28 เมษายน 2567, 06:41:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 275 276 [277] 278 279 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3239741 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6900 เมื่อ: 12 กันยายน 2555, 20:42:28 »







ภาพตัวเมืองถ่ายจากห้องพักชั้น 10 ครับ







อาหารเช้า เป็นข้าวต้ม - ผักสด และเฝอไก่ ครับ








                        ผมตื่นนอนตีห้า นั่งสวดมนต์ทำวัตรเช้า - เจริญสติ

                        หกโมงเดินลงไปที่สระน้ำ มีฝนตกพรำๆ เลยไปออกกำลังกายแบบโยคะ และชิกง ที่ริมสระน้ำ

                        เจ็ดโมงเช้าก็ไปรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เป็นข้าวต้มกับผักสด และเฝอ ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6901 เมื่อ: 12 กันยายน 2555, 20:58:29 »
























                           สนามกอล์ฟจีริ่ง เป็นสนามกอลืฟที่ดีที่สุดของเวียตนาม สวยมากครับ การดูแลสนามก็ดีมาก ราคา ก็แพงมากด้วย คือสามพันกว่าบาท สำหรับวันธรรมดา ค่าทิป Caddy แพงมาก ปกติต้องทิป ๓๐๐๐๐๐ ดอง แต่ผมจ่ายไป ๔๐๐๐๐๐ ดอง

                            Caddy เวียตนาม ดีกว่า Caddy เมืองไทย  พวกเธอทำหน้าที่ได้ดีมาก และเป็นกันเอง สนุกสนาน ครึกครื้นตลอดเวลา

                            สำหรับผม  รอบแรกตีเกิน ๒ ที รอบหลังก็ตีดีมาก จน Caddy ตกใจไม่เคยเห็นใครตีคะแนนออกมาแบบนี้

                            เราตั้งใจตี ๒๗ หลุม แต่มีฝนตั้งเค้ามาหน้ากลัวมาก จึงตีเพียง ๒๑ หลุม ยังนึกเสียดายอยู่เลย เพราะค่าสนามแพง

                            สนามเป็นสนามภูเขา  ตียากมาก ทั้งแฟร์เวย์ และกรีน  มีผมคนเดียวที่ตีดี  นอกนั้นออกทะเลกันหมดเลยเพราะเล่นยาก  ท้าทาย จริงๆ สนามนี้  ผู้จัดการสนามเห็นคะแนนผมแล้วตกใจ ว่าตีได้อย่างไร สนามยาก  ผมก็บอกว่า ผมเป็น โปร. ครับ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6902 เมื่อ: 12 กันยายน 2555, 21:17:08 »



เสื้อตัวนี้ แม่ต้องการใส่เมื่อต้องจากโลกนี้ไป


                             วันนี้ขณะขับรถไปโรงพยาบาลสิงห์บุรี  คุณเหยง  ได้โทรศัพท์ มาคุยด้วยเรื่องแม่  ขอขอบคุณมาก

                             อาการของแม่  พูดได้ มีสติ  รู้เรื่อง แต่พูดแบบไม่มีเสียง เพราะแรงไม่มี อ่อนล้าเต็มที อาการเท่าที่เห็น สีหน้าของแม่ซีด เหลือง ลงกว่าเมื่อวาน และมีไข้นิดหน่อย

                              พยาบาล  ทุกคน ทราบดีว่า  แม่คงอยู่ไม่นาน น้องสาวมานอนเฝ้าแม่ทุกคืน

                              ยังคงให้อ๊อกซิเจน ตลอดเวลา  เวลาแม่หลับต้องคอยเรียกให้รู้สึกตัว เพราะกลัวหัวใจหยุดเต้น  ซึ่งเราสังเกตได้

                              สำหรับผม  ไม่มีอะไรกังวลเกี่ยวกับแม่  หรือทุกข์ทั้งสิ้น

                              วันนี้แม่ก็บอกให้ผมพากลับบ้าน  ผมก็บอกว่า แม่ขออนุญาติ หมอวิทิต ก่อนซิ  ถ้าอนุญาติจะพากลับบ้าน  แต่ถ้ากลับบ้านตายแน่ๆ แม่กลัวไหม  แต่แม่ไม่กล้าบอกคุณหมอวิทิต  หรอก เพราะแม่เกรงใจมาก

                              คุณหมอวิทิต อยากให้แม่จากไป โดยอยู่ที่โรงพยาบาล  จะได้ดูแลช่วงสุดท้ายกันได้ ดีกว่าไปอยู่ที่บ้าน ที่ไม่มีอะไรเลย เท่ากับพาท่านไปตายเร็วขึ้น และไม่มีใครดูแล เพราะไม่รู้ว่าแม่จะจากไปเมื่อไร เราบังคับไม่ได้  ทุกอย่างเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น

                               เราไม่พาท่านไป  ท่านก็ไม่ว่าอะไร เพราะได้อธิบายให้ท่านฟังแล้ว ท่านก็เข้าใจ กรรมของผมจริงๆ ครับ

                                ผมเห็นท่านหลับแล้ว  ก็คิดไปว่า จุดสุดท้ายของแม่ก็คือ หลับไปเฉยๆเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก นี่ละชีวิต

                               สวัสดี  ราตีสวัดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6903 เมื่อ: 12 กันยายน 2555, 21:27:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 12 กันยายน 2555, 20:28:05
"ทัวร์อธรรม ตอนที่ ๒

ต้องมีสติ



                          บ่ายสี่โมงเย็นทาง คณะมีนัดซ้อมกอล์ฟที่สนามไดร์ฟ ของโรงแรม  ผมก็ไปซ้อมของผมเป็นปกติก่อนใคร พรรคพวกเริ่มทะยอย ลงมา ภายหลังเสร็จภาระกิจ  ปรากฏว่ามีสาวเวียตนามสองคน ลงมาร่วมวงด้วย เธอสนใจตีกอล์ฟ  ก็พยายามอยู่นาน ก็ตีไม่ถูกลูก

                           ผมทนไม่ไหว ก็จำเป็นต้องไปสอนเอาบุญในฐานะโปร.ครูสอนกอล์ฟ

                           ก่อนที่พระพุทธองค์จะปรินิพพาน พระอานนท์ได้ทูลถามว่า "ถ้าจะต้องพบสุภาพสตรี จะทำประการใด"

                           พระพุทธองค์ทรงตอบว่า "อย่าพบเสียเลยดีกว่า"

                           พระอานนท์ถามว่า "ถ้าสุภาพสตรีมาขอพบ"

                           พระพุทธองค์ทรงตอบว่า "ก็อย่าให้พบ"

                           พระอานนท์ถามว่า "ถ้าเขามาพบแล้ว  จะทำประการใด"

                           พระพุทธองค์ "เธอต้องตั้งสติให้มั่น"


                                        กรณีนี้ก็เช่นกัน เพราะผมต้องจับมือ จับแขน  จับไหล่  จับขา  เพื่อสร้างวงสวิงกอล์ฟให้เธอ การได้สัมผัสสุภาพสตรี มันทำให้ใจเรา อยาก... ทำให้เราเกิดการปรุงแต่ง  ทำให้เรารู้อารมณปรมัติ หรือสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นที่จิต  ผมก็ได้แต่ตั้งสติให้มั่น กระทำตามหน้าที่ของครูที่ดี สังเกตอารมณ์ปรมัติที่เกิดขึ้นกับตนเองเพื่อให้รูป-นาม มันได้ศึกษา และที่สำคัญคือ ไม่ปรุงแต่งความคิด ก็สามารถเอาชนะจิต ตนเองได้

                                        สาวเธอก็ตั้งใจ และสามารถตีกอล์ฟได้ วงสวิงที่ถูกต้อง  ตีลูกได้หลายลูกที่ดี และมือพอง

                                        สำกรับผม ก็ได้รับความภูมิใจ  ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสอนคนตีกอล์ฟได้ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่พูดกันไม่รู้เรื่องเลย ท้ามกลางความอิจฉาของเพื่อนฝูงหลายๆ ท่าน ที่ถ่ายภาพเอาไว้

                                        สายตาเธอขอบคุณ เป็นกันเองกับผม  แต่ผมไม่กล้า กลัวเสียเงิน ๒๕๐ US.

                                        กลางคืนมีงานเลี้ยงที่โรงแรม ครับ

                                        สวัสดี

พี่สิงห์คะ,
พี่ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกได้ละเอียดจัง
เขียนได้ชนิดที่คนอ่าน..อ่านแล้วรู้สึกเหมือน
เป็นผู้ชาย!!

