24 พฤษภาคม 2567, 02:58:19
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 107 108 [109] 110 111 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3279365 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2700 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 23:27:14 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 กรกฎาคม 2554, 21:28:58
หมู่นี้สุขภาพจิตไม่ค่อยดี  เป็นภาระมากที่จะต้องเข้ามาที่เวบ  อยากอยู่อย่างสงบ  โดยไม่ข้องแวะกับใครเลย  นอกจากตัวเองเท่านั้น
ดังนั้น ขออนุญาติทุกท่าน พี่สิงห์ไม่ได้เป็นผู้รู้อะไรมากนัก ไปเจออะไรที่ดีก็มาเล่าสู่กันฟังให้ทราบ
ขอความสุข  สงบ  จงบังเกิดกับทุกท่าน 
พี่สิงห์ ไม่ได้น้อยใจอะไรใครทั้งสิ้น เพราะไม่มีอยู่แล้วในความคิดนั้น 
กิเลส  ตัณหา นั้นตัดอยาก ถ้ายังข้องแวะอยู่อย่างนี้
ถึงแม้จะเป็นบททดสอบจิตที่ดีก็ตามทีว่าจิตเรานั้นทนแรงเสียดทานได้เพียงไหน
แต่เป็นภาระจริงๆ ครับ

ขอลาทุกท่านครับ

(คุณรุ่งศักดิ์  ได้เตือนมานานแล้ว เรื่องที่ยังข้องแวะอยู่ในเวบ  ไม่เป็นผลดี)

สวัสดี

พี่สิงห์เป็นอะไร?
ลาไปไหนคะ ไปนอน?

พี่รุ่งหมายความว่ายังไงคะเข้าเวบไม่เป็นผลดี?
(เดี๋ยวท้าชกแร้ะ!)
      บันทึกการเข้า


suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2701 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 00:08:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 กรกฎาคม 2554, 21:28:58
หมู่นี้สุขภาพจิตไม่ค่อยดี  เป็นภาระมากที่จะต้องเข้ามาที่เวบ  อยากอยู่อย่างสงบ  โดยไม่ข้องแวะกับใครเลย  นอกจากตัวเองเท่านั้น

ดังนั้น ขออนุญาติทุกท่าน พี่สิงห์ไม่ได้เป็นผู้รู้อะไรมากนัก ไปเจออะไรที่ดีก็มาเล่าสู่กันฟังให้ทราบ

ขอความสุข  สงบ  จงบังเกิดกับทุกท่าน 

พี่สิงห์ ไม่ได้น้อยใจอะไรใครทั้งสิ้น เพราะไม่มีอยู่แล้วในความคิดนั้น 

กิเลส  ตัณหา นั้นตัดอยาก ถ้ายังข้องแวะอยู่อย่างนี้

ถึงแม้จะเป็นบททดสอบจิตที่ดีก็ตามทีว่าจิตเรานั้นทนแรงเสียดทานได้เพียงไหน

แต่เป็นภาระจริงๆ ครับ

ขอลาทุกท่านครับ

(คุณรุ่งศักดิ์  ได้เตือนมานานแล้ว เรื่องที่ยังข้องแวะอยู่ในเวบ  ไม่เป็นผลดี)

สวัสดี
อ้าว ! แล้วกัน
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2702 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 07:32:53 »

ถึงเวลาแล้ว  รอคอยมานาน  ได้โอกาส  เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในจิต

อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตัวเอง  หมดยุคแล้ว  เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #2703 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 10:45:44 »

 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 07:32:53
ถึงเวลาแล้ว  รอคอยมานาน  ได้โอกาส  เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในจิต

อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตัวเอง  หมดยุคแล้ว  เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่

สวัสดี

พี่สิงห์ ครับ
พี่สิงห์เป็นผู้ให้ กับทางหอพัก และพี่ๆ น้องๆ มามากแล้ว มากจริงๆ
(ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก)  พักจาก เวบ บ้างก็ดี จะได้มีเวลา ศึกษาและปฏิบัติธรรม
ในสิ่งที่ พี่สิงห์ได้ตั้งใจไว้  โดยไม่มีสิ่งรบกวนจิตใจ

เมื่อปฏิบัติจนรู้สึกว่า รู้สึกตัวทั้วพร้อมทุกเวลาทุกสถานะการณ์(ไม่มีอะไรมา รบกวนจิตใจแล้ว)
กลับเข้า เวบ มาใหม่ เพื่อ สอน ชี้แนะ พี่ๆ น้องๆ ให้เดินไปสู่ทางสว่างต่อไป

ผมดีใจที่ได้พบและรู้จัก พี่ผู้อุทิต ตัว และควรนำเอามาเป็นแบบอย่าง อย่างพี่สิงห์คนนี้ ครับ

      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2704 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 11:02:13 »

พี่สิงห์,
อย่าเพิ่งไป!
ดูโขนก่อนคะ
พี่อี๊ดบอกชื่อ หาใหม่
พี่ได้ชมแล้ว ชมใหม่อีกรอบ
หนิงยังไม่ชม ชมแล้วว่าตลกดี
ขอยาเสน่ห์ไปดีดสาวงี้...ฮ้ายย


<a href="http://www.youtube.com/v/wcGqpm4XBSU?version=3&amp;amp;hl=en_GB" target="_blank">http://www.youtube.com/v/wcGqpm4XBSU?version=3&amp;amp;hl=en_GB</a>

http://www.youtube.com/watch?v=wcGqpm4XBSU&feature=related
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2705 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 11:07:22 »

มีฝรั่งด้วย..
เอ,versionเดียวกันแน่นะคะ
ตลกค่ะ นั่งหัวเราะอยู่เนี่ยพี่
อะไรมีชั่งน้ำหนักด้วย!



<a href="http://www.youtube.com/v/czIjsxk9N80?version=3&amp;amp;hl=en_GB" target="_blank">http://www.youtube.com/v/czIjsxk9N80?version=3&amp;amp;hl=en_GB</a>

http://www.youtube.com/watch?v=czIjsxk9N80&feature=related
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2706 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 11:57:42 »

นี่คะ ถูกต้องแน่ๆ
introductionคะ แบบที่พี่สิงห์เล่าให้ฟัง
พี่อี๊ดบอกว่าเค้าห้ามถ่าย ห้ามอัดเทป
คงไม่มีหลุดออกมาแน่ๆ นอกจากคนซื้อ
DVDจะแปลงมาลง.



<a href="http://www.youtube.com/v/EUjqULa7zh0?version=3&amp;amp;hl=en_GB" target="_blank">http://www.youtube.com/v/EUjqULa7zh0?version=3&amp;amp;hl=en_GB</a>
http://www.youtube.com/watch?v=EUjqULa7zh0
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2707 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 17:38:19 »

พี่สิงห์,
ชาวเวบผู้นิยมเกาะขอบจอ
ฝากขอเพลงมาแน่ะ...
บอกช่วยไปแปะที่กระทู้พี่หน่อย
หนุงหนิง,ผู้มีสุนทรีย์ในหู..ฟังปั๊บ
...รับคำทันที...

เพราะsheชิ่งเร็วคะ
เค้าเลยมอบหน้าที่ห้ายยย!



<a href="http://www.youtube.com/v/06AfC02a9y4?version=3&amp;amp;hl=en_GB" target="_blank">http://www.youtube.com/v/06AfC02a9y4?version=3&amp;amp;hl=en_GB</a>
http://www.youtube.com/watch?v=06AfC02a9y4
      บันทึกการเข้า


roong15
Full Member
**


Peaceful and Useful Life
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 514

« ตอบ #2708 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 20:09:18 »


อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 31 กรกฎาคม 2554, 23:27:14
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 กรกฎาคม 2554, 21:28:58
หมู่นี้สุขภาพจิตไม่ค่อยดี  เป็นภาระมากที่จะต้องเข้ามาที่เวบ  อยากอยู่อย่างสงบ  โดยไม่ข้องแวะกับใครเลย  นอกจากตัวเองเท่านั้น
ดังนั้น ขออนุญาติทุกท่าน พี่สิงห์ไม่ได้เป็นผู้รู้อะไรมากนัก ไปเจออะไรที่ดีก็มาเล่าสู่กันฟังให้ทราบ
ขอความสุข  สงบ  จงบังเกิดกับทุกท่าน 
พี่สิงห์ ไม่ได้น้อยใจอะไรใครทั้งสิ้น เพราะไม่มีอยู่แล้วในความคิดนั้น 
กิเลส  ตัณหา นั้นตัดอยาก ถ้ายังข้องแวะอยู่อย่างนี้
ถึงแม้จะเป็นบททดสอบจิตที่ดีก็ตามทีว่าจิตเรานั้นทนแรงเสียดทานได้เพียงไหน
แต่เป็นภาระจริงๆ ครับ

ขอลาทุกท่านครับ

(คุณรุ่งศักดิ์  ได้เตือนมานานแล้ว เรื่องที่ยังข้องแวะอยู่ในเวบ  ไม่เป็นผลดี)

สวัสดี

พี่สิงห์เป็นอะไร?
ลาไปไหนคะ ไปนอน?

พี่รุ่งหมายความว่ายังไงคะเข้าเวบไม่เป็นผลดี?
(เดี๋ยวท้าชกแร้ะ!)


สวัสดีครับ พี่สิงห์ น้องหนุงหนิง และพี่น้องทุกท่าน

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่มาอ่านกระทู้ ในห้องนี้เกือบทุกวัน เพียงแต่ไม่ได้โพสท์อะไร

ขออนุญาต ตอบน้องหนุงหนิงก่อนนะครับ มิฉะนั้นนอกจากจะโดนน้องหนุงหนิงท้าชกแล้ว อาจโดนแฟน Cmadong.com พันธ์แท้รุมเหยียบได้


ความจริงพี่เองก็เป็นแฟนเวปนี้อยู่ด้วยครับ เพราะรู้สึกเหมือนบ้านที่สอง ทุกครั้งที่เข้าอินเตอร์เนทก็เข้าเวปนี้ทุกที เข้าทุกวัน วันละหลายรอบ และให้ค้างไว้โดยไม่ปิดtab ดังนั้นทุกครั้งที่เข้า fire fox ก็จะเข้าเวปซีมะโด่งครับ เพราะฉะนั้นขอปฏิเสธว่า ไม่ได้หมายความว่า  "เข้าเวบไม่เป็นผลดี"

แต่เคยแนะนำพี่สิงห์ ว่าให้ลองเจริญสติอย่างต่อเนื่อง และในช่วงที่กำลังปฏิบัติ ก็
"งดพูดคุยที่ไม่จำเป็น งดรับโทรศัพท์ งดเปิดคอมพ์เพื่อเช็คอีเมล์และเข้าเวป"

แต่ไม่ได้หมายความว่า นอกเวลาปฏิบัติ แล้วไม่ควรเข้าครับ


ของเดิมที่เคยโพสท์

อ้างถึง
ข้อความของ roong15 เมื่อ 20 กันยายน 2553, 15:45:19
สวัสดีครับพี่สิงห์ที่เคารพ

ก่อนอื่น ผมขออนุญาตเป็นแค่ รุ่งศักดิ์ หรือคุณรุ่งศักดิ์เฉยๆอย่างที่พี่เคยเรียกในเวปนะครับ 

นานๆจะแวะเข้าเวป Cmadong เสียที ก็ไม่ได้มีโอกาสแวะเวียนไปที่ไหนมากนัก  แต่ก็แวะเข้ามาอ่านประสพการณ์ของพี่อยู่บ้างครับ วันนี้คงออกความเห็นเล็กๆน้อยๆครับ


