30 เมษายน 2567, 19:35:07
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดี--มาแบ่งปัน  (อ่าน 575823 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #275 เมื่อ: 18 เมษายน 2551, 16:18:57 »

เรื่องของคิม ฟุค
คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้น
ซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้
ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย
แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ
แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง 65 เปอร์เซ็นต์
เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 14 เดือน
และผ่านการผ่าตัดถึง 17 ครั้งกว่าจะหายเป็นปรกติ
เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน
ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2515
เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์
3 ปี ต่อมาก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย

แต่แล้ววันหนึ่งในปี 2539 คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน
ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม
เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่ง เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ
ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า
สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง
หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว
เธอก็ได้เผยความในใจว่า มีเรื่องหนึ่ง
ที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ
พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า
คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้
เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า
“ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้
แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ
เพื่อ ส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบัน และอนาคต”
เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที
อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ
เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง
เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ”
คิมเข้าไปโอบกอดเขาแล้วตอบว่า
“ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย
คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ
จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน
หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง
“ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้”
เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู
และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า
“หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้น เรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด”

เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้
แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้
เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเรา
ต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน
แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไร
เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา
คิม ฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า
”ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น”
บทเรียนของ คิม ฟุค คือ
ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้
เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต
แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบัน และอนาคตให้ดีขึ้น
“การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย"
[/quote]
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #276 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2551, 01:12:11 »

 
อ้างถึง   

หวัดดีครับพี่พอดีที่บ.ผมรับ จัดซื้อ (Senior)
Good Salary 5x,xxx ,Urgent ,If you interest let's try.

http://www.jobtopgun.com/jobpost/jobpost?id_emp=4484&id_p=36

http://www.jobtopgun.com/jobpost/jobpost?id_emp=4484&id_p=43


เอ้า ... มีน้องชมรม (ไอ้ซานน่ะ)  เขาบอกว่าที่บริษัทต้องการคน น่ะ ... ตำแหน่งดีด้วยนะ
เผื่อมีคนสนใจครับ

.... Shocked ...
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #277 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2551, 18:55:21 »

มันก็มองกันได้หลายๆมุม..จากของน้องออดิท..

สำหรับผม..ผมมองที่ connection มากกว่าเงินน่ะ..เพราะรู้สึกว่า..ยังไงก็ไม่อดตาย มันจะมีโน่นมีนี่ให้เสมอเลย..โดยที่ไม่ต้องเครียดมาก มันจะมีรายได้จากหลายๆแหล่งมาเสมอๆเลยล่ะ..
บันทึกการเข้า
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281

เว็บไซต์
« ตอบ #278 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2551, 11:44:35 »

ความสุข ๒ ชั้น ( ธรรมะเดลิเวอรี่)
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย

เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน

ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่าง ไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือ นกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ
อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า “ ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ ” ( แล้วไป)
อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)
ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า

ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ

เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น
อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า
งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง
หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย
เจริญพร...
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #279 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2551, 16:11:10 »

บทความจาก นสพ. กรุงเทพธุรกิจ
เขียน โดย คุณ บุญเกียรติ โชควัฒนา

-------------------------------------------------------------------

จากการสังเกตผมมีความรู้สึกว่าคนส่วนมากไม่ค่อยได้ใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรอง
ในสิ่งต่างๆที่ตนทำอยู่หรือเป็นอยู่ และคนเป็นจำนวนมากอยู่เหมือนกันที่ไม่รู้ว่าตนเอง
เป็นคนที่ไม่ค่อยใช้ความคิด แต่คนที่มีคนมาบอกว่าตนไม่ค่อยใช้ความคิดก็มักจะเถียงว่า
ตนเองที่จริงแล้วเป็นคนที่คิดอยู่เหมือนกัน หรือบางคนก็ชอบพูดว่าจะคิดไปทำไมเปล่าประโยชน์
หรือคิดไปก็กลุ้มใจ คิดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้  คิดไปก็เสียเวลา  คิดแล้วเศร้า เป็นต้น
การที่คนเราไม่ค่อยคิดหรือที่เรียกกันว่า ใช้ความคิด  เกิดจากสาเหตุหลายๆ ประการ ซึ่งผมพอจะสรุปหัวข้อหลักๆ ได้ดังนี้

1) ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในปัจจุบันมีมากมาย ทำให้คนเราไม่ต้องใช้ความคิดในการที่จะทำอะไร
เวลาต้องการอะไรสักอย่างก็ไปเอาหนังสือมาอ่าน  หรือเข้าไป search ใน Internet
หรือถามเอาจากคนที่รู้เพราะเราอยู่ในยุคของข้อมูลข่าวสาร

2) พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ไม่ค่อยสอนให้ลูกๆ คิด ถ้าจะคิดเป็นหรือไม่เป็นมักขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
เพราะตัวพ่อแม่เองก็ไม่ค่อยได้ใช้ความคิดเหมือนกัน พ่อแม่สมัยนี้เน้นไปทางแนะนำ ชี้แนะ
ชี้นำ หรือสั่ง และสนใจที่จะให้ลูกได้ความรู้จากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ค่อยได้เน้น
เรื่องความคิด หรือวิธีการคิดมากสักเท่าไรเลย

3) เนื่องจากพ่อแม่จำนวนมากก็เป็นคนที่ไม่ใช้ความคิดอยู่แล้ว ก็ไม่เข้าใจหรือไม่สนับสนุน
การที่ลูกจะเป็นคนช่างคิดด้วยคำพูดที่ว่า
 3.1) อย่าเอาแต่คิด ทำซะบ้าง
 3.2) คิดแล้วต้องทำด้วยนะ
 3.3) อย่าคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้
 3.4) อย่าคิด (ฝัน) อะไรลมๆ แล้งๆ
 3.5) อย่าเสียเวลาคิดเลย  ไม่มีประโยชน์   ฯลฯ
ความคิดหรือคำพูดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นยิ่งเป็นการบั่นทอนความสามารถในการคิดของลูก

4) การศึกษาในปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้เน้นการใช้ความคิด เพราะไปเน้นเรื่องการให้ความรู้
ข้อมูล ข่าวสารมากกว่าเพราะความรู้และข้อมูลในสมัยนี้มีมากเหลือล้น การฝึกสอนให้นักเรียน
นักศึกษาใช้ความคิดมีแต่จะน้อยลงๆ ไป

