24 เมษายน 2567, 00:25:57
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 362 363 [364] 365 366 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3235686 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9075 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 08:04:00 »

พี่สิงห์

วันนี้จะไปไหน
อย่าลืมโทร 1506 สอบถามเรื่องประกันสังคมนะครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9076 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 08:41:40 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                      เมื่อวานพี่สิงห์ เดินทางไปสิงห์บุรี ไปสอนชิกง-โยคะ ให้กับชุมชนวัดพระนอน ให้กับผู้นำแต่ละชุมชน ได้เรียนรู้วิธีการออกกำลังกายแบบชิกง-โยคะ สำหรับผู้สูงอายุ  ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องอย่างน้อยอาทิตย์ละสี่วัน  จะสามารถทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น  เคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องกว่าเดิม  รักษาอาการปวดตามร่างกาย  โรคมึนหัว  ปวดหัว และห่างไกลจากโรคเรื้อรังได้  บังเอิญผมไม่ได้ถ่ายภาพ  มีแต่คนบันทึกเป็น วิดิโอ เอาไปดู เท่านั้น เพราะจำท่าไม่ได้

                      ขณะพักเหนื่อย ผมก็สอนเรื่องการกิน   การวางจิตของเราให้เหมาะสมว่า เรื่องอะไรควรรับรู้เรื่องอะไรไม่สมควร เพราะรู้มากมีแต่นำทุกข์มาให้  รู้เรื่องมากก็ทำไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้สูงวัย  อะไร ๆ ที่เคยทำได้  มันก็ทำไม่ได้แล้ว  ต้องปล่อยมันทิ้งไปอย่าไปเก็บ ไปหามาแบกเลยหนักเปล่า ๆ สู้เราดูแลตัวเราเรื่องของเรา  ไม่ให้เจ็บให้ป่วย  ไม่เป็นภาระของลูก-หลานในทุกเรื่อง  ไม่ไปก้าวล้ำใดๆ นอกจากตัวเราเท่านั้น เพราะคนคิดไม่เหมือนกัน  มีความต้องการไม่เหมือนกัน  อย่าไปคิดแทนใคร  อย่าไปเสนอแนะ  ยกเว้นเขามาขอความเห็นจากเรา  เราของคนอื่นก็เรื่องของคนอื่น อย่าไปข้องแวะหรือรับรู้เลย  เอาธุระแต่เรื่องของเรานี่ละ อยู่อย่าง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และตัวเราเดือดร้อน เป็นใช้ได้ ชีวิตเราก็จะมีแต่ความสงบ สุข สอนตั้งแต่เก้าโมงเช้า จนถึงเพล

                      นอกขากนี้ยังได้สอนธรรมะแบบง่าย ๆ คือการอยู่อย่างมีสติ  รู้สึกตัวเป็นส่วนใหญ่

                      ผมด้ทุกท่านได้ตรองดูด้วยปัญญา ในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนในเรื่อง "มหาสติปัฏฐาน ๔" เราสามารถจะพบได้เอง

                      ความทุกข์เกิดจาก อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ตัวเราทุกข์ แต่ เพราะเราหลงว่าเป็นตัวเรา และมีความยึดมั่นถือมั่น(ความอยาก)ในรูป เวทนา สัญญา  สังขาร  และวิญญาณ ที่สัมผัสได้ ทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และใจ  แล้วเกิดการคิด จึงมีแต่ความทุกข์

                      ความทุกข์ส่วนใหญ่เป็นการทุกข์ใจ ทุกข์เพราะไปคิด  คิดเพราะควบคุมความคิดไม่ได้ ไม่รู้จักวิธีควบคุม ไม่รูจักตัวสติ  สร้างความรู้สึกตัวไม่เป็น  หลงอยู่ในความคิด  จึงมีแต่ทุกข์

                      นอกจากนี้เพราะเราแก่ตัวลง  ยังปล่อยวางไม่เป็น  ไม่ดูแลอาหาร พักผ่อน ออกกำลังกาย และจิตใจ  ผลคือ รูปมันป่วยจริง ๆ ขึ้นมาก็มีแต่ทุกข์  สร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและครอบครัว เสียเงินเสียทอง

                      เราต้องอยู่กับความเป็นจริง  อย่าหลงอยู่ในความคิด  ถอนตัวเองออกมาให้ได้  กระทำสิ่งต่าง ๆ  ตามที่ผู้รู้เขาคิดว่าดี

                      ขอให้พิจารณา ด้วยปัญญา

                      แยกให้ออกว่า อะไรเป็นความคิด  อะไรเป็นการระลึกได้ หรือรู้สึกได้  ทดลองดู  สมมติเรากำลังนั่งสวดมนต์อยู่  อยู่ๆ ก็คิดเรื่องอื่นวิตกกังวลลูก คิดถึงลูกขึ้นมา  แต่ปากยังสวดมนต์อยู่  พอระลึกได้ว่ากำลังสวดมนต์อยู่  พิจารณาให้ออก  ตัวระลึกได้มันเป็นปัจจุบันที่เรากำลังกระทำ นั่นละตัวสติ  ส่วนการที่เราคิดไปแล้ว เป็นอดีต พอเรารู้สึกตัว ความคิดมันก็หายไป นั่นละเราหลงไปในความคิด  นี่ละแยกให้ออกความคิด และสติ

                      เมื่อใดทุกวินาที  ทุกนาที  ทุกชั่วโมง เราระลึกได้ หรือรู้สึกตัวได้ ที่เวลาหายใจเข้าก็รู้สึกได้  หายใจออกก็รู้สึกได้ สังเกตดูเราจะไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์  จริงไหม ? สังเกตให้พบ  ความระลึกได้นั้น คือตัวสติที่เราต้องการละ

                      เมื่อใดทุกวินาที  ทุกนาที  ทุกชั่วโมง เราระลึกได้ หรือรู้สึกตัวได้ ที่เรากำลังนั่ง  กำลังยืน  กำลังเดิน และกำลังนอน เป็นปัจจุบัน สังเกตดูเราจะไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์  จริงไหม ? สังเกตให้พบ  ความระลึกได้นั้น คือตัวสติที่เราต้องการละ
 
                       เมื่อใดทุกวินาที  ทุกนาที  ทุกชั่วโมง เราระลึกได้ หรือรู้สึกตัวได้ ที่เรากำลังเคลื่อนไหวร่างกาย เช่นหยิบของ หรือหยุดการเคลื่อนไหว ถ้าเราสามารถระลึกได้ที่ร่างกายส่วนนั้น สังเกตดูเราจะไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์  จริงไหม ? สังเกตให้พบ  ความระลึกได้นั้น คือตัวสติที่เราต้องการละ

