่งเน๊าะป๋าเน๊าะ เราก็ได้แต่ดู

และภาวนาให้สามัคคีตกลงกันได้ด้วยดี เอิ่มม
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #229 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2555, 01:43:40 »

Patcharee Dst
ขอถือโอกาสนำมาแบ่งปัน คนแต่งงานแล้ว และกำลังจะแต่ง หรือท่องไว้ตั้งแต่เริ่มดูใจกัน

Rules for a Happy Marriage
1. Never both be angry at the same time.
2. Never yell at each other unless the house is on fire.
3. If one of you has to win an argument, let it be your mate.
4. If you criticize, do it lovingly.
5. Never bring up mistakes of the past.
6. Neglect the whole world rather than each other.
7. Never go to sleep with an argument unsettled.
8. At least once every day try to say one kind or complimentary thing to your life's partner.
9. When you have done something wrong, be ready to admit it and ask for forgiveness.
10. It takes two to make a quarrel, and the one in the wrong is the one who does the most talking.
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #230 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2555, 08:55:06 »

ชอบข้อ 10 ที่ว่าการทะเลาะกัน จะมีคนหนึ่งที่ผิด คนนั้นคือคนที่ได้พูดเป็นส่วนใหญ่ ..
หมายความว่า พูดไปด้วย หาคำแก้ตัวให้ตัวเองไปด้วย...

อ่านครบ 10 ข้อ น้าไม คงเลิกล้มการคิดจะการแต่งงานไปแล้วชาตินี้...เหอ...เหอ...

 เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #231 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2555, 11:06:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ Uncle Na เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2555, 08:55:06
ชอบข้อ 10 ที่ว่าการทะเลาะกัน จะมีคนหนึ่งที่ผิด คนนั้นคือคนที่ได้พูดเป็นส่วนใหญ่ ..
หมายความว่า พูดไปด้วย หาคำแก้ตัวให้ตัวเองไปด้วย...

อ่านครบ 10 ข้อ น้าไม คงเลิกล้มการคิดจะการแต่งงานไปแล้วชาตินี้...เหอ...เหอ...

 เหอๆๆ

รู้ได้ไงลุงณะ ว่าป้าไมแกจะเลิกล้มความคิด
      บันทึกการเข้า

2437041
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #232 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2555, 13:59:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ ตี้ถาปัด เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 11:06:01
อ้างถึง
ข้อความของ Uncle Na เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2555, 08:55:06
ชอบข้อ 10 ที่ว่าการทะเลาะกัน จะมีคนหนึ่งที่ผิด คนนั้นคือคนที่ได้พูดเป็นส่วนใหญ่ ..
หมายความว่า พูดไปด้วย หาคำแก้ตัวให้ตัวเองไปด้วย...

อ่านครบ 10 ข้อ น้าไม คงเลิกล้มการคิดจะการแต่งงานไปแล้วชาตินี้...เหอ...เหอ...

 เหอๆๆ

รู้ได้ไงลุงณะ ว่าป้าไมแกจะเลิกล้มความคิด
ถ้าไม่ใช่น้าไม ก็น้าแจง มันต้องถูกซักคน ละน่า...
 บ่ฮู้บ่หัน

น่าแปลกใจ ชายโสดดีๆ เยอะแยะมองข้ามคนดีๆ เช่นน้าๆ เราทั้งสองนี้ไปได้อย่างไรกัน..ไม่ใจเลย..

 gek

      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #233 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2555, 21:15:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ Uncle Na เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 13:59:35
อ้างถึง
ข้อความของ ตี้ถาปัด เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 11:06:01
อ้างถึง
ข้อความของ Uncle Na เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2555, 08:55:06
ชอบข้อ 10 ที่ว่าการทะเลาะกัน จะมีคนหนึ่งที่ผิด คนนั้นคือคนที่ได้พูดเป็นส่วนใหญ่ ..
หมายความว่า พูดไปด้วย หาคำแก้ตัวให้ตัวเองไปด้วย...

อ่านครบ 10 ข้อ น้าไม คงเลิกล้มการคิดจะการแต่งงานไปแล้วชาตินี้...เหอ...เหอ...

 เหอๆๆ

รู้ได้ไงลุงณะ ว่าป้าไมแกจะเลิกล้มความคิด
ถ้าไม่ใช่น้าไม ก็น้าแจง มันต้องถูกซักคน ละน่า...
 บ่ฮู้บ่หัน

น่าแปลกใจ ชายโสดดีๆ เยอะแยะมองข้ามคนดีๆ เช่นน้าๆ เราทั้งสองนี้ไปได้อย่างไรกัน..ไม่ใจเลย..

 gek


ยืนยันไม่เคยล้มเลิกความคิด เหนื่อย
      บันทึกการเข้า
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #234 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2555, 21:23:35 »

สมัยนี้ "ชายโสดดีๆ" เขาก็มักจะชอบชายโสดดีๆด้วยกันนะ ลุงณะ...คิ​ คิ...
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #235 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2555, 23:37:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ แจง-24 เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 21:23:35
สมัยนี้ "ชายโสดดีๆ" เขาก็มักจะชอบชายโสดดีๆด้วยกันนะ ลุงณะ...คิ​ คิ...
เห็นด้วยครับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #236 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2555, 06:36:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 23:37:29
อ้างถึง
ข้อความของ แจง-24 เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 21:23:35
สมัยนี้ "ชายโสดดีๆ" เขาก็มักจะชอบชายโสดดีๆด้วยกันนะ ลุงณะ...คิ​ คิ...
เห็นด้วยครับ

 งง งง     เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #237 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2555, 09:12:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ Uncle Na เมื่อ 05 กุมภาพันธ์ 2555, 06:36:42
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 23:37:29
อ้างถึง
ข้อความของ แจง-24 เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 21:23:35
สมัยนี้ "ชายโสดดีๆ" เขาก็มักจะชอบชายโสดดีๆด้วยกันนะ ลุงณะ...คิ​ คิ...
เห็นด้วยครับ

 งง งง     เหอๆๆ

เหอ เหอ งุงิ งุงิ
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #238 เมื่อ: 29 มีนาคม 2555, 02:51:16 »

วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์


เอาไงแน่  -มันฯ มือเสือ


ด้วยความที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย เวลาเดินทางไปเยือนต่างประเทศ หรือเข้าร่วมประชุมเวทีนานาชาติระดับโลก มักได้รับการจับตาจากสื่อต่างชาติ สื่อไทย รวมถึงคนไทยทั่วไปมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องแต่งกายและการใช้ภาษา เป็นหัวข้อถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด ทั้งจากผู้ชื่นชอบและไม่ชอบในตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์  ครั้งนี้เช่นกัน นายกฯ ยิ่งลักษณ์เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำด้านความมั่นคงนิวเคลียร์ ที่ประเทศเกาหลีใต้  ระหว่างนั้นมีการนำภาพนายกฯ ยิ่งลักษณ์แต่งชุดฮันบก หรือที่คนไทยเรียกว่าชุด ′แดจังกึม′ เป็นชุดแต่งกายประจำชาติเกาหลี มาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความระบุสวมใส่เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศเจ้าภาพ สื่อไทยหลายฉบับก็นำมาเผยแพร่ต่อ  ในจังหวะการเมืองแบ่งสองขั้ว ต่างฝ่ายจ้องจับผิดกันทุกเม็ด ตอบโต้กันทุกดอก เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ไม่มีใครยอมถอยให้ใคร ยิ่งในสังคมเน็ตเวิร์ก ยิ่งออกอาวุธใส่กันดุเดือด

กรณีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ใส่ชุดฮันบกนั้น  ฝ่ายที่มีความหมั่นไส้นายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นทุนเดิมจึงไม่พลาดที่จะโจมตีด้วยคำถามทำนองว่า ทำไมนายกฯ ไทยไม่แต่งชุดประจำชาติไทย แต่ดันไปใส่ชุดสาวแดจังกึม อีกฝ่ายเมื่อได้ยินดังนั้นก็ออกอาวุธสวนให้ทันทีว่า  ตอนนายกฯ ยิ่งลักษณ์อ่านแถลงการณ์ภาษาอังกฤษร่วมกับนางฮิลลารี่ คลินตัน คนพวกนี้ก็ตำหนิว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของนายกฯ ไม่ได้เรื่องบ้าง พูดผิดพูดถูกบ้าง ถึงขั้นจับผิดกันชนิดคำต่อคำก็มี  แล้วตอนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปพูดภาษาไทยกับสื่อที่ญี่ปุ่น คนพวกนี้ก็แสดงอาการคับข้องใจว่า ทำไมไม่พูดภาษาอังกฤษ  คราวนี้พอไปประชุมที่เกาหลี แต่งชุดแดจังกึม คนกลุ่มนี้ก็ยังอุตส่าห์กระแนะกระแหนว่า สวยน่ะสวยดีอยู่หรอก  แต่ทำไมไม่แต่งชุดไทย

ตกลงจะให้ทำไงแน่(วะ)
 


      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #239 เมื่อ: 29 มีนาคม 2555, 15:37:09 »


นั่นดิ...   เหอๆๆ  เหอๆๆ  เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #240 เมื่อ: 29 มีนาคม 2555, 22:01:27 »

ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนถูกใจ......ตัวเราเองยังไม่ได้ดั่งใจเราเองเล้ย... เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #241 เมื่อ: 29 มีนาคม 2555, 23:26:00 »


เขียนให้คล้ายๆกัน...

อย่าคาดหวังว่า คนอื่นจะทำให้เราพอใจได้ทุกสิ่ง
เพราะแม้สิ่งที่เราทำด้วยตนเอง บางครั้งเรายังไม่ถูกใจหรือพอใจเลย.
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #242 เมื่อ: 30 มีนาคม 2555, 10:12:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 29 มีนาคม 2555, 23:26:00

เขียนให้คล้ายๆกัน...

อย่าคาดหวังว่า คนอื่นจะทำให้เราพอใจได้ทุกสิ่ง
เพราะแม้สิ่งที่เราทำด้วยตนเอง บางครั้งเรายังไม่ถูกใจหรือพอใจเลย.

กด Like ให้สิบครั้ง
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #243 เมื่อ: 30 มีนาคม 2555, 12:37:34 »

ความ พอดี ถูก - ผิด ถูกกำหนดโดย สังคม ใช่ -ไม่ใช่ เป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคล ถ้าเราวาง กฏระเบียบ วัฒนธรรมประ
      เพณีไว้ก่อน สิ่งที่มนุษย์เเสดงออกให้ผู้อื่นได้เห็น ได้สัมผัส /ความพอดี ความพอเหมาะ ความเหมาะสม สำหรับบุคคลนั้น
      น่าจะเป็นสิ่งอันควร ที่ พึงปฏิบัติ  ความเป็นธรรมชาติ ไม่ขัดหูคัดตา ก็จะเกิดขึ้นให้เห็น  .....การที่เราเต้นไปตามสังคม
      หรือเพียงแต่รำไป ตามจังหวะ ที่ผู้อื่นเป็นคนแต่ง .....แล้วตัวท่านเองละคือใคร" นักแสดงเท่านั้น".......อาเมน gek
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #244 เมื่อ: 30 มีนาคม 2555, 22:11:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 30 มีนาคม 2555, 12:37:34
ความ พอดี ถูก - ผิด ถูกกำหนดโดย สังคม ใช่ -ไม่ใช่ เป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคล ถ้าเราวาง กฏระเบียบ วัฒนธรรมประ
      เพณีไว้ก่อน สิ่งที่มนุษย์เเสดงออกให้ผู้อื่นได้เห็น ได้สัมผัส /ความพอดี ความพอเหมาะ ความเหมาะสม สำหรับบุคคลนั้น
      น่าจะเป็นสิ่งอันควร ที่ พึงปฏิบัติ  ความเป็นธรรมชาติ ไม่ขัดหูคัดตา ก็จะเกิดขึ้นให้เห็น  .....การที่เราเต้นไปตามสังคม
      หรือเพียงแต่รำไป ตามจังหวะ ที่ผู้อื่นเป็นคนแต่ง .....แล้วตัวท่านเองละคือใคร" นักแสดงเท่านั้น".......อาเมน gek
    กดlike ให้อีกคนค่ะ
      บันทึกการเข้า
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #245 เมื่อ: 31 มีนาคม 2555, 09:44:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 29 มีนาคม 2555, 23:26:00

เขียนให้คล้ายๆกัน...

