16 พฤษภาคม 2567, 22:26:41
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 28 29 [30] 31 32 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 303099 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #725 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2555, 11:00:23 »

ผู้ได้รับเกียรติ 'ค้อนปลอมดูไบ'

  Posttoday.com

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

“สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” กลายเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกในประวัติศาสตร์การเมือง ที่ถูก สส.ฉุดกระชากลากลงจากบัลลังก์ ด้วยพฤติกรรมที่ “ฝ่ายค้าน” อดรนทนไม่ไหวกับความเอนเอียงรวบรัดตัดตอนปิดกั้นการทำหน้าที่ของประชาธิปัตย์

จากตำนาน “ขุนค้อน” เมื่อสมัยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ปี 2540 กลายสภาพเป็น “ค้อนปลอมตราดูไบ” ตามฉายาที่สื่อมวลชนสภาตั้งให้ ตามที่ได้ยอมรับว่า ไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก่อนได้รับเลือกให้เป็นประธานสภา ท่ามกลางข้อกังขาว่าได้รับตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อคุมเกมสภาตามคำสั่ง “นายใหญ่” จากแดนไกล

การปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่ผ่านมา “สมศักดิ์” ถูกมองว่าใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยยึดข้อบังคับที่ให้อำนาจประธานในการวินิจฉัยความขัดแย้ง หรือปมปัญหาต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ฝ่ายเพื่อไทยอยู่บ่อยครั้งนำมาสู่วาทะแห่งปี 2554 ว่า “คำวินิจฉัยประธานถือเป็นที่สิ้นสุดจะผิดหรือถูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ครั้งนั้นเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่สภามีการถกเถียงในการพาดพิงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนบรรยากาศเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่ประธานจะตัดบท

“ผมฟังอยู่ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นครับ ท่านครับ ท่านสมาชิกครับ ผมขออนุญาตนิดเดียวครับ ข้อบังคับที่พวกเราร่างขึ้นมาเป็นกติกาให้อำนาจ ประธานเป็นผู้วินิจฉัยแล้วถือว่าเป็นเด็ดขาด ส่วนผิดหรือถูกอีกเรื่องหนึ่งครับ ผมถือว่าผมวินิจฉัยแล้วต้องเป็นเด็ดขาดครับ ไม่อย่างนั้นมันจบไม่ได้ครับ”

จากนั้นเรื่อยมาพฤติกรรมการคุมทิศทางการอภิปรายในสภาดูจะหนักข้อชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายค้าน ปิดไมโครโฟนผู้นำฝ่ายค้าน แต่เปิดโอกาสให้ สส.ฝ่ายรัฐบาล ได้อภิปรายจนถูกต่อว่าต่อขานจากสมาชิกว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา

อีกเหตุการณ์ชัดเจน คือ ระหว่างการประชุมร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระ 2 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 พ.ค. “สมศักดิ์” ถูก “บุญยอด สุขถิ่นไทย” สส.กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคประชาธิปัตย์ เดินไปหน้าบัลลังก์ พร้อมกล่าวถ้อยคำล้อเลียนว่าด้วยถ้อยคำว่า “ไฮฮิตเลอร์” พร้อมชูมือประกอบเลียนแบบท่าทางอดีตผู้นำเผด็จการ จากกรณีที่รวบรัดลงมติในมาตรา 291/6

วานนี้ในที่ประชุมร่วมกรรมาธิการ 35 คณะ เพื่อพิจารณาลงมติร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าข่ายกฎหมายการเงินหรือไม่ “สมศักดิ์” ถึงกับออกอาการรำพึงรำพันบรรยายความน้อยอกน้อยใจที่ถูกกล่าวหากดดันการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมปล่อยให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายเต็มที่ในเวทีนี้

สุดท้ายวานนี้ แม้จะพลิกตำราตั้งรับวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา เพื่ออารักขาบัลลังก์ประธานสภา หลังถูก สส.ประชาธิปัตย์ ลากลงจากเก้าอี้ พร้อมซ้ำด้วย “รังสิมา รอดรัศมี” สส.สมุทรสงคราม ลากเก้าอี้ออกจากบัลลังก์เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการให้กลับมาทำหน้าที่อีกหน แต่รอบนี้ ถึงฝ่ายค้านที่เข้าไม่ถึงตัวประธานทำได้เพียงแค่ขว้างหนังสือข้อบังคับการประชุมใส่เต็มๆ

