23 เมษายน 2567, 12:44:06
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 62 63 [64] 65 66 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3235478 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1575 เมื่อ: 07 มีนาคม 2554, 15:14:45 »

เพื่อไม่ให้ผู้ชมเกิดความสับสน
 กุศล ขอขยายความเพิ่มเติมในหน้านี้ดังนี้
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่กลับจากอินเดียเป็นต้นมา
 คุณมานพก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินในแต่ละวันที่ประเทศอินเดียโดยตลอด
ว่าทางคณะมีกิจกรรมในแต่ละวันอย่างไรบ้าง

ยกเว้นภาพโยคี คร.ซานโตสที่ปรากฎก่อนหน้านี้3-4ภาพ
เป็นรูปการฝึกโยคะที่กำลังดำเนินการในปัจจุบัน ณ.ประเทศไทย ที่วัดปัญญาราม 
มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ DD TV
ทราบว่าคุณมานพร่วมเป็นวิทยากร บรรยายด้วยและสาธิตอยู่ด้วย
จึงขอแจ้งให้ผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1576 เมื่อ: 07 มีนาคม 2554, 16:04:50 »

สำหรับการไปปฏิบัติธรรมที่สังเวชณียสถานในประเทศอินเดียและเนปาลนั้น
กุศลขอสอดแทรกเป็นบางตอนพอสังเขปว่า
การเดินทางไปอินเดียครั้งนี้เป็นความต้องการของผมเองจริงๆ
เดิมที สมัยเป็นเด็ก รู้จักอินเดียก็แต่ในภาพยนตร์
เวลาภาพยนตร์อินเดียมาฉายทีไร ชาวบ้านทางใต้ก็ตื่นเต้นนิยมไปชมกัน
และก็ไม่ผิดหวังเพราะภาพยนตร์อินเดียสร้างได้มาตรฐานดีกว่าหนังไทยมาก
ภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นธรณีกรรณแสงทำเงินรายได้มหาศาล และคนไทยนำมาดัดแปลงเป็นเรื่องแม่ก็ทำรายได้เช่นเดียวกัน
แม้แต่เรื่ององคุลีมาลรัฐบาลไทยยุคเก่าเป็นผู้สนับสนุนให้อินเดียสร้างเป็นระบบ 35 มม.เพราะไทยเรายังผลิตแค่16มม.
จนทุกวันนี้อินเดียก็ยังเป็นผู้นำด้านภาพยนตร์ทันสมัยแข่งกับฮอลลีวูดเพียงแต่ไม่เป็นที่นิยมในบ้านเราเท่านั้น

พูดถึงสังเวชนียสถานทั้ง4แห่งที่ไปมา
ก่อนไปกุศลก็ศึกษาจากแผนที่ทราบว่าอยูทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
และสถานที่ประสูตรของพระพุทธเจ้าก็อยู่ทางตอนเหนือของอินเดียในเขตประเทศเนปาล
บริเวณเหล่านั้นถูกปกครองโดยพวกมุสลิมอินเดีย และชาวฮินดูซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่เจริญเลย
ตรงข้ามกับเมิองหลวงบอมเบย์และเมืองท่าของอินเดียอย่างสิ้นเชิง
ความแตกต่างบอมเบย์ฝั่งตะวันตกของอินเดียเปรียบเหมือนฝั่งยุโรป
และจุดที่เราไปเห็นด้านฝั่งตะวันออกและทางตอนเหนือเปรียบเหมือนอัฟริกาอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถ้ามองหลักฐานทางพุทธศาสนาที่หลงเหลืออยู่ในดินแดนที่แห้งแล้งและกันดาลเหล่านั้น
วัดนาลันทา เมืองพุทธคยา และกุสินารา น่าจะเปรียบเหมือนเมืองมหัศจรรย์ของโลกที่ถูกทอดทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

ความมหัศจรรย์ของอินเดียมีมากมาย
ถ้าจะเล่ากันให้สนุก กุศลขอเวลาเรียบเรียงเล่าทีละเรื่อง
สำหรับวันนี้ขอเกริ่นนำแค่นี้ก่อน
มีเวลาจะมาเล่าให้ฟังต่อในโอกาสต่อไป
ก่อนจบต้องขอขอบใจโด่ง(พรชัย เกตุเล็ก)
ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการย้ายบ้านให้ผมเรียบร้อยด้วยดี
ช่วยปลดความกังวนให้ผมไม่ต้องวิตกเรื่องการขนย้ายสิ่งของมากมาย ขอขอบใจจริงๆ


      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #1577 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 08:57:16 »

สวัสดี ครับพี่สิงห์
อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 07 มีนาคม 2554, 15:14:45
เพื่อไม่ให้ผู้ชมเกิดความสับสน
 กุศล ขอขยายความเพิ่มเติมในหน้านี้ดังนี้
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่กลับจากอินเดียเป็นต้นมา
 คุณมานพก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินในแต่ละวันที่ประเทศอินเดียโดยตลอด
ว่าทางคณะมีกิจกรรมในแต่ละวันอย่างไรบ้าง

ยกเว้นภาพโยคี คร.ซานโตสที่ปรากฎก่อนหน้านี้3-4ภาพ
เป็นรูปการฝึกโยคะที่กำลังดำเนินการในปัจจุบัน ณ.ประเทศไทย ที่วัดปัญญาราม  
มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ DD TV
ทราบว่าคุณมานพร่วมเป็นวิทยากร บรรยายด้วยและสาธิตอยู่ด้วย
จึงขอแจ้งให้ผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป

กุศล
 เพื่อนรออ่านอยู่  ไปอินเดีย คงไม่ใช่นิยายนํ้าเนา แบบที่เคยเขียน นะ  ไม่ต้องรอช้า เพราะเป็นเรื่องจริงที่ไม่ต้องแต่ง
                         รีบๆเดี๋ยวเก่าเก็บแล้วจะไม่ Hit
                         กุศล post ได้เลย  ( roommate อนุญาต แล้ว )  อย่ารอช้า งง งง งง งง เหนื่อย  
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #1578 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 09:04:11 »

        รออ่านข้อคิดความเห็นของพี่กุศลด้วยอีกคนค่ะ...
              มาไวไวเลย อย่าช้า..วัยเกินรุ่นก็ยังใจร้อนอยู่นะคะ...อิอิ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1579 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 15:08:59 »

รออยู่เช่นกันกุศล
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1580 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 15:57:33 »

