29 เมษายน 2567, 13:45:12
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 36  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุยกันเรื่องจีนๆ  (อ่าน 346388 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #50 เมื่อ: 19 กันยายน 2553, 13:07:46 »

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือกำลังภายใน อาจจะเคยเจอกระบี่ไส้ปลา ก็ขอให้รู้ว่ามาจากจวนจูนี่แหละ วันไหว้พระจันทร์กำลังจะมาวันที่22 กันยายนนี้ เดี๋ยวจะเปิดกรุปัดฝุ่นบทความเก่าๆเกี่ยวกับวันไหว้พระจันทร์มาแอ้มขนมไหว้พระจันทร์หน่อย
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #51 เมื่อ: 19 กันยายน 2553, 13:33:55 »

แอ่น แอ๊น ขุดปุ๊บ เจอปั๊บ เป็นบทความของเพื่อนที่เคยโพสต์ในเน็ต เก็บเอามาโพสต์ต่ิดื้อๆเลย อาจจะยาวหน่อย แต่ถ้าแบ่งโพสต์ ข้อความมันจะไม่ต่อเนื่อง ใครว่างช่วยหาภาพขนมไหว้พระจันทร์มาเรียกน้ำย่อยหน่อยก็ดี

จงชิว(แปลว่ากลางฤดูใบไม้ร่วง)   เทศกาลฉลองฤดูเก็บเกี่ยว  中秋节

วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เป็นวันเทศกาลจงชิว    คนไทยเราเรียกว่าวันไหว้พระจันทร์     เดือน 8 เป็นเดือนที่อยู่กลางฤดูชิว(ใบไม้ร่วง)  และวันขึ้น 15 ค่ำเป็นวันที่อยู่กลางเดือน 8     จึงเรียกว่าวันจงชิว     มีบันทึกเรื่องราวของจงชิว ในคัมภีร์โจวหลี่  周礼  ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว  周朝    การก่อเกิดของเทศกาลจงชิว สืบเนื่องมาการบูชาธรรมชาติของมนุษย์     กษัตริย์ในสมัยโบราณมีพิธีฤดูชุนบูชาสุริยะเทพ   ฤดูชิวบูชาดวงจันทร์     ฤดูชิว คือฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว     ชาวจีนโบราณมีคำกล่าวว่า     ชุน(ฤดูใบไม้ผลิ)ไถหว่าน เซี่ย(ฤดูร้อน)เพาะปลูก ชิว(ฤดูใบไม้ร่วง) เก็บเกี่ยว ตง(ฤดูหนาว)กักเก็บ     นั่นก็คือจากการทำงานอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำมาตลอดทั้งปีในฤดูชุนและเซี่ย     จะมาเก็บเกี่ยวดอกผลเอาในฤดูชิว     จึงเป็นฤดูกาลที่น่ามีการเฉลิมฉลองเป็นอย่างยิ่ง      บรรยากาศในฤดูชิว แกนโลกเบนห่างออกจากดวงอาทิตย์     อากาศร้อนในเริ่มคลายตัวลง     ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆหมอกและดูสูงกว่าฤดูอื่น     ดวงจันทร์สุกใสกลมโตเป็นพิเศษ     จึงเหมาะแก่การดื่มเหล้าจิบชาชมจันทร์     โดยเฉพาะถ้าปีไหนการเพาะปลูกได้ผลดีเรียกว่า     เฟิงโซว 丰收 หรือเฟิงเหนียน  丰年    ยิ่งต้องเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุขและเป็นการเตรียมต้อนรับลมหนาวที่จะย่างกรายมาในไม่ช้า    คิดว่าการเฉลิมฉลองสนุกสนานรื่นเริงหลังการเก็บเกี่ยวคงจะมีมาตั้งแต่สมัยโบราณในสังคมการเกษตร    จนกระทั่งในสมัยถัง  จงชิว จึงถูกกำหนดเป็นวันเทศกาลประจำปีอย่างทางการ    พอถึงสมัยหมิงและชิง เทศกาลจงชิว ได้ถูกกำหนดเป็นหนึ่งในสามเทศกาลใหญ่ประจำปี    

ขณะเดียวกันฤดูชิวก็เป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์โศกเช่นเดียวกัน     โดยเฉพาะปีไหนที่ฝนไม่ต้องตามฤดูกาล     การเพาะปลูกไม่ได้ผลเรียกว่าฮวางเหนียน  荒年     ไม่มีข้าวเก็บในยุ้งในฉางมองดูท้องนาเหลือแต่ฟางข้าวที่เฉาแห้ง     ต้นไม้ผลัดใบเหลือแต่กิ่งและใบเหลืองแดงที่ปลิวตามสายลม     น้ำในลำธารที่ใกล้จะแห้งขอดไหลเอื่อยๆ     ช่างดูเป็นบรรยากาศที่หงอยเหงาเศร้าสร้อยเหมือนดั่งคำว่า     ว่างชวนชิวสุ่ย   望穿秋水(มองด้วยความหวังจนตาแทบทะลุ)

