23 พฤษภาคม 2567, 20:22:48
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 291 292 [293] 294 295 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3279050 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
kumpolcomcai
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี อยู่ในสถานที่ดีดี
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2525
คณะ: สัตวแพทยศาสตร์
กระทู้: 10,307

เว็บไซต์
« ตอบ #7300 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2555, 09:50:20 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์
ผมขอแจ้งข่าวกิจกรรมของสมาคมซีมะโด่ง
และขอเรียนเชิญพี่สิงห์ไปร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับพี่จ๋าย พูนสุข โตชนาการ ซีมะโด่ง 2516 คณะบัญชี
เนื่องในโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้ว่าการบัญชีและการเงิน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ในวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา 11.30 น.  ณ อาคาร อ.ค.น.ร. ภายใน กฟผ.บางกรวย นนทบุรี
ด้วยความเคารพ
หมอตุ่น ปชส.สมาคมซีมะโด่ง
ติดตามความคืบหน้าของงาน ได้ที่นี่ครับ
www.cmadong.com/board/index.php/topic,17823.msg604596.html#msg604596
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7301 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2555, 19:05:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ kumpolcomcai เมื่อ 01 พฤศจิกายน 2555, 09:50:20
สวัสดีครับ พี่สิงห์
ผมขอแจ้งข่าวกิจกรรมของสมาคมซีมะโด่ง
และขอเรียนเชิญพี่สิงห์ไปร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับพี่จ๋าย พูนสุข โตชนาการ ซีมะโด่ง 2516 คณะบัญชี
เนื่องในโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้ว่าการบัญชีและการเงิน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ในวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา 11.30 น.  ณ อาคาร อ.ค.น.ร. ภายใน กฟผ.บางกรวย นนทบุรี
ด้วยความเคารพ
หมอตุ่น ปชส.สมาคมซีมะโด่ง
ติดตามความคืบหน้าของงาน ได้ที่นี่ครับ
www.cmadong.com/board/index.php/topic,17823.msg604596.html#msg604596

สวัสดีครับ คุณหมอตุ่น

                          ขอบคุณมากที่เรียนเชิญให้ไปร่วมงาน  บังเอิญบอกช้าไปครึ่งวันครับ เมื่อตอนเที่ยงผมได้ตอบรับไปร่วมการแข่งขันกอล์ฟอาชีพ One day tour ของ โปร.สุกรี  อ่อนฉ่ำ  ที่สนามกอล์ฟ Winsor เรียบร้อยไปแล้วครับ  จะตอบปฏิเสธตอนนี้ก็ลำบากใจครับ

                           ดังนั้นจึงไม่สามารถไปร่วมงานได้  ก็ขอฝากแสดงความยินดีด้วย ณ ที่นี้เลยครับ

                           และกรุณาบอกคุณน้องกนกวรรณ ด้วยเสื้อที่รับปากพี่สิงห์ ไว้นั้น ช่วยจัดการให้ด้วยจักขอบพระคุณมากครับ

                           พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช ฝนตกนิดหน่อย

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7302 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2555, 19:17:53 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                  อะไร ๆ ที่เราคิดนั้น มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เขาบัญญัติ และตั้งชื่อขึ้นมา  มนุษย์เลยจำได้ และสามารถเรียกชื่อได้ เมื่อพบอีกครั้ง หรือสามารถนึกขึ้นมาได้จากสัญญา คือความจำได้หมายรู้ที่อยู่ในสมอง

                                  ทุกวันนี้สิ่งที่เราทุกข์ คือตัวรูป-นาม ที่เราไปยึดว่ามันคือตัวตนของเรา  จริงๆ แล้วรูป-นาม มันไม่ใช่ตัวตนของเราเลย เพราะเราไม่มีอำนาจเหนือรูป-นาม นั้นเลย  ท่านสั่งอะไร รูป-นาม ไม่ได้  เวลาท่านทุกข์ รูป-นาม มันเป็นตัวทุกข์ ท่านไม่ได้ทุกข์ตามไปด้วย  นอกเสียจากท่านคิดว่ารูป-นามนั้นคือตัวตนของท่าน

                                   อะไรๆ ที่เป็นสมมติบัญญัติ หรือสิ่งที่ท่านคิดนั้น มีแต่ทุกข์

                                   ดังนั้นท่านจะต้องหยุดการคิด  อย่าปล่อยอารมณ์ของท่านให้อยู่ในความคิด หรือล่องลอยไปกับความคิด

                                   ท่านสามารถจะคิดได้ ในกรณีของการทำงาน ทำกิจวัตรประจำ และท่านต้องรู้ตัวว่ากำลังคิด แต่ไม่ตกอยู่ใต้ความคิด

                                    ท่านจะต้องสร้างให้มีความรู้สึกตัวอยู่กับ การหายใจเข้า-ออก เคลื่อนไหว-หยุดการเคลื่อนไหว ท่านจพต้องรู้สึกตัวเมื่อท่านทุกข์เวทนา  สุขเวทนา และอุเบกขา เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้นกับท่านเช่น โลภ  โกรธ  หลง หรืออารมณ์ต่างๆ ก็ตามท่านจะต้องรู้ศึกตัว แต่ไม่ตกอยู่ในอารมณ์นั้น เมื่อจิตของท่านเป็นกุศล ท่านก็รู้สึกตัว  เมื่อจิตของท่านเป็นอกุศล ท่านก็รู้สึกตัว

                                   การรู้สึกตัวจะทำให้ท่านไม่คิด  ถ้าท่านรู้อยู่กับปัจจุบันมากๆ ท่านจะคิดน้อยลง เมื่อคิดน้อยลง ท่านก็จะทุกข์น้อยลง  ไม่เชื่อท่านลองสังเกตุ รูป-นาม ของท่าน แล้วท่านจะทราบด้วยตัวท่านเอง

                                   ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ


      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #7303 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2555, 19:25:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 พฤศจิกายน 2555, 08:02:38
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 31 ตุลาคม 2555, 22:29:54
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 ตุลาคม 2555, 21:21:15

                            คุณเหยง  ช่วยจับ ดร.สุริยา  เป็นนางแมว แห่รอบวัดที  ฝนตกแน่

                            สงสัยวันนี้เรามีแต่จิตอกุศล  คิดแบบนี้ได้อย่างไร  เสียหายหมด  เศร้าจริงหนอเรา !

ส่ง ดร.กุศลไปแห่แทน

                   ส่งทั้งสองคนเป็นการดี คือ ดร.สุริยา และ ดร.กุศล

                   เพราะธรรมดาจะแห่เป็นคู่   คู่ผัว-เมีย

                   ฝนตก  ชาวบ้านมีน้ำใช้  ต้นข้าวเติบโต  มนุษย์สิ้นเคราะห์

                  ได้อานิสสงฆ์มาก

ทำไมถึงขว้างงู ไม่พ้นคอ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
ประทาน14
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2514
คณะ: เภสัชศาสตร์
กระทู้: 999

« ตอบ #7304 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2555, 23:39:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 01 พฤศจิกายน 2555, 19:25:27
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 พฤศจิกายน 2555, 08:02:38
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 31 ตุลาคม 2555, 22:29:54
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 ตุลาคม 2555, 21:21:15

                            คุณเหยง  ช่วยจับ ดร.สุริยา  เป็นนางแมว แห่รอบวัดที  ฝนตกแน่

                            สงสัยวันนี้เรามีแต่จิตอกุศล  คิดแบบนี้ได้อย่างไร  เสียหายหมด  เศร้าจริงหนอเรา !

ส่ง ดร.กุศลไปแห่แทน

                   ส่งทั้งสองคนเป็นการดี คือ ดร.สุริยา และ ดร.กุศล

                   เพราะธรรมดาจะแห่เป็นคู่   คู่ผัว-เมีย

                   ฝนตก  ชาวบ้านมีน้ำใช้  ต้นข้าวเติบโต  มนุษย์สิ้นเคราะห์

                  ได้อานิสสงฆ์มาก

ทำไมถึงขว้างงู ไม่พ้นคอ
จะขว้างบุมเมอแรงก็กลับมาที่เดิมเหมือนกันนะครับ พี่ป๋อง
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #7305 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 00:37:37 »

ระวังนะครับคุณประทาน มาแถวนี้บ่อยๆ
จะพลอยฟ้าพลอยเฌอมาลย์ โดนหางบุมเมอแรงเข้าให้
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7306 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 07:48:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 00:37:37
ระวังนะครับคุณประทาน มาแถวนี้บ่อยๆ
จะพลอยฟ้าพลอยเฌอมาลย์ โดนหางบุมเมอแรงเข้าให้


                       ดร.สุริยา  ไปดูหนังเรื่อจัน-ดารา มาหรือยัง  มันฉายที่ไหน  จะได้ไปศึกษาดูจิตตนเองบ้าง เคยได้แต่ฟังคุณเคี้ยง  นันทกว้าง  วิจารย์ทางรายการวิทยุ  นานมาแล้ว  พอดีนึกถึงคุณตั๊ก  บงกช   จะแต่งงานกับเศรษฐีหมื่นล้าน ขึ้นมาได้

                       ถ้า ดร.สุริยา  จะจ้างคุณพลอยเฌอมาลย์ มาเป็นนางแบบวาดภาพลายเส้น หรือภาพนู๊ด  บ้างก็ได้นะ เผื่อว่าจะได้แฟนเป็นดารากับเขาบ้าง  นี่เป็นวิธีหาแฟน  รู้จักดารา  ถ้ากล้าจ้าง  กล้าให้ กล้าขอ และข้อสุดท้าย  ถ้าทั้งสองฝ่ายก็ชอบกันด้วยใจจริง  อุปสรรคบ่มีแน่นอน

                        เอาอีกแล้วเรา  เช้านี้จิตเป็น "อกุศล" อีกแล้ว  ไม่ดีเลย  ชักเคยตัวเสียแล้วจิตเรา ต้องระวังมารย่อมมีวิธีการต่างๆนาๆ  มายั่วยวนเสมอ อย่าลืม !

