15 พฤษภาคม 2567, 23:21:39
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 36  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุยกันเรื่องจีนๆ  (อ่าน 347753 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #75 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 16:49:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 27 กันยายน 2553, 14:27:14
เอามาให้ท่านจุ๊งช่วยแปล......

สวัสดีพี่หนุน..น้องหนิง..น้องขุน และน้องหมีด้วยครับ....




ปกติกลอนโบราณของจีนไม่ใช่ภาษาง่ายๆที่จะแปลตรงๆได้ เพราะจะแทรกไปด้วยสำนวนและความคิดในสมัยนั้น บางบทอาจจะต้องมีความรู้ทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม นิรุกติศาสตร์(แปลว่าอะไรไม่รู้ ใครช่วยแปลหน่อย)ฯลฯ  อย่างกลอนบทนี้เป็นกลอนที่หลี่ไป๋แต่งเพื่อส่งเมิ่งฮ่าวหราน กวีเอกสมัยถังอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นสหายรัก ชื่อบทกลอนชื่อว่า "ส่งเมิ่งฮ่าวหราน ณ กว่างหลิง" คนสมัยใหม่ถ้าไม่ได้ค้นคว้าจะไม่รู้ว่าเมืองกว่างหลิงสมัยนั้น ก็คือเมืองหยางโจวในมณฑลเจียงซูปัจจุุบันนี่เอง ผมเองก็ต้องไปหาอรรถาธิบายบทกลอนนี้จากหนังสือกลอนเอกสมัยถัง300บท ก็ได้สรุปใจความของกลอนบทนี้ว่า


《送孟浩然之广陵》   
故人西辞黄鹤楼,烟花三月下扬州。
孤帆远影碧空尽,唯见长江天际流。


เพื่อนรักโบกมืออำลา ณ หอกระเรียนเหลือง(หมายเหตุ หอกระเรียนเหลืองนี้อยู่คงทนมานับพันปี จนถึงปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งของจีน)
เขาจะเดินทางไกลไปเมืองหยางโจวซึ่งอยู่ไปทางตะวันออก
ในเดือนสาม ที่ดอกไม้บานสะพรั่ง
ล่องไปตามลำน้ำแยงซีเกียง
ใบเรือของเขาค่อยๆรางเลือนลับไปภายใต้ท้องฟ้าสีคราม
คงเห็นน้ำในลำแยงซีเกียงที่ไหลเชี่ยว


โทษที อารมณ์กลอนหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มาช้าไปหน่อย
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #76 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 17:06:22 »

พวกเราเห็นชาวเหล้ากันเยอะ เลยเอาบทกลอนเก่าๆเกี่ยวกับเหล้า มาบิ๊วอารมณ์กันหน่อย

凉州词(葡萄美酒夜光杯)
王 翰

葡萄美酒夜光杯, 欲饮琵琶马上催。

醉卧沙场君莫笑, 古来征战几人回


บทพรรณนาเหลียงโจว(เหล้าองุ่นในถ้วยพราวราตรี)
หวังฮ่าน

องุ่นเหล้าล้ำเลิศ  ถ้วยบรรเจิดเพริศพราวตา
ใคร่ดื่มปลื้มสักครา เสียงผีผาม้าเร่งคึก
เมาพับหลับกลางศึก  เกลออย่านึกนับเยาะข้า
ตั้งแต่โบราณมา กี่คนหนากลับคืนเรือน

หมายเหตุ ผีผาเป็นเครื่องดนตรีประเภทสาย ลักษณะคล้ายกีต้าร์
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #77 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 18:34:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ จุ๊ง2522 เมื่อ 27 กันยายน 2553, 16:27:04
อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 27 กันยายน 2553, 14:09:57
สวัสดีครับพี่จุ๊ง

         เห็นพี่แหลมขอปุ๊บ พี่จุ๊งจัดให้ทันที

ผมขอมั่งนะครับ    ขอตัวอักษรที่เป็น Pin Yin ด้วยนะครับ  เพื่อการศึกษา

ขอบคุณล่วงหน้าครับ


ไม่เข้าใจว่าต้องการให้ทำยังไง ให้ใส่pinyinเพื่อช่วยในการอ่านหรือยังไง แต่ถ้าต้องการแค่pinyinเพียวๆไม่สนับสนุน เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร และการใส่pinyinค่อนข้างยุ่งยาก เสียเวลามาก ถ้าอยากได้pinyinช่วยในการอ่าน สามารถใช้wordช่วย สามารถให้มันแสดงpinyinได้

สำหรับท่านแหลมเปี๊ยบ เอาอาหารหนักมาให้ผมซะแล้ว ขอเวลาบิ๊วอารมณ์ซักแป๊บนะ


ถ้าอยากได้pinyinช่วยในการอ่าน สามารถใช้wordช่วย สามารถให้มันแสดงpinyinได้

ผมพออ่าน pinyin ได้ แต่อ่านตัวอักษรจีนไม่ได้เลย
จึงขอความรู้พี่จุ๊งหน่อยครับว่าใช้ word ให้มันแสดง Pinyin ได้ยังไงครับ
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #78 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 20:57:50 »

เปิดword ทำ้highlight ข้อความภาษาจีน ไปที่format/Asian Layout/phonetic guide  แล้วเลือกจากนั้น ok
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #79 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 10:03:41 »

อ้างถึง
ข้อความของ จุ๊ง2522 เมื่อ 27 กันยายน 2553, 20:57:50
เปิดword ทำ้highlight ข้อความภาษาจีน ไปที่format/Asian Layout/phonetic guide  แล้วเลือกจากนั้น ok