อย่าคาดหวังว่า คนอื่นจะทำให้เราพอใจได้ทุกสิ่ง
เพราะแม้สิ่งที่เราทำด้วยตนเอง บางครั้งเรายังไม่ถูกใจหรือพอใจเลย.


อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 30 มีนาคม 2555, 12:37:34
ความ พอดี ถูก - ผิด ถูกกำหนดโดย สังคม ใช่ -ไม่ใช่ เป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคล ถ้าเราวาง กฏระเบียบ วัฒนธรรมประ
      เพณีไว้ก่อน สิ่งที่มนุษย์เเสดงออกให้ผู้อื่นได้เห็น ได้สัมผัส /ความพอดี ความพอเหมาะ ความเหมาะสม สำหรับบุคคลนั้น
      น่าจะเป็นสิ่งอันควร ที่ พึงปฏิบัติ  ความเป็นธรรมชาติ ไม่ขัดหูคัดตา ก็จะเกิดขึ้นให้เห็น  .....การที่เราเต้นไปตามสังคม
      หรือเพียงแต่รำไป ตามจังหวะ ที่ผู้อื่นเป็นคนแต่ง .....แล้วตัวท่านเองละคือใคร" นักแสดงเท่านั้น".......อาเมน gek

กด Keyboard เป็นคำว่า Like สักกี่ทีดีครับ
เดี๋ยวจะโดนว่าเต้นไปตามสังคมหรือป่าวเนี่ย คริ คริ
      บันทึกการเข้า

2437041
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #246 เมื่อ: 01 เมษายน 2555, 11:02:33 »

คุยอยู่กับพี่ปิ๊ด ก็ต้องเต้นตามพี่ปิ๊ดสิ ลุงตี้
อยู่ดีๆจะไปเต้นตามคุณ "สังคม" ซะงั้น...
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #247 เมื่อ: 01 เมษายน 2555, 12:35:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ แจง-24 เมื่อ 01 เมษายน 2555, 11:02:33
คุยอยู่กับพี่ปิ๊ด ก็ต้องเต้นตามพี่ปิ๊ดสิ ลุงตี้
อยู่ดีๆจะไปเต้นตามคุณ "สังคม" ซะงั้น...


คุณสังคมเข้า เต้นเก่ง เต้นตามพี่ปี๊ดไม่ได้เพราะแกเต้นช้า อิ อิ
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #248 เมื่อ: 15 เมษายน 2555, 11:51:55 »

"เหตุใดรัชกาลที่๑ ไม่ให้พระเจ้าตากฯ เข้าเฝ้าเป็นครั้งสุดท้าย" ในวรรณกรรมพระราชประวัติพระเจ้าตากสิน
 
โดย ปฐมพงษ์ สุขเล็ก

บทนำ

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมคือเจ้าพระยาจักรีแม่ทัพคนสำคัญในสมัยกรุงธนบุรี เป็นขุนศึกที่ไว้พระทัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถวายงานสร้างความชอบจนได้รับการเลื่อนยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกอันสูงกว่าขุนนางทั้งปวง พระราชทานเครื่องยศเหมือนอย่างเจ้าต่างกรม

ในช่วงปลายสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเกิดพระสติวิปลาสสร้างเกิดความเดือดร้อนต่ออาณาประชาราษฎร์ ในเวลานั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นผู้สำเร็จราชการ และชำระโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยอมรับผิดทุกประการ จึงลงโทษด้วยการประหารชีวิต และปราบดาภิเษกพระองค์เองเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับหมอบรัดเล  และพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวไว้ตรงกันว่า  สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ขอผู้คุมพาไปพบสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นครั้งสุดท้าย แต่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับโบกมือไม่ให้พบ ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

เพชฌฆาตกับผู้คุมก็ลากเอาตัวขึ้นแคร่หามไป กับทั้งสังขลิกพันธนาการ  เจ้าตากจึงว่าแก่ผู้คุมเพชฌฆาตว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายอยู่แล้ว ช่วยพาเราแวะเข้าไปหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ ผู้คุมก็ให้หามเข้ามา ได้ทอดพระเนตรเห็น จึงโบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า ผู้คุมและเพชฌฆาตก็หามออกไปนอกพระราชวัง ถึงหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ก็ประหารชีวิตตัดศีรษะเสียถึงแก่พิราลัย จึงรับสั่งให้เอาศพไปฝังไว้ ณ วัดบางยี่เรือใต้ และเจ้าตากสิ้นขณะเมื่อสิ้นบุญถึงทำลายชีพนั้นอายุได้สี่สิบแปดปี
                                                                                           
(พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา, น. ๒๓๐.)

จากเนื้อหาที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารข้างต้นจึงดูขัดแย้งกับความสัมพันธ์และความจงรักภักดีของทั้ง๒ พระองค์ที่มีความคุ้นเคยกันตั้งแต่วัยเยาว์ จึงส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทั้ง ๒ พระองค์ในเวลาต่อมาจึงเกิดการตั้งคำถามว่า “เหตุใดรัชกาลที่ ๑ ไม่ให้พระเจ้าตากฯ เข้าเฝ้าเป็นครั้งสุดท้าย” รวมถึงตอนอื่นๆ ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารที่สร้างความกังขาในเรื่องนี้

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดตัวบทวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดีที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมุ่งหมาย“สร้างคำตอบ” ที่เป็นคำอธิบายชุดใหม่ให้สอดคล้องกับเนื้อความในเอกสารทางประวัติศาสตร์ และความมุ่งหมายที่ต้องการ

๑. ความสัมพันธ์ ๒ มหาราช ในเอกสารทางประวัติศาสตร์
 
เอกสารทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่มักถูกนำมาใช้อ้างอิงคือ พระราชพงศาวดาร และหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ

พระราชพงศาวดารที่กล่าวถึงความสัมพันธ์นี้ที่เก่าที่สุดคือพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ในบานแผนกระบุว่าพระราชพงศาวดารฉบับนี้ชำระปี พ.ศ. ๒๓๓๘ (จ.ศ. ๑๑๕๗) ได้เริ่มปรากฏเนื้อความครั้งแรกเมื่อรัชกาลที่ ๑ เป็นพระราชรินทร์รับบัญชายกทัพไปตีพระยาวรวงศาธิราช ดังนี้ “ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธให้พระยาวงศาธิราชมาตั้งรับทางหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้พระราชรินทร์ พระมหามนตรียมไปตีพระยาวงศาธิราช” สำหรับพระราชพงศาวดารที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในเวลาต่อมาคือ ฉบับหมอบรัดเล และฉบับพระราชหัตถเลขาได้ปรับปรุงเนื้อหาเล็กน้อย และได้กล่าวถึงรัชกาลที่ ๑ ตรงกันว่าปรากฏครั้งแรกเมื่อพระอนุชา หรือพระมหามนตรีในขณะนั้นรับราชการในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชอยู่ก่อน จึงขออนุญาตรับพี่ชายเพื่อถวายตัว ดังนี้ “ขณะนั้นพระมหามนตรี จึงกราบทูลพระกรุณาว่าจะขอไปรับหลวงยกบัตรราชบุรีผู้พี่นั้นเข้ามาถวายตัวทำราชการ  จึงโปรดให้ออกไปรับเข้ามาแล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นพระราชรินทร์”  (ในฉบับหมอบรัดเลใช้ว่า “พระราชวรินทร์”) 

อย่างไรก็ตามพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีทั้งหมดข้างต้นนี้ได้ถูกผลิตซ้ำโดยใช้พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) เป็นแม่แบบในการเรียบเรียงฉบับต่อๆ มา ซึ่งเนื้อความอาจมีการตัดทอน หรือเพิ่มเติมบ้าง แต่เนื้อหาที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ พระองค์นั้นมีความสอดคล้องกันคือ รัชกาลที่ ๑ อยู่ในฐานะแม่ทัพคนสำคัญที่ทำการรบควบคู่กับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

สำหรับเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษถึงแม้เอกสารฉบับนี้ยังไม่สามารถสรุปที่มาได้ชัดเจน แต่เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้ถูกนำไปอ้างอย่างกว้างขวางในด้านความสัมพันธ์ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีตั้งแต่พระองค์จำพรรษาอยู่ที่วัดมหาทลายที่ปรากฏเรื่องราวของซินแสที่ทำนายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และรัชกาลที่ ๑ ว่าจะได้เสวยราชย์ในภายภาคหน้า หรือเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า รัชกาลที่ ๑ ได้ฝากแหวนพลอยและดาบโบราณให้แด่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองชลบุรีพร้อมสั่งเสียว่า“แต่เจ้าจงบอกแก่พระยาตากสินเขาด้วยว่า  ดาบเล่มนี้เปนของๆ ข้าฝากไปให้แก่เขา  แหวนสองวงนั้นเปนของเมียข้าฝากไปตามที่ระลึกถึงกันในเวลากันดารแสนยากแสนแค้น”  และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ตรัสตอบต่อผู้ที่นำมาให้ว่า “พระเจ้าตากทรงรับไว้แล้วจึงตรัสว่า ขอบใจนักหนาที่อยู่ไกลยังมีความอุตสาหะคิดถึงกัน  เช่นนี้เขาเรียกว่ากัลยาณมิตร” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์คุ้นเคยระหว่างสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และรัชกาลที่ ๑ ในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างดี

จากการเปรียบเนื้อหาที่แสดงความสัมพันธ์คุ้นเคยระหว่างสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และรัชกาลที่ ๑ ปรากฏในพระราชพงศาวดาร และหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ เห็นได้ว่าเนื้อความในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษได้แสดงความคุ้นเคยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ในฐานะสหาย ด้วยเหตุนี้เนื้อความที่แสดงถึงความผูกพันในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษจึงขัดแย้งกับการพระราชประวัติช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารถึงแม้เนื้อหาจะมาจากเอกสารต่างชุดกันก็ตาม

๒.จากคำถามใน “ตัวบทประวัติศาสตร์” สู่คำตอบใน “ตัวบทวรรณกรรม”

ตัวบทวรรณกรรม หรือตัวบทเรื่องเล่า คืองานเขียนประเภทบันเทิงคดีที่ถูกสร้างขึ้นคู่ขนานกับเอกสารทางประวัติศาสตร์ทั้งในรูปแบบเรื่องสั้นและนวนิยายมีเนื้อหาทั้งที่สอดคล้อง และขัดแย้งกับเอกสารทางประวัติศาสตร์ การสร้าง “คำตอบ” ของข้อกังขาในเนื้อหาประวัติศาสตร์ช่วงรอยต่อระหว่าง ๒ มหาราชเป็นการสร้างคำอธิบายชุดใหม่ หรือสร้าง “เหตุ” ที่มีความสอดคล้องกับ “ผล” ที่ปรากฏในเอกสารทางประวัติศาสตร์ รวมถึงการดัดแปลงแก้ไขรวมถึงตอกย้ำวาทกรรมเดิม  เพื่อยอพระเกียรติ  รวมถึงเน้นย้ำความสัมพันธ์ ในรูปแบบของตัวบทวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดี

ชุดคำตอบเหล่านี้ปรากฏในตัวบทวรรณกรรม ๕ เรื่อง คือ เรื่องสั้นเรื่องใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน นวนิยายเรื่องใครฆ่าพระเจ้าตากสิน? นวนิยายเรื่องผู้อยู่เหนือเงื่อนไข นวนิยายเรื่องตากสิน มหาราชชาตินักรบ  และสารคดีกึ่งบันเทิงคดีเรื่องดวงพระเจ้าตากไม่ถูกประหาร ปรากฏคำตอบดังนี้