                       อันนี้พระพุทธองค์ท่านเรียกว่าการพิจารณากายภายใน  คือระลึกได้ในกายตนเอง  พยายามอย่าให้หลงตนลืมตัว  ตามคำโบราณว่าไว้  คือให้ระลึกได้  หรือรู้สึกได้อยู่ที่กายเสมอ มันจะไม่ทุก เพราะมันไม่คิด

                        เมื่อใดทุกวินาที  ทุกนาที  ทุกชั่วโมง เราระลึกได้ หรือรู้สึกตัวได้ ที่เวลามีสุขก็รู้ว่านี้สุข มีทุกข์ก็รู้ว่านี่ทุกข์  เฉยๆ ก็รู้ว่าเฉย ๆ มันเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง สังเกตดูเราจะไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์  จริงไหม ? สังเกตให้พบ  ความระลึกได้นั้น คือตัวสติที่เราต้องการละ  อันนี้พระพุทธองค์ท่านสอนว่าเป็นการพิจารณาเวทนาภายใน
             
                         เมื่อใดทุกวินาที  ทุกนาที  ทุกชั่วโมง เราระลึกได้ หรือรู้สึกตัวได้ เมื่อเวลาโกรธก็รู้  เวลาโลภก็รู้ เวลาคิดก็รู้  และรู้ว่ามันเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นเอง เมื่อเหตุดับ ผลไม่มี สังเกตดูเราจะไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์  จริงไหม ? สังเกตให้พบ  ความระลึกได้นั้น คือตัวสติที่เราต้องการละ  อันนี้พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่านี่ละการพอจารณาจิตภายใน  คือจิตตนเองละ

                          เมื่อใดทุกวินาที  ทุกนาที  ทุกชั่วโมง เราระลึกได้ หรือรู้สึกตัวได้ ว่าจิตมันต้องคิด เพราะจิตคนนั้น มันไม่อยู่นิ่งเหมือนลิง ไม่เคยอยู่กับที่เลย  เมื่อเราจะต้องคิด ก็ขอให้นำธรรมะของพระพุทธองค์มาให้จิตมันคิด  อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเรื่องอื่น ๆ เพราะจะก่อทุกข์ตามมา เพราะธรรมะของพระพุทธองค์ พิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ไม่นำความทุกข์มาให้เราเลย ไม่เหมือนกับการปล่อยคิด นั่นละความระลึกได้นั้น คือตัวสติที่เราต้องการละ พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่านี่ละการพิจารณาธรรม

                          จะเห็นว่าถ้าเรามีความระลึกได้ หรือมีสติ หรือมีความรู้สึกตัว ตามที่กล่าวมานั้น อะไรมาก็ระลึกได้ วนเวียนอยู่ใน กาย  เวทนา  จิต  และธรรม นั้น ถ้าเรารู้ตัวเราก็ไม่คิด  เมื่อไม่คิดก้ไม่ทุกข์

                           แต่น่าเสียดายความจริงก็คือ เราลืมมันหมดเลย เพราะหลงอยู่แต่ในความคิด เมื่อคิดขึ้นมาเราก็กระทำตามนั้น มันจึงมีแต่ทุกข์

                           ขอให้ทึกท่านพิจารณาด้วยปัญญา  ให้เห็นตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้น เพราะมันเป็นความจริงที่เราสามารถค้นพบด้วยตัวเราเองได้

                           บ่ายผมไปแวะรับประทานสุกี้ กับเพื่อนในตอนเพล แล้วกลับบ้านกทม. ครับ

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9077 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 08:45:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 14 พฤษภาคม 2556, 08:04:00
พี่สิงห์

วันนี้จะไปไหน
อย่าลืมโทร 1506 สอบถามเรื่องประกันสังคมนะครับ


สวัสดีครับ คุณเหยง

                        วันนี้อยู่บ้าน เพราะต้องเตรียมการสอนวิศวกรของ Asia ทุกวันพุธ ทุกเรื่องที่อยากรู้ และอบรมพนักงานแต่ละแผนก ให้มีความรู้อย่างแท้จริงในการทำงาน

                         เมื่อเช้าได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน

                         เวลาสิบโมงเช้า จะทำ Detox ลำไส้ใหญ่ครับ เพราะอยู่บ้าน

                         ขอบคุณมากที่เตือน

                          วันนี้ กทม. แดดแรงมาก ร้อน

                          โฉนด  วันนี้จะไปถ่ายเอกสาร และจะส่งไปให้ครับ

                          สอบถามแล้วเจ้าหน้าที่ก็รู้เท่าที่เรารู้ตามประกาสเท่านั้น  ต้องการรู้มากกว่านั้น ต้องไปพบเจ้าหน้าที่ที่ประกันสังคมเขต ครับ นี่คือคำตอบที่ได้รับ

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9078 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 09:51:54 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       มีอยู่เรื่องหนึ่งอยากเรียนให้ทราบ เป็นการพูดคุยระหว่างคุณวิภาวัลย์(เพื่อนผมเป็นครูสอนเลขพิชคณิต ภรรยา พล.ต กมล) กับอดีตครูใหญ่วัดพระนอน และอดีตประธานชมรมครูข้าราชการบำนาญอินทร์บุรี ที่เมื่อเสร็จจากการสอยชิกง-โยคะ แล้ว มารับประทานสุกี้ด้วยกัน ที่ร้านในหมู่บ้าน

                      อดีตครูใหญ่บอกว่า ผมไม่เชื่อในสิ่งที่อาจารย์ ว.(สมมติ) สอนในการปฏิบัติธรรม  ไม่เชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์  สิ่งที่เห็นมันเป็นเพียงนักจิตวิทยาที่อ่านใจคนออกเท่านั้น  ไม่ใช้การปฏิบัติธรรม และผมก็เชื่อในสิ่งที่อาจารย์มานพ สอน  สามีเธอ(พล.ต กมล ) ก็ไม่เชื่อแบบผมเพราะผมสังเกตออกว่าไม่ชอบ แต่เกรงใจเธอ  ครูผู้ชายหลายท่านก็ไม่เชื่อ  แต่ครูผู้หญิงเชื่อ เพราะผู้หญิงเป็นคนใจอ่อน และฆารวาสไม่มีทางสำเร็จเป็นพระอรหันต์ อย่างเก่งก็โสดาบัน เท่านั้น

                       คุณวิภาวัลย์ ก็บอกว่าพี่กมล  ก็ไม่เชื่อ  ไม่ศรัทธา  แต่พี่กมล เชื่อตามที่มานพ  สอน