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7307 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 07:52:27 »

สวัสดีครับ คุณประทาน

                            อยากทราบว่าค่าทัวร์ที่เหลือเขาจะเก็บเมื่อไรครับ  จะได้เตรียมเงินเอาไว้ให้  เพราะเดือนนี้ใช้จ่ายเงินเกินตัวติดลบไปหมดแล้ว ต้องรีบหาเงินมาเตรียมเอาไว้

                            กระเป๋า  ยังไม่ได้รับเหมือนกัน

                            ขอบคุณมากครับ ที่มาแย่รังแตน

                            สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7308 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 07:55:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 พฤศจิกายน 2555, 19:17:53
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                  อะไร ๆ ที่เราคิดนั้น มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เขาบัญญัติ และตั้งชื่อขึ้นมา  มนุษย์เลยจำได้ และสามารถเรียกชื่อได้ เมื่อพบอีกครั้ง หรือสามารถนึกขึ้นมาได้จากสัญญา คือความจำได้หมายรู้ที่อยู่ในสมอง

                                  ทุกวันนี้สิ่งที่เราทุกข์ คือตัวรูป-นาม ที่เราไปยึดว่ามันคือตัวตนของเรา  จริงๆ แล้วรูป-นาม มันไม่ใช่ตัวตนของเราเลย เพราะเราไม่มีอำนาจเหนือรูป-นาม นั้นเลย  ท่านสั่งอะไร รูป-นาม ไม่ได้  เวลาท่านทุกข์ รูป-นาม มันเป็นตัวทุกข์ ท่านไม่ได้ทุกข์ตามไปด้วย  นอกเสียจากท่านคิดว่ารูป-นามนั้นคือตัวตนของท่าน

                                   อะไรๆ ที่เป็นสมมติบัญญัติ หรือสิ่งที่ท่านคิดนั้น มีแต่ทุกข์

                                   ดังนั้นท่านจะต้องหยุดการคิด  อย่าปล่อยอารมณ์ของท่านให้อยู่ในความคิด หรือล่องลอยไปกับความคิด

                                   ท่านสามารถจะคิดได้ ในกรณีของการทำงาน ทำกิจวัตรประจำ และท่านต้องรู้ตัวว่ากำลังคิด แต่ไม่ตกอยู่ใต้ความคิด

                                    ท่ีานจะต้องสร้างให้มีความรู้สึกตัวอยู่กับ การหายใจเข้า-ออก เคลื่อนไหว-หยุดการเคลื่อนไหว ท่านจพต้องรู้สึกตัวเมื่อท่านทุกข์เวทนา  สุขเวทนา และอุเบกขา เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้นกับท่านเช่น โลภ  โกรธ  หลง หรืออารมณ์ต่างๆ ก็ตามท่านจะต้องรู้ศึกตัว แต่ไม่ตกอยู่ในอารมณ์นั้น เมื่อจิตของท่านเป็นกุศล ท่านก็รู้สึกตัว  เมื่อจิตของท่านเป็นอกุศล ท่านก็รู้สึกตัว

                                   การรู้สึกตัวจะทำให้ท่านไม่คิด  ถ้าท่านรู้อยู่กับปัจจุบันมากๆ ท่านจะคิดน้อยลง เมื่อคิดน้อยลง ท่านก็จะทุกข์น้อยลง  ไม่เชื่อท่านลองสังเกตุ รูป-นาม ของท่าน แล้วท่านจะทราบด้วยตัวท่านเอง

                                   ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เมื่อวานตู่ได้นำธรรมะหัวข้อนี้ไปลงในหน้าเฟสบุ๊คของตู่นะคะ...

...ขออนุญาติก๊อปไปเรื่อยๆนะคะ...

...เรื่องกุฎิพระ...ถ้าพี่สิงห์มีรูปช่วยนำมาลงให้ชมบ้างนะคะ...

...อยากเห็นบ้านดินด้วยค่ะ...ถ้าเอามาทำที่วัดป่า...จะเหมาะมั้ยคะ...

...ที่วัดอากาศชื้นค่ะ...พวกหมอน...ผ้านวม...ถ้าเผลอไม่เอามาผึ่งแดด...

...จะขึ้นราเร็วมากค่ะ...ตู่ทิ้งหมอนไปหลายใบแล้ว...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7309 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 07:58:00 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกที่มาแวะเวียน ที่รักทุกท่าน

                                  อย่าลืมครับ เช้านี้ ทำจิตให้ผ่องใส ด้วยการสร้างความรู้สึกตัวอยู่กับ "รูป-นาม" จะเคลื่อนไหว หรือหยุด ก็ให้รู้สึกตัว มีอารมณ์ หรือใจนึกคิดก็ให้รู้สึกตัว

                                   อย่าตก หรือแช่  หรือเพ่งอยู่กับความคิด

                                   นั่นละวิธีทำจิตของท่านจะผ่องใส

                                  เมื่อจิตท่านอยู่กับการรู้สึกตัวมากๆ ความทุกข์มันก็ไม่มี

                                  หรือเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น(คิด) ท่านก็จะสามารถผ่านมันไปได้เอง เพราะพอท่านรู้สึกตัว ความคิดมันก็หายไปแล้ว

                                  สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7310 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 08:06:01 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                            วันหลังจะเอาภาพบ้านดินมาลงให้ชมอีกครั้ง  

                            ถ้าจะทำบ้านดินแท้ๆ ที่ไม่ผสมปูนซิเมนต์  ต้องทำหลังคาคลุมกว้างๆ กันฝน  จะดีมาก  

                            บ้านดินแท้ๆ คือบ้านที่เราเห็นตาม TV ของชาวอาฟริกา หรือโมล๊อกโก แบบนั้น เป็นร้อยปีก็ไม่เสียหาย เพราะฝนมันมีน้อย เย็นสบายดี

                           สำหรับกุฏิพระ ตามแบบของวัดป่าสุคะโต นั้น ราคาไม่แพง  สวย  สร้างเสร็จเร็ว  วันหลังจะเอาภาพมาให้ชมอีกครั้ง

                           บทความพี่สิงห์นั้น เอาไปได้เลย  คนจะได้รู้ในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน

                           หมอน ผ้าห่ม  ควรจะซักทุกอาทิตย์  พี่สิงห์เองยังต้องซักทุกอาทิตย์เลย เพราะถ้าไม่ซักจะทราบได้ทันทีจากความรู้สึก หรืออย่างน้อยก็เอาไปตากแดด  ไล่ความชื้นออกเสียบ้าง  จะได้นอนสบายตัว

                           วันนี้พี่สิงห์  ไม่ได้ใส่บาตรพระ เพราะอยู่นครศรีธรรมราช มันไม่สะดวกทั้งปวง

                           ตอนเช้าได้แต่ เดินจงกรมออกกำลังกาย รำชิกง และฝึกโยคะ ครับ

                           อาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มกล้อง กับถั่วลิสง และผักสลัดเปล่า ๆ หนึ่งจาน เพราะสามารถเลือกได้

                           สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #7311 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 09:54:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 07:48:59
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 00:37:37
ระวังนะครับคุณประทาน มาแถวนี้บ่อยๆ
จะพลอยฟ้าพลอยเฌอมาลย์ โดนหางบุมเมอแรงเข้าให้


                       ดร.สุริยา  ไปดูหนังเรื่อจัน-ดารา มาหรือยัง  มันฉายที่ไหน  จะได้ไปศึกษาดูจิตตนเองบ้าง เคยได้แต่ฟังคุณเคี้ยง  นันทกว้าง  วิจารย์ทางรายการวิทยุ  นานมาแล้ว  พอดีนึกถึงคุณตั๊ก  บงกช   จะแต่งงานกับเศรษฐีหมื่นล้าน ขึ้นมาได้

                       ถ้า ดร.สุริยา  จะจ้างคุณพลอยเฌอมาลย์ มาเป็นนางแบบวาดภาพลายเส้น หรือภาพนู๊ด  บ้างก็ได้นะ เผื่อว่าจะได้แฟนเป็นดารากับเขาบ้าง  นี่เป็นวิธีหาแฟน  รู้จักดารา  ถ้ากล้าจ้าง  กล้าให้ กล้าขอ และข้อสุดท้าย  ถ้าทั้งสองฝ่ายก็ชอบกันด้วยใจจริง  อุปสรรคบ่มีแน่นอน

                        เอาอีกแล้วเรา  เช้านี้จิตเป็น "อกุศล" อีกแล้ว  ไม่ดีเลย  ชักเคยตัวเสียแล้วจิตเรา ต้องระวังมารย่อมมีวิธีการต่างๆนาๆ  มายั่วยวนเสมอ อย่าลืม !