พี่เคยคิดจะลองปฏิบัติธรรม หรือเจริญสติอย่างต่อเนื่องไหมครับ? เช่นทดลองก่อนสัก 3วัน (แล้วค่อยเพิ่มทีหลัง)  ทำเหมือนกับคนที่ไปวัดเขาทำกันเช่น

03:30  ตื่นนอน
เจริญสติ
04.30 ทำวัตรเช้า หรือ เจริญสติ

08:30 ทานอาหาร  (มือเดียวทั้งวัน)  ตอนเย็นใช้น้ำปาณะช่วย

เจริญสติ

18:00 ทำวัตรเย็น หรือ เจริญสติ

เจริญสติ
21:00 เข้านอน


งดพูดคุยที่ไม่จำเป็น งดรับโทรศัพท์ งดเปิดคอมพ์เพื่อเช็คอีเมล์และเข้าเวป

งดงานทุกชนิดแม้แต่ซักผ้า

นอนที่นอนบาง

เท่ากับว่าพี่สิงห์ได้ถือศีลแปดด้วย 

ถามว่าทำเช่นนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร

ตอบว่า

1. พี่จะได้เรียนรู้บทเรียนในการ ปฏิบัติธรรม หรือเจริญสติ ที่แตกต่างจากที่พี่เคยพบอยู่ ถ้าในสายงานหลวงพ่อเทียน ก็จะเรียก การเจริญสติแบบอุกฤษฏ์ หรือการเก็บอารมณ์

2. ความที่ชีวิตพี่มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน เช่นตื่นนอนเวลาเท่าใด เวลานี้ทำอะไร ...... ถ้ากิเลสมันเป็นโจรมันก็รู้ว่า เวลาไหนที่มันจะเข้ามาขโมย หรือลองดีกับพี่ หรือพี่พร้อมจะรับมือกับมันหรือไม่

แต่ถ้าพี่เจริญสติอยู่ทั้งวัน  มันก็จะเข้ามาลองดีพี่อยู่ดี แต่จะมาแบบไม่แน่นอน และไม่มีรูปแบบ  ซึ่งพี่ก็จะได้เรียนรู้มันในแต่ละกรณี

จิตของคนเราฝึกให้มันเชื่องได้ยากนัก  เคยปรารภกับ ญาติผู้หญิงท่านหนึ่ง ท่านเป็นดอกเตอร์ และปฏิบัติธรรมอยู่ด้วย  ว่า  การฝึกจิตให้เชื่องนั้นน่าจะยากกว่าการเรียนให้จบ ดอกเตอร์ เสียอีก ท่านก็ยอมรับว่าจริง

จิตของเรานั้นมันเจ้าเล่ห์มากครับ  บางครั้งมันจะหลอกเราว่า มันไม่คิดแล้วนะ หรือหลอกเราว่าเราบรรลุธรรม หรือสำเร็จแล้ว แม้กระทั่งบางเวลาก็หลอกเราว่า เราเก่งกว่าครูบาอาจารย์

ผมคิดว่า พี่สิงห์ มีวิญญาน และคุณสมบัติแห่งการเรียนรู้ด้วยตนเอง  น่าจะลองดูนะครับ



 sing sing sing



ที่นี้มาถึง ช่วงเวลานี้ของพี่สิงห์  ผมเห็นด้วยกับน้องสมชาย ว่าพี่สิงห์อาจจะต้องงดการ เล่าเรื่องและพูดคุยกับน้องๆระยะหนึ่ง เราจะเห็นว่าในการปฏิบัติธรรม ตามสำนักต่างๆ ข้อหนึ่งคือการงดพูดคุย ยกเว้นการสอบอารมณ์ หรือการให้ครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำ การแก้ปัญหาให้

พวกเรารู้ดีว่าการมีห้องหรือกระทู้ ของตัวเองนั้น  เวลาโพสท์อะไรไป เวลาคนอื่นมาเยี่ยม เราก็ต้องเข้ามาตอบ และกลับไปเยี่ยมห้องของแขกเหล่านั้นบ้าง นั่นจะใช้เวลามากในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่สิงห์เอง นอกจากเล่าเรื่องความเป็นไป ของตัวเองในแต่ละวันแล้ว ก็ยังต้องหาธรรมะดีๆมาฝากพวกเรา (หลายๆครั้งก็ต้องพิมพ์เอง)   ซึ่งคิดว่าวันหนึ่งไม่น่าจะต่ำกว่า สองชั่วโมง

แต่ถ้าเอาเวลาเหล่านั้นไปเจริญสติ ก็อาจจะได้เรียนรู้มากขึ้น  และค่อยนำมาเล่าทีเดียวเมื่อเวลาเหมาะสม เพราะจิตคนเราซับซ้อนมาก บางวันมันก็แกล้งหลอกเราว่า เราไม่โกรธแล้วในเรื่องหนึ่ง แต่พออีกวันหนึ่ง เรื่องที่เล็กกว่า เรากลับโกรธ  ต่อเมื่อเราเข้าใจมันดีพอแล้ว นั่นแหละ คือหนทางที่แท้จริง


ผมคิดว่าพี่สิงห์อาจใช้วิธีพูดกับสมุดบันทึกแทน พี่น้องซีมะโด่ง(ในเวป)  เหมือนที่หลวงพ่อพุทธทาสเคยใช้ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ อนุทินปฏิบัติธรรม  เป็นบันทึกรายวันขณะฝึกฝนตนอย่างเข้มข้นในวัยหนุ่ม  ท่านบันทึกไว้ 90วัน เขียนรายละเอียดต่างๆ เรื่องศีล ธุดงค์ อกุศลวิตก เบ็ดเตล็ด และบันทึก ปัญหาที่พบ ผลของการปฏิบัติ อาหาร ความฝัน ราคะ ฯลฯ

นั้นจะช่วยให้พี่สิงห์รู้จักสิ่งที่ตัวเองศึกษาได้ถึงแก่น   จนถึงเวลาที่เหมาะสม พี่สิงห์มีวิญญานของการถ่ายทอด และการสอนอยู่แล้ว  ก็จะนำมาเล่าให้น้องๆฟังได้อย่างชัดเจน


ส่วนห้องนี้ก็คงไว้ ให้น้องๆมาเยี่ยม  เขียนอะไรถึงพี่สิงห์บ้าง และกลับมาอ่านเนื้อเรื่องที่เคยกระโดดข้ามไป (เพราะมันยาว) ซึ่งพี่สิงห์ก็อาจจะแอบเข้ามาอ่าน (แบบบุคคลทั่วไป)  และไม่ต้องโพสท์ตอบก็ได้ครับ

เขียนมานี้ อาจไม่ตรงใจใครบ้าง แต่ก็เขียนอย่างบริสุทธิ์ใจ  ผมเองก็ยังเข้ามาเรียนรู้ แบบอย่างชีวิตที่มีระเบียบ จากพี่สิงห์ในนี้ครับ

เราทุกคนที่เคยเห็นกระทู้พี่สิงห์ ตอนที่หนึ่ง(ถูกลบไปแล้ว)   กับกระทู้ปัจจุบัน จะเห็นว่าพี่สิงห์เปลี่ยนแปลงไปมาก นั่นคือผลจากพี่สิงห์เจริญสติ และด้วยนิสัยพี่สิงห์  ซึ่งเอาจริงเอาจัง แล้ว ผมเชื่อว่า พี่จะพบสิ่งที่พี่ควรจะได้พบครับ

ขอบคุณ และสวัสดีครับ


 sing หลั่นล้า sing

      บันทึกการเข้า

Peaceful and Useful Life
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2709 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 22:58:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 10:45:44
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 07:32:53
ถึงเวลาแล้ว  รอคอยมานาน  ได้โอกาส  เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในจิต

อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตัวเอง  หมดยุคแล้ว  เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่

สวัสดี

พี่สิงห์ ครับ
พี่สิงห์เป็นผู้ให้ กับทางหอพัก และพี่ๆ น้องๆ มามากแล้ว มากจริงๆ
(ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก)  พักจาก เวบ บ้างก็ดี จะได้มีเวลา ศึกษาและปฏิบัติธรรม
ในสิ่งที่ พี่สิงห์ได้ตั้งใจไว้  โดยไม่มีสิ่งรบกวนจิตใจ

เมื่อปฏิบัติจนรู้สึกว่า รู้สึกตัวทั้วพร้อมทุกเวลาทุกสถานะการณ์(ไม่มีอะไรมา รบกวนจิตใจแล้ว)
กลับเข้า เวบ มาใหม่ เพื่อ สอน ชี้แนะ พี่ๆ น้องๆ ให้เดินไปสู่ทางสว่างต่อไป

ผมดีใจที่ได้พบและรู้จัก พี่ผู้อุทิต ตัว และควรนำเอามาเป็นแบบอย่าง อย่างพี่สิงห์คนนี้ ครับ


กราบสวัสดีพี่สิงห์ค่ะ....น้ำอ้อยคนพูดไม่เก่ง คิดเหมือนพี่สมชายค่ะ...
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2710 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554, 23:26:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 22:58:21
อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 10:45:44
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 07:32:53
ถึงเวลาแล้ว  รอคอยมานาน  ได้โอกาส  เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในจิต

อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตัวเอง  หมดยุคแล้ว  เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่

สวัสดี

พี่สิงห์ ครับ
พี่สิงห์เป็นผู้ให้ กับทางหอพัก และพี่ๆ น้องๆ มามากแล้ว มากจริงๆ
(ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก)  พักจาก เวบ บ้างก็ดี จะได้มีเวลา ศึกษาและปฏิบัติธรรม
ในสิ่งที่ พี่สิงห์ได้ตั้งใจไว้  โดยไม่มีสิ่งรบกวนจิตใจ

เมื่อปฏิบัติจนรู้สึกว่า รู้สึกตัวทั้วพร้อมทุกเวลาทุกสถานะการณ์(ไม่มีอะไรมา รบกวนจิตใจแล้ว)
กลับเข้า เวบ มาใหม่ เพื่อ สอน ชี้แนะ พี่ๆ น้องๆ ให้เดินไปสู่ทางสว่างต่อไป

ผมดีใจที่ได้พบและรู้จัก พี่ผู้อุทิต ตัว และควรนำเอามาเป็นแบบอย่าง อย่างพี่สิงห์คนนี้ ครับ


กราบสวัสดีพี่สิงห์ค่ะ....น้ำอ้อยคนพูดไม่เก่ง คิดเหมือนพี่สมชายค่ะ...