                       และก็บอกกับผม ตอนที่ผมโทรศัพท์ไปสอบถามเรื่องการไปสอนชิกง-โยคะ เธอโดนน้องสาวที่เป็นลูกศิย์ของอาจารย์ ว. มาหลายปี ว่าเธอหาว่า แม้แต่รถกอล์ฟ ซึ่งเป็นสมบัติบัติพ่อก็ยังจะเอาอีก เอาหมดเลยหรือไงสมบัติพ่อ  นี่หรือนักปฏิบัติธรรม ที่นำพี่สาวไปปฏิบัติธรรมกับอาจารย์ ว. แล้ว มาว่าพี่สาวอย่างนี้  ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เคยดูแลพ่อ  พี่สาวเสียอีกที่ต้องเกษียรมาดูแลคุณพ่อ เธอเสียใจ เลยร้องให้เพราะหมดศรัทธาในน้องสาว  พล.ต กมล  ได้ยินในสิ่งที่ผมสอน เลยชอบใจ  นี่ละมานพ  สอนแล้วก็ไม่ฟัง  ทีนี้พบด้วยตนเองเลยละ ดีแล้ว  

                       ผมก็ได้ทีเลยบอกว่า แสดงว่าฉันทายถูกใช่ไหม ที่สามารถเดาเหตุการณ์ได้  โดยที่เธอไม่ได้บอก เธอได้แต่ร้องให้ ซึ่งมันง่ายนิดเดียว สิ่งที่เธอจะร้องให้ได้มันต้องมาจากพี่-น้อง วิวาทกันด้วบผลประโยชน์ เงิน สมบัติพ่อ-แม่ เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเธอ มีครบสมบูรณ์ทุกอย่าง  ฉันจึงเดาถูก  แต่เธอไม่ตอบในขณะนั้นเพราะกลัวอาย  เพราะฉันบอกเธอไปแล้วในสิ่งที่เธอเล่าให้ฟัง เธอก็ไม่เชื่อ  ว่าอาจารย์ ว. ที่สอนปฏิบัติธรรมนั้น ของปลอม การปฏิบัติธรรม ไม่มีคุณใส มันเป็นเรื่องจริง ตามธรรมชาติ ที่ทุกคนสามารถรู้ได้  แต่เธอไม่เชื่อ  แต่มาคราวนี้ ท่านครูใหญ่ชี้ให้เธอเห็นความจริง เธอจึงเล่าเรื่องน้องเธอให้ฉันฟัง และก็ถูกตามที่ฉันสอนให้เธอ

                       บ่ายวันที่สอนครูบำนาญนั้น เขามีการสอนการปฏิบัติธรรม โดยมีอาจารย์ ว. เป็นผู้สอน  ด้วยวิธีการ ที่ผมไม่รู้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ส่วนใหญ่เกิดกับผู้หญิง ที่จิตอ่อนตามที่ครูใหญ่ท่านว่า เกิดอาการหน้ามืด  ขาชา  จิตฟุ้งซ่าน ณ จุดนั้นอาจารย์ ว. จะเข้ามาพูดคุยและสามารถทำให้คนนั้นกลับมาปกติได้  ทุกคนก็ลงความเห็นกันในหมู่ศิษย์ว่า ท่านเป็นอรหันต์ มีอภิญญา  ดูจิตคนเป็น  ซึ่งผมบอกคุณวิภาวัลย์มานานแล้ว  คนที่จะเป็นอรหันต์นั้น  ดูไม่ยาก  ตามหลักที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะเอาไว้ ยิ่งมีฤทธิ์ด้วยแล้ว ต้องเป็นอรหันต์ก่อน  จึงจะสำเร็จอภิญญา ๖  ไม่ใช่เรื่องง่าย  ยิ่ง ณ ปัจจุบัน ไม่น่าเป็นไปได้  ยิ่งตามที่เธอเล่ามานั้น  ยังยึดติดกับพิธี  ยิ่งใหญ่เลย ไม่รู้อะไรเลย  หลงตนว่ารู้มากกว่า  ซึ่งมาวันนี้ คุณครูผู้ชายก็ดูออก  เพียงแต่เธอไม่เปิดใจ  จึงดูไม่ออก

                      ผมก็เลยอธิบายว่า ปกติในการนั่งปฏิบัติธรรมนาน ๆ นั้น มันย่อมเหมื่อยทางกาย  ขาชา  ตัวกระสับกระส่ายเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่เคยนั่งท่าเดียวนาน ๆ เท่านั้นเอง  ฉันก็สังเกตพบ  เพราะพบกับตัวเองมาแล้ว  แต่พวกเธอไม่รู้  ยิ่งนั่งเพียงไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องพูดถึง มันน้อยมากร่างกายทนได้อยู่แล้ว

                     เมื่อนั่งกระสับกระส่าย  ใจก็ทุกข์คิด ถึงความกระสับกระส่ายนั้น กลัวเป็นนั่น เป็นนี่ พิการ คิดใหญ่  จะเลิกก็กลัวอาจารย์ ว. ว่า ไม่อดทน และอาย หนักเข้าก็ขาชา(เพราะใจมันปรุงแต่ง) กระสับกระส่ายหนัก อาจารย์ ว. จะสังเกตพบ ก็จะเข้ามาพูดให้ได้สติ  พอได้สติมันก็ลืมเรื่องขาชา ลืมความกระสับกระส่าย  ลืมทั้งหมด มันก็เรื่องง่าย ๆ เท่านี้เอง แต่บรรดาผู้ปฏิบัติธรรม บอกว่าอาจารย์ ว. รู้ด้วยญาณพิเศษ เป็นเสียอย่างนั้น เพราะจิตคนชอบเรื่องอภินิหารอยู่แล้ว

                      จากการที่ครูใหญ่พูด และเธอประสบกับน้องสาว  ผมก็เชื่อว่า คุณวิภาวัลย์  ย่อมเห็นความจริงนั้นได้ เพราะคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติธรรม  มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นมันต้องมี ศรัทธา ศีล  จาคะ  สุตะ และใช้ปัญญา ไม่เชื่อในอภินิหาร เชื่อในการกระทำจริงเท่านั้น  จึงจะถูกต้อง และเธอก็สังเกตพบเอง  อาจารย์มานพ  อยู่ด้วยศีล  ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเธอก็รู้ ศรัทธา  แต่อาจารย์ ว. ตรงข้ามกับอาจารย์มานพ ในการปฏิบัติตน เธอก็เห็น