อยากได้มุมมอง/รู้สึกจากฝ่ายผู้หญิงมั้ยคะ?
รับรอง และหนิงแน่ใจคะว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!

ว่าแต่,ประโยคสุดท้ายนั่น...พี่คิดได้ไงคะ?
ลูกเค้าเกิดดีๆ ได้...เสียหมด!!
เดี๋ยวขึ้นราคาเป็น 500 US $ซะนี่..ได้อดแอ้มกันจริงๆ


ว๊ายยยย
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6904 เมื่อ: 12 กันยายน 2555, 21:38:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 12 กันยายน 2555, 10:54:12
มุสาโดยไม่ได้เจตนาครับ  ต้องขอยุติการเล่าเรื่องออกไปก่อน

ไม่ได้เรียกมุสาซักหน่อยคะพี่กุ
เค้าเรียก"ติ๊ต่าง"ต่างหาก.
ทีเช็งเม้งเค้ายังส่งบ้านส่งธนบัตรกระดาษ
ส่งอะไรต่อมิอะไรไปให้ญาติพี่น้องเป็นกระดาษเผา
ไม่เห็นเป็นไรทีคะ.

กลับมาก่อนคะ มาเล่าต่อ
หนูจาชม.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6905 เมื่อ: 12 กันยายน 2555, 21:47:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 12 กันยายน 2555, 20:42:28





                        ผมตื่นนอนตีห้า นั่งสวดมนต์ทำวัตรเช้า - เจริญสติ

                        หกโมงเดินลงไปที่สระน้ำ มีฝนตกพรำๆ เลยไปออกกำลังกายแบบโยคะ และชิกง ที่ริมสระน้ำ

                        เจ็ดโมงเช้าก็ไปรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เป็นข้าวต้มกับผักสด และเฝอ ครับ

                        สวัสดี


ทำไมพี่ไม่ว่ายน้ำคะ สระว่างน่าว่ายจัง!
แต่เห็นอาหารมื้อเช้าพี่แล้ว...หว่ายยย
จะว่ายได้กี่เมตรลานั่น...ไม่มีแฮง!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6906 เมื่อ: 12 กันยายน 2555, 21:53:44 »



คุณท่านซ้ายคะพี่สิงห์
ไม่รู้แสง หรือครีมกันแดด
ถึงทำให้ดู...ซีด!
ยิ่งscrollกลับขึ้นไปอ่านตอน 1
ยิ่งนึกไปถึงไหนๆคะว่า..ทาครีม
หรือซีดเพราะ 250 $
อุ๊ยยย หนุงหนิงนี่ บอกแล้วไง
ให้ดูรูปมิติเดียว....ห้าม 3D!!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6907 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 06:27:57 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                  ทุกอย่างเขียนออกมาจากจิต  ที่มันคิด เป็นเรื่องจริง มันเป็นอาชีพของเขา  ถ้าพูดกันรู้เรื่อง พี่สิงห์ จะเทศนาให้เธอเลิกอาชีพแบบนั้น (เหมือน ดร.สุริยา  ที่เคยช่วยสาวคนหนึ่งเอาไว้ไม่ให้ตกนรกทั้งเป็น) มันไม่ยั่งยืน  ตกรวดเร็วมาก  เธอชอบสนุก และ Drink อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจเวียตนามยังไม่ฟื้นตัว  จึงไม่มีทางเลือก ดีกว่าอดตาย

                                   เธอจะแสดงทัศน ตามความคิดเธอก็ได้  จริงๆ เธอเป็นมิตรที่ดีกับพี่สิงห์(สาวเวียตนาม) เพราะเราตั้งใจสอนกอล์ฟให้เขา จนสามารถตีกอล์ฟได้ แบบลูกศิษย์กับครู ครับ

                                  ยิ่งที่โรงแรม ๕ ดาว  ฟอจูน่า พรรคพวกบอกว่า ที่ห้องคาราโอเกะ ชั้นใต้ดิน มาม่าซัง  เอาออกมาโชว์ มีเป็นร้อย  มาเดินโชว์ให้เลือก ครั้งละ เป็น ๑๐ คน  ดร.สุริยา  ลองนึกภาพเก่าๆ ดูจะทราบได้เอง   ดังนั้น พี่สิงห์เลยไม่ไปดูเลย  อยู่แต่ในห้อง และเดินเล่นรอบๆโรงแรม เพราะ "สุภาพสตรี  ไม่พบเสียดีกว่า" เพราะไม่พบ ก็ไม่ปรุงแต่งความคิด  แต่ถ้าพบ มีแต่การปรุงแต่งไปต่างๆ นาๆ สุดท้ายอาจจะแพ้ใจตนเองได้

                                  สุภาพบุรุษ คนที่เธอว่าหน้าขาวนั้น คือคุณดิเรก  เจ้านาย พี่สิงห์  คนขวามือคือพี่พงษ์ศักดิ์ ประธานบริษัท PSTC ซึ่งเพิ่งสูญเสียภรรยาคือพี่กุ้ง ด้วยโรคมะเร็ง  ทุกวันที่ใส่บาตรพระ พี่สิงห์ก็ยังแผ่ส่วนกุศลให้อยู่ประจำ  ทั้งสองคนเป็นผู้ชวนและจ่ายสตางค์ค่าทัวร์ ให้พี่สิงห์ ครับ

                                  สำหรับ Caddy ต่างประเทศ หรือในประเทศ  ถ้าเลือกได้ควรเลือก เพื่อความสบายใจ เพราะมันถูกใจเราอยู่บ้าง  แต่ Caddy พี่สิงห์ สบายทุกคนเพราะลูกไม่เข้าป่า ทุกอย่างพี่สิงห์ดูเอาเองทั้งไลหญ้า และระยะ ไม่พึ่ง Caddy ถ้ารู้หน้าที่ เพราะตีกอล์ฟ จริงๆ ต่างคนต่างทำหน้าที่เป็นใช้ได้  ยิ่งในเมืองไทยเดินตีกอล์ฟ ๑๘ หลุม พี่สิงห์ แทบจะไม่ได้พุดกับ Caddy เลย  แต่พี่สิงห์ จะ Tip มากกว่าคนอื่นเสมอเพราะเห็นใจเขา แต่จะให้ตามสิ่งที่เขาทำดีต่อเรา(ตามหน้าที่ ที่ดี)

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6908 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 08:01:05 »

สถานการณ์น้ำ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา





                              เมื่อวาน น้องสาวบอกว่า ได้มีการประชุมข้าราชการสิงห์บุรี ตามหน่วยงานรัฐ สำนักชลประทานที่ประจำสิงห์บุรี ได้รายงานว่า "ปีนี้ น้ำไม่ท้วม เพราะมีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนน้อยกว่าทุกปีมาก  สบายใจได้"

                              จากรายงานการระบายน้ำเมื่อวานนี้ จะเห็นได้ว่า ยังไม่มีจังหวัดใดตั้งแต่นครสวรรค์ - กทม. เพราะตลิ่งยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำอยู่มาก แม้กระทั่งที่อยุธยา  ยกเว้นที่ลุ่มที่น้ำเหนือมายันกับระดับน้ำปกติเช่น ที่ อ.บางบาน เป็นที่ลุ่มมาก จริงๆ

                              นครสวรรค์สามารถรับน้ำไหลผ่านได้มากสุด 3,500 ลบ.ม ต่อวินาที แต่ปัจจุบันมีน้ำไหลผ่านเพียง 1,800 ลบ.ม ต่อ วินาที เท่านั้น

                               เขื่อนเจ้าพระยาสามารถรับน้ำไหลผ่านได้ 2,800 ลบ.ม ต่อ วินาที แต่ขณะนี้มีน้ำไหลผ่านเพียง 1,700 ลบ.ม ต่อวินาที เท่านั้น

                               จังหวัดอยุธยา ตลิ่ง ยังสูงกว่า ระดับน้ำในแม่น้ำ ๑ เมตร  น้ำต้องท้วมที่อยุธยาก่อนเป็นแห่งแรก  จึงจะท้วม อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท  ส่วนปทมธานี  นนทบุรี  กทม.  จะท้วมภายหลังเพราะสามารถระบายน้ำลงทะเลได้มากกว่าปริมาณน้ำที่มาจากอยุธยา เพราะที่อยุธยา แม่น้ำเจ้าพระยาแคบมาก น้ำเหนือระบายได้น้อย จึงต้องท้วมอยุธยาแบบมากๆ จึงจะท้วมกทม. ครับ