                        สวัสดี

อ้าวผมก็ฟังประจำ นึกว่าเขาชื่อ "เกี้ยง นันทขว้าง" แปลว่าขว้างได้ดีซะอีก
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7312 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 10:59:10 »







ขยายความ


สุญญตาวิหารธรรม

                         คือ ธรรมที่มีจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวอยู่ใน "ความว่างเปล่า" แต่ยังมีสติรู้ในรูป-นาม เป็นจิตปภัสสร พระอรหันต์เท่านั้นที่จะสามารถมีจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ ความว่างเปล่า หรือสุญญตา ได้นานๆ

                         เราผู้ปฏิบัติธรรมก็สามารถมีอารมณ์ในสุญญตาได้ แต่มันเป็นช่วงสั้นมาก ๆ เพราะมันยังเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์อยู่ ที่เราไม่สามารถให้มันดำรงอยู่ได้นาน เนื่องจากเรายังยึดติด ยึดมั่น ยังอยากอยู่ แต่พระอรหันต์ท่านตรงข้ามกับปุถุชนม์เช่นเรา จิตท่านไร้การปรุงแต่ง  จึงสามารถมีสติ อยู่ในความว่างเปล่าได้นาน ตามที่ท่านต้องการ

                          พระสูตรบทนี้ เป็นพระสูตร สำคัญที่ให้พระภิกษุ พึงพิจรณาอยู่เนื่อง ๆ เพราะถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามนี้ พระภิกษุก็จะไม่แตกต่างจากพวกเดรถี ในสมัยพุทธกาลเลย  ที่ยังขอข้าวกินจากชาวบ้าน  ต้องพึ่งปัจจัย ๔ ในการดำรงชีวิตจากชาวบ้าน แต่กลับประพฤติเช่นเดียวกับชาวบ้าน  จึงมีแต่ข้อครหานินทา  เพราะในเมื่อต้องพึ่งปัจจัย ๔ จากชาวบ้าน มีเวลา ก็ควรปฏิบัติตนเองเพื่อการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง และนำสิ่งที่ค้นพบนั้นมาสอนชาวบ้านให้รู้ตาม ปัจจัย ๔ ที่ชาวบ้านดูแล จึงจะบริสุทธิ์ ปราศจากการนินทา

                          น่าเสียดาย ปัจจุบัน พระในพุทธศาสนาแบบวัฒนธรรมไทยบางรูป อาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริงอันนี้  จึงละเสียศีล ๒๒๘ ข้อ ทั้งๆ ที่ท่านต้องพึ่งปัจจัย ๔ จากชาวบ้าน แต่ท่านกระทำเกินกิจตามที่พระพุทธองค์ ทรงสอน การบิณฑบาต คืออาศัยปัจจัย ๔ จากชาวบ้าน จึงไม่บริสุทธิ์ มีคนนินทาเอาได้ และเป็นการสร้างภาระให้ชาวบ้าน  ทั้งที่ต้องพึ่งชาวบ้าน  ไม่งามเลย

                          ผมยกพระสูตร นี้มาสอนตัวเอง เราเป็นคนมีอายุ ในอนาคต ต้องพึ่งพา ลูก หลาน เพื่อนฝูง หรือพึงคนรุ่นใหม่  ดังนั้นเมื่อเราต้องพึ่งเขา เราก็ควรที่จะระวังตนเองทางกาย  วาจา  ใจ  ไม่ทำให้เขาเหล่านั้นเดือดร้อนเพราะเรา เพราะเราจะกลายเป็นคนเนรคุณคน ที่เขาจะนินทาเอาได้ ไม่ดีเลย

                          คนแก่ที่ต้องพึงลูกหลาน เพื่อนฝูง  คนรุ่นใหม่ พึงสำเหนียกจงหนัก ความบริสุทธิ์ที่รับความอนุเคราะห์จากเขาเหล่านั้น จึงจะเป็นสิ่งที่สมควร บริสุทธิ์

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
kumpolcomcai
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี อยู่ในสถานที่ดีดี
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2525
คณะ: สัตวแพทยศาสตร์
กระทู้: 10,307

เว็บไซต์
« ตอบ #7313 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 11:04:24 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์
ผมขอแจ้งข่าวกิจกรรมของสมาคมซีมะโด่งให้ทราบครับ
ในวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2555 เวลา 18.30 น.เป็นต้นไป
สมาคมซีมะโด่งจะมีกิจกรรมร่วมแสดงความยินดีกับพี่ตุ้ม รศ.ดร.ฤาเดช เกิดวิชัย
ซึ่งได้รับการสรรหาให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา คนต่อไป
และพี่ตุ้ม ได้ให้เกียรติมาเป็นวิทยากรในกิจกรรม"ซีมะโด่งเสวนา"
ในหัวข้อเรื่อง"จากชีวิตเด็กหอซีมะโด่งที่ไม่ค่อยเอาถ่าน กลายเป็นฐานที่แข็งแกร่งสู่ความสำเร็จในวันนี้"
ที่ ห้องประชุม 2 สำนักงานหอพักนิสิตจุฬาฯ
ถ้าพี่ว่าง ไม่ได้ไปไหน ขอเรียนเชิญไปร่วมให้กำลังใจกับพี่ตุ้มด้วยนะครับ
ติดตามความคืบหน้าของงาน ได้ที่นี่ครับ
www.cmadong.com/board/index.php/topic/17824.msg604767.html#msg604767
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7314 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 11:35:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ kumpolcomcai เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 11:04:24
สวัสดีครับ พี่สิงห์
ผมขอแจ้งข่าวกิจกรรมของสมาคมซีมะโด่งให้ทราบครับ
ในวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2555 เวลา 18.30 น.เป็นต้นไป
สมาคมซีมะโด่งจะมีกิจกรรมร่วมแสดงความยินดีกับพี่ตุ้ม รศ.ดร.ฤาเดช เกิดวิชัย
ซึ่งได้รับการสรรหาให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา คนต่อไป
และพี่ตุ้ม ได้ให้เกียรติมาเป็นวิทยากรในกิจกรรม"ซีมะโด่งเสวนา"
ในหัวข้อเรื่อง"จากชีวิตเด็กหอซีมะโด่งที่ไม่ค่อยเอาถ่าน กลายเป็นฐานที่แข็งแกร่งสู่ความสำเร็จในวันนี้"
ที่ ห้องประชุม 2 สำนักงานหอพักนิสิตจุฬาฯ
ถ้าพี่ว่าง ไม่ได้ไปไหน ขอเรียนเชิญไปร่วมให้กำลังใจกับพี่ตุ้มด้วยนะครับ
ติดตามความคืบหน้าของงาน ได้ที่นี่ครับ
www.cmadong.com/board/index.php/topic/17824.msg604767.html#msg604767

สวัสดีครับ คุณหมอตุ่น ที่รัก

                       ขอบคุณมากที่แจ้งให้ทราบ

                       วันอังคารที่ ๖ พฤศจิกายน  พี่สิงห์ ต้องไปนครปฐม ตั้งแต่หกโมงเช้า ไปบรรยายเรื่องการผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ให้กับพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งที่เป็นลูกค้าของ SIW ฟัง

                        ถ้ากลับมาทันและไม่เหนื่อยมาก  อาจจะไปร่วมกิจกรรมได้ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7315 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 11:53:54 »





ขยายความ


                           คำว่า "อินทรีย์" ในที่นี้ หมายถึง สิ่งที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน(ในรูป-นาม) คือ ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และใจ ซึ่งก็คือ อายตนะ ๖ ที่ทำหน้าที่รับรู้ของ รูป-นาม นั่นเอง เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส  กายได้สัมผัส  และใจได้นึกคิด  ก็สามารถรับรู้ได้และ เกิดวิญญาณต่างๆ ตามมา

                           เมื่อรับรู้แล้วก็เกิดความพอใจ  เกิดความไม่พอใจ  หรือรู้สึกเฉยๆ ขึ้นมา พระพุทธองค์ท่านก็สอนให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดียินร้าย  คือไม่ให้คิดต่อนั่นเองเพราะถ้าคิดมันก็จะนำความสุข(ทำให้ติดใจอยากได้อีก)  ความทุกข์  มาให้  ไม่ดีเลย

                            เราถึงแม้จะเป็นปุถุชน คนธรรมดาก็สามารถเอาไปปฏิบัติต่อตัวเราได้  จะทำให้การยึดมั่นถือมั่นจางลง  ความทุกข์น้อยลง  ชีวิตจะมีแต่ความสงบสุข ครับ

                             อย่าลืมพระพาหิยะ ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์เร็วที่สุดนั้น พระพุทธองค์สอนว่า ให้สำรวมอินทรีย์ให้เป็นปกติ เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น  เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน  เมื่อได้ดมกลิ่นสักแต่ว่าได้ดมกลิ่น  เมื่อได้ลิ้มรสสักแต่ว่าลิ้มรส  เมื่อได้สัมผัสทางกายสักแต่ว่าสัมผัส และเมื่อใจนึกคิดก็สักแต่ว่าใจนึกคิด เพียงเท่านี้ รูป-นาม มันก็เห็นความจริง บรรลุธรรม ได้

                            ผมพยายามเอามาสอนตนเองอยู่เสมอ กินอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อรูป ไม่ยึดติดในความอร่อย  เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม  อยู่แบบธรรมดาเช่นคนทั่วไป  แต่ไม่เรียกร้องความต้องการมากนัก  ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเราด้วยการระวัง กาย วาจา  ใจ เข้าไว้เป็นหลัก

                            น่าเสียดาย มนุษย์เราส่วนมาก ยึดความต้องการของตนเองเป็นหลัก เมื่อได้มาแล้วก็ไม่รู้จักพอ โลกมนุษย์มันจึงมีแต่ความวุ่นวาย  ขัดแย้ง  ดิ้นรน  วิวาท  ก่อสงครามในทุกรูปแบบ ตั้งแต่อดีต  ปัจจุบัน และในอนาคต ไม่จบสิ้น

                            มนุษย์จึงมีแต่ทุกข์  สู้ไม่เกิดเสียดีกว่า นั่นละหนทางอันประเสริฐ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7316 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 12:40:03 »

น้ำไม่เต็มแก้ว

                             นอกจากนี้ผมพยายามฝึกตนเองให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว หรือพร่องแก้วให้มีที่ว่างเสมอในความคิดเห็น