                      ผมก็หวังว่าเธอคงตาสว่าง  ไม่หลงเชื่อ  ไม่หลงอยู่ในความคิดตนเอง  จนขาดสติ เห็นผิดเป็นถูก  ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนดี  เป็นผู้นำชุมชนที่มีจิตเป็นกุศล  กระทำเพื่อส่วนรวม  สอนหนังสือให้พระ และยอมเกษียรก่อนวัย  มาดูแลคุณพ่อที่ช่วยตัวเองไม่ได้  อยู่หลายปี  จนคุณพ่อจากไปตามกาล  หาได้ยากคนที่เสียสละเพื่อพ่อ-แม่ที่ช่วยตนเองไม่ได้

                      ก็เล่าสู่กันฟัง ครับ  อย่าเชื่อตามหลัก กาลามสูตร จำให้มั่นไว้  จะได้ไม่โดนใครหลอกได้

                      สวัสดี

                      
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9079 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 10:05:28 »

สวสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                        พี่สิงห์ ได้รับเอกสารแล้ว  จะแกะออกดูครับ

                        อ่านแล้ว  จะจัดการให้ตามนั้น ครับ พี่ประสิทธิ์

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #9080 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 15:50:52 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์
...ขอความกรุณาพี่สิงห์ช่วยสงเคราะห์น้องด้วยนะคะ...
...ขอบพระคุณมากค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9081 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 16:06:44 »




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         วันนี้เป็นวันดี  มีเวลาว่าง สบายใจ อยู่บ้าน เลยได้มีโอกาสไปโอนเงินเข้าบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสุริวงค์ เพื่อสมทบทุนสร้างหอพัก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทถ้วน เรียบร้อยแล้วครับตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ที่สามารถกระทำได้

                         เงินนี้คือเงินที่พี่สิงห์ ได้รับโบนัส จากบริษัท สยามมาสเตอส์คอนกรีต จำกัด ที่จ่ายให้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และได้เรียนให้คุณธกฤต กรรมการผู้จัดการทราบแล้วว่า เงินโบนัสที่ได้ผมจะเอาไปบริจาค สร้างหอพัก ที่จุฬาฯ

                         พี่สิงห์  ไม่มีรายได้อะไรมากนัก  ก็ได้อาศัยเงินที่เพื่อนฝูงให้นี่ละครับ แบ่งเอาไปทำบุญเรื่อยมาเพื่อว่าผู้ที่เขาให้ จะได้อานิสงค์ไปด้วยกับเรา

                         ก็เรียนให้ท่านนายกสมาคมฯ คุณราเมศวร์  รศ.ประกายแก้ว ฝ่ายจัดการทอดผ่าป่าบริจาคสร้างหอพัก  และกรรมการสมาคมฯ รับทราบ ตามนี้

                         พี่สิงห์  ช่วยได้เท่านี้ละครับ

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9082 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 16:35:19 »

คิดถึง ดร.กุศล  เหมือนกัน !

พี่ประสิทธิ์ - คุณน้องเพลินพิศ

เรียนเชิญ ดร.กุศล  ดร.สุริยา  คุณบวร  คุณสุภาณี  พล.ต.ต เกียรติพงษ์ และคุณวัฒนา

ไปร่วมงานแต่งงานลูกชาย วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน  โรงแรมดุสิตธานี  พัทยา เวลา ๑๘:๐๐ น.

ก็เรียนเชิญทางนี้ไปก่อน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9083 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 21:00:13 »

ดร.สุริยา  เราต้องปรับตัวเองให้เข้ายุคใหม่แล้ว  ตื่นเสียที


























สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                    พรุ่งนี้ต้องไปทำงานที่ บริษัทเอเซียคอนกรีต จำกัด ที่สมุทรสาคร ต้องออกจากบ้านไม่เกิน หกโมงครึ่ง คงไม่ได้ใส่บาตรพระ ได้แต่หุงข้าวเอาไปรับประทาน และหาซื้อกับข้าวข้างทางเอา เพราะกลัวรถติด เนื่องจากมีสอนหนังสือตอน 08:00 น. ให้กับพนักงานควบคุมเครื่องผสมคอนกรีต และสอนพวกวิศวกรฝ่ายขายที่ไม่เคยเรียนโครงสร้างคอนกรีตอัดแรงมาเลย ในเวลา 10:00 น. คงเหนื่อยมาก และมีโอกาสที่จะคอบวม  จากการใช้เสียงมาก  ไม่ดีเลย

                    ดร.สุริยา  เดี๋ยวนี้ไม่มีใครก่อสร้างแบบเดิมแล้ว มันไม่มีคนงาน และช้า  ในรูปคนงานหน้างานมีไม่ถึงสิบคน เขายังสร้างบ้านจัดสรรค์ขายได้ เพราะหล่อสำเร็จมาจากโรงงานทั้งนั้น  อย่าเป็นเต่าล้านปีเลย  ผมยังอายหลานสาวเลย สองคนผัว-เมีย ไม่ได้จบอะไรเลย อาศัยใจสู้เพราะไม่มีให้ถอย  ยังสามารถทำโรงงานผลิตบ้านสำเร็จรูปขาย ปีละร้อยกว่าล้านแบบง่าย ๆ  และกำลังขอร้องให้ผมถ้าว่างช่วยไปสร้างที่เขมรให้ที ๒๐๐ หลัง เป็นของนายกฮุนเซน  เอากับมันซิใจสู้จริง ๆ

                    ชั้นเดียวถึงสี่ชั้น เขาสร้างกับแบบ Wall Bearing หมดแล้ว ไม่มีเสา

                    ไม่มีใครสร้างบ้านขายแบบเดิมแล้ว

                    ใครที่มีอาชีพทำบ้านจัดสรรค์ขาย  บอกมาเลยผมจะไปช่วยทำโรงงานผลิตบ้านสำเร็จรูปขายให้  จะได้แข่งขันกับเขาได้

                    ในภาพหลังละไม่เกินล้าน ราคาขายทั่วไป แต่ทำจากโรงงาน ไม่เกินสอง-สามแสนบาท ต่อหลัง

                     ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ  

                    
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9084 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2556, 05:20:47 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยี่ยมเยือน ที่รักทุกท่าน

                          ตอนนี้ผมกำลังให้พรรคพวกที่อำเภอสูงเนิน  set โรงงานเพื่อทำบ้านสำเร็จรูปขาย ให้กับพวกทำบ้านจัดสรรค์และคอนโดมิเนี่ยมขาย

                             เช้านี้ จิตมันคิดขึ้นมาว่า  การมีเพื่อนบ้านแบบคนกรุงเทพฯ กับ การมีเพื่อนบ้านแบบชาวต่างจัังหวัดอย่างไหน ดีกว่ากัน