                               ที่อยุธยาสามารถระบายน้ำได้ 1,155 ลบ.ม ต่อ วินาที ขณะนี้อยู่ที่ 855 ลบ.ม ต่อ วินาที ยังรับสบายมาก

                               กทม. ไม่ต้องพูดถึงสามารถระบายน้ำได้ 3,500 ลบ.ม ต่อ วินาที แต่ขณะนี้มีเพียง 1,700 ลบ.ม ต่อ วินาที ครับ

                              น้ำท้วมที่เราเห็นทางทีวี เป็นเรื่องของน้ำป่า  จากน้ำฝน ที่ไม่มีทางระบายลงที่ลุ่มตามธรรมชาติ แบบค่อยเป็นค่อยไป  เพราะว่ามนุษย์ ไปสร้างถนน ถมที่บังการไหลของน้ำ  จึงทำให้น้ำป่าเป็นเขื่อนขนาดย่อม ขึ้นจำนวนมากแบบขั้นบันได ดังนั้นเมื่อแต่ละเขื่อนย่อยที่ขวางทางน้ำไหล เอาไม่อยู่ เขื่อนย่อยเหล่านั้นจึงพังทะลายลง กลายเป็นโดมิโน กระแสน้ำเลยแรงดังที่ท่านเห็นใน ทีวี

                             ผมเชื่อว่าหมดอาทิตย์นี้แล้ว สถานการณ์น้ำภาคเหนือจะเป็นปกติ ครับ

                             ผมต้องขอบคุณกรมชลประทาน ที่มีความคิดเหมือนผม คือ จะเห็นได้ว่าเมื่อวานกรมชลประทานได้ระบายน้ำ ออกไปทางฝั่งตะวันตกเพิ่มมากขึ้น น้ำเหล่านี้จะไหลไปตามทุ่งกว้าง และแม่น้ำสุพรรณบุรี  จะเป็นประโยชน์ต่อนาข้าว และเพิ่มน้ำ ปุ๋ยในดิน  ดีกว่าปล่อยทิ้งลงทะเล และทำความเดือนร้อนให้ชาวอำเภอบางบาน อยุธยา

                             ส่วนฝั่งตะวันออกนั้น ยังปิดอยู่ที่บางโฉมศรี และบ้านไร่ เพราะกำลังซ่อมไซฟ่อนอยู่ แต่ล่าช้ามาก จะเป็นผลดีคือ ถ้าน้ำมันจะท้วมจริง จะได้ไหลเข้าทุ่งตะวันออกได้ เพราะถ้าไซฟ่อนเสร็จ  รัฐบาลจะไม่ปล่อยน้ำเข้าทุ่ง ผลคือ อ่างทอง  อยุธยา  ปทุมธานี  นนทบุรี และกทม. จะจมน้ำหนักมาก เพราะความเขลาของรัฐบาลแบบปีที่แล้ว  ที่ไม่จำเอามาเป็นบทเรียน ที่พยายามปิดประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ไม่ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ

                              อย่าลืมตัวชี้วัดที่สำคัญ น้ำที่พิษณุโลก พิจิตร  ยังไม่ท้วมหนัก เพียงแค่ปริ่มน้ำ  ดังนั้น น้ำที่ผ่านนครสวรรค์จึงมีเพียง 50% เท่านั้น แล้วน้ำมันจะท้วมได้อย่างไร  มันก็เป็นจริงตามที่ชลประทานสิงห์บุรี  ได้เรียนให้ท่านผู้ว่าและข้าราชการทราบ

                               ยกเว้นผู้ไม่รู้จริง คือ รัฐบาล  ฝ่ายค้าน  นักข่าว ที่ต้องการสร้างภาพ  สร้างความสับสนให้กับประชาชนเพื่อหวังผลทางการเมือง และขายข่าว

                               แต่ผู้รู้จริง คือข้าราชการกรมชลประทานที่อยู่ในพื้นที่  แต่พูดไม่ได้  พูดได้เฉพาะอธิบดี กรมชลประทานผู้เดียวเท่านั้น

                               สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6909 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 08:55:49 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้ผมอยู่บ้าน ไม่ได้เดินทางไปสิงห์บุรี ไปเฝ้าแม่ ครับ

                              ในช่วงเช้า ได้ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน  ซักผ้า และ

                              Detox เอาสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่สะสมมาจากเวียตนามออกให้หมด ครับ

                              บ่ายเดินทางไปนครศรีธรรมราช Boarding 14:15 น. by Nok Air

                              ช่วงนี้ มีมารมาผจญมาก และรู้สึกว่า จิตของเรานั้น ช้าไปกว่ามาร แล้ว กว่าจะรู้เท่าทันก็เสียเวลาไปนาน  คงจะต้องหาเวลา สร้างความรู้สึกตัวให้มากๆ มากกว่ามาร เสียแล้วเรา เป็นเพราะการยุ่งกับทางโลกมากไปนั่นเอง อยู่กับความคิด  ความรู้สึกตัวเลยหายไป  เลยช้ากว่ากำลังของมาร

                                ดังนั้น วันนี้ขอนำเอาอิทัปปัจจยตา มาทบทวนตนเองครับ

                              สวัสดีครับ



















      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6910 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 09:43:08 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และน้องหนุงหนิง...

...ตามอ่านทุกความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อวานมาจนจบค่ะ...

...วันนี้ตื่นสายเลยเข้ามาทักช้าไปหน่อยค่ะ...

...เพราะเมื่อคืนนอนดึก...สวดมนต์จนถึงตีสาม...

...เห็นมันดึกมากแล้วก็เลยนอนค่ะ...ไม่งั้นคงสวดต่อเรื่อยๆ...กำลังมัน...

...ตู่ติดสวดมนต์มากกว่านั่งสมาธิหรืออ่านหนังสือธรรมะค่ะ...

...อานิสงค์จากการสวดมนต์มีเยอะ...แต่บางทีเราไม่รู้ตัว...

...บทสวดบางบทก็บอกไว้...ถ้าดูจากการแปล...

...อ้อ...เกือบลืมไป...เมื่อหลายวันก่อนได้ทำบุญสร้างหนังสือสวดมนต์ของทางวัดไป 100 เล่ม...เป็นจำนวนเงินห้าพันบาทค่ะ...

...เนื่องจากทางวัดยังไม่มีหนังสือสวดมนต์ที่ใช้สะดวกสำหรับพระ...ชี...และญาติโยมเพียงพอ...

...ที่มีอยู่แล้วเป็นกระดาษโรเนียวแล้วเข้าเล่มธรรมดา...

...เวลาใช้ก็จะเขียนกำกับให้ข้ามไปหน้าโน้นหน้านี้หรือเล่มอื่นๆหลายบทอยู่...

...ทางวัดก็เลยจัดพิมพ์ใหม่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิมค่ะ...

...ขณะนี้กำลังพิมพ์อยู่และก็มีผู้มีจิตศรัทธาหลายท่านร่วมกันบริจาคค่ะ...

...ขอนำบุญมาฝากพี่สิงห์...น้องหนุงหนิงและสมาชิกทุกท่านด้วยค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6911 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 10:20:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 13 กันยายน 2555, 09:43:08

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และน้องหนุงหนิง...

...ตามอ่านทุกความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อวานมาจนจบค่ะ...

...วันนี้ตื่นสายเลยเข้ามาทักช้าไปหน่อยค่ะ...

...เพราะเมื่อคืนนอนดึก...สวดมนต์จนถึงตีสาม...

...เห็นมันดึกมากแล้วก็เลยนอนค่ะ...ไม่งั้นคงสวดต่อเรื่อยๆ...กำลังมัน...

...ตู่ติดสวดมนต์มากกว่านั่งสมาธิหรืออ่านหนังสือธรรมะค่ะ...

...อานิสงค์จากการสวดมนต์มีเยอะ...แต่บางทีเราไม่รู้ตัว...

...บทสวดบางบทก็บอกไว้...ถ้าดูจากการแปล...

...อ้อ...เกือบลืมไป...เมื่อหลายวันก่อนได้ทำบุญสร้างหนังสือสวดมนต์ของทางวัดไป 100 เล่ม...เป็นจำนวนเงินห้าพันบาทค่ะ...

...เนื่องจากทางวัดยังไม่มีหนังสือสวดมนต์ที่ใช้สะดวกสำหรับพระ...ชี...และญาติโยมเพียงพอ...