ตามรอยบาทพระศาสดา นมัสการสังเวชนียสถาน4แห่ง
วิทยากรบรรยายโดยพระครูปลัด สุวัฒนโพธิคุณ(ดร.พระมหาสุเทพ  อภิญจโน)
ประธานสร้าง วัดไทยมคธและ วัดไทยสาวัตถี ประเทศอินเดีย
กำหนดเดินทาง วันที่11-20 กุมภาพันธ์ 2554


20.15น.วันแรกของการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ
ไปถึงเมืองกัลกัตตาประเทศอินเดียประมาณ21.15(เวลาอินเดียซึ่งช้ากว่าประเทศไทยชั่วโมงเศษ)
ชาวคณะที่เดินทางประมาณ80คน มีพระรวมอยูด้วย7รูป อายุเฉลี่ยของผู้ร่วมเดินทางประมาณ65-70ปี
พอบินไปถึงเมืองกัลกัตตา ทั้งคณะเดินทางด้วยรถโคชปรับอากาศ 2 คันสู่วัดไทยมคธ พุทธวิปัสนา เมืองคยา
การเดินทางเป็นเวลากลางคืนทั้งคืน ด้วยระยะทาง450 กม.
จนตอนสายของวันใหม่เราเดินทางเราเข้าที่พักคือวัดไทยมคธเป็นที่เรียบร้อย
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #1581 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 16:13:29 »

พี่กุศล

 จะเหมือนกับสารคดี "ตามรอยพระพุทธเจ้า" ไหม
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1582 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 16:20:35 »

เพื่อมิให้ซ้ำรอยกับที่พี่มานพเล่ามา
กุศลขอเล่าสิ่งที่ได้พบเห็นเป็นเรื่อง ดังต่อไปนี้

เรื่องที่1 สุขาอยู่หนใด
การเดินทางระยะไกลๆระหว่างเมืองในประเทศอินเดียนั้น
หากท่านมีปัญหาถ่ายหนัก ถ่ายเบาระหว่างเดินทาง
ให้กระซิบบอกคนคุมรถของท่าน
เพียงไม่นานรถทั้งสองคันจะจอดให้ท่านลงไปทำธุระได้ทันที
ทั้งบุรุษ สตรี และพระภิกษุจะลงจากรถโดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่ถึง15นาทีทุกคนจะเสร็จธุระกลับขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อยสามารถเดินทางต่อได้
กิจกรรมการถ่ายหนักเบาระหว่างเดินทางเป็นเช่นนี้ทั้ง10วัน
ท่านอย่าสงสัยว่าคนแก่เกือบ80คนทำไมจึงปลดทุกข์ได้รวดเร็วขนาดนั้น
ทีเมืองไทยหรือเมืองนอกมีส้วมมากมายกว่าจะเสร็จกิจก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง
ก็ที่อินเดียเขาไม่ต้องพึ่งห้องน้ำนี่ครับ
เดินไปกลางทุ่ง ชายด้าน หญิงด้านต่างคนต่างปล่อย
นี่คือมหัศจรรย์อินเดียประการที่1 หมดทุกข์โดยง่ายดายและไม่เสียเวลา

วันต่อมาทุกๆเช้าและเย็น เวลาเรานั่งรถผ่านเมืองต่างๆ
จะพบว่าทั้งสองข้างทางตามหัวคันนาจะมีคนนั่งยองๆถ่ายทุกข์เต็มไปหมด
คนอินเดียแต่ละรัฐมีหลายสิบล้านคน การทะยอยออกมาถ่ายทุกข์ในสภาพโป๊แต่ไม่อุจจาดถือเป็นเรืองปกติครับ
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1583 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 16:36:21 »

เรื่องที่ 2 บ้านน้อยหลังนี้
ตลอดสองข้างที่รถแล่นไปนั้น
เราจะมองเห็นบ้านชั้นเดียวหรือสองชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จแทบทั้งสิ้น
จะมองหาตึกสูงๆแบบบ้านเราแทบไม่เจอ
และห้องแถวแต่ละหลังก็มีขนาดเล็กๆอย่างกับบ้านตุ๊กตา
ทราบจากมัคคุเทศว่า
กฎหมายของอินเดียจะเก็บภาษีบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว
ดังนั้นเวลานั่งรถผ่านเราจึงหาไม่เจอว่ามีบ้านอยู่ตรงใหน
เพราะเห็นแต่ชากบ้านที่กำลังสร้างไม่เสร็จทั้งนั้น
มัคคุเทศเล่าต่อว่า
มีคนต่างชาติเห็นเป็นบ้านร้างจึงลงจากรถหวังว่าจะเข้าไปปลดทุกข์
แต่พอแหวกผ้าม่านเข้าไป อนิจจา
ภายในแต่ละห้องมีคนนอนยั้วเยี้ยอัดแน่นเต็มไปหมด
นี่คือมหัศจรรย์สิ่งที่สอง
เห็นไหมคนอินเดียเขาอดทนขนาดใหน เข้าสุภาษิต คับที่อยู่ได้.......
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1584 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 16:52:14 »

เรื่องที่3 วรรณะ
เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า
อินเดียเขาถือเรืองวรรณะเป็นเรื่องใหญ่
แม้แต่การอาบน้ำเขาก็อาบลดหลั่นเป็นชั้นๆตามวรรณะ
กษัตริย์ แพทย์ พราหม เป็นพวกมีวรรณะสูงได้อาบชั้นบน
ส่วนพวกชาวบ้านหรือพวกจัณฑาลก็ต้องอาบชั้นล่าง
ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
พวกวรรณะสูงๆจะมาอาบน้ำชำระบาปกันที่คฤหาสริมฝั่งแม่น้ำ
แต่ที่ติดๆกันก็จะเป็นที่เผาศพสดๆแล้วลอยลงแม่น้ำคงคาเช่นเดียวกัน
น่าแปลกไม่ยักมีเชื้อโรคระบาด
พวกชนชั้นล่างอยากได้น้ำในแม่น้ำคงคาไปชำระบาป
ก็ต้องหากระติกมาตักน้ำในแม่น้ำเอาไปทำพิธีที่บ้านของตนเอง
นี่คือมหัศจรรย์เรื่องที่3เริ่มต้นที่วรรณะมาจบที่แม่น้ำคงคา
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1585 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 17:12:18 »