ก่อนที่จะชิงปิดสภาหลังบรรลุภารกิจเลื่อนวาระ พ.ร.บ.ปรองดอง จ่อรอการพิจารณาสภา โดยเจ้าตัวต้องรีบออกจากสภาด้วยความรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศการอารักขาล้อมหน้าล้อมหลัง

นับเป็นประธานสภาที่ได้รับเกียรติหลายอย่างจากสมาชิก ทั้งการถูกอภิปรายถล่มเละ ถูกกระทบกระทั่งทางร่างกาย แถมโดนยื่นถอดถอนอีกต่างหาก แทบไม่เคยปรากฏมาก่อนของรัฐสภาไทย

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #726 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2555, 11:04:08 »

“ลีน่า จัง” ปรี๊ด ด่าเสื้อแดง “ไอ้หน้า ห.”!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

หายไปนาน กลับมาคราวนี้ “ลีน่า จัง” หรือ “ลีนา จังจรรจา” นักกฎหมาย นักธุรกิจ และนักแสดงสาวจัดเต็มแบบไม่มีเม้ม ด่าชายนิรนามเสื้อแดงที่โทร.เข้ามาป่วนในรายการแฉคดี รายการทางช่องเคเบิลดาวเทียมที่เธอจัดเองแบบจัดเต็มชุดใหญ่ มาหมดทั้งหน้าอวัยวะเพศหญิง ทั้งหน้าตัวเมีย ทั้งสัตว์นรก ในขณะที่อีกฝ่ายด่าลีน่านิ่มๆ แบบนักวิชาการ แต่สาวใหญ่วัย 52 ไม่สนประกาศกลางรายการขอเป็นปีศาจที่จงรักภักดีดีกว่าเป็นผู้ดีใส่หน้ากากเป็นนายกฯ ปู
       
       เหตุเกิดขึ้นกลางรายการแฉคดี รายการสดของลีน่าที่เกี่ยวกับการพูดถึงประเด็นต่างๆ ในสังคมและเป็นช่องทางให้ชาวบ้านโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาเรื่องข้อกฎหมายซึ่งจัดมาเป็นเวลา 10 เดือนเต็มแล้วทางช่อง 149 เคเบิลจานดำ หลังจากที่ลีน่าซึ่งเป็นทั้งโปรดิวเซอร์ เจ้าของรายการ และพิธีกรรายการพูดถึงประเด็น พ.ร.บ. ปรองดองที่บรรดา ส.ส. พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังพยายามที่จะเข็นเข้าสู่สภา ซึ่งลีน่าแสดงจุดยืนชัดเจนว่าเธอ “ไม่เห็นด้วย” กับ พ.ร.บ. ฉบับนี้
       
       หลังการประกาศจุดยืนดังกล่าว ได้มีชายไม่ทราบชื่อโทรศัพท์เข้ามาในรายการและชวนลีน่าพูดถึง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งลีน่าก็ยังยืนยันว่าเธอไม่เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะลากเรื่องความไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ไปสู่ประเด็นการมีอคติกับทักษิณของลีน่า และนั่นก็ทำให้ลีน่าเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ถามไถ่ชื่อจริงของชายที่โทรเข้ามาเป็นการใหญ่ แต่ชายคนดังกล่าวก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกชื่อจริง เป็นเหตุให้ลีน่าปรี๊ดแตกขึ้นมึงขึ้นกูด่าชายนิรนามคนนี้ออกอากาศแบบนันสต็อป!!
       
       คำด่าของลีน่ามีตั้งแต่ “หน้าอวัยวะเพศหญิง” ไอ้สัตว์นรก” รวมถึงการไล่ให้ชายคนดังกล่าวกลับไปสวมกระโปรง โดยที่ชายคนนั้นพยายามที่จะถามคำถามลีน่ากลับตลอดคล้ายจงใจจะยั่วโมโห ก่อนที่จะวางสายไป หลังจากนั้นเจ๊ลีน่าก็จัดชุดใหญ่ใส่ไข่ ทั้งด่าทั้งพูดถึง พ.ร.บ. ปรองดองว่าเป็น พ.ร.บ. ที่คนร่างและคนผลักดันจงใจที่จะล้างมลทินให้ผู้กระทำผิด โดยลีน่าย้ำชัดเจนว่าเธอมีอคติกับทักษิณ เพราะนักการเมืองหน้าเหลี่ยมรายนี้โกงบ้านโกงเมืองแถมยังหลอกประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้มาชุมนุมเป็นเหตุให้คนไทยด้วยกันต้องมาเข่นฆ่ากันเองอีกด้วย
       