...ที่มีอยู่แล้วเป็นกระดาษโรเนียวแล้วเข้าเล่มธรรมดา...

...เวลาใช้ก็จะเขียนกำกับให้ข้ามไปหน้าโน้นหน้านี้หรือเล่มอื่นๆหลายบทอยู่...

...ทางวัดก็เลยจัดพิมพ์ใหม่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิมค่ะ...

...ขณะนี้กำลังพิมพ์อยู่และก็มีผู้มีจิตศรัทธาหลายท่านร่วมกันบริจาคค่ะ...

...ขอนำบุญมาฝากพี่สิงห์...น้องหนุงหนิงและสมาชิกทุกท่านด้วยค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          บุญนั้นฝากกันไม่ได้  ได้แต่รับรู้  ชื่นใจ  สุขใจ  ที่คนทำบุญแล้วนึกถึงเรา แสดงว่าเขามีเมตาจิต ต่อเรา แค่นี้ก็สุข  ระลึกถึงกันได้ หรือมีทัศนคติที่ดีต่อเราครับ

                           การสวดมนต์และมีสติรู้ในสิ่งที่สวดไปทีละคำนั้นละ คือการปฏิบัติธรรม ที่แท้จริงละ

                           การไปนั่งหลับตา สมาธิ  เดินจงกรม  แต่ปล่อยใจสงบนิ่ง หรือคิดเรื่อยเปื่อยนั้น ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม

                           การปฏิบัติธรรม ต้องมีความรู้สึกตัวระลึกได้ว่ากาย-ใจ เกิดสภาวะธรรมอะไรขึ้นมาบ้างเมื่ออายตนะ ๖ รับรู้หรือสัมผัสจากสิ่งที่มากระทบ ไม่ใช่ความคิด เป็นเพียงความรู้สึกตัว ให้รู้สึกตัวเฉพาะภายใน และไม่ส่งออกนอก ระวังรักษาสำรวมอินทรีย์ คือกาย วาจา  ใจ ให้เป็นปกติ ครับ

                           อย่าลืมทำให้ได้ทุกวัน สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น พร้อมทั้งคำแปล ครับ

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #6912 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 10:37:57 »

พี่สิงห์

เป็นที่ทราบกันดีในขณะนี้ว่า น้ำที่ท่วมคือน้ำจากฝน ที่มาจากร่องความกดอากาศ และตกต่อเนื่องหลายวัน
ปัญหาการแก้ไขเรื่องถนน สิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำ ไม่เคยทำสักที
เงินมีมาถึงสามแสนห้าหมื่นล้านบาท ก็คิดแต่จะไปทำเมกาโปรเจ๊ค เพราะได้ใต้โต๊ะมากกว่าทำงานย่อยๆ
หมดเงินก้อนนี้ ปัญหาถนนและสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำก็ไม่ได้รับการแก้ไขเช่นเดิม ??
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6913 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 11:07:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 13 กันยายน 2555, 10:37:57
พี่สิงห์

เป็นที่ทราบกันดีในขณะนี้ว่า น้ำที่ท่วมคือน้ำจากฝน ที่มาจากร่องความกดอากาศ และตกต่อเนื่องหลายวัน
ปัญหาการแก้ไขเรื่องถนน สิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำ ไม่เคยทำสักที
เงินมีมาถึงสามแสนห้าหมื่นล้านบาท ก็คิดแต่จะไปทำเมกาโปรเจ๊ค เพราะได้ใต้โต๊ะมากกว่าทำงานย่อยๆ
หมดเงินก้อนนี้ ปัญหาถนนและสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำก็ไม่ได้รับการแก้ไขเช่นเดิม ??


                    นั่นละความจริง  ที่เราประชาชน  ชุมชน ต้องดิ้นรนกระทำเอง  แต่ทำไม่ได้ครับ

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6914 เมื่อ: 13 กันยายน 2555, 11:26:52 »

สถานการณ์น้ำ ลุ่มเจ้าพระยา วันนี้





                     - เขื่อนต่างๆ ยังสามารถรับน้ำได้อีกจำนวนมาก  โดยเฉพาะเขื่อนป่าสัก ไม่ควรปล่อยน้ำทิ้ง ณ ขณะนี้ เพราะ อำเภอบางบาน ที่เป็นที่ลุ่ม กำลังมีผลกระทบจากน้ำท้วมในที่ราบลุ่มมาก

                    - เขื่อนภูมิพล สิริกิตต์ สองแคว และเขื่อนเจ้าพระยา ไม่ควรปล่อยน้ำทิ้ง เพราะพิษณุโลก  พิจิตร  กำลังได้ผลกระทบจากน้ำป่าที่มาจาก แพร่ น่าน  สุโขทัย เพราะถ้าปล่อยออกมาจะเป็นการซ้ำเติมชาวพิษณุโลก และชาวพิจิตร  เพราะ ณ ขณะนี้  ยังไม่มีวี่แววพายุพัดผ่านประเทศไทยเลย และเราสามารถรู้ เตรียมการ ได้ล่วงหน้า ๑๕ วันก่อนที่พายุจะมาถึงประเทศไทย  เราสามารถระบายน้ำออกได้ทัน  แต่ตอนนี้ต้องหยุดการระบายเพื่อประชาชนชาวพิษณุโลก  พิจิตร  อำเภอบางบาน อยุธยา เอาไว้ก่อน จะได้ไม่เดือดร้อน

                    - เขื่อนเจ้าพระยาถ้าจำเป็นต้องระบายน้ำทิ้ง ควรระบายลงทุ่งเจ้าพระยาตะวันออก  ตะวันตก และสุพรรณบุรี แทน ดินจะได้ชุ่มน้ำ มีน้ำใต้ดินมาก และมีปุ๋ยธรรมชาติที่มากับน้ำ

                    - นครสวรรค์ สามารถรับน้ำไหลผ่านได้ 3,590 ลบ.ม ต่อ วินาที  วันนี้มีน้ำไหลผ่านเพียง 1,838 ลบ.ม ต่อ วินาที เท่านั้น

                    - เขื่อนเจ้าพระยา สามารถรับน้ำไหลผ่านได้ 2,830 ลบ.ม ต่อ วินาที  วันนี้มีน้ำไหลผ่านเพียง 1,838 ลบ.ม ต่อ วินาที เท่านั้น

                    - บางไทร อยุธยา (กทม.) สามารถรับนได้ 3,500 ลบ.ม ต่อ วินาที  วันนี้มีน้ำไหลผ่านเพียง 1,814 ลบ.ม ต่อ วินาที เท่านั้น

                                 จะเห็นว่ากรมชลประทานใช้วิธีบริหารจัดการน้ำแบบเอาตัวรอดไปก่อน  ไม่รับรู้ความเดือดร้อนของชาวพิษณุโลก  พิจิตร และบางบาน อยุธยา เลย คือ มีน้ำเหนือส่งมาเท่าไร ก็ปล่อยลงทะเลเท่านั้น ที่ 1,838  ลบ.ม ต่อ วินาที  ทั้งๆที่สามารถเก็บน้ำไว้ได้ หรือ ปล่อยลงทุ่งที่เป็นแก้มลิงธรรมชาติ  ที่ต้องการน้ำ เหมือนกัน

                                  สถานการณ์ เป็นอย่างนี้ กทม. ปทุมธานี  นนทบุรี  น้ำไม่ท้วมแน่นอน ครับ

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6915 เมื่อ: 14 กันยายน 2555, 05:29:39 »

พี่สิงห์คะ,
ทางเหนือ,น้ำยังไม่นองเต็มตลิ่งคะ
เต็มตลิ่ง? 3.70 m. คะ
เมื่อเช้าวัดได้เพียง 2.30 m.
ต้องอีกหลายห่าค่ะ ฝนยายฉิมก็ยังไม่ล้น
เมื่อทางเหนือ ที่น้ำแม่ปิงยังไม่เต็ม...
ทางใต้ที่เบตง เอ๊ย,ที่กทม. ก็...ไม่มีอะไรต้องห่วง




http://hydro-1.net/08HYDRO/HD-06/CCTV-P1.html
      บันทึกการเข้า


too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6916 เมื่อ: 14 กันยายน 2555, 09:14:41 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 13 กันยายน 2555, 10:20:22
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 13 กันยายน 2555, 09:43:08

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และน้องหนุงหนิง...

...ตามอ่านทุกความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อวานมาจนจบค่ะ...

...วันนี้ตื่นสายเลยเข้ามาทักช้าไปหน่อยค่ะ...