เรื่องที่4 ขอทาน
ขอเป็นเรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้
ทุกเมืองที่ไปเห็น
พอลงจากรถก็ต้องเจอขอทาน
ขอทานส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเล็กๆไม่เกิน10ขวบและสตรีชรา
พวกนี้พอเห็นรถนักท่องเที่ยวก็จะวิ่งมาเป็นพรวน เข้ามาแบมือขอเงิน
มหาราชา ๆ ......พวกเด็กๆและคนแก่จะเรียกพวกเราเสียงระงม
อย่าไปให้เด็ดขาด ให้คนเดียวเดี๋ยวเขารุมกันมา.....ไก๊ด์บอกเราอย่างนั้น
แต่คนไทยใจบุญ มักอดที่จะสงสารและแอบให้ไม่ได้
พอถูกรุมก็วิ่งหาคนช่วยเป็นที่สนุกสนาน
ผมไปใหม่ๆวันแรกๆก็ใจแข็งไม่ยอมให้ เพราะถูกสอนเอาใว้
วันที่เดินไปดูสถานที่อาบน้ำซึ่งค่อนข้างมีหลายชั้น
รู้สึกมีเด็กอายุประมาณ7-8ขวบอุ้มทารกไม่เกิน10เดือนเดินตามตลอด
สังเกตุว่าพอมีคนเดินตามนานๆ คนอื่นๆก็แยกย้ายไปขอคนอื่น
เดินกลับเกือบถึงรถจึงสงสารเห็นตามมานาน แอบส่งให้สิบรูปี
พอเจ้าตัวรับแล้ววิ่งออกไป คนใหม่ก็มาแทน
สรุป ถ้าจะให้ ขึ้นรถก่อนแล้วจึงให้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1586 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 17:34:29 »

สวัสดีครับ คุณน้องเอมอร และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                         เมื่อวันอังคารที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมาพี่สิงห์ได้ไปร่วมงานที่ทางชมรมฯ จัดขึ้นเพื่อแสดงความยินดีกับ อาจารย์เผ่า  สุวรรณศักดิ์ศรี อนุสาสก หอพักนิสิตชาย ที่ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จพระเทพรัตรราชสุดาสยามกุมารี โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นศอลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัติยกรรมไทย ประจำปี 2554 ครับ จัดขึ้นที่เรือนไทย จุฬาฯ ซึ่งอาจารย์เผ่า เป็นผู้ออกแบบ และท่ารอาจารย์เพ็ญพรรณ  อนุสาสกหอพักนิสิตหญิง ช่วยดูแลเรื่องอาหารการกิน
                          อาจารย์เผ่า ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งกับชมรมฯ เพราะถ้าไม่มีอาจารย์เผ่า คงจะไม่มีชมรมฯ เหมือนกัน เพราะขาดเหลืออะไร อาจารย์เผ่า จัดให้ทั้งสิ้นครับ นี่คือความจริง ครับ
                          เชิญชมภาพ ครับ



ครอบครัวอาจารย์เผ่า  รศ.แจ่มใส และหลานอ๋อ ครับ











ทีมโฆษก ในงาน



พี่เปรมประจักษ์ อดีตปรธานชมรมฯ และพี่ตัน



พี่จรูญฤทธ์ และคุณอ้อย(2513)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1587 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 17:49:43 »

                          ขอเชิญชมภาพต่อครับ





ครูหยุ๋ย อดีส สว. และสว.สรรหาสมัยนี้ ก็มาร่วมครับ รุ่น 2520















      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1588 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 18:05:35 »

            เชิญชมภาพต่อใครเป็นใคร ดูเอาเอง พี่สิงห์ก็จำไม่ได้ เพราะความจำเก่าๆที่เป็นอดีต ลืมหมดแล้ว เพราะมันผ่านไปแล้ว เลิกคิด ครับ



รูปนี้เท่ระเบิด ผมถ่ายได้อย่างไร? คุณน้องอดิสร  ช่วยวิจารณ์หน่อย ครับ



ดีใจครับที่ยังเห็นท่านอาจารย์สุพพัดดา ที่พี่สิงห์เคารพรักเสมอ มีสุขภาพแข็งแรง ว่างๆผมจะไปเยี่ยมและสอนโยคะ ที่บ้านให้ครับ ท่านอาจารย์











รูปนี้ อาจารย์เพ็ญพรรณ รศ.แจ่มใส  พี่สิงห์ว่า ทำไมพี่สิงห์ถ่ายภาพได้สวยมาก ไม่น่าเชื่อ







      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1589 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 18:17:38 »

                         พี่สิงห์ต้องกราบขออภัยทุกท่านที่ขอตัวท่านประธานชมรมฯ คุณวัฒนา ขอกลับก่อนด้วยเหตุผลสองข้อ คือ ข้อแรกพี่สิงห์ต้องตื่นตีห้าเพื่อเดินทางไปเรียนโยคะ กับ Dr.Santos  ที่วัดธรรมปัญญาราม บางม่วง นครปฐม ข้อสอง หมดงานทางด้านพิธีการแล้วและก้ดึกพอสมควร คือสามทุ่มแล้ว เป็นเรื่องของการสนุกสนานร้องเพลง ซึ่งพี่สิงห์ลืมหมดแล้ว และไม่มีใจที่จะร้องเลย จึงกลับดีกว่าครับ ต้องขออภัยทุกท่านอีกครั้ง
                         สวัสดีครับ
















ต้องขอขอบคุณ คุณน้องอ้อย 17 แต่งตัวดีมาก ๆ การปฏิบัติธรรม ไม่น่าที่จะผมขาว ผิดแนวทางหรือเปล่า พี่สิงห์ลืมทดสอบ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1590 เมื่อ: 08 มีนาคม 2554, 18:27:54 »


                          วันนี้พี่สิงห์เรียนจบการฝึกโยคะ กับ ดร.ซานโตส  แล้วครับ เรียนทั้ง ปัญจนะโยคะ อาสนะโยคะ และพราห์มยานะโยคะ(อาจจะเรียกชื่อไม่ถูกครับ) ได้รับใบรับรอง และคิดว่าตัวเองมีความรู้พอสมควรที่จะสอนโยคะที่ได้เรียนมาให้กับผู้ที่สนใจต่อได้ครับ ขอเวลาฝึกตัวเองให้คล่อง พยายามจำท่าต่างๆให้ได้หมดอยู่ครับ
                          สำหรับเรื่องราวทัวร์อินเดีย-เนปาล จะเอามาลงต่อจาก ดร.กุศล ครับ
                          