5) สิ่งแวดล้อม  สังคม  และความเป็นอยู่ก็ไม่เอื้ออำนวยให้คนเราใช้ความคิด เช่น
การดูโทรทัศน์  การเล่นเกมคอมพิวเตอร์  การดูหนังดูละคร  ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรที่สนับสนุน
ให้คนใช้ความคิด  เป็นแค่ความบันเทิง และเมื่อคนติดกับการดูโทรทัศน์  การเล่นเกม
เวลาที่จะใช้ในการคิดก็ลดลงจนใกล้สูญ รวมทั้งอาชีพของคนสมัยนี้ที่ต้องมีความเร่งรัด
มากขึ้นด้วยแค่ทำให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมายก็ดีแล้ว

ที่กล่าวมานี้ก็คือข้อสรุปว่าทำไมคนถึงคิดน้อย  แต่ถ้าสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าคนที่ประสบ
ความสำเร็จในชีวิตการทำงานและมีฐานะดี  เกือบทั้งหมดเป็นคนช่างคิดทั้งสิ้น  และกลุ่ม
ที่สำเร็จมากๆ มักจะเป็นกลุ่มที่คิดบวกกับตัวเอง กับผู้อื่น และกับสถานการณ์ที่ตนประสบ
 
คนที่คิดลบถึงแม้ว่าจะเป็นคนชอบคิด  ก็มักจะกลายเป็นคนคิดมาก คิดในเรื่องที่บั่นทอน
ศักยภาพของตนเอง แต่คนที่คิดบวกก็จะคิดว่าตนเองจะทำอย่างไรให้ตนเองประสบความ
สำเร็จ ค้นคิดหรือเสาะหาความคิดใหม่ๆ  หรือหลักคิดดีๆ ที่ทำให้ตนเองมีศักยภาพใน
การดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น

ผมเป็นคนที่มีความโชคดี เพราะคุณพ่อผมเป็นคนที่คิดบวก และได้แนะนำผมตั้งแต่เล็กเลยว่า
ให้เป็นคนที่หมั่นทบทวนตนเอง และคุณพ่อบอกว่าคุณพ่อจะทบทวนตนเองก่อนนอนเสมอว่า
วันนี้ทำอะไรถูกทำอะไรผิด  ทำอะไรดีทำอะไรไม่ดี  และตอบตนเองว่าพรุ่งนี้จะทำให้ดี
ขึ้นได้อย่างไร

และยังเป็นคนที่คิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คิดแต่เรื่องที่สร้างความบันเทิงให้แก่ตนเอง แต่
เป็นการคิดอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้ตนเองทำอะไรสำเร็จ หรือทำให้องค์กรที่ตนเองรับผิดชอบ
ประสบความสำเร็จ

ผมเลยเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกตตามคุณพ่อ  แต่ช่วงเด็กๆ โทรทัศน์ก็เป็นสิ่งที่เบี่ยงเบน
ความสนใจในเรื่องของความคิดไปมาก บวกกับเรื่องการคบเพื่อนที่อาจจะไม่ใช่คนช่างคิด
หรือช่างคิดแต่ค่อนไปทางคิดลบ แต่หลังจากที่มีความเข้าใจเรื่องการคิดบวกแล้ว
ทำให้การใช้ความคิดนั้นมีมากขึ้นเป็นอย่างมาก

กอปรกับการที่จะต้องแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา สอนนักศึกษาและเขียนหนังสือก็ยิ่งทำให้
ความคิดนั้นแตกฉาน  แตกแขนงไปมากขึ้น

การที่จะฝึกใช้ความคิดต้องเริ่มจากการที่มีความตั้งใจว่าจะเริ่มฝึกคิด และเชื่อว่าการคิดนั้น
จะมีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อสังคม และต้องเชื่ออีกว่าเราเป็นคนที่คิดได้คิดเป็น
(บางคนชอบพูดกับตนเองหรือกับผู้อื่นอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นคนที่คิดไม่เป็นและพูดอย่างนี้บ่อยๆ
แล้วเมื่อไรจะคิดเป็น) และต้องให้เวลาในแต่ละวันกับการคิด  เช่น มีเวลาเงียบของตนเอง
สักครึ่งชั่วโมง หรือบางคนก็อาจจะใช้วิธีคิดทุกเวลาที่มีโอกาส  เช่น ขับรถ เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ
ฯลฯ แล้วต้องตั้งโจทย์ขึ้นมาไว้อยู่หลายๆ โจทย์ว่าเราต้องการคิดต้องการทำอะไรเพื่อ
ให้ประสบผลสำเร็จกับตัวเอง กับการงานหรือกับองค์กร  และถ้าตั้งไว้อย่างมั่นใจมั่นคงแล้ว
เวลาคิดคำตอบก็อาจจะผุดขึ้นมาได้

วิธีหนึ่งที่ผมใช้ก็คือ โจทย์ข้อไหนที่คิดไม่ออกให้นำมาคิดก่อนเข้านอน คิดจนหลับไปเลย
แล้วอาจจะตื่นขึ้นมาด้วยคำตอบ นี่เป็นเทคนิควิธีทำให้จิตใต้สำนึกซึ่งไม่เคยหลับของเราช่วยคิดให้

การศึกษาในปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับการฝึกคิดของนักเรียนน้อยลง เช่น ไม่มีสอนให้คิดเลข
ในใจในบางสถาบัน เป็นต้น  จะสอนให้รู้ สอนให้จำและท่องมากกว่า แม้แต่ในมหาวิทยาลัย
การสอนให้ทำความเข้าใจก็คือ การสอนให้คิดเพราะต้องคิดก่อนถึงเข้าใจ

ครูผู้สอนมักอธิบายวิธีทำวิธีคิดให้เลย โดยไม่ให้โอกาสนักเรียนนักศึกษาได้มีโอกาสฝึกคิดก่อน
และถ้าข้อสอบที่ออกมาก็ออกมาตามที่สอนเอาไว้ นักเรียนก็ได้แต่จำวิธีที่ครูแนะนำมาตอบ
ข้อสอบเท่านั้นเอง และยิ่งเป็นข้อสอบปรนัยด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความสามารถในการเดาเข้าไปอีก

แม้แต่เกมโชว์ที่มีในโทรทัศน์ในปัจจุบันก็มักไม่ค่อยมีการตอบคำถามที่ต้องใช้ความคิด
มีแต่คำถามที่ต้องใช้ความรู้  ความจำ  หรือ การเดา เพราะถ้าเป็นเกม ที่ใช้ความคิดก็อาจจ
ะไม่ได้รับความนิยม

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เขียนเพื่อที่จะจุดประกายให้คนเราช่วยทบทวนตนเองว่า
เราเป็นคนที่ใช้ความคิดของเราเองมากน้อยแค่ไหน และประโยชน์ของการคิดมีอย่างไรบ้าง!