ขอบคุณครับพี่จุ๊งที่ให้แนวทาง   พอดีเครื่องผมเป็น office2007  ต้องไป download  mspy2010 มาติดตั้งเพิ่มเติมครับ  ตอนนี้ใช้ได้แล้ว
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #80 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 10:10:45 »


嗨...離線時電纜的弟兄。
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #81 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 11:11:40 »

เจอบทความเก่าที่เคยแปลลงมุมจีนพอดี เลยเอามาฝาก

การกำเนิดและพัฒนาการของว่าว

ว่าวของจีนมีประว้ติศาสตร์ที่ยาวนาน ผ่านพัฒนาการมาร่วม 2 พันปี ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาการเฉพาะอีกรูปแบบหนึ่งมานานแล้ว แล้วเป็นส่วนประกอบสำคัญของอารยธรรมจีนอีกด้วย

ตามบันทึกในหนังสือโบราณ ในปี 400 ก่อน ค.ศ. นักคิดที่มีชื่อเสียงของจีน ม่อจื่อร่วมกับปรมาจารย์ด้านการช่างหลู่ปันใช้ไม้ไผ่ทำเป็น “นกไม้” นกไม้ขนิดนี้สามารถลอยกลางอากาศ 3 วันยังไม่ร่วงลงมา คนทั่วไปเรียกว่า”เหยี่ยวไม้” นี่ก็คือว่าวแรกสุดที่มีในโลก ต่อมา เหยี่ยวไม้เปลี่ยนเป็นใช้ไม้ไผ่กับผ้าไหมเป็นส่วนประกอบ และต่อมาอีกก็เปลี่ยนเป็นใช้กระดาษเป็นส่วนประกอบ เลยเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น”เหยี่ยวกระดาษ” เหยี่ยวกระดาษยังมีชื่อเรียกอีกรูปแบบ เช่น เหยี่ยวถลาลม เหยี่ยวเล็กกระดาษ เหยี่ยวเล็กเป็นต้น(หมายเหตุ ปัจจุบันคนฮากกายังคงเรียกว่าเหยี่ยวเล็ก(纸鹞)อยู่ เข้าใจว่าคนแต้จิ๋ว,กวางตุ้ง,ฮกเกี้ยน,ไหหลำก็ยังคงใช้คำโบราณนี้เหมือนกัน) จนถึงปีค.ศ. 618-907 ปลายราชวงศ์ถัง คนก็เพิ่มแผ่นริ้วหรือหวีดไม้ไผ่ที่ทำให้เกิดเสียงขึ้นในเหยี่ยวกระดาษ เมื่อเจอลมก็จะเกิดเสียงขึ้นจึงเกิดมีคำว่า ขิมลม(风筝)ซึ่งเป็นคำที่ชาวจีนเรียกว่าวในปัจจุบัน

ว่าวนั้นแรกเริ่มเดิมทีใช้เป็นอุปกรณ์ทางด้านการทหาร อย่างเช่นปล่อยขึ้นไปในอากาศเพื่อวัดระยะห่างระหว่างทัพทั้ง2ฝ่าย หรืออาจจะใช้ในการติดต่อสื่อสารในกองทัพ ในสมัยราชวงศ์ถัง การใชังานค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็นทางด้านความรื่นรมณ์ แล้วก็แพร่หลายในหมู่คนทั่วไป จนถึงในศตวรรษที่10 ในรัชสมัยราชวงศ์ซ่ง การแพร่หลายของว่าวยิ่งกว้างไกล และค่อยแพร่หลายไปทุกที่ในโลก แรกๆก้กระจายไปที่เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซียในทวีปเอเชีย จากนั้นก้ไปถึงยุโรปและอเมริกา ได้มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านวัฒนธรรมพื้นบ้านชาวอังกฤษค้นคว้าสรุปว่า การแพร่กระจายของว่าวจากจีนไปทั่วโลกมีทั้งหมด7ลู่ทาง สามารถพูดได้ว่ามีต้นกำเนิดมายาวนาน เครื่องเล่นประเภทว่าวของจีนในยุโรปกับอเมริกา ได้รับการพัฒนาไปทางด้านเครื่องมือที่ใช้ในการเดินทางทางอากาศ ในที่สุดในอเมริกาโดยพี่น้องตระกูลไรท์ก็สามารถผลิตเป็นเครื่องบินที่สามารถบรรทุกคนได้ ดังนั้น ในห้องโถงพิพิธภัณฑ์ทางอากาศสหรัฐที่วอชิงตัน ได้แขวนไว้ด้วยว่าวจากจีน ข้างๆเขียนไว้ด้วยคำ “อุปกรณ์ในการเดินทางทางอากาศแรกเริ่มของมนุษยชาติก็คือว่าวและพลุจากจีน”  
 
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #82 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 11:15:09 »

