“อ. อารมณ์”
•   ไม่เครียด ไม่ขุ่นมัว ในขณะทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวัน
•   ทำจิตใจให้ผ่องใส่อยู่เสมอ โดยยึดหลัก “พุทธธรรม” เช่น ละนิวรณ์ ๕
•   เลือก “พุทธธรรม” นำไปสู่ความสำเร็จในการกระทำ มาปฏิบัติ
•   สวดมนต์และปฏิบัติสมาธิ ก่อนนอนทุกคืน
•   แนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบเคลื่อนไหวของ “หลวงพ่อเทียน”
•   ข้อควรระวัง ก่อนปฏิบัติสมาธิ - วิปัสสนากรรมฐาน ควรศึกษา
•   ขันธ์ ๕,  นิวรณ์ ๕,  อายาตนะ ๖,  โพชฌงค์ ๗,  และอริยะสัจ ๔ 
•   เพื่อป้องกันไม่ให้จิต คิดไปในทาง “อกุศลธรรม” หรือ “จิตวิปลาส”
“พุทธธรรม”
ที่ทำให้อารมณ์ดี  แจ่มใส  ไม่ขุ่นมัว
และ
ประสบความสำเร็จในการกระทำ
ภัทเทรัตตสูตร  สูตรว่าด้วยราตรีเดียวที่ดี
•   พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสแสดงอธิบาย “เกี่ยวกับบุคคลผู้มีราตรีเดียวอันดี” โดยใจความคือ ไม่ให้ติดตามเรื่องล่วงมาแล้ว ไม่ให้หวังเฉพาะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ให้เห็นแจ้งปัจจุบัน ให้รีบเร่งทำความเพียรเสียในวันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะจะผัดเพี้ยนต่อมฤตยูผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่ได้ คนที่มีความเพียรอย่างนี้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน เรียกว่า มีราตรีเดียวอันดี(เจริญ) 
•   การไม่ติดตามอดีต การไม่หวังเฉพาะอนาคต ตรัสอธิบายว่า ไม่ให้มีความยินดี เพลิดเพลินในอดีตและอนาคต นั้น
อย่ายึดติดกับ “ อายตนะ ๖ ”
1.   รูป
2.   เสียง
3.   กลิ่น
4.   รส
5.   โผฏฐัพพะ (สิ่งที่ถูกต้องกายทั้งหลาย)
6.   ธรรมารมณ์ (สิ่งทั้งหลายที่ใจรู้ ใจคิด)
                                               ละนิวรณ์ ๕ ด้วย โพชฌงค์ ๗
                                                                 เพื่อ
                                       อารมณ์ดี ไม่ขุ่นมัว ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วิตกกังวล
นิวรณ์ ๕
นิวรณ์ อธิบายเป็นพุทธพจน์ มีความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเหล่านี้   เป็นเครื่องปิดกั้น (กุศลกรรม)  เป็นเครื่องห้าม (ความเจริญงอกงาม)  ขึ้นกดทับจิตใจไว้  ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง”  
   “เป็นอุปกิเลสแห่งจิต (สนิมใจ  หรือสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง)          ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง”   
   “ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ เป็นนิวรณ์  ทำให้มืดบอด   ทำให้ไร้จักษุ ทำให้ไม่มีญาณ (สร้างความไม่รู้)  ทำให้ปัญญาดับ    ส่งเสริมความคับแค้น  ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน”
นิวรณ์ ๕ ประกอบด้วย
1.   กามฉันท์   ความอยากได้อยากเอา
2.      พยาบาท   ความขัดเคืองแค้นใจ 
3.      ถีนมิทธะ   ความหดหู่และเซื่องซึม
4.      อุทธัจจกุกกุจจะ   ความฟุ้งซ่านและเดือดร้อนใจ
5.      วิจิกิจฉา   ความลังเลสงสัย
“ โพชฌงค์ ๗ ”
•   มีพุทธพจน์จำกัดความหมายของโพชฌงค์ไว้สั้น ๆ ว่า “เพราะเป็นไปเพื่อโพธะ (ความตรัสรู้) ฉะนั้นจึงเรียกว่า โพชฌงค์”
•   “ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ ไม่เป็นเครื่องปิดกั้น ไม่เป็นนิวรณ์ ไม่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเมื่อเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผล คือวิชชา และวิมุตติ”
•   “ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ เป็นธรรมให้มีจักษุ           ทำให้มีญาณ ส่งเสริมความเจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นข้างความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน”
“ โพชฌงค์ ๗ ” มีความหมายรายข้อ ดังนี้