                                  ขอเรียนเชิญทุกท่านมาแสดงความคิดเห็นร่วมกันครับ

                                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #9085 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2556, 11:41:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 พฤษภาคม 2556, 16:06:44



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         วันนี้เป็นวันดี  มีเวลาว่าง สบายใจ อยู่บ้าน เลยได้มีโอกาสไปโอนเงินเข้าบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสุริวงค์ เพื่อสมทบทุนสร้างหอพัก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทถ้วน เรียบร้อยแล้วครับตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ที่สามารถกระทำได้

                         เงินนี้คือเงินที่พี่สิงห์ ได้รับโบนัส จากบริษัท สยามมาสเตอส์คอนกรีต จำกัด ที่จ่ายให้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และได้เรียนให้คุณธกฤต กรรมการผู้จัดการทราบแล้วว่า เงินโบนัสที่ได้ผมจะเอาไปบริจาค สร้างหอพัก ที่จุฬาฯ

                         พี่สิงห์  ไม่มีรายได้อะไรมากนัก  ก็ได้อาศัยเงินที่เพื่อนฝูงให้นี่ละครับ แบ่งเอาไปทำบุญเรื่อยมาเพื่อว่าผู้ที่เขาให้ จะได้อานิสงค์ไปด้วยกับเรา

                         ก็เรียนให้ท่านนายกสมาคมฯ คุณราเมศวร์  รศ.ประกายแก้ว ฝ่ายจัดการทอดผ่าป่าบริจาคสร้างหอพัก  และกรรมการสมาคมฯ รับทราบ ตามนี้

                         พี่สิงห์  ช่วยได้เท่านี้ละครับ

                         สวัสดี

...ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ...พี่สิงห์...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9086 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2556, 19:09:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 15 พฤษภาคม 2556, 11:41:35
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 พฤษภาคม 2556, 16:06:44



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         วันนี้เป็นวันดี  มีเวลาว่าง สบายใจ อยู่บ้าน เลยได้มีโอกาสไปโอนเงินเข้าบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสุริวงค์ เพื่อสมทบทุนสร้างหอพัก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทถ้วน เรียบร้อยแล้วครับตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ที่สามารถกระทำได้

                         เงินนี้คือเงินที่พี่สิงห์ ได้รับโบนัส จากบริษัท สยามมาสเตอส์คอนกรีต จำกัด ที่จ่ายให้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และได้เรียนให้คุณธกฤต กรรมการผู้จัดการทราบแล้วว่า เงินโบนัสที่ได้ผมจะเอาไปบริจาค สร้างหอพัก ที่จุฬาฯ

                         พี่สิงห์  ไม่มีรายได้อะไรมากนัก  ก็ได้อาศัยเงินที่เพื่อนฝูงให้นี่ละครับ แบ่งเอาไปทำบุญเรื่อยมาเพื่อว่าผู้ที่เขาให้ จะได้อานิสงค์ไปด้วยกับเรา

                         ก็เรียนให้ท่านนายกสมาคมฯ คุณราเมศวร์  รศ.ประกายแก้ว ฝ่ายจัดการทอดผ่าป่าบริจาคสร้างหอพัก  และกรรมการสมาคมฯ รับทราบ ตามนี้

                         พี่สิงห์  ช่วยได้เท่านี้ละครับ

                         สวัสดี

...ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ...พี่สิงห์...

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                           ขอบคุณมาก

                           อยากทราบว่า โรงแรมดุสิตพัทยา  พักค้างคืนได้ไหม  อยากนอนพัทยาบ้าง

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9087 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2556, 21:03:29 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้เหนื่อยมาก  แต่ก็สุขใจ ที่ได้สอนทั้งวิชาการ และธรรมะกับการปฏิบัติธรรม

                               ทำให้ไม่ลืม  ความเข้าใจ ความจำ ยังดีอยู่

                               ชีวิตมันก็มีเท่านี้ละ จะเอาอะไรมากไปกว่าปัจจัย ๔เท่าที่จำเป็น

                               แต่คนต้องมีอะไรกระทำบ้าง  ไม่เช่นนั้น  จิตมันจะฟ้งซ่านเกินไป  และจิตมันชอบ เพราะชอบคิด

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ คืนนี้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9088 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2556, 21:13:18 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รัก

                               เมื่อไม่มีอะไรกระทำ เรามาทบทวนพระสูตรที่ทรงสอนปัจจวัคคี จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และมีพระอรหันต์เกิดขึ้น ๖ รูป รวมทั้งพระพุทธองค์

                               เพื่อเป็นการสอนจิต  ตนเองให้หมดความยึดมั่นถือมั่นใน ขันธ์ ๕ คือ รูป - นาม

                               ราตรีสวัสดิ์อีกครั้งค่ำนี้



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔

มหาวรรค ภาค ๑


ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร


             [๒๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็น
อนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคล
พึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า
รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
             เวทนาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ
เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด เวทนา
ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
             สัญญาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไป
เพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
             สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ
เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้
ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้
เป็นอย่างนั้นเลย.
             วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้
ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้น
วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์

             [๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
             พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
             ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
             ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
             ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
             ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
             ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
             ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
             ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้น
ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
             ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
             ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
             ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
             ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
             ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
             ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
             ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ

             [๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใด
อย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด ไม่ดีหรือ
ประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
             เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด ไม่ดีหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลาย
พึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
             สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบ
หรือละเอียด ไม่ดีหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสัญญา เธอทั้งหลายพึง
เห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่น
ไม่ใช่ตนของเรา.
             สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด ไม่ดีหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร เธอทั้งหลาย
พึงเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
             วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด ไม่ดีหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าวิญญาณ เธอทั้งหลาย
พึงเห็นวิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

             [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้
ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขาร
ทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น
เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

             [๒๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี เพลิดเพลิน
ภาษิตของพระผู้มีพระภาค. ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์
พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

อนัตตลักขณสูตร จบ

             ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์.


ปฐมภาณวาร จบ

-----------------------------------------------------
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9089 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2556, 08:15:12 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                   เช้านี้พี่สิงห์ อยู่บ้านได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน วันนี้ท่านมหาและพระบวชใหม่มาบิณฑบาตร

                   เมื่อวานคุณบุญยงค์  กรรมการผู้จัดการ บ.เอเซียกรุ๊ป(1999) จำกัด ได้ให้ขนมเปี๊ยะปรุงพิเศษ จากท่าดินแดงมาสองกล่อง  ดังนั้น เช้านี้จึงไม่ได้ไปออกกำลังตีกอล์ฟตอนเช้า ดังเช่นเคย เพราะต้องการเอาขนมเปี๊ยะที่ให้มานั้น ใส่บาตรหนึ่งกล่อง ผู้ให้จะได้รับอานิสงค์ ด้วย

                   บ่ายวันนี้ เดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช Boarding 14:15 น.