รู้ว่าเป็นพระองค์จริง “จึงต้องทำใจ”  ใน ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน

ตัวบทวรรณกรรมเรื่องสั้นเรื่อง ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน ผู้แต่งคือหลวงวิจิตรวาทการ ตีพิมพ์รวมเรื่องสั้นครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๔๙๔? ปรากฏเนื้อหาที่สร้างคำอธิบายในทำนองว่า รัชกาลที่ ๑ ไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการชำระโทษครั้งนี้ทั้งสิ้น จึงให้เป็นไปตามที่ประชุมขุนนาง จึงสามารถอนุมานได้ว่า เพราะพระองค์ยังมีความผูกพันกัน ดังนั้นรัชกาลที่ ๑ จึง “โบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า”  ดังนี้   

ส่วนทางสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกนั้น ได้ตั้งใจแน่วแน่อยู่แล้วว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  จึงมอบหมายหน้าที่ให้ที่ประชุมข้าราชการชำระ โดยไม่ต้องมีอะไรพาดพิงมาถึงตัวท่าน จะชำระกันอย่างไร จะพิพากษาว่ากระไร มีผิดจะลงโทษอย่างไร ไม่ผิดจะทำอย่างไร สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไม่ปรารถนาจะเกี่ยวข้อง  ต้องการจะให้เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุม เมื่อเห็นคนพาหลวงอาสาศึกซึ่งเข้าใจว่าเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเข้ามาหา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็โบกมือให้พาออกไป ความมุ่งหมายในการที่โบกมือนั้น ก็เพียงแต่ว่าไม่ขอเกี่ยวข้อง จะขออยู่ในอุเบกขา จะชำระกันอย่างไร ก็สุดแต่ที่ประชุมเสนามาตย์ข้าราชการ แต่พวกที่ควบคุมไปนั้นจะเข้าใจว่าอย่างไรก็ตามที เลยพาตัวไปประหารชีวิตเสียที่หน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์
                                                                                                                                     
(ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน,  น. ๓๕๖.)
 
 
จากตัวบทวรรณกรรมข้างต้น ได้สร้างคำอธิบายชุดใหม่ส่งผลให้บทบาทของรัชกาลที่ ๑ เปลี่ยนแปลงไปจากเนื้อความในพระราชพงศาวดาร ด้วยการสร้างเหตุผลที่รัชกาลที่ ๑ มีความจำเป็นที่จะต้อง “โบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า” เพราะความรักใคร่คุ้นเคยกันตั้งแต่วัยเยาว์ เรื่อยมาจนถึงเป็นขุนศึกคู่พระทัยดังที่ปรากฏในเอกสารทางประวัติศาสตร์ รวมถึงการสืบทอดวาทกรรมที่สร้างความหมายให้ทั้ง ๒ พระองค์เป็นสหายต่อกัน

แต่จากตัวบทวรรณกรรมเรื่องสั้นเรื่อง ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัชกาลที่ ๑ รับรู้ว่าผู้ที่ถูกประหารที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์นั้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์จริง ถึงแม้ว่าผู้แต่งได้นำเสนอว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์จริงสามารถหลบหนีไปเมืองนครศรีธรรมราชได้ก็ตาม

รู้ว่าเป็นพระองค์ปลอม “จึงไม่สนใจ” ใน ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน?

ตัวบทวรรณกรรมนวนิยายเรื่อง ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน?  ผู้แต่งคือ ภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์ ตีพิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๑๖  ผู้แต่งได้เพิ่มเติมตัวบทด้วยการนำเสนอพระเจ้าตากสินมหาราชที่ถูกประหารชีวิตตัดศีรษะเป็น “พระองค์ปลอม”  เพื่อให้สอดคล้อง และแสดงเหตุผลในเนื้อความที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารคือ  หลังจากที่รัชกาลที่ ๑ ทรงปราบดาภิเษก และสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีแล้ว พระองค์และกรมพระราชวังบวรฯ ได้โปรดให้ขุดศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาบังสุกุล ขณะนั้นเจ้าจอมบางส่วนแสดงอาการเสียใจ พระองค์ทั้งสองจึงให้ลงพระราชอาญา ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ดังนี้

ฝ่ายข้างกรุงเทพมหานคร สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ดำรัสให้ขุดหีบศพเจ้าตากขึ้นตั้งไว้ ณ เมรุวัดบางยี่เรือใต้ ให้มีการมหรสพและพระราชทานพระสงฆ์บังสุกุล เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพทั้งสองพระองค์ ขณะนั้นพวกเจ้าจอมข้างใน ทั้งพระราชวังหลวงวังหน้า ซึ่งเป็นข้าราชการครั้งแผ่นดินเจ้าตากคิดถึงพระคุณชวนกันร้องไห้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ทรงพิโรธดำรัสให้ลงพระราชอาญา
                                                                                                     
(พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา, น. ๒๔๓.)
 
 
เนื้อความข้างต้นเป็นอีกตอนหนึ่งที่สร้างความกังขาในเรื่องความสัมพันธ์ที่รัชกาลที่ ๑ สั่งลงพระราชอาญาพวกเจ้าจอมข้างในที่ยังอาลัยอาวรณ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีความผูกพันกัน ตัวบทวรรณกรรมเรื่องนี้จึงสร้างวาทกรรมสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์ปลอมขึ้นมา เพื่อตอกย้ำมิตรภาพต่อกัน ดังนี้

แต่เมื่อเรารู้ความจริงแล้วว่า ท่านขุดศพคุณมั่น ผู้กตัญญูกตเวทีขึ้นมาเผา เผาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณมั่นวีรบุรุษอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเพื่อให้คนที่ฝักใฝ่ในองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะได้เห็นจริงว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จสวรรคตแล้ว จะได้เลิกคิดเรื่องการเมืองต่อไป และอย่างน้อยก็เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นน้ำพระทัยว่า  ท่านยังระลึกถึงอยู่จึงขุดศพมาเผาให้ แต่เสียงร้องไห้นั้นคงทำให้ท่านรำคาญเพราะไม่ใช่พระศพ เป็นเพียงศพคุณมั่นต่างหาก
                                                                                                                 
(ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน?, น. ๑๔๗.)
 