...เพราะเมื่อคืนนอนดึก...สวดมนต์จนถึงตีสาม...

...เห็นมันดึกมากแล้วก็เลยนอนค่ะ...ไม่งั้นคงสวดต่อเรื่อยๆ...กำลังมัน...

...ตู่ติดสวดมนต์มากกว่านั่งสมาธิหรืออ่านหนังสือธรรมะค่ะ...

...อานิสงค์จากการสวดมนต์มีเยอะ...แต่บางทีเราไม่รู้ตัว...

...บทสวดบางบทก็บอกไว้...ถ้าดูจากการแปล...

...อ้อ...เกือบลืมไป...เมื่อหลายวันก่อนได้ทำบุญสร้างหนังสือสวดมนต์ของทางวัดไป 100 เล่ม...เป็นจำนวนเงินห้าพันบาทค่ะ...

...เนื่องจากทางวัดยังไม่มีหนังสือสวดมนต์ที่ใช้สะดวกสำหรับพระ...ชี...และญาติโยมเพียงพอ...

...ที่มีอยู่แล้วเป็นกระดาษโรเนียวแล้วเข้าเล่มธรรมดา...

...เวลาใช้ก็จะเขียนกำกับให้ข้ามไปหน้าโน้นหน้านี้หรือเล่มอื่นๆหลายบทอยู่...

...ทางวัดก็เลยจัดพิมพ์ใหม่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิมค่ะ...

...ขณะนี้กำลังพิมพ์อยู่และก็มีผู้มีจิตศรัทธาหลายท่านร่วมกันบริจาคค่ะ...

...ขอนำบุญมาฝากพี่สิงห์...น้องหนุงหนิงและสมาชิกทุกท่านด้วยค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          บุญนั้นฝากกันไม่ได้  ได้แต่รับรู้  ชื่นใจ  สุขใจ  ที่คนทำบุญแล้วนึกถึงเรา แสดงว่าเขามีเมตาจิต ต่อเรา แค่นี้ก็สุข  ระลึกถึงกันได้ หรือมีทัศนคติที่ดีต่อเราครับ

                           การสวดมนต์และมีสติรู้ในสิ่งที่สวดไปทีละคำนั้นละ คือการปฏิบัติธรรม ที่แท้จริงละ

                           การไปนั่งหลับตา สมาธิ  เดินจงกรม  แต่ปล่อยใจสงบนิ่ง หรือคิดเรื่อยเปื่อยนั้น ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม

                           การปฏิบัติธรรม ต้องมีความรู้สึกตัวระลึกได้ว่ากาย-ใจ เกิดสภาวะธรรมอะไรขึ้นมาบ้างเมื่ออายตนะ ๖ รับรู้หรือสัมผัสจากสิ่งที่มากระทบ ไม่ใช่ความคิด เป็นเพียงความรู้สึกตัว ให้รู้สึกตัวเฉพาะภายใน และไม่ส่งออกนอก ระวังรักษาสำรวมอินทรีย์ คือกาย วาจา  ใจ ให้เป็นปกติ ครับ

                           อย่าลืมทำให้ได้ทุกวัน สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น พร้อมทั้งคำแปล ครับ

                           สวัสดี


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...คำว่าเอาบุญมาฝาก...ได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่เค้าพูดกันมาตั้งแต่เด็กๆเลยค่ะ...

...จุดประสงค์คงเพื่อให้ผู้ฟังได้รับรู้ถึงสิ่งดีๆที่ได้กระทำมา...

...และถ้าคนฟังยินดีด้วย...ก็จะพูดว่า...อนุโมทนาบุญค่ะ...ครับ...

...และเจ้าของบุญก็จะพูดว่า...สาธุ...

...คนที่ไปถือศีลที่วัดนานๆ...เค้าจะพูดกันอย่างนี้ทั้งวันค่ะ...

...มันคงจะน่าฟังกว่าการประกาศออกมาโต้งๆค่ะ...พี่สิงห์...

...บางที่และบางคน...การประกาศว่าเราได้ทำบุญหรือจะทำบุญอาจโดนอิจฉา...

...สังเกตได้จากปฎิกริยาตอบรับ...อย่างเช่นตอนตู่บอกคนรู้จักบางคนว่าลูกชายจะบวช...

...แทนที่จะถามว่า...บวชวันไหน...วัดอะไร...เหมือนอย่างบางคนที่เค้ายินดีและถามทันทีที่รู้...

...แต่คนนี้กลับอึ้งไปประมาณครึ่งนาที...และพูดว่า...ทำไมถึงคิดจะรีบร้อนบวชตอนนี้ล่ะ...

...และจริงๆด้วยพอถึงวันบวชเธอก็ไม่มาร่วมงาน...และทำเป็นว่าไปงานอื่นแทนค่ะ...

...มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างละเอียดหน่อยค่ะ...

...และถึงแม้ตู่จะยังไมถึงขั้นรู้วาระจิต...แต่บางครั้งก็อ่านใจคนได้ดีพอสมควรค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6917 เมื่อ: 14 กันยายน 2555, 09:56:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 14 กันยายน 2555, 09:14:41
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 13 กันยายน 2555, 10:20:22
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 13 กันยายน 2555, 09:43:08

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และน้องหนุงหนิง...

...ตามอ่านทุกความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อวานมาจนจบค่ะ...

...วันนี้ตื่นสายเลยเข้ามาทักช้าไปหน่อยค่ะ...

...เพราะเมื่อคืนนอนดึก...สวดมนต์จนถึงตีสาม...

...เห็นมันดึกมากแล้วก็เลยนอนค่ะ...ไม่งั้นคงสวดต่อเรื่อยๆ...กำลังมัน...

...ตู่ติดสวดมนต์มากกว่านั่งสมาธิหรืออ่านหนังสือธรรมะค่ะ...

...อานิสงค์จากการสวดมนต์มีเยอะ...แต่บางทีเราไม่รู้ตัว...

...บทสวดบางบทก็บอกไว้...ถ้าดูจากการแปล...

...อ้อ...เกือบลืมไป...เมื่อหลายวันก่อนได้ทำบุญสร้างหนังสือสวดมนต์ของทางวัดไป 100 เล่ม...เป็นจำนวนเงินห้าพันบาทค่ะ...

...เนื่องจากทางวัดยังไม่มีหนังสือสวดมนต์ที่ใช้สะดวกสำหรับพระ...ชี...และญาติโยมเพียงพอ...

...ที่มีอยู่แล้วเป็นกระดาษโรเนียวแล้วเข้าเล่มธรรมดา...

...เวลาใช้ก็จะเขียนกำกับให้ข้ามไปหน้าโน้นหน้านี้หรือเล่มอื่นๆหลายบทอยู่...

...ทางวัดก็เลยจัดพิมพ์ใหม่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิมค่ะ...

...ขณะนี้กำลังพิมพ์อยู่และก็มีผู้มีจิตศรัทธาหลายท่านร่วมกันบริจาคค่ะ...

...ขอนำบุญมาฝากพี่สิงห์...น้องหนุงหนิงและสมาชิกทุกท่านด้วยค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          บุญนั้นฝากกันไม่ได้  ได้แต่รับรู้  ชื่นใจ  สุขใจ  ที่คนทำบุญแล้วนึกถึงเรา แสดงว่าเขามีเมตาจิต ต่อเรา แค่นี้ก็สุข  ระลึกถึงกันได้ หรือมีทัศนคติที่ดีต่อเราครับ

                           การสวดมนต์และมีสติรู้ในสิ่งที่สวดไปทีละคำนั้นละ คือการปฏิบัติธรรม ที่แท้จริงละ

                           การไปนั่งหลับตา สมาธิ  เดินจงกรม  แต่ปล่อยใจสงบนิ่ง หรือคิดเรื่อยเปื่อยนั้น ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม

                           การปฏิบัติธรรม ต้องมีความรู้สึกตัวระลึกได้ว่ากาย-ใจ เกิดสภาวะธรรมอะไรขึ้นมาบ้างเมื่ออายตนะ ๖ รับรู้หรือสัมผัสจากสิ่งที่มากระทบ ไม่ใช่ความคิด เป็นเพียงความรู้สึกตัว ให้รู้สึกตัวเฉพาะภายใน และไม่ส่งออกนอก ระวังรักษาสำรวมอินทรีย์ คือกาย วาจา  ใจ ให้เป็นปกติ ครับ

                           อย่าลืมทำให้ได้ทุกวัน สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น พร้อมทั้งคำแปล ครับ

                           สวัสดี


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...คำว่าเอาบุญมาฝาก...ได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่เค้าพูดกันมาตั้งแต่เด็กๆเลยค่ะ...