พัฒนาการด้านว่าวของจีนขึ้นถึงจุดสูงสุดในราชวงศ์หมิงและชิง(ค.ศ.1368-1911) ไม่ว่าทางด้านรูปลักษณ์ เทคนิคการผูกตัวว่าว การประดับประดารวมทั้งวิธีการปล่อยว่าวล้วนแต่ได้ที่ ได้มีการนำเอาศิลปะพื้นบ้านปะปนเข้ามาอยู่ในตัวว่าว อย่างเช่น การพิมพ์บล็อกภาพอวยพรวันตรุษจีน ใช้กาวติดกระดาษ การแกะสลักโดยใช้แบบกระดาษ การตัดกระดาษ การวาดรูปเงินรูปทอง การติดดอกไม้กระดาษเป็นต้น ทำให้การประดิดประดอยของว่าวมีสีสันต์หลากหลาย แอกของว่าวที่ก่อกำเนิดเสียงก็มีการพัฒนา ใช้น้ำเต้า เปลือกของผลแปะก๊วยทำเป็นหวีดรูปแบบต่างๆประกอบเข้ากับตัวว่าว ทำให้เกิดเสียงที่ก้องกระจาย รอบบริเวณหลายลี้ก็สามารถได้ยิน ตอนนั้น มีผู้มีความรู้บางส่วนทำว่าวที่ตัวเองวาดภาพไว้ให้เป็นของขวัญซึ่งกันและกัน เป็นการแสดงออกถึงความบุคลิกที่สง่างาม พร้อมทั้งได้รจนาโคลงกลอนและภาพวาดที่มีหัวข้อเกี่ยวกับว่าวเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีผู้แต่ง1ใน 4 ผลงานโดดเด่นในสมัยโบราณเรื่อง (ความฝันในหอแดง) ฉาวเสวี่ยฉินถือว่าโดดเด่นที่สุด เขาไม่เพียงรจนาไว้ในหนังสือ(ความรักในหอแดง)อย่างมีชีวิตชีวาถึงภาพตัวเอกในเรื่องที่เล่นว่าวชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังได้แต่งหนังสือวิชาการเกี่ยวกับว่าว แนะนำวิธีการผูกตัวว่าวกว่า 40 ชนิด  

หลังจากผ่านการปรับปรุงมาเป็นทอดๆ ว่าวของจีนก็ค่อยๆประกอบร่างขึ้นเป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเอง จากเรื่องราวประกอบ สามารถแบ่งเป็นรูปแบบที่สำคัญ 3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ใช้สัตว์ต่างๆ เช่น มังกร หงส์ อินทรี ผีเสื้อ ปลาทอง ตะขาบ นกนางแอ่นเป็นต้น ประเภทที่ 2 ใช้ตัวละครจากเทพนิยาย นิยายที่รังสรรคฺขึ้นมาอย่างเช่นเจ้าวานรรูปงามซุนหงอคง เทพธิดา เด็กโอบปลาใหญ่เป็นต้น ประเภทที่ 3 สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น พัด กระเช้าดอกไม้ โคมระย้าเป็นต้น    จากรูปแบบที่นิยมกันในแต่ละท้องที่สามารถบอกได้ว่าว่าวจีนมีรูปแบบหลากหลายจริงๆ ร้อยรูปแบบพันสีสันต์  กรุงปักกิ่ง เมืองเทียนจิน เมืองหนานทงในมณฑลเจียงซู เมืองเหวยฟางในมณฑลซานตงเป็น 4 เมืองสำคัญที่ผลิตว่าวในจีน แต่ละที่จะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

ว่าวปักกิ่งมีรูปแบบพื้นฐานอย่างเช่น แบบปีกแข็ง แบบปีกอ่อน แบบเรียงราย แบบร้อยสายยาว และแบบรูปถังรวม 5 แบบ ว่าวปักกิ่งที่โดดเด่นก็คือว่าวที่ผูกเป็นรูปนกนางแอ่น บางทีก็เรียกว่าว่าวนางแอ่นปักกิ่ง

ว่าวเทียนจินเรียกอีกอย่างว่าว่าวเว่ยจี้(ว่าวระลึกถึงคนแซ่เว่ย ซึ่งก็คือ魏元泰 เว่ยหยวนท่าย ผู้คิดค้นว่าวชนิดนี้ เมื่อประมาณ100กว่าปีก่อน) ลักษณะพิเศษเฉพาะคือใช้วัตถุดิบที่พิถีพิถัน หน้าว่าวส่วนมากจะใช้แพรบางๆ เบาแต่แข็งแรง โครงว่าวใช่ไม้ไผ่หมาวจู๋ที่เนื้อละเอียด ปล้องยาว มีแรงดีดสะท้อนมาก ว่าวเทียนจินมีหลายรูปแบบ งานฝีมือประณีต สีสันต์ภาพวาดคล้ายของจริง การลอยตัวมั่นคงสม่ำเสมอ ในช่วงที่ปล่อยตัวว่าวลอยไป ส่ายป่านหลักสามารถนำพาสายป่านแขนงที่ลากดึงว่าวนางแอ่นน้อย10กว่าตัวหรือแม้กระทั่งหลายสิบตัว เวลาปล่อยว่าว ว่าวนางแอ่นน้อยจะล้อมรอบว่าวตัวหลักร่อนขึ้นลงไปในอากาศล้อกันไปมา สามารถหลอกนางแอ่นจริงได้ ว่าวนี้เรียกว่า “ฝูงนางแอ่น”

เมืองหนานทงขึ้นชื่อในการผลิตว่าวที่เรียกว่าเหยี่ยวกระดาน ซึ่งถือเป็นว่าวสุดยอดในประเทศจีน เหยี่ยวกระดานมีขนาดใหญ่แบบที่ไม่มีว่าวชนิดใดจะเปรียบได้ มีลักษณะแบบราบเหมือนกระดาน มีลักษณะพื้นฐานเป็นรูปหกเหลี่ยม ผ่านการประกอบขึ้นและดัดแปลง ทำให้เป็นรูปลักษณ์แบบดาว เหยี่ยวกระดานมีรูปแบบโบราณง่ายๆ รูปประกอบละเอียดประณีต หน้าเหยี่ยวติดไว้ด้วยหวีดใหญ่น้อยร่วมสิบหรือร้อยตัว เวลาปล่อยลอยไป ก่อเกิดเป็นเสียงดนตรีที่หนักแน่นล่องลอยไปในอากาศ คล้ายกับฝูงเครื่องบินลอยอยู่กลางอากาศ ดังจนแก้วหูแทบแตก และก็คล้ายคลื่นคลั่งในมหาสมุทร ซัดสาดเข้าหาฝั่ง ว่าวในรูปแบบของเมืองหนานทง ต้องนับว่าวที่ผลิตจากเขตหยูหาวถือเป็นว่าวที่โดดเด่น นำสีสันต์ของโคมไฟ ภาพวาดและว่าวมารวมกัน เมื่อเปรียบเทียบกับว่าวของสำนักฝ่ายเหนือ(หมายถึงปักกิ่ง เทียนจิน) ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความพอเหมาะพอเจาะกับความละเอียดของงาน ความปราดเปรียวดูแล้วสวยงาม