       หลายคนมองว่าความคั่งแค้นที่ลีน่ามีต่อทักษิณ นายกฯยิ่งลักษณ์ และคนเสื้อแดงเกิดจากการที่ธุรกิจของเธอได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อสองปีก่อน เนื่องจากศูนย์กลางธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมความงามของลีน่าอยู่ที่ประตูน้ำ ห่างจากศูนย์กลางการชุมนุมแค่ไม่กี่เมตร แต่เมื่อถามเจ้าตัว ลีน่ายอมรับว่าเธอได้รับผลกระทบจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในใจลึกๆ เธอก็เข้าใจและเห็นใจพี่น้องชาวไทยที่มาร่วมชุมนุมในนามคนเสื้อแดง และนั่นก็เป็นเหตุให้เธอก้าวฉับๆ ไปหน้าเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงแล้วประกาศให้สิทธิความเป็นธรรมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในการมาชุมนุมที่ราชประสงค์ แม้ว่าธุรกิจของเธอจะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ก็ตาม
       
       ด้วยความที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางการชุมนุมในครั้งนั้น ทำให้ลีน่าได้เห็นความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด ลีน่าเผยว่าเธอเห็นว่ามีการซ่องสุมกำลัง เตรียมอาวุธ พร้อมที่จะเปิดศึกสงครามโดยกลุ่มคนเสื้อแดง และนั่นก็เป็นชนวนที่ทำให้เธอออกมาประกาศชัดว่าไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ที่จะล้างผิดให้กับคนที่เคยทำผิดกฎหมายบ้านเมืองฉบับนี้
       
       คลิปวิดีโอที่ถูกนำมาถ่ายทอดลงยูทิวบ์ทำให้เห็นเพียงแค่บางฉากบางตอนของรายการแฉคดีของลีน่า แต่ความจริงแล้วนาฏกรรมการด่ากราดระหว่างลีน่ากับคนเสื้อแดงมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น หลังจากชายนิรนามเสื้อแดงโทร.มาป่วนในสไตล์นักวิชาการไปแล้ว ตกเย็นรายการที่ลีน่าจัดก็มีคนที่อ้างตัวว่าเป็น ส.ส. จังหวัดตาก พรรคเพื่อไทยโทร.เข้ามาด่าทอแบบฮาร์ดคอร์ ทั้งด่าว่าลีน่าไม่ได้ขี้เล็บของนายกฯ ปู ด่ารายการของลีน่าว่าต้องเรี่ยไรเงินคนแก่ถึงอยู่รอดมาได้ แล้วลงท้ายด้วยการขู่ว่าจะเกณฑ์ชาวเสื้อแดงไปกรุงเทพฯ เพื่อไปเตะลีน่า โดยย้ำว่า “ตัวสั้นๆ ป้อมๆ อย่างลีน่าถ้าโดนเตะคงกลิ้งเป็นลูกฟุตบอล”
       
       หลังจากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาป่วนอีกมากมาย ทั้งหญิงเสื้อแดงที่โทรเข้ามาถามว่าลีน่าจังคันหูหรือคันอวัยวะเพศถึงได้จัดรายการเช่นนี้ ทั้งพิธีกรชายที่โทรเข้ามาด่านิ่มๆ ว่ารายการแฉคดีเต็มไปด้วยถ้อยคำหยาบคายไร้มารยาท
       
       ทั้งนี้ทั้งนั้นลีน่าจังบอกว่าการเข้ามาป่วนรายการของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ทำให้รายการแฉคดีของเธอซบเซาลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้เรตติ้งรายการพุ่งกระฉูด ล่าสุดยอดวิวเฉพาะเทปที่เกิดศึกด่าทอก็พุ่งเข้าไปแตะที่ 38,100 วิวแล้ว ไม่รวมผู้ที่เปิดเข้าไปชมโดยตรงที่ www.hottv.in.th อีกวันละหลายพันครั้ง
       