...จุดประสงค์คงเพื่อให้ผู้ฟังได้รับรู้ถึงสิ่งดีๆที่ได้กระทำมา...

...และถ้าคนฟังยินดีด้วย...ก็จะพูดว่า...อนุโมทนาบุญค่ะ...ครับ...

...และเจ้าของบุญก็จะพูดว่า...สาธุ...

...คนที่ไปถือศีลที่วัดนานๆ...เค้าจะพูดกันอย่างนี้ทั้งวันค่ะ...

...มันคงจะน่าฟังกว่าการประกาศออกมาโต้งๆค่ะ...พี่สิงห์...

...บางที่และบางคน...การประกาศว่าเราได้ทำบุญหรือจะทำบุญอาจโดนอิจฉา...

...สังเกตได้จากปฎิกริยาตอบรับ...อย่างเช่นตอนตู่บอกคนรู้จักบางคนว่าลูกชายจะบวช...

...แทนที่จะถามว่า...บวชวันไหน...วัดอะไร...เหมือนอย่างบางคนที่เค้ายินดีและถามทันทีที่รู้...

...แต่คนนี้กลับอึ้งไปประมาณครึ่งนาที...และพูดว่า...ทำไมถึงคิดจะรีบร้อนบวชตอนนี้ล่ะ...

...และจริงๆด้วยพอถึงวันบวชเธอก็ไม่มาร่วมงาน...และทำเป็นว่าไปงานอื่นแทนค่ะ...

...มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างละเอียดหน่อยค่ะ...

...และถึงแม้ตู่จะยังไมถึงขั้นรู้วาระจิต...แต่บางครั้งก็อ่านใจคนได้ดีพอสมควรค่ะ...

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         จิตมนุษย์ ปุถุชนม์ทั่วๆไป ไม่ยกเว้น แม้กระทั่งพี่สิงห์ มันก็เป็นเช่นนั้น คือ มีความอิจฉา ริษยา  ชอบใจ  ไม่ชอบใจ  อะไรที่ตนรัก  ตนชอบ  ก็อยากให้คนอื่นมีความรู้สึกเช่นเรา  อะไรที่ตนเองไม่รัก ไม่ชอบ ไม่อยากประสบ ก็เกลียดไปหมด(แสดงออก)

                           เมื่อเรารู้ความจริง ว่าจิตมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องรู้เท่าทันมันให้เร็ว เราก็สามารถสำรามกาย  วาจา  ใจ  ของเราให้เป็นปกติได้  ความสงบก็บังเกิดขึ้นกับเรา สุดท้าย จิตมันจะคลายความยึดมั่นถือมั่นได้เอง 

                            เราสามารถนำความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติธรรม(มีความระลึกได้ที่กาย-ใจ ณ ปัจจุบัน เสมอ) มาใช้กับการที่เราต้องอยู่กับสังคม  อยู่กับคน  ที่เราสามารถจะอยู่อย่างสงบได้ ไม่ต้องหวังสิ่งใดทั้งนั้น เราก็สุขแล้ว

                             ธรรมะของพระพุทธเจ้า ต้องการสอนคนให้อยู่ร่วมกันแบบสันติ  สงบสุข ที่แท้จริง  ถ้าทุกท่านปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์อย่างแท้จริง อย่าเป็นเพียงมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านว่า "นับถือพุทธศาสนา"

                             อย่าลืมเราไม่สามารถบังคับใคร ให้ทำอะไรได้  แต่เราสามารถกระทำตัวของเราไม่ให้ใครเดือดร้อนเพราะเราได้ แม้กระทั่งตัวเราก็ไม่เดือดร้อน  นี่สำคัญที่สุดครับ  ใครอยากทำอะไรก็เรื่องของเขา เราระวังแต่ตัวของเราเท่านั้น เป็นดีที่สุด

                              สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6918 เมื่อ: 14 กันยายน 2555, 10:19:17 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผุ้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                               พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช  ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน แต่กองทำฝนเทียมของกระทรวงเกษตร  ยังตั้งฐานปฏิบัติการฝนหลวงอยู่ที่นครศรีธรรมราช ครับ

                                ทางใต้ เช่นนครศรีธรรมราช  ไม่ค่อยครึกครื้น เพราะรัฐบาลไม่ใช่พรรคประชาธิปัติ จึงโดนตัดงบประมาณไปหมด เพื่อบีบบังคับให้ประชาชนต้องเลือกพรรคเพื่อไทย  ทางรัฐบาลจะได้มีงบประมาณมาให้เหมือนกับภาคเหนือ และภาคอิสาน  ก็ว่ากันไปครับ

                                เมื่อตอนหัวค่ำ ภายหลังจากได้เดินสายพานออกกำลังกาย(ไปเพิ่มน้ำหนักมาจากการไปเวียตนาม ๑ กิโลกรัม จึงต้องหาทางลดโดยด่วน) ได้ฝึกโยคะ แต่ไม่มีคนมาเรียนโยคะ จึงถือโอกาสไปอบซาวน่า ก็ได้รับทราบเรื่องการชนวัว มาครับ

                                ปัจจุบันทางจังหวัดภาคใต้ ให้เอกชนสามารถสร้างสนามวัวชนได้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์สายพันธ์วัวแต่ละหมู่บ้านให้คงไว้  ผมก็ได้เรียนถามสมาชิกท่านหนึ่งที่มาทำซาวน่า เป็นเจ้าของสนามวัวชน เพราะผมดูทางทีวี ไม่เห็นสนุกตรงไหน เลย

                                กีฬาวัวชน (พูดให้เท่หน่อย) เป็นกีฬาพื้นบ้านทางภาคใต้ ไม่น่าเชื่อว่า แต่ละสนามวัวชน นั้น ในหนึ่งเดือน จัดแข่งทุกสัปดาห์ จะมีเงินสะพัดเป็นร้อยล้านบาท เฉพาะค่าคนดูอย่างเดียวก็ประมาณ ๔-๕ ล้านบาทต่อสัปดาห์ เพราะชาวบ้านจะยกหมู่บ้านมาเชียร์วัวของหมู่บ้านตน เพราะแต่ละหมู่บ้านจะรักษาสายพันธ์วัวชนเอาไว้  ด้วยการเก็บน้ำเชื้อของวัวชน ที่เก่งเอาไว้ที่กรมปศุสัตว์

                                 ไม่น่าเชื่อว่า วัวตัวเมียจะแพงกว่าวัวตัวผู้ เพราะวัวตัวเมียสามารถขยายพันธ์ได้ โดยนำไปผสมเทียมที่กรมปศุสัตว์ตามสายพันธ์ที่เก็บเอาไว้ มีลูกออกมาสามเดือนสามารถขายได้หลักห้าหมื่นบาทขึ้นไปต่อตัว

                                  สำหรับการพนันกันนั้น จะพนันเป็นทั้งหมู่บ้านถือหางเป็นหลักหลายล้านในการชนกันแต่ละคู่ พูดง่ายๆ ถ้าวัวชนะ หมู่บ้านนั้นก็มีสตางค์  ถ้าวัวแพ้ หมู่บ้านนั้นก็อด  ไม่รู้ว่าดี หรือไม่ดี  ย่อมไม่ดีแน่ๆ ครับ

                                  ส่วนการพนันส่วนบุคคล ในสนามนั้นจะใช้วิธียกมือเป็นสัญญาณ ว่าราคาต่อรองเท่าไร  จ่ายเท่าไร  ผมจำไม่ได้ครับ

                                  สำหรับวัวชนนั้น  ไม่มีการพักยก ชนกันจนถึงแพ้เลย  ดังนั้นเราจะเห็นเสมอว่า ปลากัด  ไก่  วัว  ถ้าแพ้โดนเชือดแน่ๆ เพราะชาวบ้านและเจ้าของหมดตัว  แต่ทุกวันนี้จะเห็นบ่อนปลากัด  บ่อนไก่  วัวชน มีคนไปเล่นการพนันเต็มไปหมด ชนิดที่โรงงานไม่มีคนทำงานเลยละ  ถ้าจำไม่ผิด วันพฤหัสบดีบ่อนปลากัด  วันศุกร์บ่อนไก่ชน และวันเสาร์-อาทิตย์ บ่อนวัวชน  แถมอีกมวยตู้  นี่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านภาคใต้นิยมที่สุดครับ