เทพีฉางเอ๋อ จรดวงจันทร์  嫦娥奔月

เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลจงชิวมีอยู่มากมาย      หนึ่งในนั้นคือเรื่องเทพนิยายฉางเอ๋อ 嫦娥 และโฮ่ว-อวี้ 后羿 ซึ่งเป็นนิยายปรัมปราที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณว่า     ฉางเอ๋อ เป็นภรรยาของโฮ่ว-อวี้     ขโมยกินยาอายุวัฒนะที่โฮ่ว-อวี้ ได้มาจากเจ้าแม่ซีหวางหมู่แห่งเขาคุนลุ้น      จึงถูกสาปให้กลายเป็นคางคกฝนยาอยู่ที่วังเย็น(มันคือวังจันทร์ส่องหล้าหรือเปล่าก็ไม่รู้)บนดวงจันทร์    มีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นเดียวดายไปชั่วกัปชั่วกัลป์     แต่เนื่องจากดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม     มีอิทธิพลต่ออารมณ์และจิตใจของคนเราทั้งยามสุขและยามเศร้า      คนทุกชาติภาษาในโลกนี้ล้วนมีนิยายโรแมนติคที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์     นักกวีในยุคต่อมามีความรู้สึกว่าฉางเอ๋อ ถูกสาปกลายเป็นคางคกไปอยู่ที่ดวงจันทร์เป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของผู้คนที่เห็นดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม         จึงมีการแก้ไขเทพนิยายเรื่องนี้เป็น       ในสมัยของจักรพรรดิ์เหยา บนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์ 10 ดวง      แผ่รังสีความร้อนแผดเผาจนพืชผลบนพื้นโลกแห้งตาย      พื้นดินแตกระแหงท้องทะเลแห้งเหือด      ในขณะนั้นเกิดวีรบุรุษผู้หนึ่งชื่อว่าโฮ่ว-อวี้ (บางฉบับว่าเป็นเทพจุติลงมา)      มีความสามารถในการยิงธนูสูงเยี่ยม     โฮ่วอวี้ ใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์ตกลงมา 9 ดวง     เหลือไว้เพียงหนึ่งดวงและกำชับให้ขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลาเช้า     ตกลงทางทิศตะวันตกในเวลาเย็น     เพื่อให้เกิดฤดูกาลที่เหมาะแก่กาลเพาะปลูก     โฮ่ว-อวี้จึงกลายเป็นวีรบุรุษที่ได้รับการยกย่อง     มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย     มีคนหลั่งไหลมาเป็นลูกศิษย์ลูกหา     และได้แต่งงานกับฉางเอ๋อ ผู้เลอโฉม     วันหนึ่งโฮ่ว-อวี้ เดินทางไปพบเจ้าแม่ซีหวางหมู่ ที่เขาคุนลุ้น     ได้รับยาอายุวัฒนะมาเม็ดหนึ่ง     โฮ่ว-อวี้ เกรงว่าถ้าตัวเองกินยานี้แล้วคงต้องอยู่อย่างเดียวดายหลังจากที่ฉางเอ๋อเสียชีวิตไปแล้ว     จึงฝากให้ฉางเอ๋อ เก็บยานี้เอาไว้     วันหนึ่งโฮ่ว-อวี้  พาลูกศิษย์ออกไปล่าสัตว์     เฟิงเหมิง ลูกศิษย์ทรยศได้บังคับให้ฉางเอ๋อมอบยาอายุวัฒนะให้กับตนเอง      ฉางเอ๋อ จึงกลืนกินยานั้นลงไป     หลังจากกลืนยาลงไปแล้วฉางเอ๋อ ก็ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า     แต่ความที่คิดถึงและเป็นห่วงสามีจึงไปอาศัยอยู่บนดวงจันทร์     เฝ้ามองสามีที่อยู่บนพื้นโลก     เมื่อโฮ่ว-อวี้ กลับจากการล่าสัตว์จึงได้จัดการสำเร็จโทษเฟิงเหมิง ลูกศิษย์ทรยศ     หลังจากนั้นได้แต่เฝ้ามองดวงจันทร์ด้วยความคิดถึงภรรยา     ส่วนชาวบ้านต่างก็จุดธูปบูชาฉางเอ๋อที่อยู่บนดวงจันทร์    

นิยายเรื่องนี้มีการปรับแต่งเป็นไปหลายรูปแบบ    แต่ล้วนแต่เป็นการยกย่องความดีและความงามของฉางเอ๋อ     เมื่อประมาน 40 ปีที่ผ่านมาบริษัทชอว์บราเดอร์ได้สร้างเป็นภาพยนตร์    นำแสดงโดยเจ้าเหลย และเล่อตี้     แต่เรื่องราวกลับเป็นโฮ่ว-อวี้     หลงอำนาจกลายเป็นทรราชแสวงหายาอายุวัฒนะ    ส่วนฉางเอ๋อ นั้นเดิมเป็นเทพธิดาบนสวรรค์     เมื่อว่ากล่าวตักเตือนโฮ่ว-อวี้ ไม่เป็นผลจึงจรลีหนีไปอยู่ที่ดวงจันทร์     ประธานเหมา เคยวิจารณ์นิยายเรื่องนี้ว่า     ท้ายที่สุดฉางเอ๋อ ก็ต้องจรลีไปอยู่ที่วังเย็นบนดวงจันทร์อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย     เป็นการสะท้อนถึงความคิดศักดินาที่เห็นว่าสตรีไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนอง     เมื่อแยกออกจากบุรุษแล้วก็ต้องอยู่อย่างคับแค้นเดียวดาย


ฉางเอ๋อ

      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #52 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 12:59:07 »

ที่บ้านหนิงเขาฉลองฤดูเก็บเกี่ยวด้วยการดื่มคะ!
Oktoberfest-Folkfest-Weinfest...
ถองกันให้เป๋...แฟ็ด


ขอภาพขนมไหว้พระจันทน์ด้วยพี่จุ๊ง
ใส้ทุเรียน-ไข่นะ
      บันทึกการเข้า


จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #53 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 22:52:34 »

เยอรมันต้องฉลองด้วยการดื่มเบียร์ล่ะดิ ภาพขนมไหว้พระจันทร์คงต้องอาศัยคนอื่นช่วยโพสต์แล้วล่ะ หรือไม่เดี๋ยวจะลองหาในเน็ตดู คราวนี้มาคุยเรื่องตำนานขนมไหว้พระจันทร์บ้าง

จูหยวนจาง ก่อการคืนจงชิว

ในสมัยราชชวงศ์หยวน ชาวจีนต้องทนทุกข์ทรมานกับการปกครองที่โหดร้ายของราชสำนักมองโกลมาช้านาน     จนถึงปลายสมัยราชวงศ์หยวน      เกิดขบวนการต่อต้านราชสำนักขึ้นทั่วทุกหัวระแหง     แต่ไม่สามารถจะติดต่อประสานงานกันได้     เนื่องจากราชสำนักมองโกลทำการปิดกั้นอย่างเข้มงวด     ในสมัยนั้นแม้แต่การสุมหัวคุยกันเพียงสองคนก็อาจมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิตได้     หลิวป๋อเวิน刘伯温   ขุนศึกผู้หนึ่งของจูหยวนจาง 朱元璋จึงคิดทำขนมเปี้ยะแบบมีใส้ขึ้นมาถือเป็นขนมในเทศกาลจงชิว     แจกจ่ายให้กับชาวบ้านทั่วๆไป     โดยมีหนังสือนัดหมายลุกฮือก่อการขึ้นพร้อมกันในคืนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 (เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ชาวบ้านต้องมีกิจกรรมตามประเพณีอยู่แล้ว)     ซุกซ่อนอยู่ในขนมที่ส่งให้กับขุมกำลังที่สำคัญ     ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นขับไล่ราชวงศ์มองโกล  อย่างพร้อมเพรียงกัน     กองทหารของจูหยวนจางรุกเข้ายึดสถานที่ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว    หลังก่อการสำเร็จ จูหยวนจาง สถาปนาราชวงศ์หมิง明朝 ขึ้น     ตั้งตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์นามจักรพรรดิ์หมิงไท่จู่ 明太祖    ประกาศให้มีการเฉลิมฉลองชัยชนะ     เปิดราชวังร่วมสุขกับประชาชนในคืนเทศกาลจงชิว ของทุกปี      และเรียกขนมนี้ว่าขนมพระจันทร์     ตั้งแต่นั้นมาขนมพระจันทร์จึงกลายเป็นขนมประจำเทศกาลจงชิว     มีการพัฒนาไปมากมายหลายรูปแบบ   หลายชนิด     วันเทศกาลจงชิวจึงกลายเป็นวันเทศกาลขนมอีกเทศกาลหนึ่ง     และเนื่องจากวันจงชิวเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยว      นอกจากการเก็บเกี่ยวข้าวในไร่ในนาแล้ว    ผลหมากรากไม้ต่างๆก็สุกพอดีวันนี้จึงเป็นวันเทศกาลผลไม้อีกด้วย  