                   เช้านี้ขอขยายความต่อจาก อนันตลักขณสูตร ก็แล้วกัน เพื่อเป็นการทบทวนตัวเอง  สอนจิตให้มันเห็นจริงตามนั้น

                   สวัสดี



                   ขันธ์ ๕ คือ องค์ประกอบของมนุษย์ ที่พระพุทธองค์ทรงแยกออกเป็น ๒ ส่วน คือ รูป กับ นาม

                    รูป - นาม เป็นอนัตตา เพราะว่าเราไม่มีอำนาจเหนือรูป-นาม นั้นได้เลย คือบังคับหรือสังการใน รูป-นาม นั้นไม่ได้  เมื่อบังคับ สั่งการไม่ได้  รูป-นาม จึงเป็นอนัตตา  ไม่ใช่อัตตา  เราต้องเห็นจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนปัญจวัคคีย์

                   รูป คือ ร่างกายที่เราสัมผัสได้ทางตา และสมมติว่าหน้าตาอย่างนี้ รางกายอย่างนี้ ท่าทางอย่างนี้ ตั้งชื่ออย่างนี้ เขาเรียกว่าร่างกายมนุษย์ ชื่นนั้น ชื่อนี้ เพื่อให้จำกันได้เมื่อประสบอีก หรือนึกขึ้นมาได้

                   นาม นั้น ไม่สามารถสัมผัสได้ทางตา เราไม่สามารถมีอำนาจเหนือมัน  สังการ บังคับบัญชาไม่ได้เลย  ดังนั้น นาม จึงเป็นอนัตตา  ไม่ใช่อัตตา

                   นาม คือธรรมชาติของการรู้อารมณ์ หรือที่เราระลึกได้ที่เรียกว่าจิต หรือใจ ที่เราหลงว่าเป็นตัวตนของเรานั่นเอง  เพราะหลงว่าเป็นตัวนตของเรา จึงมีแต่คัญหา หรือความทะยายอยาก และความยึดมั่น  ถือมั่น ร่ำไป ไม่มีที่สิ้นสุด  ซึ่งจะเป็นตัวก่อทุกข์ตามมา

                   นามประกอบด้วย ๔ ส่วน ได้แก่ เวทนา  สัญญา  สังขาร  และวิญญาณ

                   เวทนา คือ รู้สึกทางอารมณ์ว่า อารมณ์ที่สัมผัสได้อย่างนี้คือสุข  อารมณ์ที่สัมผัสได้อย่างนี้คือทุกข์ อารมณ์ที่สัมผัสได้อย่างนี้ไม่สุขไม่ทุกข์

                  สัญญา คือการจำได้หมายรู้ ในสิ่งที่สัมผัสได้ทางอายตนะ และได้สมมติชื่อ คือตั้งชื่อเพื่อให้จำได้  แยกแยะได้เมื่อประสบอีก หรือนึกขึ้นมาได้อีก

                   สังขาร คือ การปรุงแต่ง หรือคิด สืบเนื่องมาจากวิญญาณ ได้สัมผัสทางอายตนะ เกิดเวทนา และระลึกได้ในสัญญา เกิดความชอบ พึงพอใจ และเกิดความไม่ชอบ ขึ้นในจิต อันไหนชอบก็ใคร่อยากได้อีกไม่สิ้นสุด อันไหนไม่ชอบก้ไม่อยากประสบอีก หรือคิดปริวิตก กังวล ห่วงใยไปต่าง ๆ นาๆ มากมาย เป็นตัวก่อความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ หรือก่อทุกข์นั่นเอง

                   วิญญาณ คือการรู้แจ้งจากการสัมผัสทางอายตนะทั้ง ๖ เกิด จักษุวิญญาณ โสตะวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ  ผัสสะวิญญาณ และมโนวิญญาณ เกิดเวทนา และเอาไปเก็บเป็นสัญญา

                    อายตนะภายใน ๖ ประกอบด้วย ทวารการรับรู้ทังหกทาง ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ

                    อายตนะภายนอก ๖ ประกอบด้วย สิ่งที่รับรู้ทาง รูป  เสียง  กลิ่น  รส  ได้สัมผัสทางกาย ได้สัมผัสทางใจ

                    ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ  ความคับแค้นใจ  ปริวิตก กังวล ความโศก.....

                    อุปาทานขันธ์ ๕ คือความยึดมั่น ถือมั่น ในรูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  และวิญญาณ

                    อุปาทานขันธ ๕ เป็นตัวทุกข์  คือรูป เวทนา  สัญญา  สังขาร และวิญญาณ

                    รูป-นาม เป็นอนัตตา

                    ดังนั้น ความเป็นอัตตาของเราไม่มี มีแต่อนัตตา เมื่อมีความเห็นแบบนี้ เราจึงไม่ทุกข์ เพราะความเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ชาย หญิง อะไร ๆ ไม่มีทั้งนั้น มีแต่รูป กับ นาม และรูป กับ นาม เป็นตัวทุกข์ เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์

                    เอวัง ด้วยประการฉะนี้ ขออนุโมทนา

                   
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9090 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2556, 09:20:17 »

พี่สิงห์


เดินทางไป-กลับ ปลอดภัยครับ
แล้วนายเฉยไปอยู่ที่นครศรีฯ เป็นอย่างไรบ้างครับ ??
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9091 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2556, 09:52:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 16 พฤษภาคม 2556, 09:20:17
พี่สิงห์


เดินทางไป-กลับ ปลอดภัยครับ
แล้วนายเฉยไปอยู่ที่นครศรีฯ เป็นอย่างไรบ้างครับ ??