 
จากตัวบทวรรณกรรมข้างต้น ผู้แต่งได้สร้างคำอธิบายถึงเหตุผลในการกระทำของพระองค์เช่นนี้  เนื่องด้วยรู้ว่าผู้ที่ถูกประหารชีวิตที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ในครั้งนั้นไม่ใช่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์จริงอีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัชกาลที่ ๑ รับรู้ในการวางแผนผลัดแผ่นดินครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ยังสอดคล้องกับเนื้อความที่ปรากฏในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษที่กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองพระองค์

แท้ที่จริงเป็นแผนของ“หลวงสรวิชิต”  ใน ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข
 
ตัวบทวรรณกรรมนวนิยายเรื่อง ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข ผู้แต่งคือ สุภา ศิริมานนท์ ตีพิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๔๕  ผู้แต่งได้สร้างคำอธิบายชุดใหม่ไว้อย่างน่าสนใจคือ ผู้ที่วางแผนการทั้งหมดนั้นคือหลวงสรวิชิต หรือเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ผู้แต่งนำเสนอว่าหลวงสรวิชิตโกรธแค้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่สังหารพระเทพโยธาที่ขัดคำสั่งห้ามแวะบ้านด้วยพระองค์เองเพราะพระเทพโยธาเป็นญาติกับหลวงสรวิชิต ด้วยเหตุนี้หลวงสรวิชิตจึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมด รวมถึงเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินพระองค์ปลอม ดังนี้

หลวงอาสาศึกตัดสินใจเสียสละชีวิตครั้งนี้โดยไม่ต้องการที่จะให้ท่านรู้เลยด้วยซ้ำ เขาบอกพวกเราอย่างเดียวว่า  ถ้าเขาถูกตัดสินประหารในนามของท่าน เขาจะขอเข้าพบสมเด็จเจ้าพระยาสักเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าหลวงอาสาศึกคงจะไม่ได้รับโอกาสนั้นแน่นอน หลวงสรวิชิตเขารู้แก่ใจของเขาดีว่าเรื่องจริงๆ เป็นมาอย่างไร และบุรุษในนามเจ้าตากคนนั้นคือใคร ซึ่งเขาก็ย่อมไม่ปรารถนาจะให้สมเด็จเจ้าพระยาต้องรู้เรื่องที่เขาจัดการไปโดยพลการนั้นด้วย หลวงสรวิชิตรู้ดีว่าผู้ที่จะขอเข้าพบมูลนายของเขานั้นเป็นเจ้ากรุงธนตัวปลอม ความมันอาจจะแตกขึ้น เรื่องก็จะไปกันไกล อันล้วนแต่กลายเป็นข้อซึ่งพิสูจน์ถึงความไม่สามารถของเขา  ทั้งๆ ที่ความจริงเขาสามารถสังหารเสียได้ทั้งเจ้ากรุงธนตัวจริงและตัวปลอมด้วยซ้ำ อีกข้อหนึ่ง ม็อง เยเนราล ข้อหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือ  หลวงสรวิชิตรู้ว่าท่านกับมูลนายของเขาเป็นสหายศึกร่วมใจกันมานาน มีความเกี่ยวดองกันในชั้นลูกหลานหลายชั้น...ถ้าหากมีการพูดจารู้เรื่องกันขึ้น โดยอาจจะรำลึกถึงความสัมพันธ์ในอดีต...ผมจึงคิดว่าหลวงอาสาศึกคงไม่ได้รับโอกาสให้พบสมเด็จเจ้าพระยาอย่างเด็ดขาดหลวงสรวิชิตย่อมจะต้องกีดกันไว้ล่วงหน้าแล้วทุกๆ ทาง หรือมิฉะนั้นอีกแง่หนึ่งสมเด็จเจ้าพระยาเขาอาจจะรู้ความจริงโดยถี่ถ้วนหมดแล้วจากหลวงสรวิชิต จึงไม่ยอมที่จะให้เจ้ากรุงธนตัวปลอมเข้าพบก็เป็นได้
                                                                                                                                     
(ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข,  น. ๙๗-๙๘.)

จากตัวบทวรรณกรรมข้างต้น แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประหารชีวิตสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ในครั้งนั้นตกอยู่กับหลวงสรวิชิตเท่านั้น และหลวงสรวิชิตยังคงทราบถึงความคุ้นเคยในฐานะสหายและเครือญาติของทั้ง ๒ พระองค์ แต่สำหรับรัชกาลที่ ๑ ยังปรากฏการสร้างคำตอบคล้ายคลึงกับตัวบทวรรณกรรมทั้ง ๒ เรื่องในข้างต้น คือ พระองค์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประหารชีวิตสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อีกทั้งการที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไม่ได้เข้าพบรัชกาลที่ ๑ เป็นครั้งสุดท้ายเกิดจากการถูกกีดกันของหลวงสรวิชิต หรือคำอธิบายอีกชุดหนึ่งคือ เพราะรัชกาลที่ ๑ ทราบว่านักโทษผู้นั้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์ปลอม

รัชกาลที่ ๑ เป็นผู้ถวายพระเกียรติยศสูงสุด  ใน ตากสิน มหาราชชาตินักรบ 
 
ตัวบทวรรณกรรมนวนิยายเรื่อง ตากสิน มหาราชชาตินักรบ ผู้แต่งเป็นชาวต่างชาติคือ Claire Keefe-Fox  (แปลโดย กล้วยไม้  แก้วสนธิ) ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๔๙  ผู้แต่งยังคงอ้างอิงกับเนื้อความตามประวัติศาสตร์ แต่แก้ไขเพิ่มเติม และผสานกับจินตนาการของตน โดยเลือกเนื้อหาการชำระโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจากที่ปรากฏในเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่า พระองค์ถูกประหารที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์  แต่ตัวบทวรรณกรรมได้นำเสนอว่าพระองค์ถูกสำเร็จโทษตามโบราณราชประเพณีสมพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ และที่สำคัญบุคคลที่ต้องการถวายพระเกียรติยศนั้นคือ รัชกาลที่ ๑ ดังนี้