ว่าวเหวยฟางมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน งานฝีมือประณีต ใช้ไม้ไผ่ลำเล็กผูกประกอบโครงร่าง ใช้ผ้าแพรคุณภาพสูงทำเป็นหน้าว่าว ใช้ฝีมือคนในการวาดภาพ การใช้งานฝีมือบวกกับการตกแต่งมาประกอบกัน แสดงให้เห็นถึงคุณค่าในการใช้เล่นและเก็บถนอมชื่นชม ว่าวเหวยฟางที่โดดเด่นที่สุดก็คือ “ตะขาบหัวมังกร” ว่าวขนิดนี้ มีส่วนหัวเป็นมังกร ส่วนตัวจะร้อยเป็นตอนๆเหมือนปล้องของตะขาบ การเคลื่อนไหวเป็นไปตามธรรมชาติ “ตะขาบหัวมังกร”มีหลายรูปแบบ ขนาดเล็กสามารถวางไว้บนฝ่ามือ ขนาดใหญอาจจะมีความยาวร่วมหลายร้อยเมตร รูปร่าง สีสันต์ต่างก็ไม่เหมือนกัน ในปี 1984 ในการจัดงานเทศกาลว่าวนานาชาติเป็นครั้งแรกที่เหมืองเหวยฟาง มีการปล่อย “ตะขาบหัวมังกร” ส่วนหัวสูง 4 เมตร กว้าง4 เมตร ข้อร้อยหางเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2 เมตร ว่าวทั้งตัวยาวรวมทั้งหมด 320 เมตร เป็นว่าวที่ใหญ่ที่สุดของจีนในขณะนั้น

ว่าวจีนเป้นการตกผลึกของศิลปะและวิทยาการ เสน่ห์ไม่มีที่สุดของมันดึงดูดความสนใจของผู้รักชอบว่าวทั่วโลก เดี๋ยวนี้ เทศกาลว่าวนานาชาติเมืองเหวยฟางในมณฑลซานตงกลายเป็นงานชุมนุมว่าวนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ปีละครั้ง  ในเดือน 4 ของแต่ละปี จะมีผู้เชียวชาญจากในและนอกประเทศจีนมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก แลกเปลี่ยนความรู้กัน เหวยฟางก้ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ว่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ เก็บรวบรวม จัดนิทรรศการว่าวที่เก็บรักษาไว้ตั้งแต่โบราณจวบปัจจุบันทางในและนอกประเทศ

ว่าวจีนยังไม่จำกัดเฉพาะที่อธิบายมาแล้ว ในความเป็นจริง แต่ละท้องที่ในประเทศจีนก็ล้วนมีลักษณะพิเศษเฉพาะของแต่ละท้องที่ รูปแบบของแตละที่ก็ไม่เหมือนกัน อาจจะเป็นแบบใหญ่เทอะทะ หรือปราดเปรียวเหมาะเจาะ หรือหลากสีสันต์งดงาม หรืออาจจะแบบเรียบง่ายสง่างาม เป็นบุบผชาติของศิลปะพื้นบ้านอีกดอกหนึ่ง 
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #83 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 16:47:23 »

ขอบคุณ........

แล้วประเทศไทย เริ่มมีการเล่นว่าวมาตั้งแต่เมื่อไร?..........ท่านจุ๊ง
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #84 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 19:30:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 28 กันยายน 2553, 16:47:23
ขอบคุณ........

แล้วประเทศไทย เริ่มมีการเล่นว่าวมาตั้งแต่เมื่อไร?..........ท่านจุ๊ง


โทษทีรายการนี้คุยเรื่องจีนๆ ส่วนเรื่องไทยๆยังไม่รู้ เดี๋ยวไปค้นสมุดข่อยมาให้นะ
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #85 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 20:38:57 »

พี่จุ๊ง

ภาษาจีนพี่เก่งจังเลยค่ะ
หนูมีเพื่อนชาวจีนเยอะ


อยากพูด/เขียนเป็นจริง 





      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #86 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 20:47:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 28 กันยายน 2553, 20:38:57
พี่จุ๊ง

ภาษาจีนพี่เก่งจังเลยค่ะ
หนูมีเพื่อนชาวจีนเยอะ


อยากพูด/เขียนเป็นจริง  







ภาษาจีนก็พอsnake snake fish fish พอไปวัดตอนพระท่านฉันเพลเสร็จได้ แต่เท่าที่เห็นครูจีนพูดกัน เขาบอกว่ามาตรฐานการศึกษาภาษาจีนในบ้านเราแย่ที่สุดในภูมิภาคเดียวกันเลย ประเภทเรียนจบมา ถ้าไปจะเรียนต่อ ต้องไปเข้าintensive course ติวเข้มกันเชียวแหละ น้องหมีเอ๋ย
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #87 เมื่อ: 29 กันยายน 2553, 02:41:49 »

เผลอไปแผล็บ!
กลับมา...เขากะลังชักว่าวกันพอดี!!
..
..
ฮ้ายยยย พี่ๆกลุ่มนี้นะ ช่างคิด
เดี๋ยวน้องหมีเสียเด็กหมด!!