สวัสดีครับ คุณเหยง
                 เขาไม่ได้อยู่นานแล้ว  เข้ากับคนไม่ได้  ปรับตัวให้เข้ากับระบบที่นั่นไม่ได้

                 ห่วงบ้าน  หนีกลับราชบุรี  ไปนานแล้ว  โดยไม่บอกกล่าว  มารู้ก็สายเสียแล้ว  จึงต้องปล่อยวาง

                 เขาตัดสินใจของเขาเอง  เราทำอะไรไม่ได้ ทั้งสิ้น  ก็ต้องปล่อย  ชีวิตใคร  ชีวิตมัน เราไปยุ่งไม่ได้

                 บุคคลมีสิทธิในตนทางโลกเท่าเทียมกัน  อย่าไปบังคับ หรือมีอำนาจเหนือเเลย ไม่ดี

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #9092 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2556, 10:07:34 »

His name is เฉื่อย not เฉย นะครับ คุณพิเชษฐ์
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9093 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2556, 10:14:04 »

ครับพี่ป่อง

นานไปชื่อเลยเพี้ยนไปจากความทรงจำ??
อยู่นครสวรรค์ ผมก็พร่ำบอกกล่าวเรื่องหยุดเสาร์-อาทิตย์
แต่ไม่ฟังใครเลย มุ่งมั่นจะหยุดทั้งสองวัน ไม่ว่าจะมีเหตุใดเกิด ??!!
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9094 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2556, 11:54:34 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                        มันผ่านไปแล้ว เขามาเอง  กลับไปเอง  ทุกอย่างให้มากกว่าที่ขอ มีบ้านพัก มีรถให้ และผมเสียเงินเพิ่มให้เพราะบอกว่าไม่มีเงินกินข้าว  อยู่เฉย ๆ ดีกว่า  ชีวิตของเขา  เขาจะทำอะไรก็ได้ มันเรื่องของเขา  เรามีแต่ความปราถนาดีเท่านั้น

                        ตอนนี้งานถ้าจะทำมีแยะ  อยู่ที่เขาจะทำหรือเปล่าเท่านั้น  ถ้าทำต้องทำจริงตามหน้าที่

                        ประเทศไทยขาดมากในเรื่องแรงงาน ทุกระดับ  ขอให้ทำจริงเท่านั้น เพราะรายได้ไม่ต่างกันมาก  ค่าแรงสามร้อยบาทมันยันขึ้นมา เดี๋ยวนี้ในกรุงเทพ ค่าแรงสามร้อยบาทจ้างไม่ได้ ต้องอย่างน้อยสี่ร้อยบาทขึ้นไป  คนงานจะบอกว่า ที่บ้านก็สามร้อยบาท กลับไปทำงานที่บ้านดีกว่า มีบ้านอยู่  มีข้าวกิน  ได้ทำนา และหางานทำได้วันละสามร้อยบาท  มันเป็นจริง

                        เรื่องแรงงานต่างชาติลืมไปเลย  งานหนักไม่เอา  ตากแดดไม่เอา และต้องได้สามร้อยบาท มีบ้านพัก และข้าวกิน

                        เดี๋ยวนี้ พี่สิงห์  ต้องออกแบบโรงงาน กรณีทำแผ่นพื้น ต้องสร้างเครื่องจักรมาช่วยเทปูน และร้อยลวด จะเหลือคนงานเพียง ๔-๕ คนเท่านั้น ก็สามารถผลิตแผ่นพื้นได้วันละ ๘๐๐ กว่าตารางเมตร ทุกวัน เพราะหาคนมากกว่านี้ไม่มี

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9095 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2556, 11:57:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 16 พฤษภาคม 2556, 10:07:34
His name is เฉื่อย not เฉย นะครับ คุณพิเชษฐ์

          ดีใจที่เห็นเสือออกจากถ้ำ แสดงว่า ยังสบายดี  จะได้หมดห่วง  (แต่จริง ๆ ไม่คิดถึงใครเลย เพราะทุกท่านอยู่ในฐานะที่ดีกว่าผมทั้งนั้น  เราจะไปคิดถึงทำไม  สู้ทำตัวเราให้ดี ไม่ประมาท  ทุกท่านจะได้ไม่ต้องมาห่วง กังวล เป็นทางที่ประเสริฐ กว่า)


          ดร.สุริยา

                    น่าเกลียดไหม ถ้าวันที่ ๑ มิถุนายน  ผมแต่งชุดขาว ชุดอุบาสก ไปร่วมงาน ขึ้นบนเวที บริจาคเงินให้กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในวาระครบ ๑๐๐ ปี  

                    เราก็เป็นศิษย์เก่าคนหนึ่ง ที่ใช้วิชาชีพหากิน และช่วยพ่อ-แม่ -พี่-น้อง เพื่อนฝูง พอมีกินมีใช้ ไม่ได้ตอบแทนคณะเลย ที่ผ่านมา

                    จริงดัง ดร.บุญสม  พูด  เราเอาแต่ได้  ไม่ได้ให้อะไรคณะเลย

                   ถ้าไม่น่าเกลียด จะไป ครับ เวลา 14:00-14:30 น. หอประชุมตึก ๓ ตามที่วิโรจน์ แจ้งมา

                   สวัสดี


ถึงเพื่อน

ขอบคุณทุกท่านที่มีความปราถนาดีต่อคณะวิศวฯ สถาบันที่ทำให้เรามารู้จักกัน มีวิชาชีพ

ผมปรึกษาหลายท่านแล้วพบว่ามีผู้ที่จมาร่วมบริจาคพอสมควร 
 
วศ.2511 บริจาครถกระบะ 6 ล้อ มูลค่า 1.5 ล้านบาท เพื่อใช้ในกิจการคณะโดยเฉพาะค่ายยุววิศวกรบพิธ

วศ.2512 บริจาครถ pick up เพื่อใช้ในการเดินทางไปส่วนงานวิจัยที่สระบุรี และให้นิสิตใช้สำรวจที่ตั้งค่ายทุกๆปี
 
      ผู้บริหารคณะตกลงกำหนดเวลา 1400-1430 ที่หอประชุมตึก 3 ที่มีการแสดงดนตรีศิษย์เก่า เป็นช่วงเวลารับมอบครับ คงมีการรับบริจาคตลอดเวลา ไม่ต้องถือเงินมา แสดงความจำนงและโอนมาภายหลังได้ หรือจะเขียนเช็คเลยก็ได้ คณะกำลังจัดเตรียมของที่ระลึกที่จะมอบให้ผู้บริจาคระหว่างช่วงเวลา 1400-1430 ครับ
 
      อนึ่ง คณะได้เพิ่มบอร์ดจารึกชื่อเฉพาะผู้ที่บริจาค ตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป ที่โถงอาคาร 100 ปีอีก โดยจะเป็นรายชื่อเฉพาะผู้บริจาควันที่ 1 มิย 56 เท่านั้น ทั้งนี้ผู้ที่เคยบริจาคตึก 100 ปีแล้วแต่ยังไม่ถึง 1 แสนบาท สามารถใช้ยอดเดิมและเพิ่มให้ครบแสนได้ครับ. กำลังทำรายละเอียดอยู่ ท่านรู้ก่อนครับ
 