                          ชาวซีมะโด่งกลุ่มใดสนใจการดูแลร่างกาย แก้โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ หลอดเลือด แก๊สในกระเพราะอาหาร ปวดเหมื่อยตามร่างกาย ปวกมายเกรน พี่สิงห์ ยินดีไปสอนโยคะให้ฟรี ๆ ขอให้ตั้งใจจริงที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพตัวเองเท่านั้น ครับ                         

                          ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1591 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 11:47:43 »

                         จาริกแสวงบุญ พุทธสถาน ๔ แห่ง
                         วันที่ ๔ ตรงกับวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เป็นวันเกิดพี่สิงห์ ตามที่ได้บรรยายให้ทราบแล้ว คณะไปเข้าชมและนมัสการสักการะ "ปาวาฬเจดีย์" สถานที่พระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุสังขารว่า "อีกสามเดือนเราจักปรินิพพาน" ตามที่พญามารมาเข้าเฝ้าขอให้ปรินิพพาน ซึ่งพระอานนท์ไม่ทราบความในที่พระพุทธองค์เคยบอกไว้เลยไม่ได้อาราธนาให้พระพุทธเจ้าจักยังไม่ปรินิพพาน
                         คณะได้ไปสวดมนต์ นั่งเจริญสติ วิปัสสนา และเวียนเทียนรอบ ปาวาฬเจดีย์สามรอบ
                         เชิญชชมภาพ



วันนี้เป็นวันเกิด ภายหลังได้ทำบุญที่วัดไทยไวสาลี พระให้พร ฟังพระสวดองคุริมารสูตร พรหมน้ำมนต์ หน้าตาเลยแจ่มใสเป็นพิเศษ ครับ
ปาวาใเจดีย์ สถานที่พระพุทธองค์ ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ว่า "อีกสามเดือนเราจักปรินิิพาน"













นี่คือโรงเรียนประจำหมู่บ้านที่ไวสารี มีครูคนเดียวเป็นผู้สอน ใช้กระดานชนวนในการหัดเขียนหนังสือ และสมุดดินสอ
พี่สิงห์บริจาคเงินให้เด็กนักเรียนคนละสอบรูปี และครู ๒๐๐ รูปี เนื่องในวันเกิดพี่สิงห์ครับ







ไวสาลี

***

ที่ตั้งเมืองไวสาลี
   เมืองไวสาลี  ตั้งอยู่ทางฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำคงคา  ในเมือง    มูซัฟฟาปูร์  ห่างจากเมืองปัตนะ  เมืองหลวงของรัฐพิหาร ประมาณ ๕๖ กิโลเมตร มีแม่น้ำคงคากั้นกลางเป็นพรมแดนธรรมชาติ ระหว่างแคว้นมคธ กับแคว้นวัชชีในอดีตทิศเหนือจดภูเขาหิมาลัย  ทิศใต้จดแม่น้ำคงคา  ซึ่งกันระหว่างวัชชี  ทิศตะวันออกจดแม่น้ำโกสี (เกาสิกี)  ทิศตะวันตกจดแม่น้ำคันฑัก
ประวัติเมืองไวสาลี
   เป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชี  ซึ่งมีการปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยในสมัยของพระเจ้าลิจฉวี คือการปกครองตามหลักอปริหานิยธรรม คือธรรมที่มีแต่ความเจริญไม่เสื่อมถอย เป็นเมืองใหญ่หนึ่งในเจ็ดของอินเดียโบราณ  ที่ได้ชื่อว่า ไวสาลี  เพราะเป็นเมืองของพระเจ้าวิสาละ  ในชาดก กล่าวว่า  เมืองไวสาลีล้อมรอบด้วยกำแพง  ๓  ชั้น  แต่ละชั้นห่างกัน  ๑  คาวุต  ที่กำแพงมีประตูหอคอยและคฤหาสน์  ใกล้เมืองไวสาลีมีป่ามหาวัน  ในป่านั้นมีวัดอยู่วัดหนึ่งชื่อกูฏาคารศาลา  ในมหากาพย์รามายณะกล่าวว่า โอรส ของอิกสวากุ  เทพบุตร  และอลัมพุษเทพธิดาเป็นผู้สร้างเมืองนี้
   ปัจจุบันมีสะพานขนาดใหญ่ข้ามแม่น้ำคงคาทางทิศใต้ไปจรดเมืองปัตนะ และมีเรือยนต์ข้ามฝากขนาดใหญ่มีสองชั้น และมีสถานีรถไฟชื่อ สถานีโสณปุระ หรือสถานีเมืองท่าทอง ซึ่งเป็นสถานีชุมชนที่ใหญ่แห่งหนึ่ง และมีชานชาลาที่ยาวที่สุดในอินเดีย เมื่อข้ามฝากไปแล้วนั่งรถโดยสารประจำทางไปอีก ๔๕ กิโลเมตร