-----------------------------------------

ตาแคม  :wink:
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #280 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2551, 14:34:42 »

...

 
อ้างถึง   

"แปลกแต่จริง ผู้หญิงมักหลงรัก "ผู้ชายเลวๆ""
By somsakul

 เวลาดูละครเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมผู้หญิงดีๆ ถึงต้องไปหลงรักผู้ชายห่วยๆ ด้วย

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "สงครามนางฟ้า" ที่รินหัวปักหัวปำกับเจ้าหนิง หรือผู้ชายอย่างคาวีในละครเรื่อง "สวรรค์เบี่ยง" และยังมีหฤษฎ์ จำเลยรัก นายเทอดจากมนต์รักอสูรอีก ผู้ชายเถื่อนๆ ทั้งน้านนนนน

 

 ไม่แต่หนังไทย หนังเทศก็มี อย่างเรื่องพยัคฆ์ร้าย 007 ตอนล่าสุด คาสิโน รอยัล ที่สาวสวยหน้าตาซึ้งอย่าง อีวา กรีน ตกหลุมรักผู้ร้ายในเรื่อง

 

 ชีวิตจริงก็ไม่ต่างไปจากนั้นหรอกครับ

 

 ไปอ่านเจองานวิจัยเชิงพฤติกรรมเชิงต่อต้านสังคมอยู่เรื่องหนึ่งพูดถึงบุคคลิก ที่เรียกว่า "สามเลว"  ขอนำมาขยายความ

 

 งานวิจัยบอกว่า ผู้ชายที่มีบุคลิกสามเลว ต้องครบองค์ประกอบแห่งความเลวสามประการ

 

 ประการแรกคือ หลงตัวเองจัด หรือเรียกว่าพวกนาซิสซัส

 

 ประการที่สอง ชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยน และไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น

 

 ประการที่สาม ปลิ้นปล้อนตลบตะแลงและเอาเปรียบคนอื่นอย่างร้ายกาจ

 

 นักจิตวิทยาเขาบอกว่า คนที่มีพฤติกรรมสุดขั้วแห่งความเลวเหล่านี้ถือว่าเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมมนุษย์  ไม่มีคนอยากคบหาสมาคม หรืออยู่ใกล้ หรือถ้าเกิดคบหาดูใจกันอยู่ก็ไม่แคล้วถูกบอกเลิก คนพวกนี้จึงไม่มีใครรัก เป็นพวกหิวโหย และพร้อมจะทำตัวเป็นนักล่า

 

 แต่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกกลับพบว่า คนที่มีเชื้อชั่วบ้างพอเป็นกระสัยกลับเป็นโชคดีต่อตัวเอง โดยเฉพาะชีวิตเซ็กส์ (อ่านแล้วเริ่มหูผึ่ง)

 

 ทีมวิจัยชุดนี้บอกว่า มีหลักฐานบางอย่างที่บอกว่า แท้จริงแล้ว นิสัยเลวๆ สามประการมันก็คือ ยุทธวิธีพิชิตใจสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง

 

 จริงเท็จแค่ไหนต้องลองพิสูจน์ เขาจัดแจงแจกแบบทดสอบบุคลิกให้นักศึกษามหาวิทยาลัยลองจัดอันดับด้านลบของตัวเองออกมา แล้วให้แสดงทัศนคติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ และชีวิตเซ็กส์ของผู้ตอบแบบสอบถาม รวมถึงเคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วกี่คน คิดแบบชั่วคราว หรืออยู่ยาว

 

 ผลวิจัยพบว่า คนที่มีคะแนนพฤติกรรมเลวเข้าข่ายสามประการสูง มีแนวโน้มมีคู่นอนมากกว่า และต้องการมีความสัมพันธ์ระยะสั้นมากกว่า

 

 งานวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์เปิดเผยในการประชุม Human Behavior and Evolution Society  จัดขึ้นที่โตเกียวเมื่อต้นเดือน

 

 กลับมามองดูตัวละครอย่างพยัคฆ์ร้าย 007 ที่ฟาดผู้หญิงมันทุกตอน แฟนเจมส์ บอนด์ คงสังเกตเห็นว่า สายลับผู้มีใบอนุญาตฆ่าตลอดชีพนี้เป็นคนเจ้าอารมณ์  ชอบโลดโผน และชอบหาอะไรใหม่อยู่เรื่อย ทั้งฆ่าคน และล่าสวาท

 

 คนอย่างเจมส์ บอนด์มักจะ "หลี" ผู้หญิงไปเรื่อย และคนที่มีพฤติกรรมด้านมืดแบบนี้มักประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์ "หว่านพืชเพื่อหวังผล" กับสาวๆ และไม่เคยคิดจะปักหลักเป็นสามี และหัวหน้าครอบครัว ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นดาษดื่น

 

 บนเวทีสัมนาเดียวกันนี้ยังมีงานวิจัยอีกผลงานหนึ่งที่เสนอโดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแบรนดลีย์ ในมลรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐ ซึ่งเขาได้ทำแบบสอบถามคนใน 57 ประเทศ ได้กลุ่มตัวอย่างมา 35,000 คน

 

 นักวิชาการท่านนี้พบข้อมูลคล้ายกันที่เชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมสาวเลวของผู้ชายห่วยๆ กับโอกาสกกสาว ซึ่งทุกวัฒนธรรมเป็นเหมือนกันหมด กล่าวคือจะพบว่าพวกสามเลวเหล่านี้ไม่เคยอาภัพสวาท และเป็นความสัมพันธ์ชั่วครู่ชั่วคราว

 

 ที่นักวิจัยศึกษาเรื่องนี้ รวมถึงผลวิจัยไม่ได้อยากเชียร์ให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็นคนเลว และสุดท้ายแล้วคนพวกนี้ต้องชดใช้กรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไม่มีคนรัก ต้องอยู่โดดเดี่ยว

 

 และอย่างน้อย ยุทธวิธีดังกล่าวจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคนนิสัยสามเลวมีอยู่น้อยในสังคม ไม่อย่างนั้นแล้วผู้คนต้องระมัดระวังตัว และป้องกันตัวเองกันมากขึ้น

 

 หรือถ้าพลาดท่าหลวมตัวไปแล้ว มาร้องเพลงผู้ชายห่วยๆ ของมาช่าฟังปลอบใจแล้วกัน เอ๊ะ หรือจะเพลงคนเลวที่เธอรัก ดีนะ