                             หมายความว่า เราต้องสามารถรับฟังความคิดเห็นคนอื่นเสมอ  รับฟังการติเตียนจากคนอื่นเสมอ  รับฟังการว่า ดุ ด่า จากคนอื่นเสมอ โดยไม่ตอบโต้  หรือตกอยู่ในโมหะ  โดยยึดหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอน คือ ผู้ที่ติเตียนเรา  ว่าเรา  ด่าเรา ดุเรา สอนเรา นั้นคือผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา เพราะเราไม่รู้ตัวเอง  ดูตัวเองไม่เห็นจุดบกพร่อง แต่คนภายนอกมองเห็นจึงว่ากล่าว ตักเตือน ดุ  ด่าเรา เราต้องคิดเสมอว่านั่นละเขากำลังชี้ขุมทรัพย์ให้เรา  เพื่อว่าเราจะได้ปรับปรุงตัวเราได้  เราจะต้องกราบขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำไป  แต่บางทีมันก็ทำยากเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำแต่ตอบโต้ทันที จะมีแต่วิวาท  ความสงบสุขก็จะไม่บังเกิดขึ้น

                             จะเห็ว่าถ้าเรายึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ให้มั่น  ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน  เราก็มีแต่เป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว นั่นเอง

                             การอดทนอดกลั้นในการกระทำที่เป็นกุศลกรรม  มันจึงยากยิ่ง เป็นคุณสมบัติของยอดคน ครับ

                              เดี๋ยวนี้เวลาผมไปบรรยาย ทางวิชาการที่ใด  ผมจะเน้นเรื่องคนเป็นหลัก ให้คนสามารถทำงานได้ มีความรับผิดชอบ โดยนำคำสอนของพระพุทธองค์แทรกเข้าไปในการสอน ทุกครั้ง  จนมีคนชมมากขึ้น เพราะไม่มีวิทยากรคนใด เอาธรรมะของพระพุทธองค์ไปสอน ควบคู่ไปกับการสอนทางวิชาการในอาชีพ

                              สวัสดี


                              วันนี้สอนธรรมะ มามากไม่มีใครติดกัณเทศน์เลย

                              เรานี่หวังผลอีกแล้ว  ไม่ปล่อยวางเลย

                              ก็มันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา นี่นา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7317 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 12:44:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 09:54:13
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 07:48:59
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 00:37:37
ระวังนะครับคุณประทาน มาแถวนี้บ่อยๆ
จะพลอยฟ้าพลอยเฌอมาลย์ โดนหางบุมเมอแรงเข้าให้


                       ดร.สุริยา  ไปดูหนังเรื่อจัน-ดารา มาหรือยัง  มันฉายที่ไหน  จะได้ไปศึกษาดูจิตตนเองบ้าง เคยได้แต่ฟังคุณเคี้ยง  นันทกว้าง  วิจารย์ทางรายการวิทยุ  นานมาแล้ว  พอดีนึกถึงคุณตั๊ก  บงกช   จะแต่งงานกับเศรษฐีหมื่นล้าน ขึ้นมาได้

                       ถ้า ดร.สุริยา  จะจ้างคุณพลอยเฌอมาลย์ มาเป็นนางแบบวาดภาพลายเส้น หรือภาพนู๊ด  บ้างก็ได้นะ เผื่อว่าจะได้แฟนเป็นดารากับเขาบ้าง  นี่เป็นวิธีหาแฟน  รู้จักดารา  ถ้ากล้าจ้าง  กล้าให้ กล้าขอ และข้อสุดท้าย  ถ้าทั้งสองฝ่ายก็ชอบกันด้วยใจจริง  อุปสรรคบ่มีแน่นอน

                        เอาอีกแล้วเรา  เช้านี้จิตเป็น "อกุศล" อีกแล้ว  ไม่ดีเลย  ชักเคยตัวเสียแล้วจิตเรา ต้องระวังมารย่อมมีวิธีการต่างๆนาๆ  มายั่วยวนเสมอ อย่าลืม !

                        สวัสดี

อ้าวผมก็ฟังประจำ นึกว่าเขาชื่อ "เกี้ยง นันทขว้าง" แปลว่าขว้างได้ดีซะอีก
                       ผมอาจจะจำมาผิดก็ได้ เวลาฟังคุณกิ่งแก้ว พูด
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7318 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 13:32:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 12:40:03
น้ำไม่เต็มแก้ว

                             นอกจากนี้ผมพยายามฝึกตนเองให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว หรือพร่องแก้วให้มีที่ว่างเสมอในความคิดเห็น

                             หมายความว่า เราต้องสามารถรับฟังความคิดเห็นคนอื่นเสมอ  รับฟังการติเตียนจากคนอื่นเสมอ  รับฟังการว่า ดุ ด่า จากคนอื่นเสมอ โดยไม่ตอบโต้  หรือตกอยู่ในโมหะ  โดยยึดหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอน คือ ผู้ที่ติเตียนเรา  ว่าเรา  ด่าเรา ดุเรา สอนเรา นั้นคือผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา เพราะเราไม่รู้ตัวเอง  ดูตัวเองไม่เห็นจุดบกพร่อง แต่คนภายนอกมองเห็นจึงว่ากล่าว ตักเตือน ดุ  ด่าเรา เราต้องคิดเสมอว่านั่นละเขากำลังชี้ขุมทรัพย์ให้เรา  เพื่อว่าเราจะได้ปรับปรุงตัวเราได้  เราจะต้องกราบขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำไป  แต่บางทีมันก็ทำยากเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำแต่ตอบโต้ทันที จะมีแต่วิวาท  ความสงบสุขก็จะไม่บังเกิดขึ้น

                             จะเห็ว่าถ้าเรายึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ให้มั่น  ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน  เราก็มีแต่เป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว นั่นเอง

                             การอดทนอดกลั้นในการกระทำที่เป็นกุศลกรรม  มันจึงยากยิ่ง เป็นคุณสมบัติของยอดคน ครับ

                              เดี๋ยวนี้เวลาผมไปบรรยาย ทางวิชาการที่ใด  ผมจะเน้นเรื่องคนเป็นหลัก ให้คนสามารถทำงานได้ มีความรับผิดชอบ โดยนำคำสอนของพระพุทธองค์แทรกเข้าไปในการสอน ทุกครั้ง  จนมีคนชมมากขึ้น เพราะไม่มีวิทนากรคนใด เอาธรรมะของพระพุทธองค์ไปสอน ควบคู่ไปกับการสอนทางวิชาการในอาชีพ

                              สวัสดี


                              วันนี้สอนธรรมะ มามากไม่มีใครติดกัณเทศน์เลย

                              เรานี่หวังผลอีกแล้ว  ไม่ปล่อยวางเลย

                              ก็มันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา นี่นา


...พี่สิงห์คะ...ชอบอันนี้ค่ะ...

...โดนใจมากๆค่ะ...

...ขอก๊อปปี้นะคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7319 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 13:52:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 13:32:52
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 12:40:03
น้ำไม่เต็มแก้ว

                             นอกจากนี้ผมพยายามฝึกตนเองให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว หรือพร่องแก้วให้มีที่ว่างเสมอในความคิดเห็น

                             หมายความว่า เราต้องสามารถรับฟังความคิดเห็นคนอื่นเสมอ  รับฟังการติเตียนจากคนอื่นเสมอ  รับฟังการว่า ดุ ด่า จากคนอื่นเสมอ โดยไม่ตอบโต้  หรือตกอยู่ในโมหะ  โดยยึดหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอน คือ ผู้ที่ติเตียนเรา  ว่าเรา  ด่าเรา ดุเรา สอนเรา นั้นคือผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา เพราะเราไม่รู้ตัวเอง  ดูตัวเองไม่เห็นจุดบกพร่อง แต่คนภายนอกมองเห็นจึงว่ากล่าว ตักเตือน ดุ  ด่าเรา เราต้องคิดเสมอว่านั่นละเขากำลังชี้ขุมทรัพย์ให้เรา  เพื่อว่าเราจะได้ปรับปรุงตัวเราได้  เราจะต้องกราบขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำไป  แต่บางทีมันก็ทำยากเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำแต่ตอบโต้ทันที จะมีแต่วิวาท  ความสงบสุขก็จะไม่บังเกิดขึ้น

                             จะเห็ว่าถ้าเรายึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ให้มั่น  ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน  เราก็มีแต่เป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว นั่นเอง

                             การอดทนอดกลั้นในการกระทำที่เป็นกุศลกรรม  มันจึงยากยิ่ง เป็นคุณสมบัติของยอดคน ครับ

                              เดี๋ยวนี้เวลาผมไปบรรยาย ทางวิชาการที่ใด  ผมจะเน้นเรื่องคนเป็นหลัก ให้คนสามารถทำงานได้ มีความรับผิดชอบ โดยนำคำสอนของพระพุทธองค์แทรกเข้าไปในการสอน ทุกครั้ง  จนมีคนชมมากขึ้น เพราะไม่มีวิทนากรคนใด เอาธรรมะของพระพุทธองค์ไปสอน ควบคู่ไปกับการสอนทางวิชาการในอาชีพ

                              สวัสดี


                              วันนี้สอนธรรมะ มามากไม่มีใครติดกัณเทศน์เลย

                              เรานี่หวังผลอีกแล้ว  ไม่ปล่อยวางเลย

                              ก็มันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา นี่นา


...พี่สิงห์คะ...ชอบอันนี้ค่ะ...

...โดนใจมากๆค่ะ...

...ขอก๊อปปี้นะคะ...