ความเกี่ยวกับพุทธประวัติ
   สมัยหนึ่งเมืองไวสาลีเกิดอหิวาตกโรคขึ้นทำให้ประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก เจ้าลิจฉวีนามว่า  มหาลิ  ได้ไปกราบทูลนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าจากกรุงราชคฤห์เสด็จไปยังเมืองไวสาลี  พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุ  ๕๐๐  รูป เพื่อโปรดระงับโรคระบาดด้วยพระพุทธบารมี พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกได้สวดพระพุทธมนต์ และสวดรัตนสูตร ทำน้ำพระพุทธมนต์ ระหว่างกำแพงสามชั้นในเมืองไวสาลี  แล้วให้พระอานนท์นำไปประพรมทั่วเมืองไวสาลี ด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพบันดาลให้ฝนตกห่าใหญ่ ตกลงมาท่วมเมืองกวาดล้างซากศพและโรคร้ายลอยไปตามกระแสน้ำฝนจนหมดสิ้น โรคระบาดก็พลันหายไป พระพุทธองค์ได้ตรัสรัตนสูตรโปรดเวไนยสัตว์อยู่  ๗  วัน  มีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก  เมืองนี้จึงเป็นที่เกิดแห่งพระปริตรและเกิดประเพณีการทำน้ำพุทธมนต์มาจนถึงปัจจุบัน
กำเนิดภิกษุณี
   นอกจากนั้นยังเป็นเมืองกำเนิดภิกษุณีในพระพุทธศาสนา โดยพระนางปชาบดีโคตรมีพระน้านางที่เป็นผู้เลี้ยงเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารตั้งแต่ประสูติได้เพียง ๗ วัน หลังจากพระนางสิริมหามายาพระมารดาทิวงคต เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชจนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกจำนวนมากได้เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพุทธบิดา และพระญาติทั้งปวง พระนางปชาบดีโคตมี มีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าปรารถนาจะเสด็จออกบวช จึงพร้อมด้วยหญิงบริวารจำนวน ๕๐๐ คน พร้อมใจกันปลงผมและนุ่งผ้ากาสายะเข้าไปเฝ้าพระพุทธจ้าเพื่อขออุปสมบทที่เมืองกบิลพัสดุ์ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระนางก็ทรงพยายามเข้าอ้อนวอนขออุปสมบทถึงสามครั้ง พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาต ถึงแม้อย่างนั้นพระนางปชาบดีโคตรมีก็ไม่ทรงละความพยายาม เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จออกจากเมืองกบิลพัสดุ์ พระนางพร้อมด้วยบริวารก็พากันตามเสด็จมาจนจึงเมืองไวสาลี และได้ยืนร้องไห้อยู่ใกล้ประตูพระวิหาร พระอานนท์ได้มาพบและสอบถามทราบความแล้ว ก็อาสาว่าจะไปกราบทูลขออนุญาต พระอานนท์เจ้าไปกราบทูลขออนุญาตต่อพระพุทธเจ้าเพื่อทรงอนุญาตให้พระนางได้อุปสมบท พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิเสธถึงสามครั้ง พระอานนท์จึงกราบทูถามว่า หากสตรีได้บวชแล้วจะได้บรรลุมรรคผลหรือไม่ พระพุทธเจ้าก็ทรงยอมรับว่าสามารถบรรลุมรรคผลได้เช่นเดียวกับบุรุษ พระอานนทจึงทูลถามว่า ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ทราบอนุญาตให้สตรีบวช พระพุทธเจ้าทรงจำนนด้วยเหตุผล จึงทรงยอมให้พระนางปชาบดีพร้อมด้วยบริวารได้อุปสมบทเป็นภิกษุณี โดยการรับครุธรรม ๘ ประการ โทษเท่ากับปาราชิกของพระภิกษุ และทรงบัญญัติให้ภิกษุณีต้องอุปสมบทในพระสงฆ์สองฝ่าย คือเมื่อได้รับอุปสมบทจากภิกษุณีสงฆ์แล้ว ก็ต้องมารับการอุปสมบทจากภิกษุสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นภิกษุณีที่สมบูรณ์ได้
ทรงปลงมายุสังขาร
ในขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วัดโฆษิตาราม พระองค์ได้ทรงปลงมายุสังขารว่า ต่อแต่นี้ไปอีกสามเดือน ตถาคตจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน แล้วเสด็จออกจากเมืองไวสาลี พอพ้นประตูเมืองพระองค์ทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรนครเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จสู่เมืองกุสินาราต่อไป
   ในพรรษาที่  ๕  พระพุทธองค์ได้เสด็จจำพรรษาในกรุงไวสาลี  ณ  กูฏาคารศาลา  ป่ามหาวัน  มีพระสูตรหลายสูตรและหลายชาดกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่เมืองไวสาลี  เช่น  มหาลิสูตร  ชาลิยสูตร  มหาสีหนาทสูตร  จูฬสัจจกสูตร  มหาสัจจกสูตร  เตวิชชสูตร  สุนักขัตตสูตร  รัตนสูตร  สิคาลชาดก  เป็นต้น
ทำสังคายนาครั้งที่ ๒
   ในเมืองไวสาลีนี้ยังเป็นที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๒ กระทำที่วาลิการาม  พระยสะกากัณฑบุตร เป็นผู้ชักชวน พระเถระที่เป็นผู้ใหญ่ร่วมมือในการนี้ ที่ปรากฏชื่อมี ๘ รูป คือ ๑. พระสัพพกามี ๒. พระสาฬหะ ๓. พระขุชชโสภิตะ ๔. พระวาสภคามิกะ ทั้งสี่รูปนี้ เป็นชาวปาจีนกะ (มีสำนักอยู่ทางทิศตะวันออก) ๕. พระเรวตะ ๖. พระสัมภูตะ สาณวาสี ๗. พระยสะ กากัณฑกบุตร และ ๘. พระสุมนะ ทั้งสี่รูปนี้เป็นชาวเมืองปาฐาในการนี้พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้ตอบปัญหาทางวินัยที่เกิดขึ้น มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๗๐๐ รูป กระทำอยู่ ๘ เดือนจึงแล้วเสร็จ สังคายนาครั้งนี้ กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๑๐๐ ปี ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้ก็คือ พระยสะกากัณฑกบุตร ปรารภข้อปฏิบัติย่อหย่อน ๑๐ ประการทางพระวินัยของพวกภิกษุวัชชีบุตร เช่น ถือว่าควรเก็บเกลือไว้ในแขนง (เขาสัตว์) เพื่อเอาไว้ฉันได้ตะวันชายเกินเที่ยงไปแล้ว ๒ นิ้ว ควรฉันอาหารได้ ควรรับเงินทองได้ เป็นต้น พระยสะกากัณฑกบุตร จึงชักชวนพระเถระต่าง ๆ ให้ช่วยกันวินิจฉัย แก้ความถือผิดครั้งนี้