....
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #281 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2551, 12:45:46 »

ในยุคที่ข่าวสารวิ่งเข้ามาทุกทิศทุกทางอย่างไม่หยุดยั้ง
ในยุคที่มีการแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า โยนข้อมูลใส่กันอย่างไม่หยุดหย่อน
ในยุคที่ช่องทางการสื่อสาร มีมากมาย โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต
ซึ่งเป็นช่องทางที่บริโภคได้ง่าย
Forward Mail, Board ของผู้ทรงภูมิ ทั้งหลาย
เลยพลอยให้ผมกลับไปนึกถึงวิชาพระพุทธศาสนาที่เคยเรียนตอนเด็กๆ

กาสามสูตร หรือ หลักแห่งความเชื่อ
ก่อนที่จะเชื่อ จงพิจารณาก่อนที่จะเชื่อ

1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

รักทุกคนนะ จุ๊บๆ  :wink:

ตาแคม
บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #282 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2551, 18:31:39 »

เหมาะสมอย่างยิ่ง กะยุคนี้ สมัยนี้

ตัด..ฉับ..ฉับ หั่นค่าใช้จ่ายสไตล์ "กำพล อัศวกุลชัย"  
ยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ใครๆ ก็อยากให้มีรายได้วิ่งให้ทันค่าใช้จ่ายกันทั้งนั้น แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ช่างเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน
วันนี้ "กำพล อัศวกุลชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ จะมาแนะนำวิธีที่จะช่วยลดความอ้วนของรายจ่ายลงไปบ้าง เพื่อให้ทุกคนมีเงินเหลือพอให้เก็บออมกันมากขึ้น ในยามที่ข้าวของปรับราคาขึ้นตั้งมากมาย กำพล ได้แนะ 10 วิธีเพื่อลดค่าใช้จ่าย ที่สามารถหั่นและตัดได้ อย่างที่บางทีหลายคนก็นึกไม่ถึง
1. ค่าโทรศัพท์มือถือ
ค่าโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรกที่กำพลบอกว่าทุกคนควรจะหันมาพิจารณาลดค่าใช้จ่าย เพราะค่าโทรศัพท์มือถือนี้ค่อนข้างแพงเอาการอยู่ และที่สำคัญคือตอนอยู่บ้าน หรือออฟฟิศก็ไม่คุยกับเพื่อน พอออกจากบ้านหรือออกจากออฟฟิศ ทีไรเป็นต้องหยิบโทรศัพท์มือถือ มาคุยกันเหลือเกิน ถ้าเลิกโทรไม่ได้ ก็เลือกโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้ของเรา บางคนไม่เคยดูโปรโมชั่นเลย ทั้งๆ ที่มีโปรโมชั่นที่มีค่าโทรถูกมาก ลองเลิกและเลือกโปรโมชั่นดี ๆ ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้
2. ค่าฟิตเนส
ก่อนที่จะตัดสินใจต่อโปรแกรมฟิตเนสในแต่ละปี ลองทบทวนดูว่าปีที่ผ่านมาคุณไปใช้บริการจริงๆ จังๆ กี่ครั้ง คุ้มไหม หรือถ้าไปบ่อยๆ ก็ดี แต่ที่สำคัญลองทบทวนดูว่าหากเปลี่ยนสถานที่มาออกกำลังกายตามสวนสาธารณะบ้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย แถมยังเปลี่ยนสถานที่ออกกำลังกายได้อีก
3. ค่าเคเบิลทีวี
คุณเคยทราบหรือไหมว่า เดือนๆ หนึ่งได้ดูเคเบิลทีวีบ่อยแค่ไหน บางคนดูฟรีทีวีผ่านเคเบิลทีวีอีกต่างหาก ก็เสียค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเยอะมาก แต่หากดูเคเบิลทีวีติดซะแล้ว ลองเลือกแพ็คเกจที่สอดคล้องกับช่องที่คุณต้องการดูก็ได้ บางทีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ของคุณอาจลดลงมาก หรือถ้าจะลองหันมาดูฟรีทีวีกัน ก็ลดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย
4. ค่ากาแฟ
ตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่าเลิกไม่ได้ กำพล ออกตัวว่าเขาก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้เลิกกาแฟ แต่ก็พยายามลดกาแฟลง โดยเฉพาะลดเหลือวันละแก้วก็พอ ไม่ต้องดื่มกาแฟทุกมื้อ เพราะนอกจากไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพแล้ว ที่สำคัญกาแฟของต่างประเทศก็แสนจะแพง
คุณอาจลองเปลี่ยนรสนิยมมาดื่มกาแฟแบบไทยๆ บ้าง ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากโขทีเดียว จากราคาแก้วละร้อยกว่าบาทเป็นไม่เกินสามสิบบาท ก็แก้ง่วงได้เหมือนกัน แต่เสียอย่างเดียวคือ อาจไม่เท่เหมือนเดิม
5. ค่าอินเทอร์เน็ต
ในยุคปัจจุบัน หลายๆ คนติดอินเทอร์เน็ตงอมแงมเลย ทั้งใช้เล่นเกมอินเทอร์เน็ต ใช้หาข้อมูล คุณลองทบทวนดูว่าแพ็คเกจไหนให้ชั่วโมงอินเทอร์เน็ตมากๆ ไม่หลุดบ่อย เพราะถ้าหลุดบ่อยๆ ก็ต้องเสียค่าต่อโมเด็มเพิ่มขึ้นอีก และบางครั้งคุณเป็นสมาชิกแบบต่อเนื่องจำนวนชั่วโมงก็ได้เพิ่มขึ้น และหากลดการใช้ลงก็ประหยัดชั่วโมงอินเทอร์เน็ตได้อีก ลองใช้เวลาไปหาข้อมูลที่ "ห้องสมุดประชาชน" หรือ "ห้องสมุดมารวย" บ้างก็ได้
6. ค่า SMS ดาวน์โหลดเพลง และเพลงรอสาย
ค่า SMS ดาวน์โหลดเพลง และเพลงรอสาย แต่ละเพลงก็แพงเอาการอยู่ และบางอย่างเช่นเพลงรอสายคุณก็ไม่ได้เป็นคนฟัง แต่เสียสตางค์เอง แปลกดีเหมือนกัน ก็ลองทบทวนดูว่าคุณใช้จ่ายในเรื่องเหล่านี้มากไปหรือเปล่า ถ้ามากเกินไปก็ลดลงบ้างก็ไม่เสียหายอะไร
7. ค่าแผ่น DVD หรือ CD
หนัง DVD กับ CD เพลงเพราะๆ นั้น เชื่อไหมถ้าคุณไปดูที่ตู้เก็บแผ่นเหล่านี้ จะพบว่ามีเยอะมากจริงๆ บางแผ่นซื้อมายังไม่มีเวลาดูเลย ก็กลัวว่าถ้าไม่ซื้อตอนนี้ก็จะอดดู แต่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณซื้อช้าลงอีกสักนิด ราคาแผ่น DVD หรือ CD เหล่านี้จะลดราคาลงมาให้ซื้อในราคาที่ถูกลง หรือไม่คุณก็จัดก๊วนดู DVD หรือ CD กับเพื่อนๆ แล้วผลัดกันซื้อแล้วเวียนดูกันในก๊วน อย่างนี้ก็ลดค่าใช้จ่ายด้านนี้ได้ตั้งเยอะ
8. เลิกซื้อของเพราะของแถมหรือลดราคา
เรื่องจริงที่คุณเองก็น่าจะเคยเป็น คือ บางครั้งอยากได้ของแถมมากกว่าที่จะซื้อสินค้าหรือจะใช้สินค้าหลักๆ นั้นเสียอีก ซึ่งต้องบอกว่า "ของแถม" นี้จะมีผลต่อจิตใจหลายคนอย่างมาก ทั้งที่ บางทีของยังไม่จำเป็นต้องซื้อเลย หรือจะซื้อครั้งละไม่มาก แต่คุณก็ยินดีจ่ายซื้อยกโหลเพื่อจะได้ของแถม อย่างนี้ทำให้รายจ่ายของคุณไม่สม่ำเสมอ
ที่สำคัญ "ของลดราคา" บางครั้งคุณก็ชอบซื้อมาเสร็จก็ไม่ได้ใช้งาน เพราะอารมณ์ตอนแย่งซื้อของลดราคานั้น เห็นคนมุงกันคุ้ยกระบะลดราคามันช่างเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน ดังนั้นช่วงห้างลดราคา อย่าไปเดินเลยจะได้หักค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกเสียบ้าง
9. เลิกซื้อสินค้าตามเทคโนโลยี
ข้อนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย (ผู้หญิงหลายๆ คนก็เป็นเหมือนกัน) พวกผู้ชายจะชอบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ กล้องถ่ายรูปรุ่นใหม่ที่ถ่ายได้ 10-20 ล้านพิกเซล โทรทัศน์จอ LCD เครื่องเล่น DVD รุ่นใหม่ และอื่นๆ อีกมากมาย รุ่นใหม่มาทีไร จิตใจเป็นต้องโหยหาเสียเหลือเกิน ทั้งที่ของที่มีอยู่ก็เพิ่งซื้อไปไม่เกิน 6 เดือนถึงหนึ่งปีเอง
ดังนั้น ลองใช้ของที่มีอยู่ให้เจ๊งสักอย่างดีไหม ลองเก็บเงินเท่าที่จะซื้อของใหม่ไว้ทุกครั้ง เชื่อไหมว่าสักสองสามปี จะมีเงินเยอะพอสมควรเลยทีเดียว
10. งดทานข้าวนอกบ้านลงบ้าง
หลายคนต้องทานข้าวนอกบ้านทุกวัน ทั้งที่คุณพ่อคุณแม่ที่บ้านเตรียมอาหารไว้แล้ว แต่คุณมักจะอ้างว่าไปกับเพื่อนเพื่อสังสรรค์ ก็ขอบอกว่าคุณสามารถเชิญเพื่อนๆ มาทานข้าวที่บ้านได้ แต่ก่อนสมัยอายุไม่มาก เชื่อไหมว่าการทานข้าวนอกบ้านต้องเป็นวาระสำคัญๆ ทีเดียว เวลารวมญาติ หรือมีวาระที่สำคัญจึงจะทานข้าวนอกบ้าน แต่ปัจจุบันเท่าที่สังเกตคนส่วนใหญ่จะกลับกัน ทานข้าวนอกบ้านเป็นประจำ แต่วาระพิเศษจึงจะทานข้าวที่บ้าน
ลองกลับด้านดู หันมาทำกับข้าวทานเอง นอกจากสะอาดถูกหลักอนามัยแล้ว ยังมีราคาถูกว่าอีก เอาเป็นว่าลดการทานข้าวนอกบ้านลงให้เหลือสัปดาห์ละวันสองวัน ที่เหลือกลับไปทานข้าวกับครอบครัวก็จะได้รับความสุขพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้านกัน
บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #283 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2551, 08:33:49 »