       ลีน่าย้ำว่าจุดยืนทางการเมืองของเธอคือการเป็นคนไม่มีสี ไม่มีฝ่าย เธอบอกว่าขอเป็นปีศาจร้ายที่จงรักภักดีพระเจ้าแผ่นดิน และอยู่เคียงข้างประชาชน “รายการของอาจารย์(ลีน่ามักเรียกตัวเองว่าอาจารย์) คนเสื้อแดง คนเสื้อเหลือง คนเสื้อน้ำเงิน คนเสื้อหลากสี คนเสื้ออะไรก็โทร.เข้ามาได้ เพราะอาจารย์อยู่ข้างประชาชน แต่ไม่อยู่ข้างพวกนักการเมืองชั่วๆ รายการแฉคดีถึงมีสโลแกนว่า เป็นวัคซีนป้องกันความโง่ไงคะ”
       
       การกลับมาครั้งนี้ของลีน่าจึงเต็มไปด้วยความแซบเวอร์ ชนิดที่ใครได้เห็นได้ฟังเป็นต้องเอามือกุมหัวใจ ดิบเถื่อนแบบนี้น่าจะสมน้ำสมเนื้อกับคนเสื้อแดงที่ชอบสไตล์ฮาร์ดคอร์ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่ารายการในอนาคตของลีน่าจะเผ็ดร้อนขนาดไหน รวมถึงตัวลีน่าเองจะออกมาเคลื่อนไหวอย่างไร ในเมื่อบรรดานักการเมืองและผู้ก่อเรื่องเมื่อสามปีก่อนยังคงพยายามเข็น พ.ร.บ. ฉบับนี้หน้าด้านๆ อย่างนี้ต่อไป
       
       * อยากฟังรายละเอียดไปที่ http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ufPFFSAjNWo
       ....................................................
       
       ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 139 วันที่ 2 - 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #727 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2555, 18:41:58 »

"วสันต์" ปัดศาลจุ้นนิติบัญญัติ ยันรับคำร้องตามรธน. หวังผู้แจงให้คำมั่นสัญญาปชช.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปธ.ศาลรธน.ปัดรับ 5 คำร้องวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหวังขวางกระบวนการสภา ระบุมีผู้ร้องมาตาม ม.68 ก็ต้องไต่สวน ชี้ถ้าไม่ล้มล้างการปกครองก็ยกคำร้อง หากมาชี้แจงก็เท่ากับให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชน ยันไม่ได้จุ้นนิติบัญญัติแต่ตรวจสอบเพื่อลดความระแวงของสังคม ถ้าบริสุทธิ์ใจก็จบ ขออย่าเหมารวมปรองดอง ด้านตุลาการฯ เผยพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว บอกแจ้งไปแล้วถ้ายังดื้อลงมติสภาต้องรับผิดชอบ ใครอยากถอดถอนก็ไม่ว่ากัน
       
       วันนี้ (3 มิ.ย.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับ 5 คำร้องกรณีขอให้วินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาวินิจฉัย ว่า ไม่ใช่เพราะมีเจตนาที่จะขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากมีผู้มาร้องขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งศาลก็ต้องไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงว่าการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ตามที่มีการกล่าวหาหรือไม่ หากการให้ข้อเท็จจริงทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การดำเนินการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้อง ยังไม่มีพฤติการณ์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ศาลก็ยกคำร้อง
       
       “ แม้ขณะนี้ยังไม่มีการยกร่างกันเป็นรายมาตรา และถ้าจะอ้างว่าผู้ที่ยกร่างก็เป็นส.ส.ร.ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือ พรรคการเมือง แต่คนเหล่านี้คือผู้ที่จะต้องให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่ส.ส.ร.เป็นผู้ยกร่าง จึงถือได้ว่าเป็นอำนาจสุดท้ายในการดำเนินการ อีกทั้งหากส.ส.ร.ทำผิดหลักการขึ้นมาจะทำกันอย่างไร ดังนั้นศาลจึงอยากที่จะรู้ว่า คนเหล่านี้ มีความคิดในเรื่องรูปแบบของการปกครองอย่างไร เช่น ถ้าบอกว่าจะไม่แตะสถาบัน แต่ทำไมถึงไม่ยกเว้นในหมวด 1 หมวด 2 ไว้ อย่างนี้มันต้องชัดเจน และต้องให้ความมั่นใจกับประชาชน และผู้ที่ร้องมา เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็อยากจะรู้เช่นกัน ซึ่งผู้ที่จะมาชี้แจงในชั้นไต่สวนก็เหมือนกับการให้สัญญาประชาคมกับสังคมและผู้ร้อง ว่า ถ้าหากส.ส.ร.ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกมาไม่เป็นไปตามที่ชี้แจงในชั้นไต่สวน คนเหล่านี้ก็จะไม่ยกมือรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเขาแถลงอย่างหนึ่ง แต่พอถึงเวลา กลับทำอีกอย่างหนึ่งประชาชนก็จะได้รู้ว่าใครโกหก ซึ่งก็เหมือนกับเป็นสัญญาลูกผู้ชาย สัญญาลูกผู้หญิง และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะไม่เลยเถิดเราต้องตรวจสอบตรงนี้ก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการถ่วงดุล” ประธานศาลรธน. กล่าว
       