สถานที่สำคัญ
   ๑. หลักศิลาที่ค้อธนา  
    มีเสาหินตั้งเด่นเป็นสง่า  ซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยพระเจ้าอโศกมหาราช  ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านมาสาธ  ออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ  ๓  กิโลเมตร  เป็นเสาหินทรายขัดมัน  มีเจดีย์ตั้งอยู่เรียงรายรอบเสาหินของพระเจ้าอโศก  บนเสาหินมีรูปสิงโตตัวเดียว  ซึ่งถือว่ายังสมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคนี้ที่ไม่ถูกทำลาย
   ๒. พระสถูปองค์ที่ ๑  
    พระถังซัมจั๋งได้ บันทึกไว้ว่า  อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเสาหิน พระเจ้าอโศก  เป็นกองเนิน ดินอิฐเป็นที่รู้กันว่าเป็น สถูปที่ ๑  มีความ สูงประมาณ  ๑๕  ฟุต  ในที่ไม่ห่างออกไปนัก ได้มีการค้นพบผอบบรรจุ พระอังคารของพระพุทธองค์  แต่ในคัมภีร์กล่าวว่า  กษัตริย์ชาววัชชีได้รับพระบรมสารี ริกธาตุของพระพุทธองค์ ส่วนหนึ่งจากแปดส่วน  ที่เมืองกุสินารา
   ๓. พระสถูปองค์ที่  ๒  
    ในปี  พ.ศ. ๒๕๐๓  กรมศิลปากร  ของประเทศอินเดีย  ได้ทำการ   ขุดค้น  และพบผอบบรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน  ชาวญี่ปุ่น  ได้สร้างหลังคาครอบองค์สถูป  เพราะเหลืออยู่แต่ส่วนฐานอยู่ระดับเดียวกับ พื้นดิน
   ๔. สระน้ำราชาภิเษก  
   เป็นสระน้ำของกษัตริย์ลิจฉวี  เป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งเป็นสระ ต้องห้ามประจำเมืองไวสาลี  สำหรับราชตระกูลกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองไวสาลีเท่านั้นที่จะใช้สรงสนาน  และน้ำที่นำมาใช้สำหรับกษัตริย์ที่จะขึ้นครองราชย์จะต้องนำน้ำจากสระนี้มาประกอบพิธีมุรธาภิเษกเป็นกษัตริย์
   ๕. วาลิการาม  
    เป็นวัดในเมืองไวสาลี  แคว้นวัชชี  เป็นที่ประชุมทำสังคายนาครั้งที่  ๒  ปัจจุบันมีเฉพาะส่วนที่เหลือจากการทำลายพอเป็นหลักฐานคือตรงส่วน เป็นรูปบาตรคว่ำของฮินดูตั้งไว้บูชา  เพราะไม่มียอดจึงดูเหมือนศิวลึงค์  แต่มีพระพุทธรูปปรากฎอยู่รอบ ๆ  เป็นหลักฐานว่านี้คือ  วัดของพุทธ
   ๖. โกลเหา  
   เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ  อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองบาร์ชาร์  ๒  ไมล์  เดิมเป็นชานเมืองของไวสาลีได้พบเสาศิลาของพระเจ้าอโศกมหาราชที่หมู่บ้านนี้ทางทิศใต้ของเสาศิลานั้นไปประมาณ  ๕๐  ฟุต  มีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง เรียกกันว่า  รามกุนท  นักโบราณคดี  เซอร์  คันนิ่งแฮม  มีมติว่า  เขาขุดบ่อน้ำนี้ถวายพระพุทธเจ้า  ไปทางทิศตะวันตกของเสาศิลาประมาณ  ๑๕  ฟุต  ฐาน กว้าง ประมาณ  ๖๕  ฟุต  เชื่อกันว่า  พระเจ้าอโศกโปรดให้สร้างไว้ พระสถูปใช้อิฐก่อเป็นห้องแบบใหม่ มีบันไดหลายชั้นเลียบผนังขึ้นไปประดิษฐาน พระพุทธรูปปางมารวิชัย  เป็นศิลปะสมัยปาละ
   ๗. มัญฌิ  
    เป็นหมู่บ้านอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของฉัประ  ประมาณ  ๑๒  ไมล์  ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมัญฌิ  มีรากฐานป้อมโบราณ  ที่อนุสาวรีย์ เล็กในป้อมมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งสูง  ๑๓  นิ้ว  อนุสาวรีย์นั้น เรียกว่า  มาเธศวร
   ๘. เกสรียา  
   เป็นเมืองที่ค้นพบใหม่ ห่างจากปัตนะประมาณ ๑๒๐ กม. มีพระสถูปสูงประมาณ  ๑๔๕  เมตร  สูงกว่าพุทธคยาและมีพระพุทธรูปประทับนั่ง ปางมารวิชัยเป็นประธานในวิหาร  แต่เสียดายเศียรพระพุทธรูปถูกทุบทำลายที่ค้นพบใหม่ในเร็วนี้ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นหมู่บ้านของชาวเกสปุตตนิคม แล้วจึงเรียกเพี้ยนจาก  เกสปุตตนิคม  มาเป็น  เกสริยา  และน่าจะเป็นพุทธสถานที่สำคัญแห่งใดแห่งหนึ่งแน่นอน
   ๙. กำแพงและตัวเมืองไวสาลี  
   ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำคัณฑกะ  ต่อมาน้ำเปลี่ยนทิศทางเดิน  แม่น้ำเก่า กลายเป็นทะเลสาบ  กำแพงของเมืองเป็นเนินดินสูงใหญ่และยาว  ทางการไม่ได้ขุดแต่งอะไรมากนัก  มีเสาหินใหญ่เสาหนึ่งตั้งอยู่หน้ากำแพงเมือง ไวสาลี  สูงประมาณ  ๒๐  ฟุต  เป็นเสาหินสร้างใหม่  มีภาษาฮินดีจารึกไว้ บนเสาว่า  “รัฐบาลพิหาร”  เป็นผู้สร้างนำมาประดิษฐ์  ณ  ที่ตั้งเมืองไวสาลีโบราณ  เมื่อวันที่  ๑๐  เมษายน  พ.ศ. ๒๔๘๙  บนยอดเสาทำเป็นฉัตร  ๓  ชั้น  คูเมืองหน้ากำแพงก็ปรากฏ อยู่เป็นคูตื้นเขินตามกาลเวลามีกำแพงสูงจาก พื้นดินข้างละประมาณ  ๘  เมตร  มีความแข็งแรงมาก  วัดโดยรอบเกือบ  ๑  ไมล์
   ๑๐. วัดไทยไวสาลี
   เป็นวัดที่กำลังดำเนินการก่อสร้างขึ้นใหม่  เมื่อวันที่  ๓  มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘  มีเนื้อที่  ๖  ไร่เศษ  อยู่ภายใต้การดำเนินการของวัดไทยพุทธคยา มีพระเทพโพธิวิเทศ (ทองยอด  ภูริปาโล ป.ธ.๙, Ph.D.) หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย เป็นประธานที่ปรึกษา  มีพระครูปลัด ดร.ฉลอง จนฺทสิริ  เลขานุการพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย เป็นประธานในการดำเนินการ   ซึ่งปัจจุบันกำลังก่อสร้างศาลาที่พักขนาด  ๓  ชั้น  เป็นที่พัก  ที่อบรม  และที่ปฏิบัติธรรม  และมีโครงการที่จะดำเนินการสร้างโบสถ์  อาคารที่พักเพิ่มเติม และสร้าง อโรคยาศาลา (อาคารรักษาพยาบาล) และโรงเรียนสำหรับพระภิกษุสามเณรและเด็กที่ยากไร้ด้วย โดยได้รับการอุปถัมภ์จากพุทธศาสนิกชนทั่วไป