พี่จุ๊ง,
เวลาเล่นว่าว...เขาไปเล่นที่ไหน?
เหมือนไปสนามหลวงป่าว?
คงไม่ไปเล่นกันที่เทียนอันหมึน นะคะ



ลงชื่อ
น้องว่าวปั๊กเป้า
      บันทึกการเข้า


จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #88 เมื่อ: 29 กันยายน 2553, 14:01:29 »

มาคุยเรื่องกลอนของชอบต่อ เป็นกลอนของกวีเอกหลี่ไป๋

"靜夜思"
"李白"

床前明月光                    
疑是地上霜                    
舉頭望明月                    
低頭思故鄉


คิดเงียบๆ
หลีไป๋

เพ็ญจันทร์ส่องผ่องหน้าเตียงเพียงแสงพราว
สุกสกาวราวพื้นเป็นเช่นเกล็ดค้าง
แหงนหน้ามามองที่นั่นจันทร์กระจ่าง
ก้มลงล่างพลางคิดถึงซึ่งถิ่นเกิด
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #89 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 11:49:32 »

ธรรมเนียมกับดื่มน้ำชาของคนกวางตุ้ง

คนกวางตุ้ง เป็นหมู่คนที่ดำรงชีวิตในแถบภาคใต้ของจีน พวกเขามีบริเวณที่รวมกลุ่มของตนเองโดยเฉพาะ ใช้ภาษาท้องถิ่นของตัวเอง ดังนั้นวิถีการดำรงชีวิตประจำวันจึงมีเอกลักษณ์ของตัวเอง

ชาในชีวิตประจำวันของชาวกวางตุ้งมีความสำคัญมาก คำทักทายของชาวกวางตุ้งในการพบหน้ากันไม่ใช่ว่า”อรุณสวัสดิ์” กลับถามว่า”ดื่มชาหรือยัง” จากคำทักทายนี้แสดงให้เห็น ชาในชีวิตประจำวันของชาวกวางตุ้งมีความสำคัญอย่างยิ่ง แน่นอนว่าคำว่า”ดื่มชา” ไม่ใช่เฉพาะว่าเป็นการดื่มน้ำชาเท่านั้น ยังต้องมีอาหารว่างอย่างอื่น แต่ที่แน่นอนที่สุด ชาเป็นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้

ในกวางเจา ไม่ว่าจะเป็นร้านน้ำชาใหญ่หรือเล็ก แต่ละวันก็จะหากินกับ “3มื้อชา2มื้อข้าว” คนทั่วไปจะต้องกินน้ำชาก่อนอาหาร โดยเฉพาะการดื่มน้ำชาตอนเช้า มีผู้เฒ่าบางท่าน ตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ไปที่ร้านน้ำชาชงชาหอม 1 กา ค่อยๆจิบรับรู้รสชาติ จิบชาพลางก็คุยกันพลาง อย่างน้อยก็ใช้เวลาร่วมกว่าชั่วโมง อย่างมากอาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมง คนกวางตุ้งเรียกการกระทำนี้เรียกว่า “ปลงชา”

การดื่มน้ำชาของชาวกวางตุ้งค่อนข้างจะมีพิธีรีตองมาก ถ้าไม่ระมัดระวังอาจจะถูกคนหัวเราะเอาได้ง่ายๆ  อย่างเช่น เวลารินให้รินได้แค่ครึ่งค่อนจอก ถ้ารินเต็มจอก กลับกลายเป้นการแสดงกิริยาไม่คารวะ มีคำกล่าวว่า “เหล้าเต็มจอกคารวะแขก ชาเต็มจอกไล่แขก” ความหมายก็เป็นเช่นนี้ ยังมีอีกเช่นผู้อื่นรินน้ำชาให้ท่าน ท่านจะอยู่เฉยๆไม่ได้ จะต้องใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือขวางอลง เคาะเบาๆกับพื้นโต๊ะ 3 ครั้ง เป็นการแสดงความขอบคุณ มารยาทนี้เป็นที่รู้กันในหมู่ชุมชน มิฉะนั้นคนอื่นจะว่าเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะ

ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ราชวงศ์ชิง มีอยู่ปีหนึ่งจักรพรรดิเฉียนหลงเสด็จประพาสต้นมาทางภาคใต้ ไปร้านน้ำชาดื่มชาร่วมกับโจวยื่อชิง พระองค์รินน้ำชาให้ตัวเองเสร็จแล้ว ก็ถือโอกาสรินให้โจวยื่อชิงด้วย โจวยื่อชิงเห็นฝ่าบาทรินน้ำชาให้ตัวเอง ก้ไม่สามารถอยู่ในที่สาธารณะแสดงฐานะของตัวเองและถวายบังคมขอบพระทัย ดังนั้นในช่วงที่ลำบากใจพลันเกิดปัญญาขึ้นมา ใช้ 2  นิ้วงอโค้ง เคาะกับพื้นโต๊ะ3ที เป็นการแทนธรรมเนียมการถวายบังคมขอบพระทัย จากนั้นธรรมเนียมนี้ก้ค่อยๆกระจายไปในหมู่ผู้คน กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งในการดื่มน้ำชา
  
การนิยมดื่มน้ำชาตอนเช้าของชาวกวางตุ้ง ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่ประการใด สามารถเจริญอาหารได้ มีผลดีต่อสุขภาพ  ดังนั้นคำกล่าว “ชา 1 จอกเวลาตรู่ อดตายหมอยาให้ดู” อีกทั้ง “ตอนเช้า ชา 1กา ไม่ต้องหาหมอรักษา” ก็ไม่ใช่ไร้ซึ่งเหตุผล