^
^
ชอบบทความนี้ที่ตาไข่เอามาลงมากๆ
เห็นด้วยทุกข้อ ยกเว้น ข้อสิบที่มิอาจทำตามได้
เพราะอยู่ตัวคนเดียว  :lol:


ตาแคม
บันทึกการเข้า
Net 80
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 187

« ตอบ #284 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2551, 09:29:19 »

^
^
จุดอ่อนของผมอยู่ที่ข้อ 9 คับ


อีกวิธีที่ผมใช้คือ ประเมินค่าใช้จ่ายก่อน ที่เหลือเก็บอีกบัญชืหนึงเหมือนหยอดกระปุกออมสิน
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #285 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2551, 16:30:30 »

ชื่อผมในแบบตัวอักษรเทวนาครี เท่เป่า

अभिरत्न

อภิรัตน์ แก้วที่มีค่าวิเศษยิ่ง เขียนเป็นโรมันได้ว่า abhiratna

ตัวอักษรเทวนาครีจะเป็นตัวอักษรของภาษาสันสกฤต
อยากรู้ว่าแปลงยังไง ทำดังนี้

ต้องดูว่าไทยใช้ว่าอะไร เปิดพจนานุกรมราชบัณฑิต > แปลงเป็นโรมัน >
แล้วก้อเอาไปใส่ในตามเว็บนี้
http://spokensanskrit.de/index.php
กดไปที่ Devanakari-Trainer เค้าจะแปลงเป็นเทวนาครีให้

ตาแคม  :wink:
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #286 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2551, 12:50:26 »

โอ้..เท่ห์โคตรๆ..
บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #287 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2551, 17:17:21 »

ขอคำว่า แคม ด้วยก็ดีครับ
ดูว่าจะเท่ห์แค่ไหน

 :lol:
บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #288 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2551, 12:36:14 »

อ้างจาก: "Mr.EggMan"
ขอคำว่า แคม ด้วยก็ดีครับ
ดูว่าจะเท่ห์แค่ไหน

 :lol:


พี่ไปเปิดเว็บเดียวกับตาแคมมาแล้ว
น่าจะใช้คำว่า  )ll( (คล้ายๆกับที่พบตามขุมทรัพย์เลย)
ว่าแล้วไปหา อินเดียหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นดูดีกว่า
บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #289 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2551, 13:53:00 »

:lol:  :lol:  :lol:
ขอบคุณพี่ตี๋เล็กมาก


Subject: FW: ข้าวโพดสุกช่วยรักษามะเร็ง


จริง เพราะตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้   เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน
ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯรายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวาน ที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แตข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป

เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 ปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำ ให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น
บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #290 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2551, 08:08:47 »

อ้างจาก: "telek_kritsada"


พี่ไปเปิดเว็บเดียวกับตาแคมมาแล้ว
น่าจะใช้คำว่า  )ll( (คล้ายๆกับที่พบตามขุมทรัพย์เลย)
ว่าแล้วไปหา อินเดียหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นดูดีกว่า


รูปร่างมันคุ้นๆ มากเลยนะพี่ตี๋เล็

//\\o||o//\\ แล้วอันนี้แปลว่าอารายอ่ะพี่ อ่านไม่ออก  :lol:

ว่าแต่อินเดียวหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นมันมีไรดีเหรอพี่

ตาแคม
บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #291 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2551, 12:38:26 »

อ้างจาก: "apirat"
อ้างจาก: "telek_kritsada"


พี่ไปเปิดเว็บเดียวกับตาแคมมาแล้ว
น่าจะใช้คำว่า  )ll( (คล้ายๆกับที่พบตามขุมทรัพย์เลย)
ว่าแล้วไปหา อินเดียหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นดูดีกว่า


รูปร่างมันคุ้นๆ มากเลยนะพี่ตี๋เล็

//\\o||o//\\ แล้วอันนี้แปลว่าอารายอ่ะพี่ อ่านไม่ออก  :lol:

ว่าแต่อินเดียวหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นมันมีไรดีเหรอพี่

ตาแคม


เฮ้ย พี่ซีเรียสนะเนี่ยะ
พี่อุตส่าห์ไปหาความรู้ให้กับมวลมนุษยชาติ
มาแปลเจตนาพี่ผิดนะ

เดี๋ยวเจอกันคราวหน้าจะเอาอินเดียหน้าโจน
ภาคญี่ปุ่นไปฝาก ดาราตรึม
หน้าคุ้นๆทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #292 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2551, 17:14:02 »

 
อ้างถึง   

วันนี้ คุณส่งเมลล์ดี ๆ ให้กับคนรอบข้าง บ้างหรือยัง ?  
ขอเชิญชวนเพื่อน ๆ ชาว E-mail ทุกท่าน ร่วมทำความดี ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  

1. ความเพียร
การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันควรทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีควรต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯวันที่ 27 ตุลาคม 2516

2. ความพอดี
ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540

3. ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521

4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521

5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496

6. พูดจริง ทำจริง
ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจ จัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540

7. หนังสือเป็นออมสิน
หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514

8. ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

9. การเอาชนะใจตน

ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #293 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2551, 15:54:23 »

ชายหนุ่มคนหนึ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
หน้าตาหล่อเหลา มีการศึกษาสูง มีงานการที่มั่นคง มีความก้าวหน้าใน
อนาคตมีคนรักใคร่รอบข้าง เรียกว่าใครเห็นใครรู้เป็นต้องอิจฉา

วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายคนนี้ยิ่งสุดยอด สมบูรณ์แบบมากขึ้น
เมื่อพี่ของเขายอมควักเงินก้อนโตซื้อรถสปอร์ตคนงามเป็นของขวัญให้กับ
น้องชายไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาแค่ไหนเพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้
ชายหนุ่มนายนี้ฝันอยากได้ เป็นเจ้าของมาตลอดชีวิต

เมื่อความฝันเป็นจริง สิ่งที่ชายหนุ่มคิดทำอย่างแรกคือ
ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวนไปตามที่ต่างๆให้สมอยาก
ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง ว่าจะมีเรี่ยวแรง
เต็มกำลังแค่ไหนอีกใจก็แน่นอนว่า ใครที่มีรถสวยแรงขนาดนี้คงไม่บ้า
เก็บเอาไว้ดูตามลำพังที่โรงรถในบ้านขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก
ก็ถึงเวลาพักทั้งเครื่องและคน ชายหนุ่มจัดแจงจอดรถข้างถนน
ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถ เขาเห็นเด็กคนหนึ่งเดินลูบๆคลำๆรอบรถ
คันงามด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของสิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน
เขาเดินยืดอกมาที่รถ พร้อมพูดจาทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม
"ระวังหน่อยน้อง เดี๋ยวเป็นรอย" เขาบอก
เด็กคนนั้นมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนจะพูดตอบ "รถของพี่เหรอ สุดยอดจริงๆ"
"แน่นอน" เขาตอบ
"พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่" เด็กคนเดิมถาม
"คนอื่นอาจต้องควักสตางค์ซื้อเอง แต่พี่ไม่ต้อง เพราะพี่ชายพี่ซื้อให้เป็นของขวัญ"
"โอ้โห! ดีจัง ผมอยาก...." เด็กคนเดิมพูดตะกุกตะกักชะงักในตอนท้าย

ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ
เพราะที่เด็กอยากจะพูดแต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงต้องการบอกว่าอิจฉาตัวเขาเอง
อยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง...มีพี่ที่แสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ...
แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคิดกลับผิดถนัด

"โอ้โห ดีจัง ผมอยาก....เป็นอย่างพี่ชายของพี่จัง" เด็กคนนั้นพูด
"ผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายผมนั่งบ้าง"

ตาแคม
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #294 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 08:00:26 »

คัดลอกมาจาก Forward Mail

Indians Play เขียนโดย V. Raghunathan นักวิชาการ ผู้บริหารบริษัท
และเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งในอินเดียและในต่างประเทศ  

ดช.ปัญญาเป็นเด็กที่เกิดในเมืองแต่ย้ายไปอยู่ในชนบท
วันหนึ่งไปซื้อแพะจากชาวนาในราคา 1000 บาทซึ่งชาวนายินดีที่จะส่งมอบแพะในวันรุ่งขึ้น

พอวันรุ่งขึ้น ชาวนาก็ไปหาดช.ปัญญาแล้วบอกว่า

"ข่าวร้ายหนูเพราะแพะเพิ่งตายไปเมื่อคืนที่แล้วเอง"

ดช.ปัญญา ก็บอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นคืนเงินให้ผมก็แล้วกัน"