•   สติ ความระลึกได้ หมายถึง ความสามารถทวนระลึกนึกถึง  หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่จะพึงเกี่ยวข้อง หรือต้องใช้ ต้องทำในเวลานั้น            ในโพชฌงค์นี้ สติมีความหมายคลุมตั้งแต่การมีสติกำกับตัว ใจอยู่กับสิ่งที่กำลังกำหนดพิจารณาเฉพาะหน้า จนถึงการหวนระลึกรวบรวมเอาธรรมที่ได้สดับเล่าเรียนแล้ว หรือสิ่งที่จะพึงเกี่ยวข้องต้องใช้ต้องทำ มานำเสนอต่อปัญญาที่ตรวจตรองพิจารณา
•   ธัมมวิจยะ หรือธรรมวิจัย  ความเฟ้นธรรม หมายถึง การใช้ปัญญาสอบสวนพิจารณาสิ่งที่สติกำหนดไว้  หรือธรรมที่สติระลึกรวมมานำเสนอนั้น ตามสภาวะ เช่น ไตร่ตรองให้เข้าใจความหมาย จับสาระของสิ่งที่พิจารณานั้นได้ ตรวจตราเลือกเฟ้นเอาธรรม หรือสิ่งที่เกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจ หรือสิ่งที่ใช้ได้เหมาะดีที่สุด ในกรณีนั้น ๆ หรือมองเห็นอาการที่สิ่งที่พิจารณานั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่  ดับไป  เข้าใจตามสภาวะที่เป็นไตรลักษณ์ ตลอดจนปัญญาที่มองเห็นอริยสัจ
•   วิริยะ ความเพียร หมายถึงความแกล้วกล้า เข้มแข็ง กระตือรือร้นในธรรมหรือสิ่งที่ปัญญาเฟ้นได้ อาจหาญในความดี มีกำลังใจ สู้กิจ บากบั่น รุดไปข้างหน้า ยกจิตไว้ได้ ไม่หดหู่ ถดถอย หรือท้อแท้
•   ปิติ ความอิ่มใจ หมายถึงความเอิบอิ่ม ปลาบปลื้ม ปรีย์เปรม ดื่มด่ำ ซาบซึ้ง แช่มชื่น ซาบซ่าน ฟูใจ
•   ปัสสัทธิ ความสงบกายใจ หมายถึงความผ่อนคลายใจ สงบระงับ เรียบเย็น ไม่เครียด ไม่กระสับกระส่าย เบาสบาย
•   สมาธิ ความมีใจตั้งมั่น หมายถึงความมีอารมณ์หนึ่งเดียว จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด ทรงตัวสม่ำเสมอ เดินเรียบ อยู่กับกิจ ไม่วอกแวก ไม่ส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน
•   อุเบกขา ความวางทีเฉยดู หมายถึงความมีใจเป็นกลาง สามารถวางทีเฉย นิ่งดูไป ในเมื่อจิตแน่วแน่อยู่กับงานแล้ว และสิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดีตามแนวทางที่จัดวางไว้ หรือที่มันควรจะเป็น         ไม่สอดแส่ ไม่แทรกแซง
“ อิทธิบาท ๔ ”
ธรรมที่เป็นเหตุให้ประสบความสำเร็จ มี ๔ อย่างคือ
•   ฉันทะ   ความพอใจ ได้แก่ ความมีใจรักในสิ่งที่กระทำ และพอใจใฝ่รักในจุดหมายของสิ่งที่ทำนั้น
•   วิริยะ   ความเพียร ได้แก่ ความอาจหาญ แกล้วกล้า บากบั่น ก้าวไป ใจสู้   ไม่ย่อท้อ ไม่หวั่นกลัวต่ออุปสรรคและความยากลำบาก
•   จิตตะ   ความคิดจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ ได้แก่ ความมีจิตผูกพัน จดจ่อ    เฝ้าคิดเรื่องนั้น ใจอยู่กับงานนั้น ไม่ปล่อย ไม่ห่างไปไหน
•   วิมังสา   ความสอบสวนไตร่ตรอง ได้แก่ การใช้ปัญญาพิจารณา             หมั่นใคร่ครวญตรวจตรา หาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อน เกินเลยบกพร่องหรือขัดข้องเป็นต้นในกิจที่ทำ รู้จักทดลองและคิดค้นหาทางแก้ไขปรับปรุง
“ พรหมวิหาร ๔ ”
ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ  ธรรมประจำใจที่ประเสริฐสุทธิ์ หรือคุณธรรมประจำตัวของท่านผู้มีจิตใจกว้างขวางยิ่งใหญ่ หรือ ผู้นำ
•   เมตตา   ความรัก คือ ปรารถนาดี มีไมตรี อยากให้มนุษย์ สัตว์มีสุขทั่วหน้า
•   กรุณา   ความสงสาร คือ อยากช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์
•   มุทิตา   ความพลอยยินดี คือ พลอยมีใจแช่มชื่นเบิกบาน  เมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุขและเจริญงอกงาม ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไป
•   อุเบกขา   ความมีใจเป็นกลาง คือ วางจิตเรียบสงบ สม่ำเสมอ เที่ยงตรงดุจตราชั่ง มองเห็นมนุษย์สัตว์ทั้งหลายได้รับผลดีร้าย          ตามเหตุปัจจัยที่ประกอบ   ไม่เอนเอียงไปด้วยชอบ หรือชัง
ข้อแนะนำ
ขณะทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวัน
ต้องมี
สติ และ เกิดความผ่อนคลาย