                                  วันจันทร์  อังคาร  พุธ เป็นวันทำงาน หาเงินไปเล่นการพนัน

                                   ไม่รู้นโยบายเปิดบ่อนปลากัด  ไก่ชน  วัวชน  มันดีหรือไม่ดีครับ

                                   สวัสดี


                                   
                                     วัวชน นั้นมี ๒ ประเภท คือ

                                        - วัวอาศัยแรงดี อึด  ทน ก็ต้องวัวภาคใต้

                                        - วัวที่อาศัยเขาขวิด  ใช้ชั้นเชิง  ก็ต้องวัวภาคเหนือ

                                     ภาคใต้มีวัวชนประมาณ ๓๐๐๐ ตัว  ภาคเหนือมีวัวชนประมาณ ๗๐๐๐ ตัว ณ ปัจจุบัน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6919 เมื่อ: 14 กันยายน 2555, 10:50:28 »

สถานการณ์น้ำ ลุ่มเจ้าพระยา วันนี้




                          
                           สถานการณ์น้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ยังเป็นปกติเหมือนเมื่อวานครับ และน่าจะดีขึ้นสำหรับภาคเหนือที่ฝนเริ่มลดลง

                           อย่าลืมยังไม่มีพายุพัดผ่านประเทศไทยเลยในปีนี้  ปีหน้าเราจะไม่มีน้ำใช้แน่ๆ ครับ

                           ตัวอย่างที่เห็น นครศรีธรรมราชเขตเทศบาลไม่มีน้ำดิบทำน้ำประปา

                           โคราชปีหน้าไม่มีน้ำดิบทำน้ำประปา เพราะเขื่อนลำตะคอง มีน้ำน้อยมากปีนี้


โครงการแก้ปัญหาน้ำท้วมแบบยั่งยืน สำหรับ กทม.

เสนอโดย

นามมานพ  กลับดี




                             ผมเคยเขียนเสนอโครงการให้ขุดแม่น้ำเจ้าพระยาสายที่สองทางฝั่งตะวันตก เริ่มตั้งแต่สิงห์บุรี ไปออกทะเลสมุทปราการ โดยไม่ต้องเสียสตางค์มาก ทางรัฐบาล  ประชาชน คนไทยก็ไม่สนใจ

                             วันนี้ผมเสนอใหม่ ดังนี้

                             เราทราบกันดีว่าแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยุธยา แคบมาก และมีน้ำทางแม่น้ำป่าสักมาสมทบอีก  ดังนั้น อยุธยา จะต้องประสบมีน้ำท้วมทุกปีแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะน้ำไม่รู้จะไปไหน  ดังนั้น เราต้องเพิ่มการระบายน้ำออกไปอีก ด้วยการ

                             ขุดแม่น้ำต่อยอดจากแม่น้ำน้อย ตามที่ท่านเห็นในภาพ ทางฝั่งตะวันตกตรงสู่ทะเลเลย ไม่ต้องกว้างมากก็ได้  ไม่ใช่ปล่อยให้วกลงเจ้าพระยาอีก เพราะอนาคต กทม.จะเป็นเมืองบาดาล เพราะทุกจังหวัดทำเขื่อน แล้วน้ำมันจะไปไหน เท่ากับน้ำจะอยู่ในแม่น้ำพ่งตรง กทม.อย่างเดียวเท่านั้น

                             ขุดคลองระพีพัฒน์ ขยายให้กว้าง พุ่งสู่ลงทะเลฝั่งตะวันออกตามภาพ เพื่อตัดน้ำจากเขื่อนป่าสัก และเจ้าพระยา ลงทะเลเพิ่มขึ้น (รัชกาลที่ ๕  ยังทรงใช้แรงงานคนขุดคลองระพีพัฒน์ได้  ทำไมเราจะทำ ขยาย ตัดลงทะเลเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ ล่ะ ลองคิดดู)

                              อุโมงค์ ที่เขาจะคิดทำกันนั้นขนาดยังเล็กกว่าคลองระพีพัฒน์ และต้องใช้พลังงานสูบทิ้งลงทะเล เพราะแรงดันไม่พอ ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ และไฟฟ้ามหาศาล ท่านคิดดูเอาเอง เถิด

                              ถ้าทำสองโครงการนี้ ผมเชื่อว่า ใช้เงินไม่มาก และน้ำจะไม่ท้วมทั้งภาคกลางเลย ครับ

                              ผมว่าทุกท่านคงสามารถนึกภาพออกนะครับ เพียงเราต่อไปอีกหน่อยเท่านั้นเอง ระยะทางไม่เกิน ๕๐ กิโลเมตร

                              อย่าใจร้ายกับความคิดผมเลยครับ พิจารณาบ้าง ไม่เสียหายอะไรเลย

                              ท่านเห็นภาพแล้วนะครับ ทำไม อำเภอบางบาน จึงน้ำท้วมก่อนใครเพื่อน เพราะโดนทั้งแม่น้ำน้อย และเจ้าพระยา ขนาบครับ

                              สวัสดี


                            
                              สงสัย ความคิดเราแย่มากๆ  แม้แต่ ดร.สุริยา  ยังไม่เห็นดีด้วยเลย

                              เราหลงตัวเองอยู่ได้  นี่ก็ตัณหาตัวหนึ่งของเราละ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6920 เมื่อ: 14 กันยายน 2555, 14:06:10 »


                            ถ้า ดร.สุริยา   ไม่พอใจ

                            ผมเสนอขุดแม่น้ำ  คลองเชื่อมต่อจากของเดิม ๓ สาย เพื่อพาน้ำไปลงทะเลเพิ่ม

                            รับรองน้ำไม่ท้วมภาคกลางในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแน่นอนเลยครับ

                            รัชกาลที่ ๕ ทรงใช้แรงงานขุดคลองเปรมประชากร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพระองค์และประชาชนในการเดินทางโดยทางน้ำไปบางปะอิน และทรงขุดคลองจำนวนมากเพื่อป้องกันน้ำท้วมและมีน้ำใช้

                            ตั้งแต่นั้นมา  รัฐบาลไทยยุคประชาธิปไตย ไม่เคยขุดคลอง หรือแม่น้ำเพิ่มขึ้นเลย  และยังไม่ดีมาก คือถมคลองที่มีอยู่เดิมไปเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะ ในเขตกทม. เพื่อทำถนนเพิ่ม

                            กรรมจริงๆ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #6921 เมื่อ: 14 กันยายน 2555, 19:38:17 »

บุญนั้นฝากกันไม่ได้  ได้แต่รับรู้  ชื่นใจ  สุขใจ  ที่คนทำบุญแล้วนึกถึงเรา แสดงว่าเขามีเมตาจิต ต่อเรา แค่นี้ก็สุข  ระลึกถึงกันได้ หรือมีทัศนคติที่ดีต่อเราครับ

แล้วทำไมเขาว่า ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนโน้นคนนี้หล่ะคะพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6922 เมื่อ: 15 กันยายน 2555, 07:57:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 14 กันยายน 2555, 19:38:17
บุญนั้นฝากกันไม่ได้  ได้แต่รับรู้  ชื่นใจ  สุขใจ  ที่คนทำบุญแล้วนึกถึงเรา แสดงว่าเขามีเมตาจิต ต่อเรา แค่นี้ก็สุข  ระลึกถึงกันได้ หรือมีทัศนคติที่ดีต่อเราครับ

แล้วทำไมเขาว่า ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนโน้นคนนี้หล่ะคะพี่สิงห์

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                             มันเป็นประเพณ๊ที่สืบทอดกันมา เพราะถ้าไม่มีการทำบุณ พระท่านก็ไม่มีปัจจัย มันเกิดขึ้นก่อน-หลังพุทธกาล ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่ดี พระพุทธองค์ท่านก็ไม่ทรงห้าม แต่อย่าทำให้ตนเอง หรือครอบครัวเดือดร้อน

                            แต่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า กรรม คือการกระทำ ใครทำดี  ได้ดี  ใครทำชั่วได้ชั่ว  ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกรรมที่ตนเองกระทำนั้นได้