เนื่องจากเดือนเพ็ญมีรูปทรงกลม      คำว่ากลมนั้นหมายถึงความกลมเกลียว     ดังนั้นสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นขนมหรือภาพประกอบ     จึงนิยมทำเป็นรูปกลมๆเพื่อแสดงถึงความกลมเกลียว     จากการสืบทอดมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน     เทศกาลจงชิวกลายเป็นวันเทศกาลใหญ่ประจำปีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย      เป็นรองเพียงวันตรุษจีนเท่านั้น     ทุกครอบครัวถือเอาวันนี้เป็นวันสำคัญของครอบครัว      ต้องอยู่กินข้าวกลมเกลียวร่วมกัน     คนที่จากไปทำงานอยู่ไกลบ้านก็ต้องกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา      จึงถือเป็นวันครอบครัวอีกวันหนึ่ง

      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #54 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 18:36:25 »

เรื่องสุดท้ายสองเรื่องนี้
ชอบที่สุดคะ...แม้ฉางเอ๋อ
จะเป็นเทพ หรือเป็นคางคก
หนิงก็ยังไม่แน่ใจ...ที
จะไปถามท่านประธานเหมา
ก็เกรงจาถูกเพ่ยออกมา!!
      บันทึกการเข้า


หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #55 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 08:21:07 »


สวัสดีครับจุ๊ง น้องหนิง
เข้ามาติดตามอ่านอย่างชอบเลยครับ
ขอบคุณทั่นจุ๊ง ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #56 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 09:01:03 »


       ผมเพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องในห้องนี้ได้ความรุ้เกร็ดประวัติศาสตร์จีนหลายเรื่องที่เล่ามาดีมาก  จึงขอให้กำลังใจ

  และสนับสนุนให้นำเรื่องต่างๆมาลงบ่อยๆเป็นวิทยาทานและเป็นความรู้แก่ผู้ที่สนใจที่เข้าอ่านในห้องนี้ครับ
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #57 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 11:10:52 »

ขอขอบคุณพี่ปรีชา พี่หนุน และท่านผู้ชมผู้ฟังทั้งหลายที่คอยให้กำลังใจ ผมวณิพกในฐานะผู้รับอาสาขุด จะได้มีกำลังใจในการขุดต่อไป วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ขอให้ทุกท่านกินขนมไหว้พระจันทร์แกล้มเกร็ดประวัติศาสตร์ให้อร่อยไปเลย สุขสันต์วันไหว้พระจันทร์ครับ
วันนี้ผมขอขุดเอาปฏิทินสมัยโบราณมาคุยซะหน่อย เก็บตกและแปลเก็บไว้อ่านเองพร้อมกับกลุ่มผู้นิยมอะไรแบบจีนๆมานานแล้ว ถ้าใครมีปฏิทินจันทรคติแบบไทยๆมาแจมด้วยก็ดีครับ เพราะกรณีนี้ผมใบ้กิน


จะกล่าวถึงปฏิทิน จากหนังสือที่ผมอ้างถึงบอกว่าปฏิทินในโลกนี้มี 3 แบบ ของไทยเป็นแบบไหนใครพอรู้บ้าง

1  ปฏิทินสุริยคติ(阳历) ก็คือปฏิทินที่เรานับวันใช้อยู่นี่แหละ คิดค้นโดยจูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิแ่ห่งโรมันราว416ก่อนค.ศ. บางทีก็เรียกว่าปฏิทินโรมัน ระบบนี้อาศัยการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ล้วนๆ เห็นหนังสือบอกว่าในปีอธิกสุรทินที่เดือนกุมภาพันธ์มี29วันเรียก闰年 คือปีที่เลขค.ศ.หารด้วย4ลงตัว ปีอื่นที่ไม่ใช่จะเรียก平年 แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเพราะจำนวนนาทีเกินจากที่คิด เมื่อรวมครบ400ปีจะมี闰เพิ่มอีก3วัน จึงจำกัดให้หมายเลขศตวรรษไหนที่หารด้วย4ลงตัวไม่มี闰年เพิ่ม ศตวรรษอื่นเพิ่มอีก1ปีอธิกสุรทินหมด ฉะนั้นทุก400ปีจะมีปีอธิกสุรทิน闰年มี97ปี

2.  ปฏิทินจันทรคติ(阴历) อันนี้นับรอบโคจรของพระจันทร์ล้วนๆ คิดค้นโดยท่านนบี มูหะหมัด ศาสดาอิสลาม บางทีเลยเรียกปฏิทินอิสลาม(回历) ปกติดวงจันทร์โคจรรอบโลกใช้เวลา29วันกับ12ชั่วโมง44นาที2.8วินาที ทั้งปีแบ่งเป็น12เดือน เดือนคี่30วัน เดือนคู่29วัน 1ปีมี354วัน คิด30ปีเป็น1รอบ แต่ละรอบปีที่ 2,5,7,10,13,16,18,21,24,26,29 ถือเป็นปีอธิกสุรทิน闰年จะเพิ่มขึ้น1วันในเดือนสุดท้ายของปี ดังนั้นทุก30ปีจะมี11วันอธิกสุรทิน闰日
เนื่องจากการนับปฏิทินจันทรคติของคนอิสลามไม่ได้ ขึ้นกับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ วันขึ้นใหม่อิสลามก็อาจจะอยู่เดือน2 หรือบางปีไปอยู่เดือน10ของเราเลยก็ได้

3.  ปฏิทินสุริยจันทรคติ(阴阳合历)เป็นปฏิทินที่ชาวจีนใช้อยู่ คิดค้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ย(夏朝)ซึ่งเป็นราชวงศ์์แรกที่ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชและการสืบสันติวงศ์ในประวัติศาสตร์จีน(ยุคก่อนหน้านั้น จะใช้วิธีที่ผู้ปกครองคนก่อนเลือกผู้มีความดีความสามารถมาสืบตำแหน่งแทน) บางครั้งก็เรียกว่าปฏิทินเซี่ย(夏历)ตอนแรกก็เป็นแบบจันทรคตินั่นแหละ แต่ผ่านการแก้ไขมาหลายครั้งเลยกลายเป็นสุริยจันทรคติ แต่ด้วยความเคยชินคนจีนก็ยังเรียกว่าปฏิทินจันทรคติ(阴历)โดยเฉพาะชาวนาอาศัยปฏิทินนี้ในการทำเกษตรกรรมจึงเรียกกันทั่วไปว่าปฏิทินเกษตรกรรม(农历)ปฏืทินนี้อาศัยหลักที่ว่า1เดือนคือระยะเวลาดวงจันทร์โคจรรอบโลก และ1ปีคือระยะเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ นับจากเมื่อดวงจันทร์โคจรไปอยู่หว่างกลางที่สุดระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์จะ เป็นวันขึ้น1ค่ำ(初一)หรือที่เรียก朔日 朔แปลว่าพระจันทร์ดวงใหม่ เมื่อโลกโคจรไปอยู่หว่างกลางที่สุดระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะเป็นวัน เพ็ญขึ้น15ค่ำ(十五)หรือที่เรียกว่า望日 1ปีมี12เดือน เดือนใหญ๋(大月)มี30วัน เดือนเล็ก(小月)มี29วัน(ถือเป็น2เดือนเอามาเฉลี่ยกัน) ทั้งปีมี354วัน ยังน้อยกว่าเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์อยู๋11วัน เมื่อรวมกัน3ปีจะมีจำนวนวันเพิ่มขึ้น33วัน ดังนั้น3ปีก็นับปีอธิกสุรทิน闰年ที่มีเดือนเพิ่มขึ้นมา1เดือน ยังคงมีจำนวนวันเกินอีก3หรือ4วัน ก็รออีก2ปีจะมีวันเกินมา25-26วันก็นับปีอธิกสุรทิน闰年กันอีกทีอย่างนี้เป็นรอบๆ แบบนี้นับโดยเฉลี่ย29ปีมีเดือนอธิกสุรทินที่เพิ่ม(闰月)7 เดือน ปีอธิกสุรทิน闰年มี13เดือน ปีธรรมดา平年มี 12เดือน