 
                       เชิญตามสบาย  ไม่ต้องขออนุญาติใด ๆ ทั้งสิ้น

                         สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
ประทาน14
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2514
คณะ: เภสัชศาสตร์
กระทู้: 999

« ตอบ #7320 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2555, 22:07:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 09:54:13
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 07:48:59
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2555, 00:37:37
ระวังนะครับคุณประทาน มาแถวนี้บ่อยๆ
จะพลอยฟ้าพลอยเฌอมาลย์ โดนหางบุมเมอแรงเข้าให้


                       ดร.สุริยา  ไปดูหนังเรื่อจัน-ดารา มาหรือยัง  มันฉายที่ไหน  จะได้ไปศึกษาดูจิตตนเองบ้าง เคยได้แต่ฟังคุณเคี้ยง  นันทกว้าง  วิจารย์ทางรายการวิทยุ  นานมาแล้ว  พอดีนึกถึงคุณตั๊ก  บงกช   จะแต่งงานกับเศรษฐีหมื่นล้าน ขึ้นมาได้

                       ถ้า ดร.สุริยา  จะจ้างคุณพลอยเฌอมาลย์ มาเป็นนางแบบวาดภาพลายเส้น หรือภาพนู๊ด  บ้างก็ได้นะ เผื่อว่าจะได้แฟนเป็นดารากับเขาบ้าง  นี่เป็นวิธีหาแฟน  รู้จักดารา  ถ้ากล้าจ้าง  กล้าให้ กล้าขอ และข้อสุดท้าย  ถ้าทั้งสองฝ่ายก็ชอบกันด้วยใจจริง  อุปสรรคบ่มีแน่นอน

                        เอาอีกแล้วเรา  เช้านี้จิตเป็น "อกุศล" อีกแล้ว  ไม่ดีเลย  ชักเคยตัวเสียแล้วจิตเรา ต้องระวังมารย่อมมีวิธีการต่างๆนาๆ  มายั่วยวนเสมอ อย่าลืม !

                        สวัสดี

อ้าวผมก็ฟังประจำ นึกว่าเขาชื่อ "เกี้ยง นันทขว้าง" แปลว่าขว้างได้ดีซะอีก
ถ้าโดนหางบูมเมอแรงที่พลอย เฌอมาลย์ ขว้างมาคงไม่เจ็บมากหรอกนะครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7321 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2555, 08:22:22 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                             เช้าวันนี้เรามาทบทวนธรรมะของพระพุทธองค์ พระสูตรไหนกันดี !

                             ก่อนอื่นขอเรียนให้ทราบว่า ท่านอาจารย์ถาวร  โชติชื่น  ได้กรุณาส่งหนังสือ แบบ electronic มาให้อ่านหนึ่งเล่ม ของหลวงพ่อวัดพระมหาธาตุที่พระอาจารย์ของสมเด็จย่า และอาจารย์ของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ  เพื่อเตือนสติตนเองในการปฏิบัติธรรม คือ การปฏิบัติธรรมนั้น เป็นปัจจัตตัง คือผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น  จะเอาสิ่งที่รู้ไปโอ้อวดไม่ได้ ผิดคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเป็นพระก็ต้องปราชิก  ถ้ามีผู้ถามควรจะตอบอย่างไร และได้อะไรบ้างจากการปฏิบัติธรรม  ถือว่าเป็นหนังสือที่เตือนสติและให้ความรู้ต่างๆ ในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ถาวร  เป็นอย่างยิ่ง

                             ผมก็ได้ทบทวนในสิ่งที่รู้ และได้บอกทุกท่านไปนั้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ของพฤติกรรมของจิตมนุษย์  ไม่มีเรื่องใดที่อวดอุตริมนุษยธรรมทั้งสิ้น  ไม่ได้อวดเก่ง  อวดฉลาด  ใครๆ ก็สามารถประสบได้  ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงๆ และสิ่งที่รู้นั้นสามารถเอามาใช้ประโยชน์กับตนเอง สามารถอยู่อย่างสงบ ในสังคมได้  และเราก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย  ยังเป็นปุถุชนม์คนธรรมดา อยู่

                             ลืมไป เมื่อเย็นวานผมได้โทรศัพท์ไปคุยกับคุณสมศักดิ์  ขจรเสรี  รุ่นน้องกัลยาญมิตร  ได้สอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้างในการปฏิบัติธรรม  ก็ได้รับข่าวดีว่า ยังสวดมนต์ตอนเช้าทุกวัน และภาวนาวันละครึ่งชั่วโมง  และจากการที่ทำติดต่อกันนานๆ ถึงจะไม่ได้ต่อเนื่อง ก็พอจะสามารถแยกความรู้สึกตัว  แยกความคิดตนเองได้  และสามารถเข้าใจในธรรมะที่ผมเคยสอนให้ฟังนั้นรู้เรื่องมากขึ้น  เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์มากขึ้น  ทำให้สามารถเบาๆ อบายมุขที่ตนชอบคือเหล้าได้  มีจิตใจเป็นผู้ให้มากขึ้นกว่าเดิม

                             ผมก็บอกว่ามาถูกทางแล้ว สามารถเริ่มต้นบนถนนสายเอกแห่งการพ้นทุกข์แล้ว  สิ่งต่างๆ นั้นสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง  ขอให้ปฏิบัติต่อไป ให้จิตมันระลึกขึ้นมาได้เป็นอัตโนมัติ อยู่กับการรู้ให้ได้ ณ ปัจจุบัน จะทราบได้ด้วยตนเอง

                             ก็เรียนให้ทุกท่านได้ทราบ  ลองปฏฆิบัติดูขอให้ต่อเนื่องมากๆ เท่าที่มีเวลา  จิตมันจะมีสติของมันเอง  ไม่ต้องไปบังคับมัน และเราก็บังคับมันไม่ได้ด้วย แต่สามารถล่อให้มามาติดกับได้ ขอเพียงให้มีวิริยะเอาชนะจิตตนเองเท่านั้น  แนวทางของหลวงพ่อองค์ใด ได้ทั้งนั้น เพราะมันเป็นการเริ่มต้น แต่ขอให้ทำนานๆ ต่อเนื่องจนสามารถแยก ความรู้สึกตัว  ความคิด และสภาวธรรม(อารมณ์อันมีความโลภ  โกรธ  หลง เป็นใหญ่) เมื่อแยกออกแล้ว ท่านจะรู้ก้าวแรกแห่งการเดินทางเพื่อความพ้นทุกข์ที่แท้จริง  ท่านจะไปของท่านได้เอง เพราะมันเป็นปัจจัตตัง

                             ผมก็ลืมธรรมะที่ตั้งใจไว้เสียแล้ว ขอทบทวนดังนี้ คือ

                            แก่นของพุทธศาสนานั้น คือการรู้ความจริง ในอริยสัจจ์ ๔ แบบดวงตาเห็นธรรม ท่านจะต้องเข้าใจมันอย่างแท้จริง และเห็นจริงด้วยจิตของท่านแบบอัตโนมัติ คือ

                            ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ที่เกิดขึ้นกับ รูป-นาม ที่เราคิดว่าเป็นตัวตนของเรานั้น ทั้งๆที่แท้จริงมันไม่ได้ทำให้จิตของเราทุกข์เลย เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจิตของเราอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร มีแต่การรับรู้อารมณ์ ไม่มีตัวตน แล้วจิตเราจะทุกข์ได้อย่างไร  จิตเราเพียงมาอาศัยอยู่กับรูป และมีความรู้สึกได้ที่เรียกว่านาม เท่านั้น แล้วท่านจะเห็นจริงตามนี้ว่าแท้จริง รูป-นาม นั้นเป็นตัวทุกข์

                            ความทุกข์ในโลกนี้ประกอบไปด้วย ความเกิด ความแก่  ความเจ็บไข้  ความตายก็เป็นทุกข์  ปราภนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์  การประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบก็เป็นทุกข์  ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบก็เป็นทุกข์ จิตท่านต้องพิจารณาให้มันเป็นแบบอัตโนมัติเอง ไม่ได้บังคับ ให้เห็นตามรี้ ว่าทุกข์นั้นเกิดกับทุกคนไม่ละเว้น มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องประสบ

                            สมุทัย คือต้นเหตุแห่งทุกข์ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาวะธรรมล้วนมีปัจจัยทั้งสิ้นมันเกิดขึ้นเองไม่ได้ เราต้องหาสาเหตุนั้นให้พบ และแก้ที่สารเหตุนั้น จึงจะล่วงไปได้

                            ต้นเหตุแห่งทุกข์นั้น คือตัณหา หรือความทะยายอยากนั่นเอง หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ได้ คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนั่นเองก็ได้ ตัณหาประกอบด้วย กามะตัณหา ที่เกิดจากตา หู จมูก  ลิ้น กาย ภวะตัณหา คือความใคร่แห่งจิตที่อยากจะได้อีก และวิภาวะตัณหา  คือการที่จิตไม่ต้องการหลุดพ้นในสิ่งที่รักที่ชอบ คือพ้นทุกข์

                            การที่เราจะละตัณหาได้ เราสั่งมันก็ไม่ได้  บังคับมันก็ไม่ได้ มันต้องเกิดของมันเอง เกิดจากการเบื่อหน่ายเมื่อรู้ความจริงในธรรมชาติ โดยเฉพาะการเบื่อหน่ายจากตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส กายนได้สัมผัส และเบื่อหน่ายเมื่อใจนึกคิด  ต้องเบื่อหน่ายของมันเองเป็นตามธรรมชาติ  อุเบกขานั้นมันเกิดของมันเองเมื่อรูป-นามมันรู้ความจริง บังคับก็ไม่ได้ ท่านจะทราบด้วยตัวของท่านเอง