ทำไมไม่คิดเหมือนพี่ป๋องเล่าครับ ไปคิดตามพี่สมชายทำไม
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2711 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2554, 21:14:15 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เมื่อวานน้องนุช ที่โรงพยาบาลปทุมราช ก็โทรศัพท์มาคุย สาระทุกข์ สุขดิบ กับพี่สิงห์ ด้วยความเป็นห่วง  ก็ต้องขอบคุณน้องนุชด้วย ที่ได้แนะนำการใช้ยาให้  คอยดูแลตัวเอง

                       วันนี้พี่ติ๋ว ก็โทรศัพท์มาคุย  ถามว่าเป็นอะไรไป  ทำไมไม่เขียนต่อ เพราะว่าพี่ติ๋วไม่มีอะไรทำก็มาตามอ่านในสิ่งที่เขียน  ถ้าผมไม่เขียนต่อแล้ว พี่ติ๋วก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน ได้แต่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้เท่านั้น

                       ผมก็ตอบว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น  ไม่ได้โกรธใครเลย (จริงๆอยากให้โกรธมาก จะได้ดูจิตตัวเอง) ไม่ได้น้อยใจอะไรเลย(อยากดูจิตตัวเองเหมือนกัน ว่าถ้ามันน้อยใจ จิตมันหวั่นไหวอย่างไร) ทุกอย่างที่ทำนั้น รู้จักปล่อยวางได้พอสมควรมากๆด้วย  ไม่ติดใจอะไรเลยทั้งสิ้น  ถือว่าเป็นการฝึกจิตของเราเวลาพบหรือเจอสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ มันเป็นทุกข์ หนึ่งในเจ็ดของทุกข์ที่มีอยู่ในโลกตามที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ในเรื่องทุกข์  จิตของเรามันจะพรุ่งพล่าน เดือดดาลใจ ขึ้นมา ถ้าเรามีสติ เราจะใช้ปัญญาเอาชนะมันได้  แต่ถ้าเมื่อใดขาดสติ มันจะกระทำตามจิตตัวเอง และโดยอัตโนมัติมันจะคิดและสั่งให้รูป(ตัวเรา)กระทำตามที่คิดว่าดีแล้วทันที  แต่จริงๆแล้วมันไม่ถูกต้อง เพราะความคิดนั้นมันคิดภายใต้ความคิดแวบที่เกิดจากโมหะคือเป็นความคิดภายใต้โมหะ  ไม่ใช่ความคิดที่เกิดจากปัญญาขณะที่เรามีสติ(ระลึกได้)

                       ผมก็เลยต้องยอมทุศีล ข้อมุสา  บอกว่าถ้าพี่ติ๋วเข้ามาอ่าน ผมก็คงต้องกลับมาเขียน  ไม่สามารถที่จะทิ้งไปได้  ทั้งที่มันเป็นภาระมาก  แต่ก็นึกถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเตือนพระอุบาลี (พระอุบาลีเป็นเลิศทางพระวินัย  สำนักของท่านได้จดจำท่องพระวินัยและพระสูตรเอาไว้ในการสังคยานาครั้งที่ ๑ และในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช โดยการนำของพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ ก็ถือว่าท่านสืบเชื้อสายการศึกษาพระวินัยมากจากศิษย์ของพระอุบาลีเถระเช่นกัน)

                       พระอุบาลี เมื่อบวชแล้ว ได้ศึกษาพระกรรมฐานจากพระผู้มีพระภาค หลังจากนั้นท่านมีความประสงค์จะไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า เพื่อหาความสงบตามลำพัง แต่เมื่อกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคแล้ว พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ได้มีรับสั่งแก่เธอว่า
                      “อุบาลี ถ้าเธอไปอยู่ในป่าบำเพ็ญสมณธรรม ก็จะสำเร็จเพียงวิปัสสนาธุระ แต่ถ้าเธออยู่ในสำนักของคถาคต ก็จะสำเร็จธุระทั้งสอง คือ ทั้งวิปัสสนาธุระ และคันถธุระ (การเรียนคัมภีร์ต่าง ๆ )”
                       ท่านปฏิบัติตามพระพุทธดำรัสที่ตรัสแนะนำ ได้ศึกษาพระพุทธพจน์ไปพร้อมกับเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็บรรลุพระอรหัตผลในพรรษานั้น

                       และหลวงพ่อปราโมทย์ สมัยที่เป็นคฤหัสได้ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่รุณ (อาจจะเขียนผิด) มีอยู่วันหนึ่งขณะท่านเดินไปอาบน้ำแปลงฟัน เห็นสถานที่หนึ่งใต้ต้นไม้ ร่มเย็น มีเก้าอี้ เงียบสงบ หน้าปฏิบัติธรรมมาก จึงคิดจะไปที่นั่นเพื่อปฏิบัติธรรม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหลวงปู่รุณ ตะโกนมาว่า เพียงแค่คิดก็ผิดแล้วโยม หมายความว่าหลวงปู่รู้ทางจิตในความคิด การปฏิบัติธรรม นั้นไม่จำเป็นต้องหาที่สงบเงียบตามที่เราคิด

                       และหลวงปู่ชา  หลวงปู่ดุลย์  ก็พูดในทำนองเดียวกัน การปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องหาที่สงบเงียบ เพราะจะติดอยู่ในความสงบ ไม่ก้าวหน้า พอเจอแรงเสียดทานก็เป๋กลับไปเริ่มต้นใหม่ทุกที

                       ผมฟังธรรมะบรรยายของพระไพศาล  ท่านก็กล่าวว่าการไปหาความดับทุกข์นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่วัดเสมอไป เราต้องดับที่ใจของเรา ยิ่งมีแรงเสียดทานมาก ๆ ยิ่งดี เราจะได้รู้ด้วยตัวเองว่า จิตเราเป็นอย่างไร

                       มันก็ถูกหมดครับ การจะเอาชนะจิตเราได้นั้น มันต้องทนต่อแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นให้ได้ ทุกสถานการณ์  การปฏิบัติธรรมนั้นแท้ที่จริง คือการรักษาจิตของเราขณะทำงาน เขียนหนังสือ ค้นคว้า ทำกิจวัตรประจำวัน ในอิริยาบท ต่างๆ นั้น แม้กระทั้งการเข้าเวบ ให้มีสติ(ระลึกได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่)อยู่เสมอ ไม่ส่งจิตออกนอก คือไม่คิดนอกการกระทำของเรา คือมีสติอยู่กับกายและใจ เท่านั้น พยายามรักษาให้ได้ตลอดเวลาเหมือนลุกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งอยู่ตลอดเวลา นั้นคืองานที่เราจะต้องกระทำ  ถ้าเราทำได้ งานของเราก็จะดีขึ้นด้วย เพราะถ้ามีสติเราจะคิดด้วยปัญญา ไม่หลงอยู่ในความคิดตัวเองและซึ่งคิดว่าถูกต้อง ซึ่งผิดเพราะมันจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ

                       ดังนั้น พี่สิงห์ก็จะพยายามปฏิบัติธรรมทางเวบไปด้วย จะทำด้วยการมีสติ ในการเขียนเสมอ จะลองดูครับ ว่ามันจะหลงไปติดอยู่ในความคิดตัวเองมากไหม? เป็นการคิดภายใต้โมหะ หรือจะคิดไปภายใต้สติกันแน่

                       แต่มีข้อแม้ว่า คงไม่เข้ามาบ่อย แต่จะพยายามเข้ามาเขียนอะไรที่ดีๆ เช่นเคย เพราะถ้าเข้ามาบ่อยมันเป็นภาระจริงๆ อยากเอาเวลาไปกระทำอย่างอื่นบ้างตามสมควร  ที่ผ่านมาไม่ตัวของตัวเองเลย กระทำไปภายใต้ความคิดแวบทั้งนั้น ผืดวิสัยนักปฏิบัติธรรม

                       ส่วนการเจ็บป่วยทางร่างกายผมนั้น การไอ เป็นปกติ มีเพียงการแพ้อากาศเท่านั้น ที่ร่างกายดีเกินไป พออากาศเปลี่ยน หรือเจอฝุ่นเป็นเสร็จทุกที แต่ก็ทนเอาเพื่อปล่อยให้ร่างกายมันปรับตัวของมันเองเข้ากับธรรมชาติให้ได้ แต่ก็ดีขึ้นแยะแล้วครับ วันนี้เกือบเป็นปกติ  บังเอิญไปเจอฝุ่นจากการก่อสร้างเลยเป๋ไป แต่ได้ไปซื้อหน้ากากมาใส่แทนเวลาเจออากาศ ฝุ่น เป็นการป้องกันครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ ขอให้ทุกท่านหลับอย่างมีสติ ครับจะได้ไม่ฝันร้าย
                       
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2712 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2554, 21:37:33 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์
 ดีใจที่พี่สิงห์กลับมาเขียนอะไรให้อ่านอีก
 เช่นเดียวกับรุ่งศักดิ์ ที่เปิดห้องนี้ทุกครั้ง เพียงแต่ไม่ค่อยได้postมากนัก
 จริงค่ะ การมีห้อง ต้องมีภาระในการเขียน และหาเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าตลอด
ซึ่งต้องใช้เวลามาก การไม่ตอบทุกคนที่เข้ามาทักอาจจะลดเวลาไปได้บ้างคะ
บางครั้งคนที่ทักก็ต้องการเพียงการทักทายพี่สิงห์เท่านั้น
ไม่รบกวนเวลาพี่สิงห์ต้องทักตอบค่ะ
ให่กำลังใจพี่สิงห์นะคะ ให้สงบและใช้เวลากับธรรมตามที่ต้องการ
เพียงแต่หากวันใดมีประสบการณ์หรือมีเรื่องที่น่าสนใจ
คิดว่าควรมาเผยแพร่บ้างก็เข้ามาเขียนนะคะ
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2713 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2554, 23:42:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 23:26:17
อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 22:58:21
อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 10:45:44
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 07:32:53
ถึงเวลาแล้ว  รอคอยมานาน  ได้โอกาส  เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในจิต

อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตัวเอง  หมดยุคแล้ว  เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่

สวัสดี

พี่สิงห์ ครับ
พี่สิงห์เป็นผู้ให้ กับทางหอพัก และพี่ๆ น้องๆ มามากแล้ว มากจริงๆ
(ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก)  พักจาก เวบ บ้างก็ดี จะได้มีเวลา ศึกษาและปฏิบัติธรรม
ในสิ่งที่ พี่สิงห์ได้ตั้งใจไว้  โดยไม่มีสิ่งรบกวนจิตใจ

เมื่อปฏิบัติจนรู้สึกว่า รู้สึกตัวทั้วพร้อมทุกเวลาทุกสถานะการณ์(ไม่มีอะไรมา รบกวนจิตใจแล้ว)
กลับเข้า เวบ มาใหม่ เพื่อ สอน ชี้แนะ พี่ๆ น้องๆ ให้เดินไปสู่ทางสว่างต่อไป

ผมดีใจที่ได้พบและรู้จัก พี่ผู้อุทิต ตัว และควรนำเอามาเป็นแบบอย่าง อย่างพี่สิงห์คนนี้ ครับ


กราบสวัสดีพี่สิงห์ค่ะ....น้ำอ้อยคนพูดไม่เก่ง คิดเหมือนพี่สมชายค่ะ...