เฮ่อ จบซะที เหนื่อย!
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #58 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 11:16:05 »


สวัสดีตอนสายๆครับ.......ท่านจุ๊ง...พี่ปรีชา...พี่หนุน...น้องหนิง และพี่น้องทุกท่าน
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #59 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 11:34:48 »


วันนี้....วันไหว้พระจันทร์

มีขนมไหว้พระจันทร์มาฝากทุกท่านครับ



      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #60 เมื่อ: 23 กันยายน 2553, 18:23:32 »

ไม่เห็นมีผู้ผ่านมาให้ความสนใจเลย เพื่อเรียกเรทติ้ง ก็เลยต้องขุดเรื่องใหม่ที่เก่าจากที่อื่นมาแล้วขึ้นมาเล่าซะหน่อย คราวนี้เรื่องเรื่องของกามเทพแบบจีนๆ เคยค้นคว้าแปลลงมุมจีนมานานแล้ว อาจจะมีความเป็นจีนมากไปหน่อย จะพยายามให้เป็นไทย  บทความเดิมสามารถดูได้ที่ http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=267737&Mbrowse=33

เทพใต้แสงจันทร์  กามเทพแบบจีนๆ
เทพใต้แสงจันทร์ 月下老人 บางครั้งก็เรียกผู้อาวุโสแห่งจันทร์ 月老 เป็นเทพในเทพนิยายจีนที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะในการจับคู่มนุษย์โดยใช้เส้นด้ายแดงผูกข้อเท้าของมนุษย์ชายหญิง  ยังมีศาลบูชาของเทพใต้แสงจันทร์ตามเมืองต่าง มีรูปปั้นสำหรับบูชาของคนที่มุ่งหวังจะมีคู่ครอง  ในสมัยโบราณข้างบึงตะวันตกซีหู  มีศาลบูชาเทพใต้แสงจันทร์  ชายและหญิงที่อยากมีคู่ครองก็จะไปจุดธูปวิงวอน เสี่ยงเซียมซี แก้บนต่างๆไม่ขาดสาย  เซียมซีของเทพใต้แสงจันทร์จะมีทั้งหมดสี่สิบเก้าไม้ เริ่มจากไม้แรก  “关关雎鸠,在河之洲。窈窕淑女,君子好逑。”จนถึงไม้สุดท้าย “愿天下有情人都成眷属。”