                           เมื่อจิตมันเบื่อหน่ายนิโรธมันก็มาของมันเอง นิโรธคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ คือต้องดับที่สาเหตุดังที่กล่าวมาแล้ว อย่างไปดับที่ปลายเหตุ ต้นเหตุคือตัณหา หรือความยึดมั่นถือมั่น เราต้องวกลับมาศึกษาที่รูป-นาม ด้วยตัวของเราเอง(ความรู้สึกตัว) ให้จิตมันทราบด้วยตัวของมันเอง แต่ขอให้มีหลัก มันจะเบื่อหน่ายของมันเอง ท่านจะทราบด้วยตัวเอง

                          ส่วนมรรค นั้นคือแนวทางในการปฏิบัติ ดำเนินชีวิตเพื่อพ้นทุกข์  ถ้าท่านไม่ภาวนา ท่านก็อยู่อย่างพ้นทุกข์ได้ เพราะในมรรค ๘ นั้น ครอบคลุมหมดแล้วที่จะพ้นทุกข์ ถ้าท่านปฏิบัติดู หรือตรองดูด้วยปัญญา มันรวมทั้งหมดเลยจริงๆ ท่านจะอยู่ในสังคมโลกได้อย่างสงบ มีกัลยาณมิตร และมันก็เกิดขึ้นเองอีกเหมือนกัน  มันก็คือความจริงนั่นเอง  ซึ่งเราต้องเข้าใจมันจริงๆ และเอาความเข้าใจนี้ไปภาวนา คอยตามจิตตนเองให้มีความรู้สึกตัวเข้าไว้

                          ท่านจะเห็นเองว่า ถ้าท่านอยู่กับความรู้สึกตัว ท่านจะไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่มีทุกข์

                          แต่จะทำอย่างไรล่ะที่จะอยู่กับความรู้สึกตัวให้มาก หรือตลอดเวลา  ขึ้นอยู่กับจิตท่านเอง บังคับก็ไม่ได้เสียด้วย

                          ต้องไปอาบน้ำแล้วครับเดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน เอวังครับเช้านี้

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7322 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2555, 11:31:10 »

นิทานชาดก พระพุทธเจ้า 10 ชาติ



ชาติที่ 1 เตมีย์ใบ้


                              เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้วยังมีกษัตริย์แห่งพาราณสีพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราชผู้มีพระมเหสีคือพระนางจันทเทวี

                               พระเจ้ากาสิกราชนั้นมีพระชนม์มายุล่วงเลยวัยกลางคนไปนักแล้ว แต่ทว่ายังไม่มีราชโอรสและ พระราชธิดาแม้แต่องค์เดียว จึงทรงหวั่นพระทัยว่าจะไม่มีหน่อเนื้อเชื้อไขขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อไป พระองค์จึงให้อัครมเหสีจันทเทวีกับบรรดานางสนมกำนัลทั้งปวงร่วมกันจัดพิธีบวงสรวงเทพยดาฟ้าดินเพื่อขอพระราชโอรส

                               หลังจากที่ในราชวังประกอบพิธีใหญ่มีการบำเพ็ญกุศลจัดงานบริจาคทาน และมีพราหมณ์มาทำพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงเทพยดากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง หลังจากงานพิธีมินานนัก พระอัครมเหสีจันทเทวีก็ทรงพระครรภ์พระเจ้ากาสิกราชทรงปลาบปลื้มในพระทัยนัก

                               ครั้นเมื่อครบกำหนดทศมาสแล้วพระนางจันทเทวีก็ประสูติราชกุมารในคืนวันที่สาย ฝนตกโปรยปรายไปทั่วทั้งนครพาราณสี พระเจ้ากาสิกราชทรงปิติยินดีเป็นล้นพ้น ด้วยเพราะการที่ฝนตกบันดาลความชุ่มชื้นให้ปวงชนทั่วทั้งนครนั้น ย่อมเป็นนิมิตหมายอันดี บ่งบอกถึงวาสนาบารมีของพระราชกุมารองค์นี้เป็นแน่แท้

                                พระเจ้ากาสิกราชทรงตั้งพระนามราชโอรสว่า เตมีย์ พระองค์ทรงเมตตารักใคร่ในพระราชกุมารเป็นอันมาก ทรงอุ้มพระราชกุมารน้อยออกว่าราชการ ณ ท้องพระโรงด้วยเป็นนิจในครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้ากาสิกราชอุ้มพระราชโอรสออกไปว่าข้าราชการดังเช่นเคย

                                 วันนั้นบรรดาอำมาตย์มุขมนตรีฝ่ายตุลาการได้นำโจรร้าย ๔ คนเข้ามาทรงแจงคดีวินิจฉัยหน้าพระที่นั่ง  เมื่อฟังข้อคดีความแล้วพระเจ้ากาสิกราชก็ทรงวินิจฉัยดังนี้

                                 ให้เฆี่ยนด้วยหนามหวายแก่โจรคนที่ ๑

                                 ให้เอาหอกแทงเพื่อทรมานให้บังเกิดความเจ็บปวดทุรนทุรายแก่โจรคนที่ ๒

                                 ให้เอาหลาวเสียบไว้จนตายทั้งเป็นแก่โจรคนที่ ๓

                                 ให้คุมขังไว้จนตายแก่โจรคนที่ ๔

                                  ฝ่ายพระราชโอรสเตมีย์เมื่อได้ฟังข้อวินิจฉัยของพระราชบิดาเช่นนั้นก็ทรงวิตก กังวลในพระทัยยิ่งนักด้วยเพราะทรงสามารถรำลึกถึงอดีตชาติได้ว่าในชาติหนึ่งนั้นพระองค์เองเคยตกลงไปในขุมนรกและหาก พระราชบิดาทำเวรทำกรรมแก่บุคคลอื่นเช่นนี้ หากเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วก็ต้องไปตกนรกหมกไหม้อีกเป็นแน่แท้ ฝ่ายตัวพระองค์เองนั้นเล่าเมื่อเจริญพระชนมายุขึ้นไปก็ย่อมต้องขึ้นครอง บัลลังก์สืบสกุลต่อไป และย่อมแน่นอนว่าจะต้องมีการวินิจฉัยโทษคนให้เป็นการทำเวรทำกรรมกันต่อไปอีกและเมื่อสิ้นภพนี้ชาตินี้ พระองค์ก็ต้องลงไปชดใช้กรรมในขุมนรกหมกไหม้อีกหลายกัปหลายกัลป์เป็นแน่เมื่อคิดดังนั้นแล้วพระราชโอรสเตมีย์ก็ทรงครุ่นคิดวนเวียนไปมาอยู่ในพระทัยว่า“ทำเช่นใดหนอ เราจึงจะพ้นไปจากการต้องเป็นพระราชาได้ในวันข้างหน้า ”เมื่อทรงกลัดกลุ้มเช่นนั้น เทพธิดาองค์หนึ่งผู้เคยเป็นพระมารดาของพระราชโอรสเตมีย์ในปางก่อนซึ่งบัดนั้นได้ประทับสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรในท้องพระโรง ได้ล่วงรู้ความคับข้องพระทัยของพระเตมีย์จึงได้สำแดงฤทธาส่งเป็นกระแสจิตแนะ นำแก่พระเตมีย์ดังนี้

                             “ถ้าพระองค์มิทรงปรารถนาในพระราชบัลลังก์ขอให้ปฏิบัติใน ๓ ทางคือ
                              
                               พึงเป็นคนใบ้

                               พึงเป็นคนหูหนวก

                               พึงเป็นคนง่อย”


                                หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากเทพธิดาแล้ว พระเตมีย์ราชโอรสก็ปฏิบัติพระองค์เช่นนั้นคือมิทรงตรัสวาจาอันใดแม้สักคำ เดียว และทรงวางองค์นิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินคำพูดของผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังประทับนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ มิว่าถูกอุ้มไปวางไว้ ณ ที่แห่งใดก็ทรงนั่งอยู่ ณ แห่งนั้น มิขยับองค์แม้แต่น้อยดังเช่นคนเป็นง่อยกระนั้น

                                พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของราชโอรสเช่นนั้นก็ให้วิตกกังวลพระทัยเป็นยิ่งนัก ด้วยเพราะแต่ก่อนนี้พระราชกุมารน้อยก็ยังทรงประพฤติองค์เหมือนเช่นเด็กทั่ว ไปในพระราชวัง ทั้งยิ้มแย้มแจ่มใสเจรจาเจื้อยแจ้วและเล่นหยอกเย้ากับผู้นั้นผู้นี้ตลอด

                                 แต่จู่ๆ มาบัดนี้พระเตมีย์น้อยก็กลับทรงเงียบนิ่งมิยิ้มแย้ม มิทรงพระสรวล มิพูดจากับผู้ใดแม้แต่พระราชบิดามารดาของตน
พระเจ้ากาสิกราชทรงรับสั่งให้แพทย์หลวงมาตรวจก็มิพบวี่แววว่าเป็นโรคภัยอันใด

                                 พระ เจ้ากาสิกราชทรงทดลองกระทำตามที่บรรดาโหรพราหมณ์และอามาตย์มุขมนตรีทั้งหลาย แนะนำ เป็นต้นว่า ให้พระพี่เลี้ยงอุ้มพระเตมีย์วางไว้ในที่อันสกปรก เพื่อหวังให้พระเตมีย์มิสามารถจะอดทนประทับนั่งอยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้

                                 แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ทรงประทับนิ่งอดทนอยู่ได้มิทรงขยับเขยื้อนไปไหนไม่ พูดจาอันใดแม้กระทั่งทรงหิวโหยเพราะผิดเวลาพระกระยาหารก็มิทรงกันแสงร่ำร้องอย่างที่วัยเด็กสมควรกระทำบางครั้งพระพี่เลี้ยง ก็อุ้มพระเตมีย์ไปประทับในตำหนักน้อย แล้วก็ให้คนแกล้งจุดไฟทำทีเป็นว่าพระตำหนักน้อยกำลังจะถูกไฟไหม้เพื่อหวัง ให้พระเตมีย์หวาดกลัวและวิ่งหลบหนีออกมา แต่ทว่าการณ์นั้นก็เป็นไปไม่สำเร็จ เพราะ พระเตมีย์น้อยยังทรงประทับนิ่งไม่ไหวติง มิแสดงอาการหวาดหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด

                                  การทดลองนั้นเกิดขึ้นด้วยลักษณะต่างๆ นานา แต่ทว่าทุกฝ่ายก็สิ้นปัญญาเพราะมิสามารถ จะทำให้ พระเตมีย์ราชโอรสพูดจาอันใดได้เช่นเดิม พระเตมีย์นั้นทรงดำริว่าการถูกทดลองแกล้งด้วยเหตุการณ์ อันไม่ดีร้ายต่างๆ นานานี้ ยังเป็นเรื่องเบานัก หากเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในขุมนรกหลังจากสิ้นชีพไปในภพนี้ แล้ว ดังนั้นจึงสามารถที่จะวางพระองค์นิ่งเฉยด้วยความอดทนอยู่ได้

                                  วันเวลาล่วงผ่านไปแรมปี พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีก็ยังมิสิ้นหวังในการทดลองตามที่มีผู้แนะ นำต่างๆ บางครั้งก็ให้นำพระเตมีย์ไปประทับนั่งที่กลางพระลานให้มีเด็กๆ ที่เป็นพระสหายห้อมล้อมอยู่เป็นอันมาก จากนั้นก็ให้ปล่อยช้างตกมันวิ่งเข้ามาในพระลานซึ่งบรรดาพวกเด็กเล็กต่างๆ หลายสิบคนพากันร้องไห้วิ่งหนีแตกกระเจิงกันไปด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่พระเตมีย์ยังทรงนั่งประทับนิ่งอยู่ที่กลางพระลาน โดยมิแสดงพระอาการหวาดหวั่นแม้แต่น้อย

                                   ครั้งต่อมามีการทดลองด้วยงู โดยให้พระเตมีย์ประทับนั่งอยู่แล้วปล่อยให้งูตัวใหญ่ยาวเลื้อยตรงเข้ามารัด พระวรกาย แม้กระนั้นพระเตมีย์ก็ยังทรงประทับนั่งนิ่งเฉยมิกระดุกกระดิกองค์ มิแสดงอาการหวาดกลัวหรือร่ำร้องแม้สักนิด

                                   การทดลองต่อมาเป็นการปล่อยให้นักดาบถือดาบอันคมกริบเล่มใหญ่วิ่งเข้ามาหมาย จะฟาดฟันเข้าทำร้ายเอาชีวิต แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ยังทรงประทับนิ่งมิหวาดหวั่นพระทัยลุกขึ้นวิ่งหนีหรือต่อ สู้แต่อย่างใด

                                   ครั้งต่อไปนั้นมีการทดลองด้วยเสียง โดยให้พระเตมีย์ประทับนั่งอยู่พระองค์เดียวในที่แห่งหนึ่งแล้วก็นัดหมายให้คณะมโหรีประโคมดนตรีขึ้นด้วยเสียงอันดังพร้อมๆ กันอย่างไม่มีปี่มีกลองทั้งเสียงสังข์เสียงแตรที่เป่าขึ้นโดยกะทันหัน ทั้งเสียงกลองที่ถูกตีระรัวขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นเสียงที่ดังกึกก้องอึกทึก อย่างน่าตระหนกตกใจ แต่ทว่าเหตุการณ์ก็เป็นไปเช่นเดิมคือ พระเตมีย์ยังทรงประทับนิ่งมิไหวติงแม้แต่น้อย

                                   การทดลองด้วยเหตุการณ์ต่างๆ หลายสิบหลายร้อยวิธีการผ่านไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลย ๗ ปีเต็มแล้ว

                                   บัดนี้พระเตมีย์น้อยทรงพระชนม์มายุได้ ๑๖ พรรษาแล้วแต่ทว่าพระองค์ก็ยังทรงเป็นเสมือนคนใบ้หูหนวก และเป็นง่อยมิเคลื่อนไหวลุกเดินไป ณ ที่แห่งใด มิพูดจาและมิรับรู้ไม่ได้ยินคำพูดของผู้ใดทั้งสิ้น

                                   พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีแม้จะสิ้นหวังและปวดร้าวดวงพระทัยเป็นยิ่งนักแต่ทว่าก็ยังทรง มิหยุดยั้งที่จะหาวิธีทดลองต่างๆ นานาตามแต่จะมีผู้กราบทูลเสนอขึ้นมาคราใด

                                   ในครั้งนี้เมื่อเห็นว่าพระราชโอรสเจริญวัยขึ้นสู่วัยรุ่นหนุ่มแล้วก็ทรงได้ ศึกษากับบรรดาอำมาตย์มุขมนตรีว่า “อันธรรมชาติของคนวัยรุ่นหนุ่มนั้นย่อมจะพึงใจในเรื่องเพศรส เราคิดว่าหากนำเอาดรุณีน้อยที่มีความงดงามมาทำการทดลอง อาจมิแน่ว่าพระเตมีย์โอรสของเราจะชื่นชอบ ก็เป็นได้”

                                    บรรดาอำมาตย์มุขมนตรีทั้งปวงก็เห็นด้วย จึงได้จัดเตรียมดรุณีแรกรุ่นผู้มีความสวยสดงดงามนับสิบคนให้เข้าไปคอยเฝ้า ปรนนิบัติรับใช้ในพระตำหนักของพระเตมีย์ อีกทั้งมีการขับร้องร่ายรำ บรรเลงดนตรีตลอดทั้งทิวาและราตรี แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ยังทรงมิมีความรู้สึกอันใดที่จะเปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อยเมื่อทรงการทดลอง ครั้งนี้ พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีผู้เป็นพระราชบิดามารดาก็ถึงแก่ใจสลาย ด้วยคิดว่าชะรอย พระราชโอรสของพระองค์นั้นอาจจะเป็นกาลกิณีที่มีบาปมี อัปมงคลติดตัว มาเป็นแน่บรรดาอำมาตย์มุขมนตรีทั้งปวงที่สิ้นปัญญาก็พากันกราบทูลพระราชาว่า มิควรที่จะให้พระราชโอรสเตมีย์ประทับอยู่ต่อไปในพระราชวังให้เป็นเสนียด จัญไร ซึ่งอาจจะเกิดอุบาทว์หายนะขึ้นแก่บ้านแก่เมืองได้ น่าที่จะนำพระเตมีย์ไปทิ้งไว้เสียที่ป่าช้านอกนคร  แม้พระราชาจะมีความรักในพระราชโอรสเพียงใด แต่ก็ท้อแท้พระทัยจนเห็นด้วยว่าน่าจะเนรเทศ พระราชโอรสไปเสีย

                                     ครั้น เมื่อพระนางจันทเทวีอัครมเหสีได้ทราบเรื่องก็รีบมาเข้าเฝ้าผู้เป็นพระสวามี แล้วกราบทูล ขอพรพิเศษที่พระเจ้ากาสิกราชเคยพระราชทานไว้เมื่อครั้งอภิเษก สมรส
 
                                     “ถ้าเสด็จพี่ยังจำได้หม่อมฉันก็ใคร่จะขอพรพิเศษอันนั้นในบัดนี้ หม่อมฉันขอพระราชทานราชสมบัติและราชบัลลังก์แก่โอรสของเราเพคะ”  เมื่อได้สดับตรับฟังเช่นนั้นนับว่าเหนือความคาดหมายเป็นยิ่งนัก พระเจ้ากาสิกราชจึงตรัสถามอัครมเหสีอย่างสงสัยว่า“พระเตมีย์ลูกของเรานั้นทั้งเป็นใบ้หูหนวกและมิยอมเคลื่อนไหวร่างกายดังคน เป็นง่อย แล้วนี่น้องจะให้ลูกครองราชบัลลังก์ขึ้นเป็นพระราชาได้อย่างไรกันเล่า”  แต่ทว่าพระนางจันทเทวีก็ยังทรงวิงวอนขอร้องโดยไตร่ตรองให้พระเจ้ากาสิ กราชยอมให้พระเตมีย์ครองบ้านครองเมืองนานเพียง ๗ ปีเท่านั้น แต่มิว่าพระอัครมเหสีจะวิงวอนขอร้องอย่างไร พระเจ้ากาสิกราชก็มิทรงพอพระทัย

                                      ในที่สุดพระนางจันทเทวีก็ต่อรองขอร้องให้เหลือเพียงเวลา ๗ วันเท่านั้น พระเจ้ากาสิกราชจึงจำใจโอนอ่อนผ่อนตามพระทัยด้วยเพราะเวทนาพระอัครมเหสีของ พระองค์

                                       พระนางจันทร์เทวีนั้นปลาบปลื้มพระทัยยิ่งนัก จึงรีบให้นางสนมกำนัลข้าหลวงทั้งปวงช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องพระ เตมีย์อย่างยิ่งใหญ่ในเครื่องทรงกษัตริย์

                                       พระเตมีย์นั้นมีความงดงามราวกับเทวดาเมื่อทรงสง่าอยู่ในชุดเครื่องทรง กษัตริย์อันเพริศแพร้วแวววาว ขณะที่ประทับขบวนเสด็จเลียบพระนครให้บรรดาอาณาประชาราษฎร์ได้ชื่นชมขวัญ บารมีกันทั่วพาราณสี แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ยังทรงประทับนิ่งเฉยมิขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแม้สักน้อย มิตรัสพูดจาอันใด จนวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อครบ ๗ วันสิ้นแล้ว พระเจ้ากาสิกราชก็จำต้องมีรับสั่งให้บรรดาทหารหลวงนำตัวพระเตมีย์ขึ้นราชรถ ออกจากพระนครเพื่อไปฝังเสียให้ตายที่ป่าช้านอกพระนคร พระนางจันทเทวีนั้นได้แต่ทรงพระกันแสงร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจแต่ก็มิสามารถที่จะคัดค้านวิงวอนอัน ใดได้อีก