       นายวสันต์ ยังกล่าวอีกว่า การรับพิจารณาคำร้องดัง กล่าวไม่ถือว่าศาลเข้าไปแทรกแซงฝ่ายบริหาร หรือไปแทรกแทรงฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เป็นการดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่ให้อำนาจเอาไว้ ถือเป็นการถ่วงดุลในการตรวจสอบ ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจเข้าไปก้าวล่วงไปกำกับรัฐสภา จึงควรมองในทางบวก ว่า การที่ศาลรับคำร้องและมีการไต่สวน ก็เพื่อทำให้ลดความตรึงเครียด และความหวาดระแวงของสังคมที่มีต่อรัฐบาล และรัฐสภาลงได้ อีกทั้งเป็นผลดีทั้งรัฐบาลและรัฐสภาด้วยซ้ำที่จะได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้ ถ้าพวกเขาแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมาว่าไม่มีพฤติการณ์ตามที่เขาสงสัยมาก็จบ ก็เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งคนละเรื่องกันอย่าเอามารวมกัน
       
       เมื่อถามว่า ความรวดเร็วในการรับพิจารณาคำร้องดังกล่าว อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังอยู่ในชั้นของการยกร่างอาจทำให้ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่า ไปรับงานใครมาหรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า หมายถึงใครถ้าหมายถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จำได้ว่า เคยพูดกันครั้งเดียว ขนาดไปงานพระราชพิธี เจอและนั่งใกล้กันยังไม่เคยหันหน้าไปพูดกันเลย เพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และเห็นว่าขณะนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังจะผ่านวาระ 3 ซึ่งในเนื้อหาค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร รวมทั้งหากพ้นจากวาระ 3 ไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถไปดำเนินการใดๆ ได้แล้ว หรือแม้แต่เมื่อส.ส.ร.ยกร่างเสร็จแล้วเป็นร่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัย
       
       “ ศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เราสนใจ และก็ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้ร้องเขาร้องมา แต่ประเด็นอยู่ที่ก่อนการดำเนินการต่อไปต้องชัดเจนก่อนว่ามีการซ่อนรูปแบบการปกครองบางอย่างเอาไว้หรือไม่ และจะเป็นการเอามาใช้แทนรูปแบบการปกครองในปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีหรือที่ประชาชนจะได้รับทราบพร้อมๆ กันในระหว่างที่ศาลไต่สวน ก่อนที่จะมีการแก้ไขต่อไป และอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญปี 50 นั้นก็ได้ผ่านการทำประชามติมา ก็ถือได้ว่ามาจากประชาชน เพราะฉะนั้นจะเป็นไรไปถ้าหากให้ประชาชนได้ทราบก่อนว่าการแก้ไขจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หรือ ศาลไม่ได้ห้ามไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญเสียเมื่อไหร่ ”นายวสันต์ กล่าว
       
       ด้านนายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณที่มีนักวิชาการออกมาแสดงความเห็นว่าการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกิดขอบเขต ใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติและการออกคำสั่งดังกล่าวนั้นเข้าลักษณะที่อาจถูกถอดถอนได้ ว่า กรณีดังกล่าวเมื่อมีผู้ร้องมาเราก็ดำเนินการพิจารณาและก่อนที่จะลงมติก็ได้มีการพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าสมควรที่จะดำเนินการเช่นนั้น จึงมีหนังสือไปยังเลขาธิการสภา แจ้งต่อประธานสภา และสมาชิก ทราบว่าศาลได้มีคำสั่งให้ชะลอการลงมติในวาระที่ 3 ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา ซึ่งคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ตุลาการฯ ก็ได้มีการพิจารณากันแล้วว่า การสั่งให้ชะลอการลงมติก็ไม่มีผลอะไร ที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ช้าหน่อย เพื่อความชัดเจนก็เห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เแต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญบอกไปแล้วไม่ฟังหากเกิดเรื่องขึ้นมาสภาก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
       