ตามตำนานกล่าวว่าเทพใต้แสงจันทร์มีบทบาทครั้งแรกในสมัยต้นราชวงศ์ถังไท่จงรัชกาลเจินกวน มีชายคนหนึ่งชื่อเหวยกู้  บิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก  มีความคิดที่จะแต่งงานหาคู่ครองเสียแต่เนิ่นๆ  ไปสู่ขอก็หลายครั้งไม่ประสบความสำเร็จ  ครั้งนี้เขาเดินทางมาถึงเมืองซ่ง ไปพำนักในโรงเตี๊ยม คนที่พักอยู่ด้วยกันแนะนำให้ลูกสาวของอดีตซือหม่า(เดาว่าน่าจะเป็นตำแหน่งสมหกลาโหม)ให้  นัดกันไว้ว่ารุ่งเช้าไปพบกันที่วัดหลงซิง เหวยกู้ใจร้อน  ตอนเช้าฟ้ายังไม่สางก็รีบเดินทางไป เวลาขณะนั้น พระจันทร์กำลังจะตก แต่แสงจันทร์ก็ยังสว่างอำไพ เห็นคนแก่คนหนึ่งสะพายห่อผ้านั่งเอนหลังอยู่ข้างบันไดทางขึ้น ใช้แสงจันทร์อ่านหนังสืออยู่ เมื่อมองไปที่หนังสือนั้น เป็นภาษาประหลาดเหวยกู้อ่านไม่ออก เหวยกู้เลยถาม “ท่านลุง นี่เป็นหนังสืออะไร ผมเองก็เรียนหนังสือมาเยอะ แม้แต่ภาษาบาลีก็ยังอ่านออก แต่ตัวหนังสือไม่รู้จัก มันเกี่ยวกับอะไรหรือ”  คนแก่นั้นยิ้มแล้วบอกว่า “ นี่ไม่ใช่หนังสือบนโลกมนุษย์ เจ้าไหนเลยจะอ่านออก” เหวยกู้ถาม “แล้วมันเป็นหนังสืออะไรล่ะ” คนแก่ตอบ “นี่เป็นหนังสือของยมโลก” เหวยกู้ถาม “คนยมโลกทำไมถึงมาอยู่ในโลกมนุษย์ล่ะ”  คนแก่ตอบว่า” ไม่ใช่ว่าข้าไม่สมควรมา เพียงแต่เจ้าออกจากบ้านมาเช้าไป เลยเจอกับข้า เจ้าพนักงานในยมโลกล้วนแล้วแต่ดุแลเรื่องของโลกมนุษย์ ย่อมต้องมาโลกมนุษย์บ่อยเป็นธรรมดา”  เหวยกู้ถามอีก “แล้วท่านดูแลเรื่องอะไรหรือ” คนแก่ตอบว่า” เรื่องราวการมีคู่ครองของชาวโลกมนุษย์”  เหวยกู้ดีใจใหญ่ รีบถาม” ผมชื่อเหวยกู้ มีความตั้งใจอยากจะรีบแต่งงาน มีลูกหลานสืบสกุล ในช่วงสิบปีมานี้ พยายามหาคู่อยู่หลายครั้งก้ไม่ประสบความสำเร็จ ครั้งนี้มีนัดอีก จะสมหวังหรือไม่ครับ” คนแก่ตอบว่า” ยังไม่ถึงเวลา เจ้าสาวของเจ้าเพิ่งอายุได้ 3 ขวบเอง ต้องอายุ17 ปีถึงจะสามารถแต่งเข้าบ้านได้”  เหวยกู้รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ถามไปอย่างแกนๆ “ห่อผ้าข้างหลังของท่านลุงเป็นอะไรหรือ”  คนแก่ตอบว่า “เป็นเส้นด้ายสีแดง  ใช้สำหรับผูกข้อเท้าของคนที่เป็นคู่ครองกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายนั่งลง ก็จะแอบเอาด้ายนี้ไปผูกข้อเท้าฝ่ายละข้าง  หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่มีความแค้นต่อกัน หรือว่าศักดิ์ฐานะที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน หรือว่าจะต้องเดินทางไปสุดหลายฟ้าเขียว อยู่กันต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่สามารถสลัดหลุดจากกันได้ เท้าของเจ้าได้ผูกด้ายไว้กับเด้กหญิงคนนั้นแล้ว  จะไปหาหญิงอื่นก็ไม่มีประโยชน์”  เหวยกู้ถามอีก “ภรรยาของผมคนนั้นตอนนี้อยู่ไหน บ้านของเขาทำงานเลี้ยงชีพอย่างไร” คนแก่ตอบว่า “ลุกสาวของหญิงแซ่เฉินที่ขายผัก ข้างๆโรงเตี๊ยมนี้ใช่แล้ว” เหวยกู้ถาม “ขอดูหน่อยได้ไหม” คนแก่ตอบ “หญิงแซ่เฉินมักจะอุ้มเด้กหญิงมาขายผักด้วย เจ้าตามข้ามา เดี๋ยวข้าจะชี้ให้เจ้าดู” ฟ้าสว่างแล้ว คนที่นัดไว้รอก็ไม่มา  คนแก่ก็เอาหนังสือเก็บใส่ห่อผ้าแล้วก้เดินไป เหวยกู้เดินตาม  ไปถึงตลาดสด มีหญิงที่ตาบอดข้างหนึ่ง  อุ้มเด็กหญิงอายุประมาณ 3 ขวบ เด้กหญิงนั้นฟันหลอ หน้าตาดูไม่ได้  ชายแก่ก็ชี้เด็กผู้หญิงนั้น แล้วบอกว่า “นั่นเป็นภรรยาเจ้า”  เหวยกู้เห็นแล้วก็มีโมโห  บอกว่า “ผมฆ่ามันให้ตายดีกว่า ได้หรือเปล่า” ชายแก่หัวเราะหึๆ บอกว่า “ เด็กคนนี้ได้ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องเป็นคุญหญิงคุณนาย ทั้งนี้ก้โดยอาศัยบารมีของเจ้า เจ้าฆ่าไม่ตายดอก” กล่าวจบ ชายแก่ก็หายตัวไป
เหวยกู้กลับมาถึงโรงเตี๊ยม  ไปหามีดมาด้ามหนึ่ง เรียกคนใช้มาบอกว่า “เจ้าเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว ข้าจะใช้ให้ไปฆ่าเด็กน้อยคนหนึ่ง ถ้าทำสำเร็จ มีรางวัล”  คนใช้รับปากแล้ว วันต่อมา คนใช้ก้ถือมีดไปที่ตลาด แทงใส่เด็กหญิงไปหนึ่งมีด อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีมา เหวยกู้ถาม “แทงตายไหม”  คนใช้ตอบว่า “ความจริงจะแทงที่หัวใจ แต่พลาดไปถูกหว่างคิ้ว” หลังจากนั้น เหวยกู้ก็พยายามเสาะหาคู่ครองก็ไม่สำเร็จ 14 ปีให้หลัง เนื่องจากทางราชการเห็นแก่ความดีความชอบของพ่อเหวยกู้ตอนมีชีวิต  เลยให้ตำแหน่งที่ปรึกษาทางทหารแก่เหวยกู้  เจ้าเมืองให้เหวยกู้รับผิดชอบคุกคุมขังนักโทษด้วย  ประทับใจในความสามารถของเหวยกู้ เลยยกลูกสาวให้ สาวน้อยอายุเพิ่ง 17 ปี หน้าตาสวยงามน่ารัก เหวยกู้พอใจเป็นอย่างมาก  เพียงแต่ตรงคิ้วจะปิดไว้ด้วยดิ้นทอง แม้แต่ตอนล้างหน้ายังไม่ถอดออก แต่งงานมาปีกว่าๆ เหวยกู้คาดคั้นสอบถามสาเหตุของการประดับดิ้นทอง  ภรรยาจึงตัดใจตอบด้วยความเสียใจว่า “ฉันเป็นหลานของท่านเจ้าเมือง ไม่ใช่ลูกแท้ๆหรอก สมัยก่อนพ่อฉันเป็นเจ้าเมืองซ่ง ตายในหน้าที่ ตอนนั้นฉันยังแบเบาะ  ทั้งแม่และพี่ชายต่างก็ตายจากไป  ในเมืองซ่งเหลือแค่ที่นา 1 แปลง พักอยู่กับแม่นมที่แซ่เฉิน ที่นาก้ไม่ห่างจากตัวเมืองนัก  แต่ละวันก็อาศัยขายผักเลี้ยงชีพ แม่นมสงสารฉันว่ากำพร้า เลยดูแลไม่ห่างตา  ดังนั้นก็อุ้มฉันไปขายผักด้วย  วันหนึ่งถูกคนใจดำมาทิ่มแทง 1 มีด  รอยแผลยังอยู่ เลยใช้ดิ้นปิดไว้  7-8ปีก่อน ท่านอามารับราชการที่เมืองใกล้เคียง ฉันเลยตามมาที่นี่ ตอนนี้ท่านก็รักฉันเหมือนลูกและยกฉันให้พี่” เหวยกู้ถามว่า “หญิงแซ่เฉินใช่ตาบอดข้างหนึ่งหรือไม่ “ ภรรยาแปลกใจถามว่า “พี่รู้ได้อย่างไร” เหวยกู้เลยยอมว่าว่าเป็นคนใช้ให้มาแทงเอย จากนนั้นก็เล่ารายละเอียดต่างๆให้ฟัง  หลังจากนนั้นสามีภรรยาก็ครองความรักอย่างสุขสม หลังจากนั้นเรื่องของเหวยกู้ก็แพร่หลายไปทั่ว ผู้คนเลยรู้ว่ามีเทพองค์หนึ่งที่คอยดุแลการแต่งงานของชายหญิง แต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร เลยเรียกว่าเทพใต้แสงจันทร์
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #61 เมื่อ: 25 กันยายน 2553, 22:20:24 »

ละครทีวีเรื่อง ซุนหวู่ 

ช่องไหนคะ
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #62 เมื่อ: 25 กันยายน 2553, 22:22:07 »

แหะ ๆ เวลาอ่าน หนูต้องก๊อปปี้ ใส่เวิร์ดค่ะ

ได้ความรู้อีกเรื่อง เย่่่!  หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #63 เมื่อ: 26 กันยายน 2553, 08:25:40 »