กฎมนเทียรบาลถูกนำมาใช้ในการสำเร็จโทษพระเจ้าตากสินเช่นเดียวกับครั้งกรมหมื่นเทพพิพิธ

มาธิวเคยได้ยินข่าวว่าขุนนางบางคนไม่อยากถวายพระเกียรติดังนี้จะให้ประหารแบบคนทรยศ
 
แต่รัชกาลที่ ๑ ทรงตัดสินให้ประหารชีวิตพระเจ้าตากสินเยี่ยงกษัตริย์
 
ทรงพิจารณาเห็นว่า การที่ราชอาณาจักรสยามยังตั้งอยู่ได้ ก็เพราะพระเจ้าตากสิน

เจ้าหน้าที่ถอดโซ่ที่ล่ามอดีตกษัตริย์ออก ให้พระองค์ทรงภูษาสีแดง ให้ทรงนั่งคุกเข่า มัดพระหัตถ์กับพระบาท จากนั้นจึงคลุมถุงกำมะหยี่สีแดง

เพชฌฆาตยกท่อนไม้จันทน์ขึ้นฟาดแรงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพระวรกายไม่ขยับ และพระโลหิตเปื้อนถุงเป็นปื้นดำ ไม่มีเสียงครวญครางใดๆ อีก
                                                                                                               
(ตากสิน มหาราชชาตินักรบ, น. ๔๓๖-๔๓๗.)
 
 
จากตัวบทวรรณกรรมข้างต้น เป็นการกล่าวถึงวาระสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ถูกชำระโทษ เป็นการสร้างตัวบทเรื่องเล่าที่ตอกย้ำความสัมพันธ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และรัชกาลที่ ๑ ตามที่ถูกสร้างความหมายตั้งแต่ตอนต้น  ด้วยการถวายพระเกียรติยศอย่างสูงสุดจากรัชกาลที่ ๑ ในฐานะที่มีความผูกพันกันตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ การสร้างตัวบทวรรณกรรมที่กล่าวถึงการชำระโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น ตัวบทเรื่องนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเน้นย้ำความสัมพันธ์เฉพาะ ๒ พระองค์อย่างเด่นชัด  เพื่อแสดงให้เห็นว่าการกระทำของพระองค์เป็นการกระทำต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ยังคงความผูกพันกันมาตั้งแต่อดีต

ดวงชะตาต้องสั่งฆ่าพระเจ้าตากฯ (พระองค์ปลอม)  ใน ดวงพระเจ้าตากไม่ถูกประหาร

ตัวบทวรรณกรรมสารคดีกึ่งบันเทิงคดีเรื่อง ดวงพระเจ้าตากไม่ถูกประหาร ผู้แต่งคือ อ.เล็ก พลูโต (บุญสม ขอหิรัญ) ตีพิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ตัวบทเรื่องเล่าถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยข้อมูลด้านโหราศาสตร์ มีเนื้อหาที่ตอกย้ำถึงการปฏิเสธการสั่งลงอาญาประหารชีวิตตัดศีรษะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชของรัชกาลที่ ๑ ด้วยการนำเสนอเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช “พระองค์ปลอม” แต่ที่น่าสนใจคือ การสร้างตัวบทเรื่องเล่าด้วยการใช้ข้อมูลด้านโหราศาสตร์จากดวงพระชะตารัชกาลที่ ๑  ดังนี้   

อาทิตย์ (๑) ของรัชกาลที่ ๑ เป็นดาวเจ้าเรือนมรณะอยู่ในภพสหัชชะ จึงเป็นเหตุทำให้พระองค์ต้องสั่งประหารชีวิตพระเจ้าตากสิน (องค์ปลอม) ด้วยความจำเป็น และพระเจ้าตากสิน (พระองค์จริง) ก็ต้องลี้ภัยการเมือง  ต้องสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ตายก็เหมือนตาย พระเจ้าตากสินเสด็จสวรรคตไปพร้อมกับคุณงามความดี  แต่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๑ กลับเสด็จสวรรคตไปพร้อมคำครหาอย่างมากมาย  นั่นเป็นเพราะดวงชะตาลิขิตไว้

...

เมื่อท้องฟ้าสว่าง ความมืดมัวก็หมดไป เหลือแต่ความจริงที่กระจ่างชัดถึงพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่  ทรงไว้ซึ่งความดีและความเสียสละไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าตากสิน  ใครที่เคยมีอคติต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๑ ในเรื่องต่างๆ เช่น แย่งชิงราชบัลลังก์ ฆ่าเจ้านาย และพวกพ้องที่รบทัพจับศึกด้วยกันมา ฯลฯ ก็ควรที่จะคิดเสียใหม่...
                                                                                                     
(ดวงพระเจ้าตากไม่ถูกประหาร, น. ๓๙.)

จากตัวบทวรรณกรรมข้างต้น ถึงแม้ใจความสำคัญจะอยู่ที่การเน้นย้ำถึงพระองค์ปลอม ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างรัชกาลที่ ๑ และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  แต่ที่จริงแล้วผู้สร้างต้องการเน้นย้ำให้เห็นความทุกข์ร้อนและความเสียสละของรัชกาลที่ ๑ ด้วยการนำเสนอถึงคุณงามความดีของรัชกาลที่ ๑ ในการกระทำครั้งนี้ที่ไม่น้อยไปกว่าวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในเหตุการณ์นี้  ผู้แต่งใช้ถ้อยคำว่า “แต่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๑ กลับเสด็จสวรรคตไปพร้อมคำครหาอย่างมากมาย” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะทางสังคมที่เกิดข้อกังขาในเรื่องความเป็นสหายระหว่าง ๒ พระองค์  สุดท้ายผู้แต่งได้กล่าวสรุปในเชิงแก้ไขภาพลักษณ์ของรัชกาลที่ ๑ อันเป็นใจความสำคัญของตัวบทเรื่องเล่าว่า “ใครที่เคยมีอคติต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๑ ในเรื่องต่างๆ เช่น แย่งชิงราชบัลลังก์ ฆ่าเจ้านาย และพวกพ้องที่รบทัพจับศึกด้วยกันมา ฯลฯ ก็ควรที่จะคิดเสียใหม่...” ซึ่งเป็นการแก้ไขความหมาย รวมถึงปรับประวัติศาสตร์ผ่านตัวบทวรรณกรรมอย่างชัดเจน