ทำไมไม่คิดเหมือนพี่ป๋องเล่าครับ ไปคิดตามพี่สมชายทำไม
กราบสวัสดีค่ะพี่ป๋อง   คิดค่ะ คิด...
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2714 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2554, 23:55:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 สิงหาคม 2554, 21:14:15
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เมื่อวานน้องนุช ที่โรงพยาบาลปทุมราช ก็โทรศัพท์มาคุย สาระทุกข์ สุขดิบ กับพี่สิงห์ ด้วยความเป็นห่วง  ก็ต้องขอบคุณน้องนุชด้วย ที่ได้แนะนำการใช้ยาให้  คอยดูแลตัวเอง

                       วันนี้พี่ติ๋ว ก็โทรศัพท์มาคุย  ถามว่าเป็นอะไรไป  ทำไมไม่เขียนต่อ เพราะว่าพี่ติ๋วไม่มีอะไรทำก็มาตามอ่านในสิ่งที่เขียน  ถ้าผมไม่เขียนต่อแล้ว พี่ติ๋วก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน ได้แต่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้เท่านั้น

                       ผมก็ตอบว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น  ไม่ได้โกรธใครเลย (จริงๆอยากให้โกรธมาก จะได้ดูจิตตัวเอง) ไม่ได้น้อยใจอะไรเลย(อยากดูจิตตัวเองเหมือนกัน ว่าถ้ามันน้อยใจ จิตมันหวั่นไหวอย่างไร) ทุกอย่างที่ทำนั้น รู้จักปล่อยวางได้พอสมควรมากๆด้วย  ไม่ติดใจอะไรเลยทั้งสิ้น  ถือว่าเป็นการฝึกจิตของเราเวลาพบหรือเจอสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ มันเป็นทุกข์ หนึ่งในเจ็ดของทุกข์ที่มีอยู่ในโลกตามที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ในเรื่องทุกข์  จิตของเรามันจะพรุ่งพล่าน เดือดดาลใจ ขึ้นมา ถ้าเรามีสติ เราจะใช้ปัญญาเอาชนะมันได้  แต่ถ้าเมื่อใดขาดสติ มันจะกระทำตามจิตตัวเอง และโดยอัตโนมัติมันจะคิดและสั่งให้รูป(ตัวเรา)กระทำตามที่คิดว่าดีแล้วทันที  แต่จริงๆแล้วมันไม่ถูกต้อง เพราะความคิดนั้นมันคิดภายใต้ความคิดแวบที่เกิดจากโมหะคือเป็นความคิดภายใต้โมหะ  ไม่ใช่ความคิดที่เกิดจากปัญญาขณะที่เรามีสติ(ระลึกได้)

                       ผมก็เลยต้องยอมทุศีล ข้อมุสา  บอกว่าถ้าพี่ติ๋วเข้ามาอ่าน ผมก็คงต้องกลับมาเขียน  ไม่สามารถที่จะทิ้งไปได้  ทั้งที่มันเป็นภาระมาก  แต่ก็นึกถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเตือนพระอุบาลี (พระอุบาลีเป็นเลิศทางพระวินัย  สำนักของท่านได้จดจำท่องพระวินัยและพระสูตรเอาไว้ในการสังคยานาครั้งที่ ๑ และในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช โดยการนำของพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ ก็ถือว่าท่านสืบเชื้อสายการศึกษาพระวินัยมากจากศิษย์ของพระอุบาลีเถระเช่นกัน)

                       พระอุบาลี เมื่อบวชแล้ว ได้ศึกษาพระกรรมฐานจากพระผู้มีพระภาค หลังจากนั้นท่านมีความประสงค์จะไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า เพื่อหาความสงบตามลำพัง แต่เมื่อกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคแล้ว พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ได้มีรับสั่งแก่เธอว่า
                      “อุบาลี ถ้าเธอไปอยู่ในป่าบำเพ็ญสมณธรรม ก็จะสำเร็จเพียงวิปัสสนาธุระ แต่ถ้าเธออยู่ในสำนักของคถาคต ก็จะสำเร็จธุระทั้งสอง คือ ทั้งวิปัสสนาธุระ และคันถธุระ (การเรียนคัมภีร์ต่าง ๆ )”
                       ท่านปฏิบัติตามพระพุทธดำรัสที่ตรัสแนะนำ ได้ศึกษาพระพุทธพจน์ไปพร้อมกับเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็บรรลุพระอรหัตผลในพรรษานั้น

                       และหลวงพ่อปราโมทย์ สมัยที่เป็นคฤหัสได้ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่รุณ (อาจจะเขียนผิด) มีอยู่วันหนึ่งขณะท่านเดินไปอาบน้ำแปลงฟัน เห็นสถานที่หนึ่งใต้ต้นไม้ ร่มเย็น มีเก้าอี้ เงียบสงบ หน้าปฏิบัติธรรมมาก จึงคิดจะไปที่นั่นเพื่อปฏิบัติธรรม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหลวงปู่รุณ ตะโกนมาว่า เพียงแค่คิดก็ผิดแล้วโยม หมายความว่าหลวงปู่รู้ทางจิตในความคิด การปฏิบัติธรรม นั้นไม่จำเป็นต้องหาที่สงบเงียบตามที่เราคิด

                       และหลวงปู่ชา  หลวงปู่ดุลย์  ก็พูดในทำนองเดียวกัน การปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องหาที่สงบเงียบ เพราะจะติดอยู่ในความสงบ ไม่ก้าวหน้า พอเจอแรงเสียดทานก็เป๋กลับไปเริ่มต้นใหม่ทุกที

                       ผมฟังธรรมะบรรยายของพระไพศาล  ท่านก็กล่าวว่าการไปหาความดับทุกข์นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่วัดเสมอไป เราต้องดับที่ใจของเรา ยิ่งมีแรงเสียดทานมาก ๆ ยิ่งดี เราจะได้รู้ด้วยตัวเองว่า จิตเราเป็นอย่างไร

                       มันก็ถูกหมดครับ การจะเอาชนะจิตเราได้นั้น มันต้องทนต่อแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นให้ได้ ทุกสถานการณ์  การปฏิบัติธรรมนั้นแท้ที่จริง คือการรักษาจิตของเราขณะทำงาน เขียนหนังสือ ค้นคว้า ทำกิจวัตรประจำวัน ในอิริยาบท ต่างๆ นั้น แม้กระทั้งการเข้าเวบ ให้มีสติ(ระลึกได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่)อยู่เสมอ ไม่ส่งจิตออกนอก คือไม่คิดนอกการกระทำของเรา คือมีสติอยู่กับกายและใจ เท่านั้น พยายามรักษาให้ได้ตลอดเวลาเหมือนลุกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งอยู่ตลอดเวลา นั้นคืองานที่เราจะต้องกระทำ  ถ้าเราทำได้ งานของเราก็จะดีขึ้นด้วย เพราะถ้ามีสติเราจะคิดด้วยปัญญา ไม่หลงอยู่ในความคิดตัวเองและซึ่งคิดว่าถูกต้อง ซึ่งผิดเพราะมันจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ

                       ดังนั้น พี่สิงห์ก็จะพยายามปฏิบัติธรรมทางเวบไปด้วย จะทำด้วยการมีสติ ในการเขียนเสมอ จะลองดูครับ ว่ามันจะหลงไปติดอยู่ในความคิดตัวเองมากไหม? เป็นการคิดภายใต้โมหะ หรือจะคิดไปภายใต้สติกันแน่

                       แต่มีข้อแม้ว่า คงไม่เข้ามาบ่อย แต่จะพยายามเข้ามาเขียนอะไรที่ดีๆ เช่นเคย เพราะถ้าเข้ามาบ่อยมันเป็นภาระจริงๆ อยากเอาเวลาไปกระทำอย่างอื่นบ้างตามสมควร  ที่ผ่านมาไม่ตัวของตัวเองเลย กระทำไปภายใต้ความคิดแวบทั้งนั้น ผืดวิสัยนักปฏิบัติธรรม

                       ส่วนการเจ็บป่วยทางร่างกายผมนั้น การไอ เป็นปกติ มีเพียงการแพ้อากาศเท่านั้น ที่ร่างกายดีเกินไป พออากาศเปลี่ยน หรือเจอฝุ่นเป็นเสร็จทุกที แต่ก็ทนเอาเพื่อปล่อยให้ร่างกายมันปรับตัวของมันเองเข้ากับธรรมชาติให้ได้ แต่ก็ดีขึ้นแยะแล้วครับ วันนี้เกือบเป็นปกติ  บังเอิญไปเจอฝุ่นจากการก่อสร้างเลยเป๋ไป แต่ได้ไปซื้อหน้ากากมาใส่แทนเวลาเจออากาศ ฝุ่น เป็นการป้องกันครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ ขอให้ทุกท่านหลับอย่างมีสติ ครับจะได้ไม่ฝันร้าย
                       
ขอบพระคุณพี่ติ๋วมากๆค่ะ....ดีใจจังเลยค่ะที่พี่สิงห์กลับมาค่ะ...ขอให้พี่สิงห์หายไวๆนะคะ...
พี่สิงห์คะอาทิตย์ที่แล้วน้ำอ้อยติดหวัดจากลูกๆค่ะเพราะอยู่ในช่วงรับน้องค่ะลูกเป็นหวัดกลับบ้านมาทำให้น้ำอ้อยติดหวัดด้วยค่ะ
ตื่นเช้ามาเสียงหายเลยค่ะ  ไม่ได้เข้าเวปเลยค่ะ....
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2715 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 00:50:20 »

การเข้าเว็บฯ คงต้องใช้เสียงมากนะครับคุณน้องน้ำอ้อย เสียงหายไปเพราะเป็นหวัดจึงเข้าเว็บฯ ไม่ได้
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2716 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 07:44:48 »

รู้สุขภาพวันละนิด  กายคลายทุกข์

ตอน

ทำอย่างไรให้นอนหลับสนิท ?

                    ปัญหาของคนที่เป็นไข้หวัด  ไอ  แพ้อากาศนั้น  อย่างหนึ่งคือ ไอตลอดคืน ลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อย นอนหลับไม่สนิท  กังวล กระสับกระส่าย ผลคือการพักผ่อนน้อย เลยทำให้เราต้องทนทุกข์ทางกายต่อไปจากการเจ็บป่วย  

                    วิธีง่าย ๆ ที่คาดไม่ถึงแต่มีผลดีมากๆ ผมลองทำมาแล้วสี่วันยังแปลกใจไม่หายเลยว่ามันได้ผลดีจริง ๆ คือหลับได้ลึก  ไม่ตื่นมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำมากนัก บางคืนไม่ตื่นเลยก็มีหลับรวดเดียว บางคืนตื่นครั้งเดียวเท่านั้นก็กลับไปหลับสนิทเลย ทำให้เวลาตื่นเช้าขึ้นมา จิตใจสดใสเพราะพักผ่อนเพียงพอ ครับ

                    วิธีง่าย ๆ ก็คือ (พี่วสันต์ ข้างบ้านแนะนำ) ก่อนนอนโดยเฉพาะพวกที่นอนในห้องแอร์ควรกระทำ ไม่เสียหายอะไรเลย คือ เอาวิคทาแก้หวัด ทาที่ฝ่าเท้าทั้งสอง แล้วสวมถุงเท้านอน หรือจะใช้ยาหม่องทาฝ่าเท้าแบบผมก็ได้ แล้วใส่ถุงเท้ายิ่งหนายิ่งดีนอน คุณแววตา  ก็ยืนยันว่าดีเพราะพี่สาวพี่หมอโอภาสแนะนำมา  ผมยังเคยเห็นแม่ผมเวลานอนใส่ถุงเท้านอนประจำ

                    ทดลองเสียหน่อย มันก็ไม่เสียหายอะไร  โดยเฉพาะพวกที่เป็นไข้หวัด  แพ้อากาศควรจะทำอย่างยิ่ง

                    ฝ่าเท้าคนเรานั้น ตามแพทย์แผนจีน เส้นปราสาท อวัยวะภายในจะรวมอยู่ที่ฝ่าเท้า  เราจะรู้สึกว่าดีเมื่อเรานวดฝ่าเท้า หรือให้หมอนวดกดจุดที่ฝ่าเท้า นี่ก็เป็นความจริง