สวัสดีน้องหมี ซีรีย์เรื่องซุนหวู่นี่ไม่เคยดูเหมือนกัน แต่เห็นเขาคุยกันในเว็บว่าออกอากาศทางทีวีช่องThai PBS เมื่อ2ปีที่แล้ว ตอนนี้คงหาดูไม่ได่แล้ว  แต่ถ้าใครพอฟังภาษาจีนออกอาจจะพอหากล้อมแกล้มดูได้ที่ http://www.tudou.com/programs/view/nASt03emwYk/
อ้อ เรื่องซุนหวู่ยังมีเกร็ดสนุกๆเกี่ยวกับซุนหวู่ฝึกทหารหญิง เดี๋ยวจะหามาเล่า
ถ้านึกถึงเรื่องอะไรที่เคยได้ยินได้ฟังมา อยากหารายละเอียดก้บอกมานะ จะหาให้
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #64 เมื่อ: 26 กันยายน 2553, 09:39:59 »

อ้อ หาเจอพอดี แก้ไขเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับผู้อ่านแบบไทยๆก็ใช้การได้

ในยุคชุนชิว(หมายเหตุ คำว่าชุนกับชิวในที่นี้แปลได้หลายอย่าง ชุนอาจจะแปลว่าฤดูใบไม้ผลิก็ได้ แปลว่าความกระปรี้กระเปร่าหรือแม้แต่แปลว่าความเสน่หาระหว่างหนุ่มสาวในวัยรักก็ได้ คำว่าชิวก็แปลได้หลายอย่าง อาจจะแปลว่าฤดูใบไม้ร่วงก็ได้  ระยะเวลาเก็บเกี่ยวพืชผลก็ได้ บางทีก็อาจจะแปลว่าระยะเวลาช่วงที่ไมดีช่วงใดช่วงหนึ่ง อย่างเช่นเหตุการณ์ความแตกแยกเกิดความไม่สงบระหว่างคนไทยด้วยกัน ภาษาจีนอาจจะเรียกว่า乱世之秋(ชิว(ยุคสมัย)แห่งความวุ่นวาย) คำชุนชิวในที่นี้อาจจะแปลตามสำนวนสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ว่าแผ่นดินจีนนั้นไซร้มีสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก้เป็นสุข คำว่าชุนชิวในที่นี้เป็นยุคสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ หรือบางคนอาจจะคิดว่าฤดูใบไม้ผลิก็สงบกันที ฤดูใบไม้ร่วงก็รบกันทีก็ได้ สำหรับสมัยเลียดก๊กที่คนไทยรู้จักกันดี เป็นยุคหลังของเหตุการณ์สมัยชุนชิว)   มีนักวิชาการทหารที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ชื่อ ซุนหวู่   เขามีตำราพิชัยสงครามอาจารย์ซุน  ซึ่งเขาเขียนเองพกติดตัวไปพบกับท่านอ๋องเหอหลู ซึ่งเป็นอ๋องของเมืองวู หลังจากที่ท่านอ๋องวูได้อ่านแล้วก็ถามขึ้นว่า  “ตำราพิชัยสงคราม 13 บทของท่าน ฉันได้อ่านหมดแล้ว จะทดลองใช้กับหน่วยทหารของฉันได้ไหม”  ซุนหวู่ตอบว่าได้

ท่านอ๋องวูถามอีก “ ให้ผู้หญิงเป็นผู้ทดสอบได้ไหม “  ซุนหวู่ก็ตอบว่าได้  ครั้นแล้วท่านอ๋องวูก็เรียกรวมพวกสนมนางในภายในพระราชวัง จำนวน 180 คน มาให้ซุนหวู่ฝึกฝน

ซุนหวู่จัดการแบ่งพวกนางในออกเป็น 2 หมู่ ให้สนมคนโปรดของท่านอ๋อง 2 คนเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทั้งให้พวกเธอทุกคนถือหอกยาว  หลังจากตั้งขบวนเรียบร้อยแล้ว  ซุนหวู่ก็พูดว่า “  พวกท่านรู้ไหมว่าเดินหน้าถอยหลังซ้ายหันขวาหันทำอย่างไร”  เหล่าทหารหญิงพูดว่า “ ทราบค่ะ”

ซุนหวู่ถามอีก  “ไปข้างหน้าให้ดูหน้าอกฉัน  ไปข้างซ้ายให้ดุแขนซ้ายฉัน  ไปทางขวาก็ให้ดูแขนขวาฉัน ไปข้างหลังก็ให้ดูข้างหลังฉัน” พวกทหารหญิงพูดว่า  “เข้าใจค่ะ”  

ครั้นแล้วซุนหวู่สั่งให้นำเอาหยง(มีลักษณะคล้ายขวานเป็นเครื่องมือในการลงโทษประหารชีวิตในสมัยโบราณ)  สั่งและอธิบายพวกนางหลายรอบถึงกฏข้อที่ต้องระวัง พูดจบก็ตีกลองส่งสัญญาณให้ไปทางด้านขวา  

หารู้ไม่ว่าพวกทหารหญิงไม่เพียงแต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง พวกนางยังกลับหัวเราะอย่างครึกครื้น ซุนหวุ่เห็นดังนั้นก็พูดว่า “อธิบายไม่ชัด มอบงานไม่ชัดเจน สมควรจะเป็นความผิดพลาดของผู้บังคับบัญชา”

ครั้นแล้วก็ได้จัดการอธิบายคำสั่งเมื่อสักครู่ให้กับพวกนางอย่างละเอียดอีกครั้ง  แล้วก็ดีกลองส่งสัญญาณให้ไปทางซ้าย  พวกทหารหญิงยังคงเอาแต่ยิ้มหัวกันอยู่ดี

ซุนหวู่จึงพูดว่า  “อธิบายไม่ชัด มอบงานไม่ชัดเจน เป็นความผิดพลาดของผู้บังคับบัญชา   ในเมื่อมอบงานชัดเจนแล้วไม่ฟังคำสั่ง ก็เป็นความผิดของหัวหน้าหมู่และบรรดาทหารแล้วล่ะ”  

พูดจบก็ออกคำสั่งผู้ติดตามจัดการประหารหัวหน้าหมู่ ท่านอ๋องวูเห็นซุนหวู่จะประหารนางในคนโปรดของเขา ก็รีบส่งคนไปขอผ่อนผันละเว้น แต่ว่าซุนหวู่พูดว่า  

“ในเมื่อฉันรับคำสั่งเป็นผู้นำทัพ  แม่ทัพอยู่ในกองทัพ    คำสั่งเจ้าชีวิตมีบ้างที่จะไม่ปฏิบัติตาม”  ครั้นแล้วก็สั่งผู้ติดตามประหารหัวหน้ากลุ่มสองคนนั้นไป แล้วก็สั่งคนที่ยืนหัวแถวสองคนเป็นหัวหน้าหมู่  

หลังจากนี้ไป เหล่าทหารหญิงไม่ว่าจะให้เดินหน้าถอยหลัง ไปซ้ายไปขวา   หรือแม้แต่คุกเข่า ยืนตรง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่ยุ่งยากซับซ้อนแค่ไหนต่างก็ตั้งใจฝึก ไม่กล้าทำเป็นเล่นอีกเลย  