      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #90 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 15:12:57 »

ที่จีนเขาจะไม่ทานน้ำเย็นกันนะครับ จะทานน้ำเปล่าธรรมดา 
หลังทานข้าวเขาจะไม่ดื่มน้ำตามทันทีเหมือนบ้านเรานะครับ   ผมมาอยู่ใหม่ๆ  ทานข้าวเสร็จขอน้ำเปล่า   กลับได้น้ำร้อนแทน  เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ   
   
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #91 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 18:12:31 »

แล้วขุนสังเกตุหรือป่าว เคยกินบะหมี่ที่จีนไหม จีนจะไม่ทำบะหมี่แห้ง จะมีแต่บะหมี่น้ำ และไม่มีช้อนด้วย ถ้าอยากกินน้ำ ก็ยกซดเอา
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #92 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 20:53:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ จุ๊ง2522 เมื่อ 01 ตุลาคม 2553, 18:12:31
แล้วขุนสังเกตุหรือป่าว เคยกินบะหมี่ที่จีนไหม จีนจะไม่ทำบะหมี่แห้ง จะมีแต่บะหมี่น้ำ และไม่มีช้อนด้วย ถ้าอยากกินน้ำ ก็ยกซดเอา

ทำไม แล้วที่เราซื้อบะหมี่แห้งกันล่ะคะ



อุ๊ยย!! มีว่าว ว่าว ด้วย
ชักไปกันใหญ่ อิอิ

เสียเด็กโหมะเยยยยยยยยยยยยยยยยย  so sad
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #93 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 08:13:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ จุ๊ง2522 เมื่อ 01 ตุลาคม 2553, 18:12:31
แล้วขุนสังเกตุหรือป่าว เคยกินบะหมี่ที่จีนไหม จีนจะไม่ทำบะหมี่แห้ง จะมีแต่บะหมี่น้ำ และไม่มีช้อนด้วย ถ้าอยากกินน้ำ ก็ยกซดเอา

เคยกินครับ คงมีแต่คนไทยครับที่ขอช้อนเพิ่มเพื่อซดน้ำ

ปล  ผมชอบเส้นที่เขาทำสดๆ ครับ  


      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #94 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 12:35:21 »

เอาเพลงที่เติ้งลี่จวินร้องมาโพสต์ดีกว่า เพลงนี้มาจากบทกลอนแต่งโดยหลี่อวี้ กษัตริย์องคฺสุดท้ายของก๊กหนานถัง และเป็นบทกลอนที่ชักนำเภทภัยถึงแก่ชีวิตแก่ผู้แต่งเอง ตอนนี้มาดื่มด่ำกับเนื้อหาเพลงก่อน แล้วเดี๋ยวรายละเอียดเกี่ยวกับผู้แต่งซึ่งเป็นประวัติศาสตร์เสี้ยวหนึ่งของประเทศจีนซึ่งจะมีเกี่ยวกับการสถาปนาราชวงศ์ซ่ง หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามราชวงศ์ซ้องด้วยจะตามมา คนจีนนี้ชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะกี่พันปีก็รู้ได้ แต่คนไทยรู้ประวัติศาสตร์น้อยมาก ไม่ต้องอื่นไกล เกินร้อยปีก็หายากแล้ว

几多愁   歌手:邓丽君     "ความทุกข์มากเพียงใด"

春花秋月何时了               บุปผาวสันต์จันทร์ฤดูใบไม้ร่วง  ไม่รู้เมื่อไรจะสิ้นสุด
往事知多少                        รับรู้เรื่องราวเก่าๆมากเพียงใด
小楼昨夜又东风               เมื่อคืนลมตะวันออกพัดเข้าตำหนักฉัน
故国不堪回首月明中       สุดระทมคนึงถึงชาติเมืองเก่ากลางจันทร์แจ่ม

雕栏玉砌应犹在                ลูกกรงสลักบรรไดหยกยังคงอยู่ดังเดิม
只是朱颜改                          แต่ทว่าหน้าตาที่สดใสได้เปลียนไป
问君能有几多愁                  หากถามฉันมีความทุกข์มากเพียงใด
恰似一江春水向东流         เสมือนธารน้ำวสันต์ไหลไปทางตะวันออกไม่สุดสิ้น


หมายเหตุ รายละเอียดการแปลหรือเกร็ดต่างๆที่จะตามมา เป็นการเก็บของเก่าๆที่เล่าสู่กันฟังในมุมจีนมาโพสต์ใหม่ บางอย่างอาจมีเสียงในฟิล์มบ้าง คงไม่ว่ากัน)

<a href="http://www.youtube.com/v/8iKHnHZVkB4?fs=1&amp;amp;hl=en_US" target="_blank">http://www.youtube.com/v/8iKHnHZVkB4?fs=1&amp;amp;hl=en_US</a>
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #95 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 12:39:31 »

เป็นหวงตี้ชีช้ำเหมือนกรรมซัด
ดั่งถูกมัดด้วยยศถาบรรดาศักดิ์
จะแต่งกลอนโคลงฉันท์พลันถูกทัก
ชาติจะล่มจมปลักหนักอุรา