                                        ทางฝ่ายพระสารถีผู้มีนามว่าสุนันทะนั้นก็ให้บังเอิญทำภารกิจนั้นผิดพลาดไปราวกับมิมีสติ เริ่มตั้งแต่การเตรียมเทียมราชรถ แทนที่จะเตรียมราชรถสำหรับพิธีศพก็กลับได้ไปเอาราชรถมงคลมาเทียมม้าแล้วรับ เอาพระเตมีย์ออกไป แทนที่จะมุ่งไปยังป่าช้าผีดิบทางทิศตะวันตกนอกพระนคร แต่ก็กลับขับราชรถมุ่งไปยังป่าแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกเมื่อถึงชายป่าแล้วสุนันทสารถีก็เตรียมจอบเสียมลงจากราชรถเพื่อขุดหลุมฝังศพพระราชโอรสเตมีย์ นายสุนันทะได้รับพระราชกระแสรับสั่งจากพระเจ้ากาสิกราชว่า แทนที่จะทำการฝังทั้งเป็นตามธรรมเนียมประเพณี แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้ช่วยทุบศีรษะราชโอรสก่อน อย่าต้องฝังพระเตมีย์ทั้งเป็นให้เป็นที่ทุกข์ทรมานนักเลย ขณะที่ สุนันทสารถีกำลังขุดหลุมไปพลาง ทบทวนคำสั่งของพระราชาไปพลาง ขณะนั้นฝ่ายพระเตมีย์ซึ่งประทับนิ่งอยู่บนราชรถ ตัวพระองค์นั้นมิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน ๑๐ ปีแล้ว มิทราบว่าจะยังมีพละกำลังกายอย่างใดหรือไม่เมื่อดำริดังนั้นแล้วก็ทรงทดลองลุกขึ้นจากราชรถเสด็จลงเดินไปเดินมาอยู่ที่ ข้างราชรถ แล้วก็ทดลองจับราชรถยกขึ้น ซึ่งก็ปรากฎเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนักพระเตมีย์สามารถยกราชรถขึ้นกวัดแกว่งได้ราวกับราชรถนั้นเบาเท่าปุยนุ่นก็มิปานแล้วพระเตมีย์ก็เดินไปถามสุนันทสารถีว่าขุดหลุมเพื่ออะไร

                             สุนันทะก็ตอบไปว่าขุดหลุมเพื่อฝังพระราชโอรสของพระราชาผู้เป็นกาลกิณี เมื่อพระเตมีย์ตรัสถามว่าสุนันทสารถีรู้ไหมว่าพระองค์เป็นใคร สุนันทสารถีนั้นจดจำมิได้ในเบื้องแรก ครั้นพระเตมีย์เฉลยว่าพระองค์นั้นคือราชโอรสผู้ที่สุนันทะกำลังจะฝังทั้ง เป็นนั่นเองสุนันทสารถีเมื่อพินิจพิจารณาแล้วก็ถึงกับตกตะลึงเป็นยิ่งนักก้มลงกราบแทบ พระบาทของพระเตมีย์อย่างอัศจรรย์ใจเมื่อได้ประสพพบเจอปาฏิหาริย์ที่เหลือ เชื่อเช่นนี้ สุนันทสารถีเร่งอัญเชิญเสด็จพระเตมีย์ให้กลับคืนพระนคร เพื่อเสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์ให้เป็นที่ปลาบปลื้มปีติยินดีแก่พระราชบิดา มารดากับพสกนิกรต่อไป แต่ทว่าพระเตมีย์นั้นทรงตรัสแก่สุนันทสารถีว่า พระองค์สู้อุตส่าห์อดทนวางองค์เป็นคนง่อยเปลี้ย หูหนวก เป็นใบ้นับ ๑๐ ปี เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากฐานะกษัตริย์ ซึ่งบัดนี้เมื่อทำสำเร็จแล้วพระองค์ก็มิปรารถนาที่จะกลับเข้าไปประกอบกรรม อีก แต่จะทรงบำเพ็ญพรตเป็นนักบวชอยู่ในป่าแห่งนี้สืบต่อไป

                              เมื่อสุนันทสารถีได้ทราบถึงปณิธานของพระเตมีย์เช่นนั้น ก็เกิดศรัทธาใคร่อยากจะหนีความวุ่นวายทางโลกมาบวชบ้าง แต่ทว่าพระเตมีย์ก็มิทรงสนับสนุนเพราะถ้าหากว่าบวชด้วยความเป็นหนี้เช่นนั้นจะมิได้ผลบุญอันใด “สุนันทะจงกลับไปยังพระนครเพื่อกราบทูลเรื่องทั้งปวงแก่พระราชบิดาและพระราชมารดาของเราก่อนเถิด และถ้ายังมีความเลื่อมใสศรัทธาก็ค่อยกลับมาบวชในภายหน้า” สุนันทสารถีจึงรีบกลับเข้ามายังพระนครแล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแก่พระเจ้ากาสิกราชกับพระนางจันทเทวีโดยละเอียด “ราวกับปาฏิหาริย์เลยพระเจ้าข้า พระราชโอรสมิขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวพระวรกายนานนับ ๑๐ ปี แต่ทว่าพระองค์กลับมีพละกำลังเดินเหินอย่างสง่าแคล่วคล่องและตรัสวาจาอย่างอ่อนโยนไพเราะ เป็นยิ่งนักพระเจ้าข้า”เมื่อได้ฟังดังนั้นพระเจ้ากาสิกราชกับพระนางจันทเทวีก็ตื่นเต้นยินดีเป็น ยิ่งนัก จึงได้จัดขบวนอันยิ่งใหญ่ออกจากพระนครไปเฝ้าพระเตมิย์ ณ ป่าแห่งนั้นทันที เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จไปถึงก็กันแสงร่ำไห้ด้วยความตื้นตันพระทัย แต่ก็ยังคงชักชวนให้พระเตมีย์โอรสกลับไปครองบ้านครองเมืองต่อไป

                              แต่พระเตมีย์ก็ยังคงยืนยันกราบทูลพระราชบิดามารดาว่าพระองค์ปรารถนาทางธรรม เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์เลื่อมใสศรัทธาและปรารถนาที่จะบวช พระเจ้ากาสิ กราชจึงทรงให้ทหารตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วพระนครว่าผู้ใดหากมีจิตศรัทธา เลื่อมใสใคร่ จะบวชในสำนักพระเตมีย์ก็จงบวชเถิดและพระองค์ยังได้จารึกแผ่นทอง คำติดไว้ ณ เสาท้องพระโรงว่าผู้ใดที่ต้องการทรัพย์สมบัติอันมีค่าก็จงมาเอาจากในคลังหลวงนั้นได้

                              หลังจากนั้นมิช้ามินานนักบรรดาอาณาประชาราษฎร์ก็พากันชักชวนไปบวชในสำนักของ พระเตมีย์พากันทิ้งบ้านทิ้งเมืองจนพาราณสีนั้นกลายเป็นเมืองร้างในที่สุด กษัตริย์ที่ครองนครใกล้เคียงกันนั้น เมื่อได้ทราบว่าพระเจ้ากาสิกราชสละราชสมบัติไปบวชในป่าจึงได้ยกกองทัพเร่งรุดมาหมายจะยึดพาราณสีไว้ครอบครอง แต่ทว่าเมื่อมาถึงก็พบพาราณสีกลายเป็นเมืองร้างจึงได้บังเกิดความสงสัย และได้ยกทัพตามติดไปยังชายป่านอกเมือง

                               กษัตริย์ผู้นั้นได้พบเห็นพระราชา ราชินี และบรรดาเสนาอำมาตย์มุขมนตรี อีกทั้งพสกนิกรทั้งปวงพากันบำเพ็ญพรตเป็นนักบวชอยู่ในป่าเป็นจำนวนมาก จึงเข้าไปเฝ้าพระเตมีย์ และครั้นเมื่อได้ฟังโอวาทจากพระเตมีย์ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสใคร่ที่จะ สละชีวิตทางโลก จึงพากันออกบวชละทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งปวง บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งนั้นอย่างสงบ

                              บรรดานักบวชทั้งชายหญิงเหล่านั้นเมื่อได้บำเพ็ญพรต บำเพ็ญธรรมตราบจนสิ้นอายุขัยก็ได้ไปบังเกิดอยู่ในเทวโลกมิต้องมาเวียนว่าย ตายเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7323 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2555, 13:43:40 »

เรียนเชิญ  ดร.สุริยา  ปราชญ์ของชาวซีมะโด่งท่านหนึ่ง

ช่วยสรุปความคิดเห็นให้ด้วยว่า

เราได้บทเรียนอะไร ? จากชากดเรื่องนี้
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #7324 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2555, 15:37:20 »

 สวัสดี ค่ะ พี่ิสิงห์
 กำลังรอฟังพี่ป๋องมาตอบค่ะ
 วันก่อน พี่สิงห์ พุดเรื่องติดกัณเทศน์
ยังคิดอยู่ค่ะ  ติด ด้วยอะไร จึงจะเหมาะสม กับพี่สิงห์ค่ะ
หวังว่า ไม่งานใดงานหนึ่ง เราคงได้พบกัน นะคะ
เผื่อจะได้ นำของติดกัณเทศน์ ไปฝาก ค่ะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 291 292 [293] 294 295 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><