       “ เมื่อมีคนร้องขึ้นมาว่า การแก้รัฐธรรมนูญนั้นมันผิดหลักการ เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ ซึ่งเราตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมาพิจารณาว่า จริงหรือไม่ ไม่ได้เป็นการไปขั้ดขวางไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการอย่างทราบความชัดเจนในการดำเนินการว่าผิดหลักการตามที่ผู้ร้องร้องมาหรือไม่ หากไม่มีคนร้องศาลก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการดำเนินการออกคำสั่งไปนั้นเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งก็ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน ส่วนใครเห็นว่าเราทำเกินอำนาจหน้าที่อยากจะถอดถอนก็ไม่ได้ว่าอะไร และรัฐธรรมนูญก็ให้สิทธิ์ไว้ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนไป อีกทั้งที่เห็นว่าเป็นการก้าวก่ายก็เป็นเพียวความเห็นของนักวิชาการ หรือใครก็มีความเห็นได้ไม่ได้ว่าอะไร และขอยืนยันว่าเราดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่ให้ไว้” นายบุญส่ง กล่าว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #728 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 19:03:03 »


อึดอัดต้นสังกัด สื่อรวมตัวเปิดเพจ “สายตรงภาคสนาม” รายงานข่าวตรงสู่ ปชช.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
สมาชิกเฟซบุ๊กอ้างเป็นผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก สุดทนสื่อหลักทั้งทีวี-หนังสือพิมพ์ อ้างความเป็นกลางพร่ำเพรื่อ ไม่ปกป้องบ้านเมือง รวมตัวเปิดแฟนเพจ “สายตรงภาคสนาม” รายงานข่าวสารตรงสู่ประชาชน พร้อมเชิญเพื่อนสื่ออึดอัดต้นสังกัด ส่งข้อมูลร่วมตีแผ่ความจริง
       

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์การเมืองที่เกิดความขัดแย้งจากการที่รัฐบาลหักดิบพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ ประกอบกับรัฐบาลมีท่าทีที่จะขัดคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ระงับการลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ด้วยการใช้เสียงข้างมากเตรียมลงมติวาระ 3 ในการประชุมรัฐสภาวันที่ 8 มิ.ย.55 นี้ ปรากฏว่ามีความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลมีเดีย จากการรวมตัวของกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามจากหลากหลายสำนัก ได้ร่วมกันจัดทำแฟนเพจในเว็บไซต์เฟซบุ๊กโดยใช้ชื่อว่า “สายตรงภาคสนาม” เริ่มก่อตั้งเมื่อคืนที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา
       
       แฟนเพจสายตรงภาคสนาม ซึ่งมีสโลแกนของเพจว่า “โกหกไม่ลง พูดตรงไปเลย” และใช้สัญลักษณ์รูปลิงเปิดหู เปิดตา เปิดปาก ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลในการจัดทำแฟนเพจไว้ว่า เพจ “สายตรงภาคสนาม” เปิดขึ้นด้วยการรวมตัวของกลุ่มนักข่าวภาคสนามจากหลากหลายสังกัดที่มีความเห็นตรงกันว่า ในสถานการณ์ที่ประเทศชาติเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ถือเป็นภารกิจสำคัญยิ่งของผู้ที่ทำหน้าที่สื่อสารมวลชนในการนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ได้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของฝ่ายการเมือง เนื่องจากสื่อหลักมิได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเข้มแข็งในการปกป้องบ้านเมือง โดยมีการอ้างคำว่า “เป็นกลาง” อย่างพร่ำเพรื่อ โดยกลุ่มเพจ “สายตรงภาคสนาม” มีความเห็นที่แตกต่างออกไป เนื่องจากตามหลักวิชาการของสื่อสารมวลชนเองก็ยังมีการระบุถึงหน้าที่ไว้ว่า สื่อต้องเป็น GATEKEEPER คือประตูแห่งการกลั่นกรองข่าวสาร
       
       ดังนั้น สื่อมวลชนซึ่งเข้าถึงข้อมูลจากแหล่งข่าวได้มากกว่าประชาชนทั่วไป จึงอยู่ในวิสัยที่ต้องตัดสินข้อมูลที่มีในมือได้ว่า การเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่ ด้วยการเปิดเผยแง่มุมต่างๆ ในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้อย่างรอบด้านมากขึ้น
       