ในประวัติศาสตร์ชาติจีน ใครๆ ก็อยากเป็นหวงตี้(ฮ่องเต้) 皇帝 แห่งดินแดนจงหยวน ขนาดพวกคนป่าเถื่อนที่ชาวจีนเรียกว่าพวกหู 胡 พวกฮวน 番 หากไม่ทันระวัง ก็พากันตั้งราชวงศ์เลียนแบบชนชาวฮั่น ตั้งตนเองเป็น “อ๋อง” หรือ “หวาง” 王 พอเป็นปึกแผ่นขึ้นหน่อย ก็ไม่วายสถาปนาตนเองเป็นหวงตี้ 皇帝 นับว่าการเป็นหวงตี้ เป็นสิ่งเย้ายวนชายชาตรี หรือผู้นำน้อยใหญ่ในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเหมือนกัน ที่บางคนไม่ต้องการเป็นหวงตี้ แต่ก็เป็นเคราะห์กรรมมากกว่าโชคดี ที่ได้เป็นหวงตี้กับเขาเหมือนกัน หากแต่เป็นหวงตี้ที่เหมือนละครเศร้าเคล้าน้ำตา คนยุคหลังเอามาเล่นงิ้วเล่นละคร คนดูร้องไห้กระจองอแง 
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #96 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 12:42:28 »

李煜 หลี่อวี้เกิดปี ค.ศ.937 สมัยบ้านเมืองอยู่ในช่วงกลียุค ราชวงศ์ถัง 唐朝 ที่วัฒนาสถาพรอยู่ร่วม 300 ปี ล่มสลายไปเมื่อ ค.ศ. 907 พวกกบฏและบรรดาขุนศึก รวมทั้งพวกชาวเตอร์กเชื้อสายซาถัว沙陀 ต่างชิงความเป็นใหญ่ เพื่อจะได้ขึ้นเป็นหวงตี้ครอบครองดินแดนจงหยวน จึงเกิดมีราชวงศ์สั้นๆ ถึง 5 ราชวงศ์ในระยะเวลาเพียงห้าสิบกว่าปี (ค.ศ.907-960) นอกจากนี้ ยังมีผู้นำท้องถิ่น ที่ตั้งตัวเป็นอิสระเป็นก๊กเป็นเหล่าอีกจำนวนมาก แต่นักประวัติศาสตร์นับที่สำคัญเพียง 10 ก๊ก ประวัติศาสตร์จีนช่วงนี้ จึงเรียกกันว่าห้าอาณาจักรสิบก๊ก 五代十国 เป็นช่วงต่อเชื่อมสั้นๆ ก่อนก้าวขึ้นเป็นราชวงศ์ซ่ง 宋朝

ราชวงศ์หรืออาณาจักรทั้งห้า อีกทั้งก๊กต่างๆ เป็นสิบ ต่างใช้ชื่อเลียนแบบราชวงศ์ก่อนๆ ในอดีตของจีน อย่างเช่นอาณาจักรทั้งห้า (5) มีเหลียง梁 ถัง唐 จิ้น晋 ฮั่น汉 และโจว周 เพื่อมิให้เกิดความสับสัน นักประวัติศาสตร์จึงเติมคำว่าโฮ่ว后(แปลว่ายุคหลัง) ไว้หน้าชื่อราชวงศ์เหล่านี้ เช่นโฮ่วเหลียง后梁 หรือโฮ่วถัง后唐

แต่ก็ยังไม่หมดปัญหา เพราะก๊กต่างๆ เป็นสิบ ก็ใช้ชื่อซ้ำกันอีก เหมือนกระเป๋าถือสุภาพสตรี ใครๆ ก็อยากใช้ชื่อกุชชี่และหลุยส์ วิกตอง หนึ่งในก๊กที่ว่านี้ ใช้ชื่อว่า “ถัง” 唐 แต่เนื่องจากมีราชธานีอยู่ที่เมืองจินหลิง金陵 (ปัจจุบันคือเมืองหนานจิง 南京) นักประวัติศาสตร์เลยเรียกก๊กนี้ว่าหนานถัง 南唐 หลี่อวี้พระเอกของเรา เป็นองค์ชายแห่งก๊กหนานถังครับ
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #97 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 12:47:45 »

หลี่อวี้มีชื่อเดิมว่าฉงเจีย从嘉 แต่ชื่อที่เป็นจารีต(จื้อ)字 เรียกว่าฉงกวง重光 บุคลิกของเขา นับว่าไม่ธรรมดา นัยน์ตาของเขา มีอยู่ข้างหนึ่งที่มีรูรับแสงถึงสองรู ภาษาจีนเรียกว่า “ฉงถง” 重瞳 ลักษณะที่ว่า มีไม่ถึงหนึ่งในล้าน

ในประวัติศาสตร์ชาติจีน บุคคลสำคัญที่มีฉงถง重瞳 ก็มีเพียงเซี่ยงอวี่ 项羽 หรือฉู่ป้าหวาง楚霸王 คู่ปรับของหลิวปัง刘邦 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น汉 หรือหากย้อนหลังไปก่อนหน้านั้น ก็มีกษัตริย์ในยุคบรรพกาลอีกหนึ่งองค์ นั่นคือกษัตริย์ซุ่น舜 ที่มีนัยน์ตาพิสดารเช่นนั้น

ชนชาวจีนเชื่อว่า ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะของคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีโอกาสได้เป็นเจ้าครองนคร แต่โอกาสที่ฉงเจียหรือหลี่อวี้ จะได้ขึ้นครองราชย์ แทบจะไม่ต้องฝัน เพราะทรงเป็นโอรสองค์ที่หก ของกษัตริย์หลีจิ่ง李璟 เจ้าผู้ครองแคว้นแห่งนครหนานถัง南唐 ฉะนั้นจึงทรงโปรดแต่เรื่องการศึกษาเล่าเรียนทางวรรณกรรมและศิลปกรรมตั้งแต่เด็ก เรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอน หาใครเทียบยาก ซ้ำยังเชี่ยวชาญเรื่องการเขียนลายมือ书法 และวาดภาพ绘画 พูดง่ายๆ คือเป็นศิลปินเต็มร้อย หาใช่เป็นนักปกครองไม่