สรุป
 
การเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัชกาลที่๑ และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จากเนื้อความที่ “สร้างข้อกังขา” ในประวัติศาสตร์สู่การสร้าง “คำตอบ” ในตัวบทวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดี  เป็นการสร้างตัวบทเรื่องเล่าที่สอดรับ รวมถึงเพิ่มเติมและปฏิเสธบางเนื้อหา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ มหาราช รวมถึงสืบทอดและตอกย้ำวาทกรรม “ความเป็นมิตร” ที่ปรากฏในเอกสารทางประวัติศาสตร์บางฉบับ  การนำเสนอพระราชประวัติรัชกาลที่ ๑ ด้วยเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช “พระองค์ปลอม” หรือการนำเสนอคำตอบชุดต่างๆ ผ่านตัวบทวรรณกรรมเหล่านี้ จึงมีนัยที่แสดงถึงความพยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรอยต่อของประวัติศาสตร์ทั้ง ๒ สมัยในยุคปัจจุบัน ดังส่วนหนึ่งที่ปรากฏในตัวบทเรื่องเล่าว่า

“ใครที่เคยมีอคติต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๑ ในเรื่องต่างๆ เช่น แย่งชิงราชบัลลังก์ ฆ่าเจ้านาย และพวกพ้องที่รบทัพจับศึกด้วยกันมา ฯลฯ ก็ควรที่จะคิดเสียใหม่...”

อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ พร้อมเชิงอรรถและบรรณานุกรม ได้ที่ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือนเมษายน 2555

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1334398543&grpid=01&catid=01
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #249 เมื่อ: 18 เมษายน 2555, 22:59:26 »

   
          นายปรีชา  เรืองจันทร์  เกิดที่บ้านหนองกอไผ่  หมู่ที่  ๖  ตำบลวังสำโรง  อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร  เป็นบุตรของนายจวน  และนางบุญมา  เรืองจันทร์  มีพี่น้อง  ๗  คน  สมรสกับนางสาวปิยธิดา  นรารักษ์  มีบุตร  ๒  คน
ประวัติการศึกษา
            เรียนระดับประถมศึกษา ๑ – ๔ ที่โรงเรียนวัดหนองกอไผ่  ตำบลวังสำโรง      อำเภอบางมูลนาก  จังหวัดพิจิตร  และเรียนระดับประถมศึกษา ๕ – ๗  ที่โรงเรียนชุมแสงวิทยา               อำเภอชุมแสง  จังหวัดนครสวรรค์   ระดับมัธยมศึกษา ม.ศ. ๑ – ม.ศ. ๕  สอบเทียบกระทรวงศึกษาธิการ  ระดับปริญญาตรี  รัฐศาสตร์บัณฑิต  จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  นิติศาสตร์บัณฑิตและรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  ระดับปริญญาโท รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต  จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และระดับปริญญาเอก   Doctor of Organization Development and Transformation (DODT) , CEBU  DOCTORS, UNIVERSITY,PHILIPPINES
ประวัติการทำงาน
          เริ่มทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโนบายและแผน  และดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอหลายอำเภอ  ของจังหวัดนครสวรรค์  ดำรงตำแหน่งนายอำเภอวังทรายพูน  จังหวัดพิจิตร  และนายอำเภอเมือง  จังหวัดพิจิตร  ดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดพิจิตร  และตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี , จังหวัดเพชรบูรณ์  และจังหวัดสมุทรสงคราม  และปี พ.ศ.  ๒๕๕๐   ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร  นอกจากนี้ยังเดินทางไปศึกษาดูงานด้านการเมืองการปกครองในหลายประเทศได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญสดุดี  ๘  ชั้น  ชั้นสูงสุด  เมื่อ  พ.ศ.  ๒๕๔๖  ประถมาภรณ์ช้างเผือก  และรางวัลเกียรติคุณพิเศษ ๑๑  รายการ
         นอกจากงานทางราชการแล้ว  นายปรีชา  เรืองจันทร์  ยังมีความสามารถทางด้านงานเขียนและสิ่งพิมพ์  มีผลงานมากมาย  เช่น  วิทยานิพนธ์เรื่อง “การบริหารงานสำนักงานจังหวัด : ศึกษาเฉพาะกรณีจังหวัดเพชรบูรณ์” ,  หนังสือเสริมการอ่าน “แม่ค้าขายผัก”, เอกสารวิจารณ์หนังสือ “เล่นกับคน : ศิลปะการบริหารแบบไทย ๆ”  ของอาจารย์สุขุม   นวลสกุล  และ “เทคนิคการบริหารเวลาสำหรับนักบริหาร”  ของ       ชัยรัตน์   บูรณะวิวัฒน์  เป็นต้น  นอกจากนี้ยังมีงานเขียนรวมเล่ม  เช่น  “ฉากชนบท”  “คนกินอุดมการณ์” “ลูกล่อลูกชนคนทำงาน”  “ก็อดอามี่มณีลอยปลุกราชบุรีเขย่าโลก”  “ขวัญใจชาวบ้าน”  “ น้ำฝนน้ำฟ้า น้ำตาน้ำก้อ “  และ “คนแบกเสบียง”  เป็นต้น  นามปากกาที่ใช้มี  “รุ่งทิวา”   “กระทิงทุ่ง”  “กำนันฉะ” “ ป ปิยธิดา” “ ป นนทนันทน์”  “ ป  ประภัสสนันท์”  “ มหานายนนทนันทน์”  นับเป็นบุคคลที่มีความสามารถอีกท่านหนึ่งที่ควรยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของจังหวัดพิจิตร
http://province.m-culture.go.th/phichit/personImportant/precha.php

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><