                    การรักษาอุณภูมิที่ฝ่าเท้าให้อบอุ่นอยู่เสมอด้วยการใส่ถุงเท้านอน จะทำให้ไม่เป็นไข้หวัดหรือร่างกายอ่อนแอ เพราะมันจะทำให้เรานอนหลับแบบลึกได้ จริงๆ ครับ

                    ไม่เชื่อทุกท่านลองดูซิครับ ด้วยตัวของท่านเอง

                     สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2717 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 08:20:47 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        รู้ธรรมวันละนิดวันนี้ ผมขอเสนอเรื่องของพระสารีบุตรเถระ ให้ทุกท่านได้ลองศึกษาประวัติของท่านโดยสังเขป สิ่งที่เราจะได้คือ จะรู้ว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยธรรมอันใด และท่านมีคติธรรมประจำตัวท่านอย่างไร น่าศึกษาและรู้ไว้นะครับ ในฐานะที่เราเป็นพุทธศษสนิกชน ครับ
                        ลองอ่าน พิจารณาดูด้วยปัญญาของท่าน ครับ
                        สวัสดี

รู็ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

ประวัติพระอรหันต์ พระภิกษุสาวกผู้เป็นเอตทัคคะ ลำดับที่ ๓

พระสารีบุตรเถระ

เอตทัคคะในทางผู้มีปัญญา

•   ในสมัยนั้นไม่ห่างไกลจากกรุงราชคฤห์มากนัก ที่ตำบลนาลันทา มีหมู่บ้านพราหมณ์ ๒ หมู่บ้าน ชื่อ อุปติสสคาม และโกลิตคามในหมู่บ้านอุปติสสคาม มีหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่า วังคันตะ ภารยาชื่อว่า นางสารี มีบุตร ชื่อว่า อุปติสสะ แต่เพราะเป็นบุตรของนางสารี จึงนิยมเรียกกันว่า สารีบุตร ในหมู่บ้านโกลิตคาม มีภารยาของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่า นางโมคคัลลี มีบุตรชื่อว่า โกลิตะ แต่นิยมเรียกกันว่า โมคคัลลานะ ตามชื่อของมารดา ทั้งสองตระกูลนี้ มีความเกี่ยวข้องเป็นสหายกันมานานถึง ๗ ชั่วอายุคนดังนั้น มาณพทั้งสอง จึงเป็นสหายกันดุจบรรพบุรุษ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เข้าศึกษาศิลปะวิทยาในสำนักของาจารย์คนเดียวกันเมื่อจบการศึกษาก็เป็นเพื่อเที่ยวร่วมสุขร่วมทุกข์ หาความสนุกความสำราญ ดูการเล่นมหรสพตามประสาวัยรุ่น และให้รางวัลแก่ผู้แสดงบ้างตามโอกาสอันควร

•   เบื่อโลกจึงออกบวช

              วันหนึ่งสหายทั้งสองพร้อมด้วยบริวาร ไปดูมหรสพด้วยกันเช่นเคย แต่ครั้งนี้มิได้มีความสนุกยินดี เบิกบานใจเหมือนครั้งก่อน ๆ เลย ทั้งสองมีความคิดตรงกันว่า “ทั้งคนแสดงและทั้งคนดู ต่างก็มีอายุไม่ถึงร้อยปีก็จะตายกันหมด ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลยกับการหาความสุขความสำราญแบบนี้ เราควรแสวงหาโมกขธรรม จะประเสริฐกว่า” ทั้งสองเมื่อทราบความรู้สึกและความประสงค์ของกันและกันแล้ว จึงตกลงกันนำบริวารฝ่ายละครึ่ง รวมได้ ๕๐๐ คนออกบวช และปรึกษากันว่า “พวกเราควรจะไปบวชในสำนักของใคร และอาจารย์ไหนจึงจะดี”

              สมัยนั้น สญชัยปริพาชก เป็นอาจารย์เจ้าสำนักใหญ่ในเมืองราชคฤห์ มีคนเคารพนับถือและมีศิษย์ มีบริวารมากมาย มาณพทั้งสองจึงพากันเข้าไปขอบวช ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาศิลปะวิทยาในสำนักนี้ สำนักของ สญชัยปริพาชก ตั้งแต่มาณพทั้งสองมาบวชอยู่ด้วยแล้วก็เจริญรุ่งเรืองด้วยลาภสักการะ และคนเคารพนับถือมากขึ้น มาณพทั้งสองศึกษาอยู่ในสำนักนี้ไม่นาน ก็สิ้นความรู้ของอาจารย์ เมื่อถามถึงวิทยาการที่สูงขึ้นไปอีก อาจารย์ก็ไม่สามารถจะสอนให้ได้ จึงปรึกษากันว่า:-
             “การบวชอยู่ในสำนักนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ลัทธินี้มิใช่ทางเข้าถึง โมกขธรรม เราควรพยายามแสวงหาอาจารย์ ผู้สามารถแสดงโมกขธรรมแก่เราได้” ดังนั้น ทั้งสองจึงทำสัญญาต่อกันว่า “ในระหว่างเราทั้งสอง ถ้าผู้ใดได้อมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่กันให้รู้ด้วย”
              วันหนึ่ง พระอัสสชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ ที่พระพุทธองค์ทรงส่งไป ประกาศพระศาสนา ได้จาริกมาถึงกรุงราชคฤห์ และเข้าไปบิณฑบาตในเมือง อุปติสสปริพาชกออกจากอารามมาด้วยกิจธุระภายนอกเห็นท่านแสดงออกซึ่งปฏิปทาอันน่าเลื่อมใส จะก้าวไปหรือถอยกลับ จะเหยียดแขนหรือพับแขน จะเหลียวซ้ายแลขวา ดูน่าเลื่อมใสเรียบร้อยไปทุกอิริยาบถ ทอดจักษุแต่พอประมาณ มีอาการแปลกจากบรรพชิต ที่เคยเห็นมาแต่กาลก่อน อยากจะทราบว่า ท่านบวชในสำนักของใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน แต่ก็มิอาจถามท่านได้เพราะมิใช่กาลเวลาอันสมควร จึงเดินตามไปห่าง ๆ เมื่อพระเถระได้รับอาหารพอสมควรแล้วจึงออกไปสู่ที่แห่งหนึ่งเพื่อทำภัตตกิจ อุปติสสปริพาชก จึงได้จัดปูลาดอาสนะ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน และคอยเฝ้าปฏิบัติอยู่ เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว จึงกราบเรียนถามด้วยความเคารพว่า:-
             “ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านก็หมดจดผ่องใส ท่านบวชในสำนักของใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน และท่านชอบใจธรรมของใคร?”
              พระเถระตอบว่า “ปริพาชกผู้มีอายุ เราบวชจำเพาะพระมหาสมณะศากยบุตรผู้เสด็จออกจากศากยสกุล พระองค์เป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของท่าน”
             “พระศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร?"
              พระเถระคิดว่า “ธรรมดาปริพาชกทั้งหลาย ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา ควรที่เราจะแสดงความลึกซึ้งคัมภีร์ภาพแห่งพระธรรม” จึงกล่าวว่า:-
             “ผู้มีอายุ เราเป็นผู้บวชใหม่ มาสู่พระธรรมวินัยนี้ไม่นาน ไม่สามารถจะแสดงธรรมแก่ท่านโดยพิสดารได้ เราจักกล่าวแก่ท่านแต่โดยย่อพอรู้ความ”
             “ท่านสมณะ ท่านจงกล่าวแต่เนื้อความเถิด ข้าพเจ้าต้องการเฉพาะเนื้อความเท่านั้น”
              พระอัสสชิเถระ ได้ฟังคำของอุปติสสปริพาชกแล้ว จึงกล่าวหัวข้อธรรมมีใจความว่า:-
              เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ? ตถาคโต
              เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณฯ
             “ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด (เกิดแต่เหตุ)
              พระตถาคตเจ้า ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะ ตรัสอย่างนี้”

              อุปติสสะ เพียงได้ฟังหัวข้อธรรมนี้จากพระเถระเท่านั้นก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เกิดธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมว่า:-
             “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา” ดังนี้แล้วถามว่า
             “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เวลานี้พระบรมศาสดาของเราประทับอยู่ที่ไหน ขอรับ?"
             “ผู้มีอายุ พระองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร”
             “ถ้าอย่างนั้น นิมนต์พระคุณเจ้าไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะกลับไปหาสหายก่อน และจะพากันไปเฝ้าพระบรมศาสดาต่อภายหลัง”
              อุปติสสะ กราบลาพระเถระแล้ว ทำประทักษิณ ๓ รอบแล้วรีบกลับไปสู่สำนักปริพาชก
              ส่วน โกลิตะ ผู้เป็นสหาย เห็นอุปติสสะเดินมาแต่ไกลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ผิวพรรณมีสง่าราศีกว่าวันอื่น ๆ จึงคิดว่า “วันนี้ สหายของเรา คงได้พบอมตธรรมเป็นแน่” เมื่อสหายเข้ามาถึงจึงรีบสอบถาม ก็ได้ความตามที่คิดนั้น และเมื่ออุปติสสะแสดงหัวข้อธรรมให้ฟัง ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็น พระโสดาบันเช่นเดียวกัน สองสหายตกลงที่จะพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา จึงเข้าไปหาอาจารย์สญชัยปริพาชกชักชวนให้ร่วมเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยกันแต่อาจารสญชัยปริพาชก ผู้มีทิฏฐิแรงกล้าถือตนว่าเป็นเจ้าสำนักใหญ่มีคนเคารพนับถือมากมาย ไม่สามารถที่จะลดตัวลงไปเป็นศิษย์ใครได้จึงไม่ยอมไปด้วย ปล่อยให้สองสหายพาศิษย์ของตนไปเฝ้าพระบรมศาสดาแต่พอเห็นศิษย์ในสำนักออกไปคราวเดียวกันมากขนาดนั้น เห็นสำนักเกือบจะว่างเปล่า เหลือศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คน จึงเกิดความเสียใจอย่างแรง และถึงแก่มรณีกรรมในเวลาต่อมา
               อุปติสสะ และ โกลิตะ พร้อมด้วยบริวารพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทสี่ ได้ทอดพระเนตรเห็นสองสหายพร้อมด้วยบริวาร เดินมาแต่ไกล จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปริพาชกสองสหายที่กำลังเดินมานั้น คือ คู่อัครสาวก ของตถาคต”
               เมื่อปริพาชกทั้งสองพร้อมด้วยบริวารมาถึงที่ประทับ กราบถวายบังคมแล้วนั่งในที่อันสมควร ได้สดับพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว บรรดาบริวารทั้งหมดได้บรรลุพระอรหัตผล เว้นอุปติสสะและโกลิตะ ผู้เป็นหัวหน้า ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทแก่พวกเธอทั้งหมดด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” และทรงบัญญัตินามให้ท่านอุปติสสะว่า “พระสารีบุตร” และให้ท่านโกลิตะว่า “พระโมคคัลลานะ” ตามมงคลนามของมารดา
               พระสารีบุตร หลังจากอุปสมบทแล้วได้ ๑๕ วัน ได้ติดตามพระพุทธองค์ ซึ่งเสด็จไปประทับพักที่ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ วันหนึ่งขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ถ้ำสุกรขาตา ที่ภูเขาคิชกูฏนั้น ปริพาชกผู้หนึ่งนามว่า ทีฆนขะ ซึ่งเป็นอัคคิเวสนโคตร และเป็นหลานชายของพระสารีบุตร เที่ยวติดตามหาลุงจนพบ ได้เข้าเฝ้ากราบทูลถามถึง ทิฏฐิ คือ ความเห็นของตนต่อ พระผู้มีพระภาคเข้าว่า:-
              “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพระองค์ ๆ ไม่ชอบใจหมดทุกสิ่ง”
              “ดูก่อนปริพาชก ถ้าอย่างนั้น ทิฏฐิ คือความเห็นเช่นนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ปริพาชกด้วยและปริพาชก ก็ต้องไม่ชอบ ทิฏฐิ นั้นด้วยเหมือนกัน”
ลำดับต่อจากนั้น พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อวา “เวทนาปริคคหสูตร” ทรงแสดงถึงเวทนาทั้ง ๓ คือ:-
               ในเวลาใด เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนา เวลานั้น ย่อมไม่ได้เสวยทุกขเวทนา หรือ
               อทุกขมสุขเวทนา (อุเบกขาเวทนา)
               ในเวลาใด เมื่อบุคคลเสวยทุกขเวทมนา เวลานั้น ย่อมไม่ได้เสวยสุขเวทนา หรือ
               อทุกขมสุขเวทนา
               ในเวลาใด เมื่อบุคคลเสวยอทุกขมสุขเวทนา เวลานั้น ย่อมไม่ได้เสวยสุขเวทนา หรือ
               ทุกขเวทมนา
               ขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด ทีฆนขะ อยู่นั้น พระสารีบุตร ได้นั่งถวายงานพัดอยู่เบื้องหลังพระศาสดา พัดไปพลาง ฟังไปลาง ส่งจิตพิจารณาไปตามกระแสพระธรรมเทศนานั้น จิตก็หลุดพ้นจากอาสวกิเลส ที่บุคคลจัดให้คนอื่น ส่วน ทีฆนขะ ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แสดงตนเป็นอุบาสก ในพระพุทธศาสนา