     ต้องขอบคุณ คณิตจาก BBL มากที่ช่วยจุดประกายเรื่องนี้  เพราะถึงเวลาแล้วที่ศิษย์เก่าต้องกลับมาช่วยคณะอย่างน้อยปีละครั้ง 1 มิย. น่ามีความหมาย ทุกปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมารับจากคณะอย่างเดียว เรามีหนังสือ 100 ปี หลายเล่มที่ทำให้ทุกท่าน
 
รอฟังข่าวและพบกัน 1 มิย ครับ

อ.บุญสม
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9096 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 05:54:36 »











สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้เป็นวันพระขึ้นแปดค่ำ เดือนหก

                       เช้านี้ที่นครศรีธรรมราช  ฝนไม่ตก  คงสามารถที่จะเดินจงกรมออกกำลังกาย บานอเนกประสงค์ชั้น ๓ และฝึกชิกง-โยคะ ได้ เป็นปกติ เช้านี้ได้ตื่นขึ้นมาสวดมนต์ทำวัตรเช้าและต่อด้วยมรรค ๘ เพื่อเป็นการทบทวนตัวเอง  สอนจิตให้เห็นความจริงตามนั้น

                       และได้นั่งภาวนา พอสมควรเพื่อรอเวลาฟ้าสาง สามารถเห็นทางเดิน  จึงจะลงไปออกกำลังกายเดินจงกรม

                       วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ -๒๖ พฤษาคม ทางวัดสมานราษฎร์ หนองรี ชลบุรี  จะจัดให้มีการบวชชีพราหมณ์ คือการรักษาอุโบสถศีล ปฏิบัติธรรม โดยมีหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ   อากิญจโณ เป็นประธาน  ใครว่างเรียนเชิญครับ  หลวงพ่อได้เชิญพี่สิงห์  ให้ไปร่วมงานด้วย และสอนผู้ปฏิบัติธรรมฝึกชิกง-โยคะ เพื่อเป็นการรักษษสุภาพ บรรเทาอาการปวดต่าง ๆ จากการนั่งปฏิบัติธรรมนาน ๆ และตอบคำถาม

                       หวังว่า ดร.กุศล   คงไปร่วมงานด้วย

                      เช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติที่กาย  เวทนา  จิต  และธรรม แล้วแต่ว่าเราจะระลึกได้ที่ส่วนไหน ในสี่ประการนั้น เพราะมันจะทำให้เราไม่คิด  เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์  

                      ความสุขที่ปราณีต คือ ความสุขที่เกิดขึ้นจากการปราศจากการปรุงแต่ง หรือไม่คิด มีแต่อุเบกขา มีสติ-สัมปชัญญะ

                      สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9097 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 10:54:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 05:54:36

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้เป็นวันพระขึ้นแปดค่ำ เดือนหก

                       เช้านี้ที่นครศรีธรรมราช  ฝนไม่ตก  คงสามารถที่จะเดินจงกรมออกกำลังกาย บานอเนกประสงค์ชั้น ๓ และฝึกชิกง-โยคะ ได้ เป็นปกติ เช้านี้ได้ตื่นขึ้นมาสวดมนต์ทำวัตรเช้าและต่อด้วยมรรค ๘ เพื่อเป็นการทบทวนตัวเอง  สอนจิตให้เห็นความจริงตามนั้น

                       และได้นั่งภาวนา พอสมควรเพื่อรอเวลาฟ้าสาง สามารถเห็นทางเดิน  จึงจะลงไปออกกำลังกายเดินจงกรม

                       วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ -๒๖ พฤษาคม ทางวัดสมานราษฎร์ หนองรี ชลบุรี  จะจัดให้มีการบวชชีพราหมณ์ คือการรักษาอุโบสถศีล ปฏิบัติธรรม โดยมีหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ   อากิญจโณ เป็นประธาน  ใครว่างเรียนเชิญครับ  หลวงพ่อได้เชิญพี่สิงห์  ให้ไปร่วมงานด้วย และสอนผู้ปฏิบัติธรรมฝึกชิกง-โยคะ เพื่อเป็นการรักษษสุภาพ บรรเทาอาการปวดต่าง ๆ จากการนั่งปฏิบัติธรรมนาน ๆ และตอบคำถาม

                       หวังว่า ดร.กุศล   คงไปร่วมงานด้วย

                      เช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติที่กาย  เวทนา  จิต  และธรรม แล้วแต่ว่าเราจะระลึกได้ที่ส่วนไหน ในสี่ประการนั้น เพราะมันจะทำให้เราไม่คิด  เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ 

                      ความสุขที่ปราณีต คือ ความสุขที่เกิดขึ้นจากการปราศจากการปรุงแต่ง หรือไม่คิด มีแต่อุเบกขา มีสติ-สัมปชัญญะ

                      สวัสดีครับ


พี่สิงห์

แล้วพี่กุศลจะทราบได้อย่างไร ??
พี่เอมอร 15 อยู่เมืองชลในขณะนี้ พี่สิงห์ลองชวนพี่เอมอรดูบ้างซิ ??
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9098 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 17:19:38 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                       ผมไปพบเจ้าหน้าที่ประกันสังคม จังหวัดมาแล้ว ปรากฏว่า ผมส่งไปแล้ว ๑๗๐ งวดยังไม่ครบ ๑๘๐ งวด จึงไม่สามารถจะรับเป็นบำนาญได้  รับได้แต่บำเน็จ จะได้เงินประมาณ แสนสองหมื่นกว่าบาท ไม่รวมดอกเบี้ย

                       ดังนั้น คงต้องส่งต่อไปให้ครบ ๑๘๐ งวด  จะได้บำนาญ และตายจะได้เงินค่าทำศพ ๓๐,๐๐๐ บาท

                       ได้บำนาญ มันก็ดี  บวกกับเบี้ยเลี้ยงค่ายังชีพ จากรัฐบาลอีก มันน่าจะมีชีวิตอยู่ได้แบบพอเพียงไม่พึ่งใครได้ไปจนตาย

                       ตอนนี้มีชีวิต  รอความตายไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น

                       ทำอะไรได้ก็ทำไป  แล้วแต่ใครจะเมตตา

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9099 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 17:30:16 »

พี่สิงห์

อีก 10 งาด ไม่เกินเดือนมีนาคมปีหน้าครับ จากนั้นจะตัดสินใจรับเป็น บำเหน็จ หรือบำนาญ สุดแล้วแต่ ??
แล้วพี่ไปแจ้งอายุครับ 60 ปีแล้วหรือยัง เพราะต้องแจ้งเมื่อครบ ส่วนเงินจะออกตามหลัง
สิทธิของเรา ต้องรักษาไว้ครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 362 363 [364] 365 366 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><