      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #98 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 12:50:22 »

ปี ค.ศ.937 ซึ่งเป็นปีที่หลี่อวี้เกิดนั้น พระอัยกา(ปู่)ของหลี่อวี้ ทรงพระนามว่าหลี่เปี้ยน李弁〈昪〉 ตั้งก๊กถังได้สำเร็จ แต่ภายหลังถูกเรียกว่า “หนานถัง” 南唐 เพื่อไม่ให้สับสน

หลี่เปี้ยน เดิมมีชื่อว่าสวีจือก้าว 徐知诰 เป็นลูกเลี้ยงของสวีเวิน徐温 อำมาตย์คนดังแห่งก๊กอู๋ 吴 ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบก๊ก ปี ค.ศ. 937 สวีจือก้าวล้มล้างก๊กอู๋ แล้วก่อตั้งก๊กถัง พร้อมทั้งเปลี่ยนมาใช้แซ่หลี่李 เพราะอ้างว่าเป็นลูกหลานสืบเชื้อสายมาจากถังเสี้ยนจงฮ่องเต้唐宪宗 เลยใช้ชื่อว่าหลี่เปี้ยน ภายหลังได้รับการถวายพระนามว่า “เลี่ยจู่” 烈祖

อาณาจักรถังหรือหนานถังของหลี่เปี้ยน มีดินแดนกว้างใหญ่กว่าใครทั้งหมด ในจำนวนก๊กทั้ง 10 ด้วยกัน โดยครอบคลุมดินแดนฝั่งใต้แม่น้ำไหว(huai2) 淮南 ดินแดนเจียงซี江西 หูหนาน湖南 และฝูเจี้ยน福建

ปี ค.ศ.943 หลี่เปี้ยนสวรรคต ราชโอรสหลีจิ่ง李璟 ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ ทรงพระนามว่าหยวนจง元宗 ในช่วงปีท้ายๆ ของรัชกาลของหยวนจง ราชวงศ์โฮ่วโจว后周 ซึ่งตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองไคเฟิง(ไคฟง)แต่ในสมัยนั้น เรียกกันว่าเมืองเปี้ยนเหลียง卞梁 มีความกล้าแข็งขึ้นมาก สุดที่หนานถังของหลีจิ่งจะต้านทานไหว จึงต้องยอมเจรจาสงบศึก พร้อมตัดดินแดนฝั่งใต้แม่น้ำไหว(huai2) หรืออีกนัยหนึ่งคือดินแดนฝั่งเหนือแม่น้ำแยงซี 江北 ให้แก่โฮ่วโจว

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โฮ่วโจว后周 กำลังรุ่งสุดๆ กษัตริย์สื้อจง世宗 แห่งโฮ่วโจว后周 ก็สวรรคตกระทันหัน ด้วยวัยเพียง 39 พรรษา ปีนั้นคือปี ค.ศ. 959 ราชโอรสของสื้อจง นามกงตี้恭帝 ได้ครองราชย์ต่อ ด้วยวัยเพียง 7 ชันษา

      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #99 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 12:56:31 »

เมื่อโฮ่วโจวขาดผู้นำที่มีบารมีอย่างกษัตริย์สื้อจง世宗 กษัตริย์องค์ใหม่ยังเป็นเด็กไม่ประสีประสา ในภาวะที่บ้านเมืองวิกฤตคับขันเช่นนั้น มีหรือเนื้อย่างหอมหวานจะพ้นปากเสือ

นายทหารแซ่จ้าว 赵 คนหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นจ่งซือลิ่ง总司令(สมุหกลาโหม) มีหน้าที่ถวายการอารักขาต่อเจ้าเหนือหัว มีกำลังทหารในบังคับบัญชาพร้อมสรรพ ได้ออกอุบายว่า พวกเหลี่ยว 辽兵 ซึ่งเป็นพวกนอกด่านทางเหนือ กำลังยกพลมาตีแคว้นโจว 后周 ทำเอากษัตริย์กงตี้ขวัญหนีดีฝ่อ ร้องไห้ด้วยความกลัวตามประสาเด็กๆ แต่พอรู้ว่าแม่ทัพแซ่จ้าวนามควงอิ้น สามารถต่อกรกับพวกเหลียวได้ ก็มีบัญชาให้ท่านแม่ทัพระดมพลได้ทันที ทุกอย่างเลยเข้าแผนการของจ้าวควงอิ้น 赵匡胤

จ้าวควงอิ้นยกทัพออกไปจากเมืองหลวงไม่ทันข้ามวัน ตกดึกขณะกำลังนอนหลับพักผ่อน ทหารใต้บังคับบัญชา ก็นำเสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองใหม่เอี่ยมมาคลุมกายจ้าวควงอิ้น พร้อมกับคุกเข่าถวายคำกราบทูลให้ขึ้นเป็นหวงตี้皇帝 เพราะแผ่นดินไม่อาจปกครองด้วยเด็กที่อ่อนแอได้ นี่คือที่มาของประวัติศาสตร์บทหนึ่งที่มีชื่อว่า “หวงผาวเจียเซิน” 黄袍加身(เสื้อเหลืองครอบคลุมกาย หมายเหตุ สมัยโบราณคนจีนทั่วไปห้ามใช้สีเหลือง เพราสีเหลืองใช้ได้เฉพาะกษัตริย์เท่านั้น โดยเฉพาะคำว่าเหลืองภาษาจีนอ่านว่าหวง จะพ้องเสียงกับคำว่าหวงที่แปลว่ากษัตริย์) แหม.. ช่างง่ายดายเสียจริง
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 36  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><