"โอ เสียใจด้วยจริงๆ แต่ฉันใช้เงินนั่นหมดไปแล้ว" ชาวนาพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ

"ไม่เป็นไร ถ้างั้นเอาแพะตัวนั้นมาให้ฉัน"

"หนูจะเอาแพะตายไปทำอะไร" ชาวนาถามด้วยความฉงน

"ฉันจะเอาไปจับฉลากขาย"

"จะไปจับฉลากแพะที่ตายได้อย่างไร ใครจะไปซื้อ"

"ได้ซิ คอยดูละกัน"

จากนั้นชาวนาก็มอบแพะที่ตายให้ดช.ปัญญาไป

หนึ่งเดือนผ่านไป......ชาวนาพบกับดช.ปัญญาจึงถามว่าตกลงเอาแพะที่ตายไปทำอะไร

"ฉันก็ทำฉลาก 500 ใบ ขายใบละ 10 บาท แล้วบอกว่าใครดวงดีจับฉลากได้
ก็ได้แพะไปเลย 1 ตัว"

"ฉันได้เงินมา 5000 บาท ได้กำไรหลังจากหักที่จ่ายให้ลุงชาวนาไปแล้ว 3990 บาท"

"แล้วไม่มีคนโวยวายหรือ(เพราะแพะตายแล้ว)" ชาวนาถามด้วยความสงสัย

"ก็มี มีคนเดียวคือคนที่จับฉลากได้ และฉันก็แค่คืนเงินค่าฉลากจำนวน 10 บาทให้คนๆนั้นไป"

ในเรื่องบอกว่า ดช.ปัญญาต่อมาเติบโต
และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างมาก......

เรื่องราวแบบนี้เป็นสิ่งที่คนอินเดียสอนกัน........ที่สำคัญก็คือการแก้ไขปัญหา
และแก้ไขสถานการณ์ที่เผชิญหน้าหรือคิดคำตอบโจทย์ที่ยากๆ
ซึ่งคนอินเดียจะเก่งในเรื่องแบบนี้มาก

คนอื่นอาจไม่ได้สังเกตุ แต่ผมเห็นว่าส่วนหนึ่งได้มีการถ่ายทอดความรู้แบบนี้
ผ่านทางการ์ตูนพื้นบ้านซึ่งขายในราคาถูกมาก ทำให้เด็กไม่ว่าจะอยู่ในรัฐที่ห่างไกล
หรือยากจนก็สามารถเรียนรู้วิธีคิดผ่านสื่อเหล่านี้ได้

เปรียบกับของไทยก็น่าจะได้แก่ศรีธนญชัยที่มีปัญญาและไหวพริบ ฉลาดหลักแหลม....
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ความเป็นศรีธนญชัยหายสาบสูญไปจากสังคมไทยนานแล้ว
และบางครั้งถูกมองว่าเป็นความฉลาดในด้านไม่ดีด้วยซ้ำไป

สมอง ถ้าไม่ได้ใช้ ไม่นานก็ฝ่อ

คนอินเดียจึงเป็นนักคิดนักแก้ปัญหาที่เก่งมาตั้งแต่โบราณกาล
และยังสามารถสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้ ด้วยองค์ประกอบทางด้านการศึกษาและภาษา
ขอบคุณ Raghunathan ที่ได้ให้ข้อคิดดีๆ


ตาแคม
บันทึกการเข้า
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #295 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2551, 20:27:04 »

ชอบเรื่องเล่าของอินเดีย และก็อยากให้คนในบ้านเราคิดแบบนี้ได้บ้างจัง... ง้านมาอ่านปุจฉา วิสัจฉนาของท่าน ว วชิรเมธีดูนะ...


มายาการของหลอดด้าย

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูตอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม  สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา  ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย  เมื่อสอบถามถึงสาเหตุเธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า

“ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับเส้นด้าย ที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจจึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก…แกนด้ายมันหลอกตาให้เราพลอยชะล่าใจ...”

 พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ  ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก

เธอกำลังเทศน์เรื่อง “ความสำคัญของเวลา” และ “คุณค่าของชีวิต”

 เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน

สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน

ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ

ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ “ปัญญา”

 สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล  คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า  เรายัง “พอมีเวลา” ต่างหาก

แต่คนที่คิดว่าเรายัง “พอมีเวลา” ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้  ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ

ดังนั้น  นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว  ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต” ด้วย

เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา

และนั่นจะทำให้เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน

เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ  แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม  ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก

เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล  ไม่ว่าคุณจะมีเงินมหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที

สำหรับเวลานั้น  ผ่านแล้ว   ผ่านเลยนิรันดร์

ครั้งหนึ่งลีโอ  ตอลสตอย  เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า

                  “ใคร           คือ คนสำคัญที่สุด

                    งานใด       คือ งานที่สำคัญที่สุด

                    เวลาใด      คือ เวลาที่ดีที่สุด”

                  ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า

                  “คนสำคัญที่สุด       ก็คือ      คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา

                  งานสำคัญที่สุด        ก็คือ      งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้

                  เวลาที่ดีที่สุด            ก็คือ      เวลาปัจจุบันขณะ”

  ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด  คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป    

 เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น  รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก

หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล  นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต

ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ  

ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ  เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว  ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน  มีเงินมากเพียงไร  ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้

ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา

เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์ คน -  -  แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา  ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจ ว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา  

ทุกวันนี้  เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต  เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเราเหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย  เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้  หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว  ?

อ่านเรื่องอื่นๆ ได้ที่เว๊ปนี้นะ http://www.vimuttayalaya.net/ มีหลายเรื่องที่เป็นคำถาม แล้วท่าน ว ก็มาตอบ ...ใครว่างลองเข้าไปดูนะจ๊ะ...
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #296 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2551, 20:52:44 »

ดร.เกรียงศักดิ์ ที่ลงผู้ว่า กทม. ก็ส่งลูกไปเรียนที่อินเดียครับ..