       ทั้งนี้ กลุ่ม “เพจสายตรงภาคสนาม” จะได้นำข้อมูลข่าวสารจากการทำข่าวในภาคสนามนำเสนอต่อประชาชน เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล ในภาวะที่สื่อหลักถูกแทรกซื้อ แทรกซึม แทรกแซง หรือแม้แต่สมยอมกลายเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายการเมืองใช้ในการชี้นำประชาชน เพื่อประโยชน์ในทางการเมือง
       
       ในฐานะที่พวกเราเป็นสื่อสารมวลชน ตระหนักถึงภาระหน้าที่ภายใต้จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพโดยไม่มีกรอบจำกัดของต้นสังกัดเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงพร้อมใจรวมตัวกันสร้าง “เพจสายตรงภาคสนาม” โดยหวังว่าจะได้เป็นส่วนเล็กๆ ในการปกป้องบ้านเมืองด้วยการสร้างปัญญาผ่านข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อหยุดยั้งความสับสนในสังคมไทยที่ทำให้คนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะแยกแยะถูกผิดไม่ได้เพราะได้รับข้อมูลที่ไม่รอบด้าน เนื่องจากสื่อหลัก คือ หนังสือพิมพ์บางฉบับ และฟรีทีวี มิได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ในภาวะที่บ้านเมืองต้องการสื่อที่มีความกล้าหาญ
       
       เพจสายตรงภาคสนาม จึงขอทำหน้าที่ผ่านโลกออนไลน์ เพื่อให้ความจริงกับสังคม เพราะพวกเรา “โกหกไม่ลง พูดตรงไปเลย” และขอเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้สื่อข่าวภาคสนามที่อึดอัดกับการเสนอข่าวของต้นสังกัดตัวเอง สามารถส่งข้อมูลเพื่อร่วมตีแผ่ความจริงได้ที่เพจนี้
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เพจสายตรงภาคสนาม” ได้เริ่มดำเนินการเผยแพร่ข่าวสารผ่านเพจของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบมาเป็นเวลา 3 วันแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. 55 โดยได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจำนวนมาก มีคนเข้าไปกดไลก์เพื่อร่วมเป็นสมาชิกแฟนเพจแล้วเกือบ 2 พันคน และมีผู้ที่เข้าชมและแชร์ข้อมูลถึง 6,690 คนต่อวัน ขณะที่ตลอดสามวันมีผู้เข้าถึงข้อมูลของเพจสายตรงภาคสนามแล้วถึง 57,525 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก
       
       สำหรับข้อมูลที่ถูกส่งต่อและเป็นที่กล่าวขานมากที่สุด คือ การนำบัญชีทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ในปี 2540,2544,2548 และ 2549 มาเปิดโปงจับโกหก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างว่าตัวเองมีทรัพย์สินก่อนเข้าทำงานการเมือง 4.6 หมื่นล้านบาท โดยใช้ชื่อหัวข้อว่า “ปากแม้วพาจน มัดตัวเองซุกทรัพย์สินจริง” พร้อมกับนำการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 2 มิ.ย. 55 มีข้อความว่า “ต้องไปถาม พล.ต.จำลอง ที่มายืนประท้วงผม วันที่เชิญผมไปเป็น รมว.ต่างประเทศปี 37 เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ผมประกาศมีทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านบาท ผมมีตังค์ค้าขายร่ำรวยมาก่อน ไม่ใช่ต้มใครมาก่อนแล้วมาเป็นนักการเมืองที่มีตังค์ ผมเข้ามาการเมืองมีแต่เงินหายไป เงิน 4.6 หมื่นล้านไม่ได้ปล้นใครมา แต่เขาปล้นผมไป ต้องการให้เข้าใจว่าเป็นเงินของผม ของครอบครัวที่ถูกขโมยไป ปล้นไป”
       
       แอดมินของเพจสายตรงภาคสนาม ยังประกาศด้วยว่า “ที่นี่ไม่เป็นกลาง มีแต่ความจริงให้ประชาชน”
       
       นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ภาพสุสาน มีโลโก้สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีช่อง 3, 5, 7, 9, เอ็นบีที (ช่อง 11) และไทยพีบีเอสบนแท่นหินอ่อน ระบุข้อความ “Free TV Thai เอาใจนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร หุบปากจนตายโหง ตายห่าไปจากแผ่นดินไทย เพราะ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติอีกแล้ว” ซึ่งผู้ดูแลแฟนเพจดังกล่าวระบุว่า นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่พวกเราทำเพจสายตรงภาคสนาม โดยมีจำนวนคนกดถูกใจมากกว่า 100 ครั้ง
       