•   ได้รับยกย่องในทางผู้มีปัญญา

               เมื่อพระสารีบุตร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถแสดงพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร และอริยสัจ ๔ ได้เหมือนพระพุทธองค์ และเป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดา ในการประกาศเผยแผ่พระศาสนา ดังนั้น ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์นั้น ได้ทรงประกาศยกย่อง พระสารีบุตร ในท่ามกลางสงฆ์ ทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวงเบื้องขวา

               นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังทรงยกย่องพระสารีบุตรเถระ อีกหลายประการกล่าวคือ
               ๑. เป็นผู้มีปัญญาอนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตด้วยกัน เช่น สมัยที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลลาไปปัจฉาภูมิชนบททรงรับสั่งให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน เพื่อท่านจะได้แนะนำสั่งสอน มิให้เกิดความเสียหายในระหว่างการเดินทางและในสถานที่ที่ไปนั้นด้วย
               ๒. ยกย่องท่านเป็น “พระธรรมเสนาบดี” ซึ่งคู่กับ “พระธรรมราชา” คือ พระองค์เอง
               ๓. ยกย่องท่านเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที เป็นเลิศ เช่น ท่านนับถือ พระอัสสชิเป็นอาจารย์ เพราะท่านเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาด้วยการฟังธรรมจากพระอัสสชิ ทุกคืนก่อนที่ท่านจะนอน ท่านได้ทราบข่าวว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศใด ท่านจะนมัสการไปทางทิศนั้น ก่อนแล้วจึง
นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น อีกเรื่องหนึ่ง คือ พราหมณ์ชราชื่อ ราธะ มีศรัทธาจะอุปสมบท แต่ไม่มีภิกษุรูปใดรับเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ พระพุทธองค์ตรัสถามในที่ประชุมสงฆ์ว่า “ผู้ใดระลึกถึงอุปการคุณของพราหมณ์นี้ได้บ้าง” พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า “ระลึกได้ คือ ครั้งหนึ่งราธพราหมณ์ผู้นี้
ได้เคยใส่บาตร ด้วยข้าวสุกแก่ท่านหนึ่งทัพพี” พระพุทธองค์จึงทรงมอบให้ท่านสารีบุตร เป็นพระอุปัชฌาย์อุปสมบทให้แก่ ราธพราหมณ์

•   ถูกภิกษุหนุ่มฟ้อง

               พระเถระนับว่าเป็นผู้มีขันติธรรมความอดทนสูงยิ่ง มีจิตสงบราบเรียบ ไม่หวั่นไหว ด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ดังเรื่องในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต และในธรรมบทว่า:-
               สมัยหนึ่ง พระเถระ เมื่อออกพรรษาแล้วมีความประสงค์จะเที่ยวจาริกไปยังชนบทต่าง ๆ กราบทูลลาพระผู้มีพระภาคแล้ว ออกจากพระเชตวนาราม พร้อมกับภิกษุผู้เป็นบริวารของท่าน ขณะนั้น ก็มีภิกษุอีกจำนวนมากออกมาส่งพระเถระ และพระเถระก็ทักทายปราศรัยกับภิกษุเหล่านั้น ด้วยอัธยาศัยไมตรีก่อให้เกิดความปีติยินดีแก่พวกเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่มีภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระเถระไม่ทันได้สังเกตเห็นจึงมิได้ทักทายด้วย ก็เกิดความน้อยใจและโกรธพระเถระบังเอิญชายฝ้าสังฆาฏิของพระเถระ ไปกระทบภิกษุรูปนั้นเข้า โดยที่พระเถระไม่ทราบ ภิกษุรูปนั้นจึงถือเอาเหตุนี้เข้าไปกราบทูลฟ้องต่อพระบรมศาสดาว่า
              “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสารีบุตรเถระ เดินกระทบข้าพระองค์แล้วไม่กล่าวขอโทษเพราะด้วยสำคัญว่าตนเป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์พระเจ้าข้า”
               พระพุทธองค์ แม้จะทรงทราบเป็นอย่างดี แต่เพื่อให้เรื่องนี้ปรากฏแก่ที่ประชุมสงฆ์ จึงรับสั่งให้พระเถระเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามเรื่องราวโดยตลอด

               เปรียบตนด้วยอุปมา ๙ อย่าง

               พระเถระมิได้กราบทูลปฏิเสธโดยตรงในที่ประชุมสงฆ์นั้น แต่ได้อุปมาเปรียบเทียบตนเองเหมือนสิ่งของ ๙ อย่าง คือ:-
               ๑. เหมือนดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ซึ่งถูกของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างทิ้งใส่ แต่ก็ไม่รังเกียจไม่เบื่อหน่าย ไม่หวั่นไหว
               ๒. เหมือนเด็กจัณฑาล ที่มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่เสมอเวลาเข้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ
               ๓. เหมือนโค ที่ถูกตัดเขา ฝึกหัดมาดีแล้ว ย่อมไม่ทำร้ายใคร ๆ
               ๔. เหมือนผ้าขี้ริ้ว สำหรับเช็ดฝุ่นละอองของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
               ๕. เบื่อหน่ายอึดอัดกายของตน เหมือนซากงู (ลอกคราบ)
               ๖. บริหารกายของตน เหมือนคนแบกหม้อน้ำมันที่รั่วทะลุ จึงมีน้ำมันไหลออกอยู่
               เมื่อพระเถระ กราบทูลอุปมาตนเองเหมือนเด็กจัณฑาล เหมือนผ้าชี้ริ้ว เป็นต้น ภิกษุ ปุถุชนถึงกับตื้นตัน ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาได้ พระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวช ส่วนภิกษุผู้กล่าวฟ้อง ก็เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย หมอบกราบลงแทบพระบาทของพระศาสดา แล้วกล่าวขอขมาโทษต่อพระเถระ

•   พระเถระถูกพราหมณ์ตี

               พระเถระผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติคุณธรรมต่าง ๆ ชื่อเสียงฟุ้งขจรไปทั่วชมพูทวีป หมู่มนุษย์ทั้งหลายพากันยกย่องสรรเสริญในจริยาวัตรของท่าน คุณธรรมอันเป็นเลิศอีกประการหนึ่งของพระเถระก็คือ ความไม่โกรธ ไม่มีใครจะสามารถทำให้ท่านโกรธได้ แม้ท่านจะถูกพวกมิจฉาทิฏฐิตำหนิ ด่าหรือตีท่านก็ไม่เคยโกรธ ได้มีพราหมณ์คนหนึ่งต้องการจะทดลองคุณธรรมของท่านว่าจะสมจริงดังคำร่ำลือหรือไม่ วันหนึ่ง พระเถระ กำลังเดินบิณฑบาตในหมู่บ้าน พราหมณ์นั้นได้โอกาสจึงเดินตามไปข้างหลังแล้วใช้ฝ่ามือตีเต็มแรงที่กลางหลังพระเถระ
               พระเถระ ยังคงเดินไปตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แสดงอาการแม้สักว่าเหลียวกลับมามองดูขณะนั้น ความเร่าร้อนเกิดขึ้นทั่วสรีระของพราหมณ์นั้น เขาตกใจมากรีบหมอบกราบลงแทบเท้าของพระเถระ พร้อมกับกล่าววิงวอนให้พระเถระ ยกโทษให้ พระเถระจึงถามว่า:-
              “ดูก่อนพราหมณ์ นี่อะไรกัน ?"
              “ข้าแต่พระคุณเจ้า กระผมตีท่านที่ข้างหลังเมื่อสักคู่นี้ ขอรับ”
              “ดูก่อนพราหมณ์ เอาล่ะ ช่างเถิด เรายกโทษให้”
              “ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าท่านยกโทษให้กระผมจริง ก็ขอให้ท่านเข้าไปฉันภัตตาหารในบ้านของกระผมด้วยเถิด”
               พระเถระ ส่งบาตรให้พราหมณ์นั้นแล้วเดินตามเข้าไปฉันภัตตาหารในบ้านของพราหมณ์ ตามคำอาราธนา คนทั้งหลายเห็นพราหมณ์ตีพระเถระแล้ว ก็รู้สึกโกรธ จึงพากันมายืนรอโอกาสเพื่อจะทำร้ายพราหมณ์นั้น พระเถระเมื่อเสร็จภัตกิจแล้วส่งบาตรให้พราหมณ์ถือเดินตามออกมา คนทั้งหลายเห็นพราหมณ์นั้นถือบาตรเดินตามพระเถระออกมาก็ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่พากันพูดว่า “พระเถระถูกพราหมณ์ตีแล้วยังเข้าไปฉันภัตตาหารในบ้านของเขาอีก” พระเถระเห็นหมู่คนมีท่อนไม้ในมือยืนรอกันอยู่จึงถามว่า:-
              “ดูก่อนท่านทั้งหลาย นี่เรื่องอะไรกัน ?”
              “ข้าแต่พระคุณเจ้า พราหมณ์ผู้นี้ตีท่าน ดังนั้น พวกเราจะทำร้ายเขาเพื่อเป็นการทำโทษเขา ขอรับ”
              “ก็พราหมณ์ผู้นี้ ตีพวกท่านหรือตีอาตมาเล่า ?”
              “ตีพระคุณเจ้า ขอรับ”
              “เมื่อเขาตีอาตมา และอาตมาก็ยกโทษให้เขาแล้ว ดังนั้น โทษคือความผิดของเขาจึงไม่มี พวกท่านจะทำโทษเขาด้วยเรื่องอะไร ?” พวกคนเหล่านั้น ฟังคำของพระเถระแล้ว ไม่มีคำพูดอะไรที่จะนำมาโต้แย้งได้ จึงพากันหลีกไป