                            แต่การทำบุญอุทิศส่วนกุศล มันเป็นเรื่องที่ดี เมื่อเราทำแล้วเราสบายใจ  สุขใจ และได้ระลึกถึงบุญคุณที่เราทำบุญให้กับผู้มีอุปการะคุณ มาแต่ก่อน เช่น พ่อ-แม่ ของเรา เป็นต้น  ก็ควรกระทำต่อไปไม่มีอะไรเสียหาย เป็นประเพณีที่ดี  แต่บุญจะถึงผู้ตายหรือไม่  ไม่มีใครทราบเพราะผู้ตายไม่สามารถฟื้นขึ้นมาบอกกล่าวได้  ถ้าเราไม่ทำบุญแบบนี้ให้ลูหหลานเห็น  เขาก็จะไม่นึกถึงเรา  เมื่อเราต้องจากไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี  การทำบุญมันทำให้คนเป็นคนดีได้อย่างหนึ่งครับ

                            มีแต่พระไตรปิฎก กล่าวเอาไว้ว่า พระโมคคัลลานะ ได้ใช้อิทธิฤทธิ์ขึ้นไปบนสวรรค์ ได้พบนางฟ้า อยู่วิมานสวย  จึงได้ไปไต่ถามว่าชาติก่อนเคยทำบุญอะไรไว้ นางฟ้าก็ตอบว่าเคยทำบุญใส่บาตรพระอรหันต์มาก่อน ประมาณนี้ จำไม่ได้เหมือนกัน  แต่ก็เป็นบุญที่ตนเองเคยทำไว้มาก่อน จึงได้รับผลบุญ

                            เป็นอันว่าเราทำบุญ  ใครทำบุญให้ใครดีทั้งนั้น เพราะมันสุขใจที่ได้ทำ  และเราไม่เดือดร้อน  ไม่มีใครบังคับ  ก็ทำไปเลย เพราะมันสุขใจในชาตินี้จริงๆ แค่นี้ก็ดีแล้วครับ  อย่าไปหวังชาติหน้าเลย เพราะเป็นเรื่องที่เราไม่รู้ แต่ถ้าเราทำดี  เราก็ได้รับผลดีในชาตินี้เห็นๆ แล้ว ทำไมเราจะไม่ทำดีต่อไปล่ะ เพราะการทำบุญมันก็เป็นสิ่งที่ดีนี่นา  จริงไหม?

                           สวัสดีตอนเช้าค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6923 เมื่อ: 15 กันยายน 2555, 08:12:35 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                               เมื่อวานผมได้สอนพนักงานที่บริษัท ไปท่านหนึ่ง เพราะว่าได้ทำบอลลูนไป ๒ เส้น และที่ผ่านมาไม่ดูแลร่างกายเลย  จนไตแสดงอาการให้เห็นเพราะกินยาอย่างต่อเนื่อง คอเรสตอรอลไม่ลดลงเลย  ผมจึงบังคับว่าถ้าปล่อยแบบนี้ ตายแน่นอน และลูกหลานลำบากเพราะเป็นโรคเสียเงิน  เลยบังคับให้ กินข้าวกล้อง  งดอาหารไขมัน  ออกกำลังกายด้วยการเดินยามทุกวัน ครั้งละหนึ่งชั่วโมง ประมาณ ๕ กิโลเมตร พร้อมทั้งลดปริมาณการกินข้าวแต่ละมื้อลง เพื่อเป็นการลดน้ำหนัก

                                แต่ยังมีเรื่องเครียด  ผมเลยสอนให้ปฏิบัติธรรม (หน้าเบ้) ผมบอกว่าการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่อย่างที่เห็นต้องไปที่วัด เมื่อย  เสียเวลา นั่งหลับแบบนั้น  การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือการมีสติ  รูสึกตัว  ระลึกได้ว่า ณ ปัจจุบันนั้น  กาย-ใจ ของเรามันเป็นอย่างไร  ขอให้แยกให้ออกระหว่าง ความรู้สึกตัว  อารมณ์  ความคิด เวลาเดินออกกำลังกายไป ก็เอาสตินั้นจับความรู้สึกอันนี้ให้ได้ เรียกว่า "ดูจิต" ตนเองเลย  ลองดูซิว่า เราจะค้นพบ  แยกแยะ จิต ตนเองได้ไหม? ลองดู  แล้วมาบอกด้วย

                                ใครจะเอาไปลองทำดูก็ได้นะครับ ไม่ต้องสนใจวิธีการ ที่เคยรู้มา เอาความรู้สึกตัวไปดูที่จิต เลย สังเกตให้พบคือ ความรู้สึกตัว  อารมณ์  และความคิด  มันเกิดขึ้นอย่างไร  มันดับอย่างไร  มันเกิดทีละอย่าง หรือพร้อมกัน  จิตเราคิดอะไร เราไปแช่ในสิ่งที่คิดนานๆ  เรารู้สึกตัวได้ไหม? แล้วมาบอกผมที ครับ

                                นครศรีธรรมราช อากาศขมุกขมัว  ฝนจะตกก็ไม่ตก  ตกพอให้รำคาญร่างกาย ครับ

                                วันนี้ผมกลับ กทม. เย็นๆ ครับ

                                สำหรับแม่ ยังปกติดี  คุณหมอวิทิต  สั่งให้อาหารเพิ่ม แสดงว่าดีขึ้น รูป-นาม มันก็เป็นอย่างนี้ เราบังคับมันไม่ได้เลย  ดังนั้น มันจึงเป็น "อนัตตา" คือเราบังคับมันไม่ได้  ไม่มีอำนาจเหนือมัน  ดังนั้นต้องคิดว่า รูป-นาม ไม่มีตัวตน

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6924 เมื่อ: 15 กันยายน 2555, 10:07:38 »




สวัสดีครับ คุณน้องป้อม  คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                ในสมัยพุทธกาลนั้น เวลาพระพุทธองค์จะทรงแสดงธรรมให้ใครฟังนั้น อยู่ๆ พระพุทธองค์จะทรงสอนทุกข์เลยนั้น ผู้ฟังคงไม่เข้าใจ และจะรับไม่ได้เพราะจิตยังไม่คล้อยตาม

                                พระพุทธองค์จะแสดงธรรมที่เรียกว่า "อนุบุพพิกถา" คือการแสดงธรรมเป็นลำดับ เพื่อให้จิตของผู้ฟังนั้น ลดทิฏฐิลง หรือ อ่อนลง เป็นจิตที่เป็นกุศล พอที่จะรับฟังธรรมที่ลึกซึ้งได้ เช่น อริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้

                                ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโดยลำดับ คือ เริ่มต้นด้วยทาน ศีล(ศีล ๕) โทษของผู้ไม่ปฏิบัติตามศีล ความต่ำทรามต่าง ๆ ความเศร้าหมองของกาม และอนิสสงของการออกบวช

                                 เมื่อผู้ฟังมีจิตคล้อยตามแล้ว พระพุทธองค์ จึงสอนอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) นิโรธ(วิถีทางแห่งการพ้นทุกข์) มรรค(แนวทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์)

                                 จะเห็นว่าพระพุทธองค์จะสอนเรื่องการให้ทาน เป็นสิ่งแรก เพราะคนทั่วไปสามารถเห็นผลดีของการให้ทาน ซึ่งก็คือการทำบุญนั่นเอง จะประกอบไปด้วย การบริจาคทาน  การอนุเคราะห์ การมีปิยะวาจร และการสม่ำเสมอในการกระทำทั้งสามสิ่งที่กล่าวมาแล้วอยู่เป็นนิจ เมื่อผู้ฟังได้รับฟังแล้วจิต จะเป็นจิตกุศล สามารถสั่งสอนได้ พระพุทธองค์จะสอนเรื่องศีล ๕ และโทษของศีล ๕  ซึ่งผู้ฟังสามารถรับรู้แล้วเข้าใจได้ง่ายๆ

                                 หลังจากนั้นพระพุทธองค์จะทรงสอนเรื่อง  สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ความเศร้าหมองของผู้ที่ยังหลงยึดติดในกามที่เกิดจาก ตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ ถึงตอนจิตจิตของผู้ฟัง จะคล้อยตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่ามันเป็นจริง  จึงจะทรงสอนอริยสัจ ๔ ได้

                                 ดังนั้น การให้ทาน  การอนุเคราะห์คนอยากไร้ หรือก็คือ การทำบุญนั้นเอง ยังเป็นสิ่งจำเป็นเริ่มแรกของมนุษย์ ที่จะต้องปฏิบัติ เพราะเมื่อให้ทาน หรือทำบุญแล้ว  จิตจะเป็นสุข เป็นจิตกุศล ครับ

                                 ก็จำได้คร่าวๆ ครับ ก็เอามาเล่าสู่กันฟัง

                                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 275 276 [277] 278 279 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><