      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #1592 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 11:57:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 มีนาคม 2554, 18:17:38
                         พี่สิงห์ต้องกราบขออภัยทุกท่านที่ขอตัวท่านประธานชมรมฯ คุณวัฒนา ขอกลับก่อนด้วยเหตุผลสองข้อ คือ ข้อแรกพี่สิงห์ต้องตื่นตีห้าเพื่อเดินทางไปเรียนโยคะ กับ Dr.Santos  ที่วัดธรรมปัญญาราม บางม่วง นครปฐม ข้อสอง หมดงานทางด้านพิธีการแล้วและก้ดึกพอสมควร คือสามทุ่มแล้ว เป็นเรื่องของการสนุกสนานร้องเพลง ซึ่งพี่สิงห์ลืมหมดแล้ว และไม่มีใจที่จะร้องเลย จึงกลับดีกว่าครับ ต้องขออภัยทุกท่านอีกครั้ง
                         สวัสดีครับ
















ต้องขอขอบคุณ คุณน้องอ้อย 17 แต่งตัวดีมาก ๆ การปฏิบัติธรรม ไม่น่าที่จะผมขาว ผิดแนวทางหรือเปล่า พี่สิงห์ลืมทดสอบ ครับ

  ขอบคุณค่ะพี่สิงห์ที่กรุณาชม....ว่าอ้อยแต่งตัวดี....
  ก็  ...พยายามอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยเอาไว้บ้าง...
  คนแถวที่ทำงานอ้อยเขาเห็นกันจนชิน...แม้จะบอกว่าสวย
 แต่..ไม่มีใครมาแต่งตัวแบบอ้อยสักคน...เขาบอก ยกให้คนนึงค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1593 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 12:20:12 »

                         วัดป่ามหาวัน เมืองไวสาลี ชมเสาอโศกที่สมบูรณ์ที่สุดในอินเดีย
                         วัดป่ามหาวัน เป็นสถานที่พระนางปชาบดีโคตรมี(เป็นผู้ที่เลี้ยงและให้นมพระพุทธเจ้า-พระอานนท์) เป็นพระน้านางด้วย พร้อมด้วยนางสากิยา ๕๐๐ คนมาขอบวชเป็นภิกษุณี  คณะได้ไปนั่งสวดมนต์ นั่งเจริญสติ วิปัสสนา ที่กุฎีพระพุทธเจ้า และเวียนเทียนสามรอบที่พระเจดีย์ ที่เคยบรรจุพระสรีรางคาร พระพุทธเจ้า เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยัง ตำบลเกสรียา(เสริมพิเศษ นอกรายการ)
                         เชิญชมภาพ























เสาอโศก รูปสิงห์โต ทำด้วยหินทราย
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1594 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 12:40:09 »

สวัสดีคะ พี่สิงห์
 ขอบคุณสำหรับรูปวันงานเลี้ยงให้อาจารย์เผ่าค่ะ
พี่สิงห์เก็บภาพได้ทั่วนะคะ
ได้เห็นหลายๆคน ยังไม่เห็นคนอื่นpost เลยค่ะ
ได้เห็นจากห้องของพี่สิงห์ห้องเดียวค่ะ
และได้อ่านเรืองจของอินเดียต่อแล้วเป็นข้อมูลที่ดีมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1595 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 12:45:39 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         อย่าชมพี่สิงห์เลย บางครั้งถ่ายไปก็นึกอายตัวเองไป เลยถ่ายภาพนิดเดียวเท่านั้นครับ ต้องรอที่อดิสร หรือกรรมการชมรมฯ ของพี่สิงห์ถ่ายภาพมาเพื่อจุดประสงค์เอามาลงในกระทู้นี้นิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นพิธีให้พวกเราได้ติดตามกันเท่านั้นเองครับ
                        เธอลงรูปที่พรรคพวกคุณทรงเกียรติ ไปเยี่ยมเธอลงบ้างซิ (คุณทรงเกียรติเล่าให้พี่สิงหืฟังที่งานครับ) เธอคงสบายดีนะ อย่าลืมปฏิบัติธรรมให้มากๆเข้าไว้ จิตใจจะได้สงบพบ "ธรรม" ที่แท้จริงให้กับตัวเอง โอกาสมาถึงแล้วครับ
                        สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1596 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 13:07:05 »

                        คณะออกเดินทางจากวัดป่ามหาวันเพื่อไปเมืองกุสินารา โดยผ่านทาง เกสรียา เป็นชนบทที่ยังเป็นธรรมชาติ ทางกำลังสร้าง เต็มไปด้วยทุ่งข้าวสาลี จะเห็นสุภาพสตรี-เด็ก กำลังทำงานในทุ่งข้าวสาลี อากาศเย็นสบายมาก ได้เห็นโรงเรียนแบบชนบทอินเดีย คือเรียนตามบ้าน  และวิธีชีวิตชาวชนบท ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ซักผ้าตามหนองน้ำ ถ่ายตามทุ่งนา ภาพเด็กเลี้ยงควายตามทุ่งนา น่าประทับใจ และน่าอยู่มาก ครับ
                        คณะได้ไปนั่งสวดมนต์ นั่งเจริญสติ และเวียนเทียนรอบพระเจดีย์ ที่ใหญ่มากเชื่อว่าเจดีย์นี้เป็นต้นแบบของเจดีย์ชเวดากอง และบูโรพุทโธ นอกจากนี้ที่นี่ยังพบเสาอโศกที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับที่ไวสารี เมืองเกสรียานี้ พี่สิงห์ได้ทำบุญในวันเกิดเพื่อสร้างวัดไทยที่นี้ ๕๐๐๐ บาท
                        เมืองเกสรียาเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านและเมืองนี้เป็นทางผ่านของทุกศาสนาในสมัยพุทธกาล ทำให้ชาวบ้านไม่รู้จะเชื่อคำสั่งสอนของใคร พระพุทธเจ้าทรงแสดงกาลามสูตร คือ ไม่ควรเชื่อ ๑๐ อย่าง แม้แต่พระองค์ก็ไม่ให้เชื่อ สุดท้ายชาวบ้านก็เชื่อพระองค์และแสดงตนเป็นพุทธมามะกะ  คณะได้รับประทานอาหารกลางวันที่นี่เป็นอาหารกล่องบนรถก่อนเดินทางต่อไปกุสินารา อาหารอร่อยมากครับ
                        
                       สิ่งที่เห็นน่าสังเวชคือ พระพุทธรูปต่างๆที่เจดีย์นี้ ไม่มีพระเศียรเลยทั้งสิ้น ครับ คนศาสนาอะไร ? ใจดำจัง
                      