•   พระเถระถูกนันทกยักษ์ทุบ
              สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ส่วนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานเถระ อัครสาวกทั้งสองได้ปลีกตัวจาริกไปอยู่ ณ กโปตกันทราวิหาร (วิหารที่สร้างใกล้ซอกเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของนกพิราบ)
              ในดิถีคืนเดือนเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระสารีบุตรเถระซึ่งปลงผมใหม่ ๆ นั่งเข้าสมาธิอยู่ในที่กลางแจ้ง ขณะนั้นมียักษ์ ๒ ตน ผ่านมาทางนั้น ยักษ์อีกตนหนึ่ง เป็นสัมมาทิฏฐิ เคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ยักษ์นันกะ เห็นพระเถระแล้วนึกอยากจะตีที่ศีรษะของท่านจึงบอกความประสงค์ของตนกับสหาย แม้ยักษ์ผู้เป็นสหายจะกล่าวห้ามปรามถึง ๓ ครั้งว่า:-
              “อย่าเลยสหาย อย่าทำร้ายสมณศากยบุตรพุทธสาวกเลย สมณะรูปนี้มีคุณธรรมสูงยิ่งนักมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก” ยักษ์นันทกะ ไม่เชื่อคำห้ามปรามของสหาย ใช้ไม้กระบองตีพระเถระ ศีรษะอย่างเต็มแรง ซึ่งความแรงนั้นสามารถทำให้ช้างสูง ๘ ศอก จมดินได้ หรือสามารถทำลายยอดภูเขาขนาดใหญ่ให้ทลายลงได้ และในทันใดนั้นเอง เจ้ายักษ์มิจฉาทิฏฐิ ตนนั้นก็ร้องลั่นว่า “โอ๊ย ! ร้อนเหลือเกิน” พอสิ้นเสียงร่างของมันก็จมลงในแผ่นดิน เข้าไปสู่ประตูมหานรกอเวจี ณ ที่นั้นเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้เห็นโดยตลอด ด้วยทิพยจักษุ รุ่งเช้าจึงเข้าไปหาพระสารีบุตรแล้วถามว่า:-
              “ท่านสารีบุตร ยังสบายดีอยู่หรือ ที่ยักษ์ตีท่านนั้น อาการเป็นอย่างไรบ้าง ?”
              “ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี แต่รู้สึกเจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย”
               พระมหาโมคคัลลานะ ได้ฟังแล้วก็กล่าวว่า “น่าอัศจรรย์จริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ท่านสารีบุตรนี่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากจริง ๆ ถูกยักษ์ตีรุนแรงขนาดนี้ ยังบอกว่าเพียงแต่เจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย”
               ส่วนพระสารีบุตร ก็กล่าวชมพระมหาโมคคัลลานะว่า “ช่างน่าอัศจรรย์ เช่นกัน ท่านโมคคัลลานะ ท่านก็มีฤทธานุภาพมากหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ท่านเห็นแม้กระทั่งยักษ์ ส่วนผมเองแม้แต่ปีศาจคลุกฝุ่นสักตน ก็ยังไม่เคยเห็นเลย”
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงสดับเสียงการสนทนาของพระเถระทั้งสอง ด้วยพระโสตทิพย์ จึงทรงเปล่งพุทธอุทานนี้ว่า:-
              “ผู้ใดมีจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ไม่กำหนัดในอารมณ์อันชวนให้กำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันชวนให้ขัดเคือง ผู้อบรมจิตได้อย่างนี้ ความทุกข์จะมีได้อย่างไร”

•   เป็นต้นแบบการทำสังคายนา

               สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองปาวา ของเจ้ามัลละทั้งหลาย พระพุทธองค์รับสั่งให้พระสารีบุตรแสดงธรรมแก่หมู่ภิกษุสงฆ์ที่มากระชุมกัน พระเถระเห็นเป็นโอกาสอันเหมาะสม จึงยกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแก่พวกนิครนถ์ ซึ่งทะเลอะวิวาทกันด้วยเรื่องความเห็นไม่ ลงรอยกันเกี่ยวกับคำสอนของอาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ขึ้นมาเป็นมูลเหตุ แล้วกล่าวแก่พระสงฆ์ในสมาคมนั้นว่า
              “ดูก่อนท่านทั้งหลาย บรรดาธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ท่านทั้งหลายถึงร้อยกรองให้เป็นหมวดหมู่ ไม่ควรทะเลอะวิวาทกันด้วยธรรมนั้น เพื่อให้พรหมจรรย์อยู่ยั่งยืนตลอดกาลนาน อันจะนำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มาก เป็นการอนุเคราะห์แก่สัตว์โลก” แล้วพระเถระ ก็จำแนกหัวข้อธรรมออกเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้ ๑๐ หมวด สะดวกแก่การจดจำและสาธยาย และจัดเป็นหมวดย่อย ๆ อีกเพื่อมิให้สับสนแก่พุทธบริษัทในการที่จะนำไปปฏิบัติ นับว่าพระเถระ เป็นผู้มองการณ์ไกล ป้องกันความสับสนแตกแยกของพุทธบริษัทในภายหลัง และการกระทำของพระเถระ ในครั้งนี้ ได้เป็นแบบอย่างของการทำสังคายนาหลังพุทธปรินิพพานสืบต่อมา

•   พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรนิพพาน

               ในปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่พระบรมศาสดาประทับ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี พระสารีบุตรถวายวัตปฏิบัติแด่พระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลลาไปสู่ที่พักของตนนั่งสมาธิเข้าสมาบัติ เมื่อออกจากสมาบัติแล้วพิจารณาตรึกตรองว่า “ธรรมดาประเพณีแต่โบราณมา พระบรมศาสดาทรงนิพพานก่อน หรือพระอัครสาวกนิพพานก่อน” ก็ทราบแน่ชัดในใจว่า “พระอัครวาวกนิพพานก่อน”
                จากนั้นได้พิจารณาอายุสังขารของตนเองก็ทราบว่า “จะมีอายุดำรงอยู่ได้ อีก ๗ วัน เท่านั้น” จึงพิจารณาต่อไปว่า “เราควรจะไปนิพพานที่ไหนดีหนอ และพระเถระ ก็นึกถึงพระราหุลว่า พระราหุล ไปนิพพานที่ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่ดาวดึงส์เทวโลก พระอัญญาโกณฑัญญะ ไปนิพพานที่สระฉัททันต์ ป่าหิมพานต์”
                ลำดับนั้น พระเถระได้ปรารภถึงมาดาของตนว่า:-
               “มารดาของเรานี้ ได้เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์ ถึงกระนั้นก็ยังไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วอุปนิสัยมรรคผลจะพึงมีแก่มารดาของเราบ้างหรือไม่หนอ”
                ครั้นพระเถระพิจารณาไปก็ได้ทราบว่า “มารดานั้นมีอุปนิสัยแห่งพระโสดาบัน” จึงตกลงใจที่จะไปนิพพานที่บ้านของตน เพื่อโปรดมารดาเป็นวาระสุดท้าย
                เมื่อคิดดังนี้แล้ว พระเถระได้สั่งให้พระจุนทะ ผู้เป็นน้องชาย ให้ไปแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ว่า “จะไปเยี่ยมมารดาที่นาลันทา ขอให้ภิกษุทั้งหลายเตรียมบริขารให้พร้อม เพื่อเดินทางไปด้วยกัน” จากนั้นพระเถระ ก็ทำความสะอาดปัดกวาดกุฏิที่พักอาศัยของตน แล้วออกมายืนดูข้างนอก พลางกล่าวว่า “การได้เห็นที่พักอาศัยครั้งนี้เป็นปัจฉิมทัศนา โอกาสที่จะได้กลับมาเห็นอีกนั้นไม่มีอีกแล้ว” เมื่อพระสงฆ์มาพร้อมกันแล้ว พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ก็พาพระสงฆ์เหล่านั้นไปเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลลาว่า:-
                “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้ ชีวิตของข้าพระองค์เหลืออีก ๗ วัน เท่านั้น ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพาน ขอพระองค์ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์สละอายุสังขารในครั้งนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
                “สารีบุตร เธอจะไปนิพพานที่ไหน ?”
                “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จะไปนิพพาน ณ ห้องที่ข้าพระองค์เกิดในเมืองของมารดา พระเจ้าข้า”
                “สารีบุตร เธอจงกำหนดการนั้นโดยควรเถิด สารีบุตร บรรดาภิกษุน้อย ๆ ของเธอ จะได้เห็นพี่ชายดุจเธอนั้นได้ยากยิ่ง เธอจงแสดงธรรมอันเป็นที่ต้องแห่งความระลึกแก่ภิกษุน้อง ๆ ของเธอเหล่านั้นเถิด”
                 พระเถระเมื่อได้รับพุทธประทานโอกาสเช่นนั้น จึงแสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปบนอากาศสูง ๑ ชั่วลำตาล จนถึง ๗ ชั่วลำตาลโดยลำดับ แล้วกลับลงมาถวายบังคมพระบรมศาสดา ในแต่ละครั้ง จากนั้นจึงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ ท่ามกลางอากาศแล้วลงมาถวายบังคมลา พระผู้มีพระภาค คลานถอยออกจากพระคันธกุฎี
                 ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จลุกออกมาส่งพระเถระ ถึงหน้าพระคันธกุฎี พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร กระทำประทักษิณเวียน ๓ รอบ ประคองอัญชลี นมัสการทั้ง ๔ ทิศ พลางกราบทูลลาว่า:-
                “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในที่สุดอสงไขยแสนกัปล่วงมาแล้ว ข้าพระองค์ได้หมอบลงแทบพระบาทแห่งอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตั้งปณิธานปรารถนาพบพระองค์ และแล้ว มโนรถของข้าพระพุทธเจ้า ก็สำเร็จสมประสงค์ ตั้งแต่ได้เห็นพระองค์เป็นปฐมทัศนา บัดนี้ การได้เห็นพระองค์ ผู้เป็นนาถะของข้าพระพุทธเจ้าเป็นปัจฉิมทัศนา โอกาสที่จะได้เห็นพระองค์ ไม่มีอีกแล้ว”
                 พระเถระ กราบทูลเพียงเท่านี้แล้ว ถวายบังคมออกไปได้ระยะพอสมควรก้มกราบนมัสการลงที่พื้นพสุธา บ่ายหน้าออกจากพระเชตะวันมหาวิหารพร้อมด้วยภิกษุผู้เป็นบริวาร ๕๐๐ องค์ ท่านพระเถระเดินทาง ๗ วัน ก็ถึงบ้านนาลันทา หยุดพักภายใต้ร่มไม้ใกล้หมู่บ้านนั้นและในเย็นวันนั้น อุปเรวัตตกุมาร ผู้เป็นหลานชายของท่าน ออกมานอกบ้านพบท่านแล้วจึงเข้าไปนมัสการ พระเถระสั่งหลานชายให้ไปแจ้งแก่โยมมารดาให้ทราบว่า “ขณะนี้ท่านมาพักอยู่นอกบ้าน ให้จัดห้องที่ท่านเกิดไว้ให้ท่านด้วย”
                 ฝ่ายนางพราหมณี มารดาของพระเถระได้ทราบข่าวก็ดีใจคิดว่า “ลูกชายบวชตั้งแต่หนุ่มคงจะเบื่อหน่ายแล้วมาสึกเอาตอนแก่” จึงสั่งให้คนรีบจัดห้องให้พระลูกชายพัก และสถานที่สำหรับพระสงฆ์ที่ติดตามมาด้วยเหล่านั้น เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้อุปเรวัตตกุมารไปนิมนต์พระเถระพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เข้ามาในบ้าน