เรื่องเล่านี้เดิมมาจาก..สื่อจี้{บันทึกประวัติศาสตร์เล่มแรกของจีน เขียนโดยซือหม่าเชียน ในรัชสมัยฮั่นหวู่ตี้ เนื้อหาประกอบไปด้วย 12 本纪(บันทึกกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์)  30世家(บันทึกเจ้าผู้ครองนครและตระกูลขุนนาง) 70列传(บันทึกบุคคลที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์) และ 十书(บันทึกเกี่ยวกับวิทยาการความก้าวหน้าอย่างประเพณีมารยาท ปฏิทิน กฏหมาย ดนตรี ฯลฯ)} ในบทบันทึกเรื่องราวของซุนจื่อหวู่ฉี  ต่อมา คนทั่วไปก็นำวิธีการที่ซุนหวู่อธิบายทหารหญิงครั้งแล้วครั้งเล่ามาแผลงเป็น “สามสั่งห้าตักเตือน” ซึ่งความหมายก็คือการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง อย่างเช่นทางการของบางพื้นที่ได้ออกตักเตือนร้านขายสินค้าบริโภคหลายครั้งว่าต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เพื่อป้องกันการก่อให้เกิดผลร้ายทางด้านสุขภาพของลูกค้า พวกเราสามารถพูดว่า “เกี่ยวกับเรื่องทางร้านขายสินค้าบริโภคจะต้องรับประกันความสะอาดและถูกอนามัยทางรัฐบาลได้ “สามสั่งห้าตักเตือน” ทุกคนก็รู้กันมาตั้งนานแล้ว และอีกคำที่นิยมใช้ในวงการทหารและการค้าคือคำว่า “แม่ทัพเมื่ออยู่ในสนามรบ คำสั่งเจ้านายมีบ้างที่จะไม่ปฏิบัติตาม”  ทั้งนี้บรรดาเจ้านายก็ย่อมรู้ดีและเข้าใจ เพราะเจ้านายอยู่แต่ในหอคอยงาช้าง ไหนเลยจะเข้าใจสถานการณ์ของแม่ทัพซึ่งเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ได้

      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #65 เมื่อ: 26 กันยายน 2553, 15:06:35 »

ในเรื่องสามก๊ก ผมชอบโจโฉมากที่สุด อาจจะได้อ่านประวัติเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของโจโฉมาพอสมควร โดยเฉพาะบทกลอนของโจโฉ ช่างลึกซึ้งกินใจ ไม่ใช่ความรักหนุ่มสาว ไม่ใช่ความรักระหว่างเพื่อน แต่เป็นความอาจหาญของบุคคล วันนี้ครึ้มใจ เลยทดลองแปลดู ผสมจินตนาการและความรู้สึกของตัวเองเข้าไปบ้าง ชอบจริงๆ กลอนบทนี้ของโจโฉ กลอนบทนี้อยู่ในบทเรียนชั้นมัธยมของจีนที่นักเรียนทุกคนต้องท่องจำให้ได้

短歌行
  
  对酒当歌,人生几何?
  譬如朝露,去日苦多。
  慨当以慷,忧思难忘。
  何以解忧?唯有杜康。
  青青子衿,悠悠我心。
  但为君故,沈吟至今。
  呦呦鹿鸣,食野之苹。
  我有嘉宾,鼓瑟吹笙。
  皎皎如月,何时可掇?
  忧从中来,不可断绝。
  越陌度阡,枉用相存。
  契阔谈宴,心念旧恩。
  月明星稀,乌鹊南飞,
  绕树三匝,何枝可依?
  山不厌高,海不厌深。
  周公吐哺,天下归心。

(ลำนำจริยาขนาดย่อม)

ดื่มเหล้าพร้อมเหล่าเพื่อน ผู้มาเยือนเพื่อนชีวา
ชีวิตเรานี่หนา จะหามีซักกี่หน

ดั่งน้ำค้างพราวตา เวลาตรู่อยู่ไม่ทน
อนาถชีวิตคน หนทางช่างลำบากนัก

ถึงแม้จะอาจหาญ คึกทะยานมั่นหาญหัก
ยังเรื่องกังวลหนัก สลักใจไม่อาจลืม

อย่างนี้ทำไงได้ ถึงทำใจให้เป็นปลื้ม
เอ้าเพื่อนเรามาดื่ม เพื่อคลายเหงาที่เศร้าใจ

เหล่าพวกหนอนตำรา   คอยกวนข้าให้เขวไขว้
คอยรบกวนจิตใจ ให้ข้ามีที่รำคาญ

ยังแต่เจ้าชีวิต ที่ข้าคิดเกรงทัยท่าน  
เพื่อความสมานมั่น ฉันเลยเฉยจนถึงบัดนี้

แว่วแว่วเสียงเก้งกวาง ร้องเสียงกร่างดังอึงมี่
เคี้ยวหญ้าในไพรี มันช่างมีความสุขนัก

ข้ามีแขกมาแล้ว ซอปี่แก้วกลองตีหนัก
ดนตรีมีพร้อมพรัก ขับขานให้ใจเบิกบาน

พระจันทร์อันสกาว ส่องแสงพราวพร่างบนลาน
ไฉนใจข้าหาญ อยากเก็บมันมาแนบไว้

พลันเกิดความกังวล อันล้นพ้นขึ้นในใจ
มิอาจระงับได้ ให้หมองหม่นเหลือทนนัก

ฝ่าเขาลำเนาไพร ที่ไกลๆไม่หยุดพัก
แต่ผลที่ได้มัก ไม่คุ้มกับที่คาดหวัง

คุยกับคนรู้ใจ เหล้าในไหเกลี้ยงเป็นลัง  
แต่ใจเราก็ยัง รำลึกถึงคนแก่เก่า

ในคืนที่จันทร์แจ่ม ไร้ดาวแซมแจ่มใจเรา
นกกาพลันร้อนเร่า เฝ้าบินไปในทิศใต้

เจอไม้ใหญ่วนเวียน เฝ้าแต่เพียรหากิ่งไม้
วนแล้วสามรอบไซร้ ไม่มีที่จะอาศัย

ขุนเขาทะยานเมฆ ยิ่งสรรเสกยิ่งสูงใหญ่
ทะเลลึกสุดใจ ใครหยั่งได้ให้บาทเดียว

โจวกงกินข้าวอยู่ รู้ใครมาพ่นข้าวเชียว
ทำได้ไม่ลดเลี้ยว ทั้งโลกหล้ามาสยบ

อ้อ (ลำนำจริยาขนาดย่อม)นี้ได้นำมาทำเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่องสามก๊กที่เคยฉายในบ้านเราเมื่อสิบกว่าปีก่อน สามารถฟังเพลงคลอไปกับความหมายของเพลงได้ที่ http://www.tudou.com/programs/view/_7mMR0wCJwc/
หมายเหตุ
โจวกงในที่นี้หมายถึงจีต้าน เป็นลูกชายคนที่สีของจิวบุ๋นอ๋อง เป็นน้องชายจิวบู๊อ๋อง ช่วยจิวบู๊อ๋องในการพิชิตติ้วอ๋อง กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ซาง และสถาปนาราชวงศ์โจว ตามบันทึกประวัติศาสตร์ โจวกงเป็นคนที่ชอบหาคนมีความรู้ความสามารถเรียกว่า  (มองหาคนดีราวกับกระหายน้ำ)  โจวกงกลัวว่าจะสูญเสียคนดีของแผ่นดิน มีหลายครั้ง เวลามีคนมีความสามารถมาหา ยังสระผมอยู่ ก็รีบจับผมที่ยังไม่ได้หวีออกมาต้อนรับ บางทีรับทานข้าวอยู่ ได้ยินว่ามีแขกมา ก็รีบพ่นข้าวที่ยังไม่เคี้ยวออกมาต้อนรับแขกเหรื่อ  คำว่า(โจวกงพ่นข้าว) เลยกลายเป็น成语(คำสำเร็จรูปเชิงสุภาษิตเปรียบเปรย)  ที่แปลว่ากระตือรือร้นในการต้อนรับแขกเหรื่อ