                       เชิญชมภาพ
















เกสปุตตนิคม
• เกสปุตตนิคม หรือ เกสริยา (Kesariya) ในปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของมหาสถูปพบใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาลเป็นที่อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน อยู่ในแคว้นโกศล เป็นหมู่บ้านทางผ่านระหว่างเมืองในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จผ่านมาที่เกสปุตตนิคมและได้ทรงแสดงกาลามสูตร หรือเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า เกสปุตตสูตร แก่กลุ่มคนเหล่านี้จนยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา
• มหาสถูปแห่งเกสปุตตนิคม หรือพระมหาสถูปแห่งเกสริยา ปัจจุบันเกสปุตตนิคมถูกเรียกเพี้ยนไปเป็นเกสเรียหรือเกสริยา เดิมไม่เป็นที่รู้จักและไม่เป็นจุดสำหรับจาริกแสวงบุญของชาวพุทธ แต่หลังจากกองโบราณคดีอินเดียได้ขุดค้นเนินดินใหญ่พบพระมหาสถูปโบราณ ที่มีความเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1,400 ฟุต สูงถึง 51 ฟุต (เดิมอาจสูงถึง 70 ฟุต) ซึ่งทำให้มหาสถูปโบราณที่ค้นพบใหม่นี้กลายเป็นมหาสถูปที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์ชเวดากองและพระมหาสถูปบุโรพุทโธ ซึ่งทำให้มีผู้สันนิษฐานว่ามหาสถูปแห่งเกสริยานี้เป็นต้นแบบของมหาสถูปทั้งสอง และนอกจากนี้ ในบริเวณไม่ไกลจากมหาสถูปแห่งเกสริยา นักโบราณคดีอินเดียได้พบเสาหินพระเจ้าอโศกที่สมบูรณ์ที่สุด ที่ยังคงเหลือหัวสิงห์บนยอดเสา เช่นเดียวกับที่เมืองเวสาลีอีกด้วย
• เจดีย์เกสริยาในปัจจุบัน อยู่ห่างจากกุสินาราประมาณ 120 กิโลเมตร ในเขตหมู่บ้านเลาลิยะนันทัน (Lauliyanandan) และนันทันฆาต (Nandanghat) ในจังหวัดจัมปารัน รัฐพิหาร การเดินมามาที่แห่งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ไม่ค่อยมีผู้แสวงบุญมาสักการะมหาสถูปแห่งนี้เท่าใดนัก


กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
1.   อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2.   อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
3.   อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

•   เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว
เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1597 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 13:44:46 »



หลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ


                         พี่สิงห์ขอขอบคุณ คุณวัฒนา   โอภานนท์อมตะ ประธานชมรมฯ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เรียนเชิญพี่สิงห์ (ในงานวันเลี้ยงแสดงความยินดีกับอาจารย์เผ่า ที่เรือนไทย) ให้ไปพูดเสวนา วันประชุมกรรมการชมรมฯ ประจำเดือน ในวันพุธที่ ๒๐ เมษายน ซึ่งชมรมฯ ได้จัดรวมกับวันรดน้ำดำหัวพี่ ๆ ผู้อาวุโสของชมรมฯ เนื่องในวันสงกรานต์ ประจำปี โดยพี่สิงห์จะพูดเรื่อง " สาระดีดีจากพี่สิงห์ " ในโอกาสนี้พี่สิงห์ก็ขอเรียนเชิญทุกท่าน เลยครับ
                         จะได้สาระจริงๆ หรือไม่ พี่สิงห์ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะมุมมอง ความคิด แต่ละคนไม่เหมือนกัน  พี่สิงห์ก็จะพูดในสิ่งที่ พี่สิงห์ "รู้" และปฏิบัติได้ผลกับตัวเองมาแล้วจริง ๆ ทั้งสิ้น  โดยให้ท่านผู้ฟังทุกท่าน ยึดหลัก "กาลามสูตร" ไว้ให้มั่น ครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1598 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 14:25:19 »

...เข้ามาชมรูปต่ออีกค่ะ...
...ขอบคุณพี่สิงห์และ ดร.กุศล ค่ะ...
...ที่นำรูปและเล่าเรื่องดีดีให้ชมและฟังค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #1599 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 14:46:47 »

เรื่องที่5 การให้ทาน
เรื่องนี้ต่อเนื่องจากเรื่องที่4คือเรื่องขอทาน
ดร.พระมหาสุเทพหรือพระครูปลัด สุวัฒนโพธิคุณท่านบรรยายไว้ว่า
การให้ทานสำหรับที่นี่ถือว่าเป็นการแสดงความเมตตา
แต่ท่านแนะนำว่า เราต้องรู้จักวิธีการให้
จึงเกิดอานิสง และเป็นประโยชอย่างแท้จริง
ดังนั้น เมือท่านเห็นขอทานมาเดินขอ
ความจริงท่านจะให้ หรือไม่ให้ก็ได้
แต่ที่ปรากฎคือคนส่วนใหญ่จะให้เพื่อตัดความรำคาญ
ดังนั้นเมื่อคนหนึ่งได้ไปก็จะมีคนใหม่เข้ามาเสริมทันที
ท่านแนะนำว่า ท่านจงอย่ารีบให้ หรือให้ด้วยความรำคาญ
ขอให้เขาเดินตามเราไปเรื่อยๆ จะนานเท่าไรก็ช่าง
จนถึงจุดสุดท้ายที่จะแยกย้ายกันเราจึงค่อยให้
อย่างน้อยเขาจะเกิดความรู้สึกว่า
การได้มาเพราะต้องอาศัยความอดทนและความพยายามจริงๆ
เงินของเราจึงเกิดคุณค่าอย่างแท้จริง
การเดินทางครั้งนี้นอกจากแบ๊งค์ย่อยแล้ว
ผมเตรียมยาหม่องตราลิงตลับเล็กๆ ตลับกลาง ซองบรรจุของเล็กๆน้อยๆ
พวกเด็กที่ได้รับไปพวกเขาดีใจมาก
กลับมาถึงบ้านเรา ขอทานส่วนใหญ่เป็นชาวเขมรนั่งแบมือขอสบายๆคนให้ตั้งแยะ
ส่วนขอทานคนไทยเสียอีกต้องดิ้นรนเล่นดนตรีเลี้ยงชีพไปวันๆ น่าเห็นใจกว่า ให้เขาไปเถอะครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 62 63 [64] 65 66 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><