•   เทศน์โปรดโยมแม่แล้วนิพพาน

              ในราตรีนั้น พระเถระเกิดอาพาธอย่างแรงกล้า ถึงกับอาเจียนและถ่ายออกมาเป็นโลหิต แต่ก็อดกลั้นด้วยขันติธรรม ได้แสดงธรรมโปรดมารดาพรรณา พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ยังมารดาให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ได้ชื่อว่ากระทำปฏิการะสนองคุณมารดาดังที่ตั้งใจมา ปิดประตูนรก เปิดประตูสวรรค์ ให้แก่มารดาได้สำเร็จ
               ลำดับนั้น พระเถระบอกให้โยมมารดาออกไปข้านอกแล้วถามพระจุนทะน้องชายว่า
               “ขณะนี้เวลาล่วงราตรีสู่ยามที่เท่าไร ?” พระจุนทะน้องชายตอบว่า
               “ใกล้รุ่งสว่างแล้ว” จึงสั่งให้ไปบอกแก่ภิกษุทั้งหลายให้มาประชุมพร้อมกัน
               เมื่อทุกท่านมาพร้อมแล้ว ขอให้พระจุนทะช่วยพยุงกายลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวว่า:-
              “ดูก่อนอาวุโส ท่านทั้งหลายติดตามข้าพเจ้ามาเป็นเวลา ๔๔ พรรษา แล้ว กายกรรม และวจีกรรมอันใดของเรา ที่ท่านทั้งหลายมิชอบใจหากจะพึงมีขอท่านทั้งหลาย จงงดอดโทษกรรมอันนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
               ภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นศิษย์ ตอบพระเถระว่า:-
              “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ติดตามท่านดุจเงาตามตัว มาตลอดกาลประมาณเท่านี้ กรรมอันใดของท่านที่มิชอบใจแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายนั้นไม่มีเลย แต่หากว่าข้าพเจ้าทั้งหลายมีความประมาทพลาดพลั้ง ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอท่านจงงดอดโทษานุโทษนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด”
               เมื่อแสงเงินแสงทอง อันเป็นสัญญาณแห่งรุ่งอรุณปรากฏขึ้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ก็ดับขันธปรินิพพาน ในวันปุรณมีขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๑๒
               ครั้นเมื่อสว่างดีแล้ว พระจุนทะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์และหมู่ญาติ ประกอบพิธีคารวะศพพระเถระแล้วนำไปสู่เชิงตะกอนทำพิธีฌาปนกิจ เมื่อเพลิงดับแล้วพระจุนทะได้นำอัฐิธาตุ และบริขารคือบาตรและจีวรของพระสารีบุตร ไปถวายแด่พระพุทธองค์ ซึ่งก็รับสั่งให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิพระเถระที่ซุ้มประตู แห่งพระเชตะวันมหาวิหารนั้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2718 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 08:30:12 »

                       สำหรับเรื่องไปทัวร์เมืองจีน จิวไจ่โกว นั้น เนื่องจากแม่ผมอยู่ในสภาพฟองสบู่เป็นอย่างมาก เมื่อถึงวาระสุดท้ายที่ไม่ไหวจริงๆ อยากพาแม่กลับไปบ้านที่วัดพระนอน ตามที่ท่านปราถนาอยากกลับบ้าน เมื่อเจอหน้าผมทุกครั้งแม่ก็จะให้พากลับบ้านครับ จึงไม่ขอเดินทางไกลไปไหนทั้งสิ้น และผมเองก็ไม่มีความอยากที่จะไป เพราะเที่ยวมามากเพียงพอแล้วในชีวิตที่ผ่านมา  ได้เห็นอะไรมาพอสมควรแก่อัตภาพมากแล้ว ขอเลือกทางอื่นที่สงบดีกว่าการไปคลายทุกข์ด้วยการท่องเที่ยว เพราะมันเป็นความสุขชั่วคราวเท่านั้นเที่ยวเสร็จกลับมาก็กลับมาทุกข์อีก
                       ขอเลือกทางสายเอก คือ การเจริญสติ ดีกว่าครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2719 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 08:41:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 02 สิงหาคม 2554, 21:37:33
สวัสดีค่ะพี่สิงห์
 ดีใจที่พี่สิงห์กลับมาเขียนอะไรให้อ่านอีก
 เช่นเดียวกับรุ่งศักดิ์ ที่เปิดห้องนี้ทุกครั้ง เพียงแต่ไม่ค่อยได้postมากนัก
 จริงค่ะ การมีห้อง ต้องมีภาระในการเขียน และหาเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าตลอด
ซึ่งต้องใช้เวลามาก การไม่ตอบทุกคนที่เข้ามาทักอาจจะลดเวลาไปได้บ้างคะ
บางครั้งคนที่ทักก็ต้องการเพียงการทักทายพี่สิงห์เท่านั้น
ไม่รบกวนเวลาพี่สิงห์ต้องทักตอบค่ะ
ให่กำลังใจพี่สิงห์นะคะ ให้สงบและใช้เวลากับธรรมตามที่ต้องการ
เพียงแต่หากวันใดมีประสบการณ์หรือมีเรื่องที่น่าสนใจ
คิดว่าควรมาเผยแพร่บ้างก็เข้ามาเขียนนะคะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            ประสพการณ์นั้น มันมีทุกวันแหละ เพราะเวลาเราดูจิตใจเรานั้น มันจะเห็นความคิด จะเห็นใจเราคิด บางครั้งวิ่งพร่าน อยู่ไม่สุขแบบลิง  บางครั้งสงบ  บางครั้งสุข  บางครั้งวิตก ต่างๆ นาๆ มันขึ้นอยู่กัยจิตเราว่า ความคิดเหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับเรา มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่พึงมีต่อมนุษย์ มันอยู่ที่เราต้องมีสติ เมื่อมีสติแล้วประสพกับความคิดเหล่านั้น เราสามารถจะใข้สติ พิจารณาด้วยปัญญาของเรา ตริตรองดูด้วยเหตุ-ผล ว่าควร ไม่ควร ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี ก็ตัดทิ้งอย่าไปคิดปรุงแต่งต่อ ด้วยการวางเฉย(อุเบกขา) ไม่ยินดี ยินร้ายในอารมณ์ที่จิตมันคิดแวบขึ้นมา ความคิดนั้นมันก็จะต้องดับของมันไปเองอยู่แล้วตามธรรมชาติของจิต เราคอยระวังอย่างเดียว อย่าไปเผลอ หรือเกิดคิดไปกับมัน เพราะจะกลายเป็นความหลงทันที คิดเข้าข้างตนเองทันที ขาดสติไปชั่วครู่  ต้องนำสติกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าฝึกบ่อยๆ มันจะกลับมาเร็ว ครับ

               ถ้าจะจดบันทึกตามที่คุณรุ่งศักดิ์แนะนำ ป่านี้คงได้หลายสิบหน้าแล้วครับ

               สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2720 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 08:48:28 »

                       ดร.สุริยา

                       เมื่อวานนี้ผมไปจัดการเรื่องประกันชีวิตที่ครบอายุ หกสิบปีแล้วหนึ่งฉบับ (ยังเหลืออีกสองฉบับที่จะครบอายุตามกรมธรรค์ ที่อายุ ๖๕ ปี) ไม่ต้องจ่ายอีกแล้ว ผมจะทิ้งไว้เป็นค่าเผาศพผม จำนวนสามแสนบาท แต่ถ้าตายโดยอุบัติเหตุหรือจลาจลจะได้เพิ่มอีกสามแสนบาท ที่ไทยประกันชีวิต  ถ้าผมมีเหตุต้องตายไปก่อน โปรดดำเนินการให้ด้วยคือเผา ไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก เก็บไว้นานไม่ดี เป็นการสร้างทุกข์ให้ผู้อื่น

                       หรือจะทำอย่างดนุ มอบร่างให้โรงพยาบาลศิริราช พร้อมบริจาคเงินค่าประกันชีวิตให้โรงพยาบาล จักขอบคุณมาก

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #2721 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 09:19:38 »

สิงห์ เธจะตายไปทำไม  ตายเเล้วไม่ได้เกิด นะ มันดับไปเลย

อย่าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง เธอจะได้เกิดมาเป็นตัวหนูเล็กๆเเล้วเอ็นเข้าจุฬาอีกนะ

 เด่วนี้เขาสอบตรงกันเเล้วอาจจะใช้เส้นกัน

มาก หากเธอไปเกิดบ้านนอก เธออาจจะเรียนไม่ทันเด็กกรุงเทพแล้วสอบเข้าจุฬาไม่ได้เธอก็ไม่ได้อยู่หอละทีนี้

สอบ เเกท เเพท ก็ยากนะ

อย่ารีบตาย อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อน ฉํนจะมีอายุถึง100-120 ปีเเบบเเข็งเเรงนะ

เวลานอนฉันใส่ถุงเท้านอนมานานเเล้ว

เเต่ตื่นขึ้นมารีบถอดนะ เพราะหากใส่ถุงเท้าเดินลงบันได้อาจลื่นตกบันไดได้ ฉันเป็นมาเเล้วเเต่ไม่ตาย

เธอลื่นอาจจะตายก็ได้เพราะเธออยากตาย

ฉันไม่อยากตายเลย รีบมีสติไม่ให้หัวฟาด และรีบลุกขึ้นมาโดยเร็ว เลยไม่ตาย

อย่าตายเลย สิงห์เอ่ย เพราะหากเธอตาย จะมีคนตายอีกหลายคน เวบคงเหงาเเย่

ป๋อง...จะอยู่ยังไง ป๋องต้อง ตามไปตายไปอีกคน พวกเราคงเหงาเเย่

ตอนนี้ป๋องอายุมากแล้ว ข่าวว่าเป็นเมโนพอสซะด้วย......

เจ้าพระคุณอย่าให้ป๋องตายไปตามเธอนะ ฉัน กลัวผีเธอสองคนจะมาหลอก
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2722 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 09:44:47 »

พี่แอ๊ะ พี่สิงห์ พี่ป๋อง พี่ตู่ พี่'อร พี่รุ่ง สมชาย น้ำอ้อย NN และทุกๆคน

ขออยู่ฉลองจุฬาฯ ครบ 100 ปี 2559 นี่เองครับ ไม่นานเกินรอ อย่างอื่นเอาไว้ก่อน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2723 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 09:53:27 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                      ท่านอาจารย์สุพพัดดา แจ้งให้ทราบทั่วกันว่า

                     "ท่านอาจารย์แม่บ้านหอหญิง อาจารย์อำไพ ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อคืนนี้ ศพอยู่วัดชลประทาน ปากเกล้ด มีความคืบหน้าเรื่องพิธีอาบน้ำศพ หรือสวดศพ จะแจ้งให้ทราบภายหลังครับ"

                     พี่สิงห์คงต้องไปวันนี้ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปนครศรีธรรมราช กลับวันเสาร์ เย็นครับ

                     แจ้งให้ทราบทั่วกันครับ

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #2724 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 10:06:08 »

ทราบข่าวด้วยความอาลัยยิ่งค่ะ
สวดฯที่ ศาลาจารุมิลินท  เริ่มเวลา 19.00น.
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 107 108 [109] 110 111 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><