      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #66 เมื่อ: 26 กันยายน 2553, 16:47:40 »

เรื่องกามเทพใต้แสงจันทน์
อ่านแล้วคิดคะ!
คิดมาหลายวันแล้วด้วย..
ว่าพระเอก...มีจิตคิดฆ่า
เพียงเพราะความขี้เหล่..
พอมารู้ทีหลัง..สวย
อืมมมม
อำมหิตนะนี่!
รับไม่ได้.
      บันทึกการเข้า


หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #67 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 08:00:08 »



โอ้...เฮียจุ๊ง
เป็นเรื่องเล่าและลำนำที่อ่านเพลินมาก
ได้บรรยากาศ เลยหล่ะ
เอาอีกๆ

เฮียจุ๊ง  เยี่ยมอ่ะ


      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #68 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 08:19:46 »

ท่านจุ๊ง......

ถ้าเป็นข้อความยาวๆ กรุณาอย่าใช้ฟรอนท์ตัวเอียงเลยครับ......มันอ่านยาก..ปวดหัว

สงสารคนเริ่มสูงอายุอย่างผมหน่อย.
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #69 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 09:02:11 »

แก้ไขให้ท่านแหลมตามที่คุณขอมาแล้ว พร้อมกับแถมบทกลอนอมตะของหลี่ไป๋ สุนทรภู่จีน ซึ่งได้มีการแปลเป็นภาษาปะกิตไว้แล้วด้วย เป็นกลอนที่แต่งขึ้นในงานเลี้ยงส่งท่านเสมียนซูหวิน เชิญทัศนาได้ ใครถนัดจีนจีน ใครปะกิตปะกิต หรือจะเพลิดเพลินไปกับกาพย์ยานี11ก็ได้

《宣州谢朓楼饯别校书叔云》
作者:李白
弃我去者,昨日之日不可留。
乱我心者,今日之日多烦忧。
长风万里送秋雁,对此可以酣高楼。
蓬莱文章建安骨,中间小谢又清发。
俱怀逸兴壮思飞,欲上青天览日月。
抽刀断水水更流,举杯消愁愁更愁。
人生在世不称意,明朝散发弄扁舟。


Seven-character-ancient-verse

    Li Bai

    A FAREWELL TO SECRETARY SHUYUN
    AT THE XIETIAO VILLA IN XUANZHOU


        Since yesterday had to throw me and bolt,
        Today has hurt my heart even more.
        The autumn wildgeese have a long wind for escort
        As I face them from this villa, drinking my wine.
        The bones of great writers are your brushes, in the School of Heaven,
        And I am a Lesser Xie growing up by your side.
        We both are exalted to distant thought,
        Aspiring to the sky and the bright moon.
        But since water still flows, though we cut it with our swords,
        And sorrows return, though we drown them with wine,
        Since the world can in no way answer our craving,
        I will loosen my hair tomorrow and take to a fishingboat.


จากข้าเวลาวาน พร่ำเรียกขานมิหวนคืน
รบกวนข้ายามตื่น คืนวันนี้ที่เศร้าโศก
ลมโบกโบยโชยพา ห่านป่ามาจากไกลโลก
มิควรจะวิโยค ร่ายโศลกยกเหล้าถอน
ท่านนั้นเปรียบประดุจ เป็นที่สุดแห่งสาคร
ตำราและอักษร อีกโคลงกลอนที่หาญกล้า
เราสองมีพลัง ที่แฝงฝังยังชีวา
ทะยานสู่เมฆา สู่เวหาหาแขไข
มือสองประคองกอด มิให้ลอดหนีไปได้
ฟันหมับฉับน้ำไหล ขาดหรือไม่ไหลยิ่งเชี่ยว
หมองเศร้าเคล้าห่อเหี่ยว เหล้าจอกเดียวยิ่งหม่นหมอง
ยกมือถือจอกสอง นิ่งเฝ้ามองตรองตรองคิด
คนเราในโลกหล้า ต้องนำพาเรียกหาสิทธิ์
มิอาจใช้ชีวิต ตามที่คิดใครทนไหว
มิสู้รุ่งเช้าตรู่ พายเรือดูตามน้ำไป
ไปสู่ที่ไกลไกล มิมีใครไร้ผู้คน



หลี่ไป๋



      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #70 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 13:14:05 »

พี่จุ๊งที่เคารพ

มาอ่านต่อค่ะ

อ่านเสร็จมีเวลาก็ไปหาภาพมาดูว่า แต่ละตัวละคร เป็นยังไง
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #71 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 13:47:21 »

ขอบคุณครับ..........
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #72 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 14:09:57 »

สวัสดีครับพี่จุ๊ง

         เห็นพี่แหลมขอปุ๊บ พี่จุ๊งจัดให้ทันที

ผมขอมั่งนะครับ    ขอตัวอักษรที่เป็น Pin Yin ด้วยนะครับ  เพื่อการศึกษา

ขอบคุณล่วงหน้าครับ
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #73 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 14:27:14 »

เอามาให้ท่านจุ๊งช่วยแปล......

สวัสดีพี่หนุน..น้องหนิง..น้องขุน และน้องหมีด้วยครับ....



      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #74 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 16:27:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 27 กันยายน 2553, 14:09:57
สวัสดีครับพี่จุ๊ง

         เห็นพี่แหลมขอปุ๊บ พี่จุ๊งจัดให้ทันที

ผมขอมั่งนะครับ    ขอตัวอักษรที่เป็น Pin Yin ด้วยนะครับ  เพื่อการศึกษา

ขอบคุณล่วงหน้าครับ


ไม่เข้าใจว่าต้องการให้ทำยังไง ให้ใส่pinyinเพื่อช่วยในการอ่านหรือยังไง แต่ถ้าต้องการแค่pinyinเพียวๆไม่สนับสนุน เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร และการใส่pinyinค่อนข้างยุ่งยาก เสียเวลามาก ถ้าอยากได้pinyinช่วยในการอ่าน สามารถใช้wordช่วย สามารถให้มันแสดงpinyinได้

สำหรับท่านแหลมเปี๊ยบ เอาอาหารหนักมาให้ผมซะแล้ว ขอเวลาบิ๊วอารมณ์ซักแป๊บนะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 36  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><