คิดถึงเจ๊หมวยคร้าบบบบ..(ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่) Shocked
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #297 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2551, 08:18:54 »

โรคสุดฮิตของคนรุ่นใหม่ "โรคกรดไหลย้อ"

แพทย์เตือนหนุ่ม-สาวออฟฟิศ ระวังโรคกรดไหลย้อน โรคยอดฮิตของหนุ่มสาววัยทำงาน ดารานักแสดง โดย เฉพาะสาวออฟฟิศ ที่ชอบกินจุบกินจิบ กินอาหารไม่เป็นเวลาและเร่งรีบ รวมถึงผู้ชอบอาหารรสจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีโอกาสเสี่ยงสูง หากมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ ควรปรึกษาแพทย์

รศ. พ.ญ.วโรชา มหาชัย หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยว่า โรคกรดไหลย้อนถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิตเหมือนโรคมะเร็งหรือโรค หัวใจ แต่เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานลดลง
โดยจะมี อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ และในบางรายอาจมีอาการแสดงออกนอกหลอดอาหารได้ เช่น อาการทางปอด หรืออาการทางคอและกล่องเสียง เสียงแหบเรื้อรัง มีไอเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรือในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้

ดัง นั้นหากมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังถูก "โรคกรดไหลย้อน" คุกคาม ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป เพราะหากละเลยไม่ยอมรักษานานๆ ไปอาจทำให้เรื้อรังกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้เช่นกัน

"เนื่องจาก โรคกรดไหลย้อนจะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่าตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด โดยเฉพาะคนไทยเรามักจะชอบซื้อยามารับประทานเองและคิดว่าการไปพบแพทย์เป็น เรื่องใหญ่ ระยะหลังมานี้จึงพบโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ" รศ.พ.ญ.วโรชากล่าว

ผู้ เชี่ยวชาญกล่าวต่อว่า โรคกรดไหลย้อนไม่ได้เป็นโรคแปลกใหม่สำหรับคนไทย เป็นโรคที่พบในผู้ป่วยคนไทยมานานแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไป ในหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ หรือความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าในคนปกติ หรือเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร เป็นต้น

"โรคกรดไหลย้อนนี้มักเกิดขึ้นกับหนุ่มสาววัยทำงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบ สูง รวมถึงดารานักแสดงและผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิง ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความรีบเร่งตลอดเวลา จนทำให้เวลาที่มีอยู่แม้กระทั่งการรับประทานอาหารก็พลอยรีบเร่งไปด้วย มิหนำซ้ำยังมีความเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ที่ชอบกินจุบกินจิบ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รวมถึงผู้ที่ชอบทานอาหารรสจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อนได้เช่นกัน"

สำหรับ การรักษาโรคกรดไหลย้อน รักษาให้หายได้โดยการรับประทานยากลุ่มยาลดกรด แต่ถ้าเป็นมากและเรื้อรังควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ทางเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับยาที่ตรงกับโรค

ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวที่กล่าวมาควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ ขณะเดียวกันการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต โดยการรับประทานอาหารให้อิ่มพอดี และอย่ารับประทานอาหารใกล้เวลานอนเพราะจะทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย และควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดน้ำหนักตัว อย่าใส่เสื้อผ้าคับเกินไป เนื่องจากจะเพิ่มความดันในช่องท้องให้มากขึ้น เลิกสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคกรดไหลย้อนได้

สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนเพิ่มเติม ค้นหาข้อมูลได้ที่ www.gerdthai.com

ข้อมูลเพิ่มเติม

โรคกรดไหลย้อน คือ ภาวะที่น้ำกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร  และในบางรายอาจไหลย้อนขึ้นมาถึงคอ และกล่องเสียงได้

ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยโรคนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งอาจเป็นเพราะลักษณะรูปแบบการดำรงชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไป เกิดความเครียด มีความเร่งรีบในการทำงานทำให้ผู้คนนิยมรับประทานอาหารจานด่วนที่อุดมไปด้วย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และแคลอรี่สูง รวมทั้งการแพทย์ที่ก้าวหน้า และเครื่องมือที่ทันสมัยทำให้สามารถตรวจ และวินิจฉัยโรคนี้ได้มากยิ่งขึ้นด้วย

ภาวะนี้เกิดเนื่องจากพยาธิสภาพของกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหาร และกระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ อาการสามารถเกิดได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในระยะเริ่มต้นอาจไม่รู้สึกว่ามีความผิดปกติหรือมี อาการแต่อย่างไร และผู้ป่วยบางรายอาจไม่เคยมีอาการของโรคกระเพาะหรือรักษาโรคกระเพาะมาก่อน เลยก็ได้

น้ำกรดจะระคายเคืองหลอดอาหารทำให้เยื่อ บุอาหารเกิดการอักเสบ ผู้ป่วยจะเจ็บในอก รู้สึกแสบร้อนในอกได้โดยเฉพาะเวลาเรอ นอกจากนั้นกรดยังสามารถระคายเคืองกล่องเสียงและคอหอยได้ด้วย ซึ่งอาการที่บริเวณคอหอยและกล่องเสียง คือ

– เสียงแหบเป็นๆหายๆ เรื้อรัง โดยเฉพาะเสียงแหบในเวลาเช้า
– รู้สึกขมในปากและคอหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ
– คอและกล่องเสียงอักเสบบ่อยๆ รักษาหายได้ไม่นานก็กลับมาเป็นใหม่อีก
– ระคายคอ และกระแอมบ่อยๆ รู้สึกว่าคอไม่โล่ง
– ไอเรื้อรัง แต่พบว่าปอดปกติดี
– กลืนอาหารลำบาก กลืนติดๆ กลืนไม่ลง กลืนแล้วเจ็บในคอ
– ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกๆในคอ ลมหายใจมีกลิ่น มีกลิ่นปาก
– มีเสมหะในคอจำนวนมาก
– รู้สึกว่าเหมือนมีเสมหะไหลลงคออยู่เรื่อยๆ

ผู้ป่วยบางท่านอาจมีแค่อาการใดอาการหนึ่ง ในขณะที่บางท่านอาจมีหลายๆอาการร่วมกันได้ อาการต่างๆเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดคิดว่ามีเนื้องอก หรือก้อนมะเร็งในคอ ทั้งนี้เมื่อทำการตรวจวินิจฉัยแล้วแพทย์ไม่พบก้อนเนื้อเหล่านั้นเลย กรณีนี้ทำให้ผู้ป่วยไม่สบายใจ วิตกกังวลและยิ่งเกิดความเครียดมากขึ้น
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #298 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2551, 08:22:17 »

^
^
เมื่อต้นปี เพื่อนผมก็มีอาการแบบนี้เป๊ะเลย
ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าเป็น โรคกรดไหลย้อน

กินยาอยู่สอง สามเดือน ไม่หาย

ปรากฏว่า เพื่อนผมมันแพ้ท้องครับ
เซ็งหมอเลย 
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #299 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2551, 22:57:03 »

หมอที่ไหนครับพี่..จะได้รู้ไว้
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><