       อย่างไรก็ตาม จากการอ่านเนื้อหาในแฟนเพจนี้พบว่า ส่วนใหญ่จะเน้นเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกี่ยวกับการออก พ.ร.บ.ปรองดอง การประชุมรัฐสภาที่จะลงมติวาระ 3 ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ระงับก่อนหน้านี้ รวมทั้งความเคลื่อนไหวจากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการปราศรัยหัวข้อ “ผ่าความจริง หยุดกฎหมายล้างผิดคนโกง” ซึ่งจัดขึ้นโดยพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันเสาร์ (2 มิ.ย.) ที่ผ่านมา
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #729 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2555, 09:27:21 »

หุ้นปริศนา!โผล่บัญชีฯ'ขุนค้อน'
หุ้นปริศนา ! โผล่บัญชีฯ 'สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์' 102.7 ล้าน - ใช้ 'นอมินี' ถือแทน : สำนักข่าวอิศรา


          แกะรอยขุนค้อน “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” รวยฉับพลัน? พบหุ้นปริศนา! โผล่พรวด 102.7 ล้าน ใช้ “นอมินี” ถือแทน ก่อนหน้า 1 เดือนไร้เงินลงทุน  แบกหนี้กว่า 139 ล้าน แจ้ง ปปช. มีเงินฝากติดบัญชีแสนเดียว

          การที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์  ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีเงินลงทุน 100,720,000  บาท กำลังถูกตั้งข้อสงสัยเมื่อพบว่า 3 เดือนก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์แจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเงินฝากเพียง 114,593.30 บาท

          ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า บัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้ของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีเงินลงทุนจำนวน 102,720,000 บาท โดยเป็นหุ้น บริษัท สยามประกันชีวิต จำกัด จำนวน 6 รายการรวมจำนวนหุ้น 1,027,200  หุ้น หุ้นละ 100 บาท  แยกเป็น

          1. ใบหุ้นเลขที่ 94 จำนวนหุ้น 311,398 หุ้น มูลค่า 31,139,800 บาท

          2. ใบหุ้นเลขที่ 95 จำนวนหุ้น 189,453 หุ้น มูลค่า 18,945,300 บาท

          3. ใบหุ้นเลขที่ 96 จำนวนหุ้น 25,499 หุ้น มูลค่า 2,549,900 บาท

          4. ใบหุ้นเลขที่ 97 จำนวนหุ้น 135,900 หุ้น มูลค่า 13,590,000 บาท

          5. ใบหุ้นเลขที่ 98 จำนวนหุ้น 175,496 หุ้น มูลค่า 17,549,600 บาท

          6. ใบหุ้นเลขที่ 99 จำนวนหุ้น 189,454 หุ้น มูลค่า 18,945,400 บาท

          นายสมศักดิ์ ระบุว่า ได้รับหุ้นจำนวน 6 รายการ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 และถือหุ้นในนาม “นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์” ขณะที่เอกสารเรื่องการแสดงสิทธิ์การถือครองหุ้นดังกล่าว ต่อ ปปช. นายสมศักดิ์ ได้แนบเอกสารสำเนาใบถือครองหุ้น ในชื่อของ “นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์” ด้วย

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ปปช. ในช่วงพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 ว่า มีรายได้เป็นเงินเดือนจากทางราชการ จำนวน 1,251,960 บาท มีทรัพย์สินรวม 42,360,863.55 บาท เป็นเงินฝาก 114,593.30 บาท ที่ดิน 22,418,950 บาท โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง 18,806,400 บาท ยานพาหนะ 1,000,000 บาท  และเงินฝากของบุตร 20,560.25 บาท

          มีหนี้สินจากการกู้เงินสถาบันการเงิน  139,833,778.74 บาท ทำให้มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 97,472,915.19 บาท  (ดูตาราง)

          ขณะที่การแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ระบุว่า มีรายได้จากเงินประจำตำแหน่ง+เงินเพิ่ม 1,507,080 บาท มีค่าใช้จ่ายส่วนตัว 1,200,000 บาท มีเงินฝาก 100,397.57 บาท  (บุตรสาว มีเงินฝาก 26,376.24 บาท) เงินลงทุน 100,720,000  บาท มีที่ดิน 26 แปลงราคา 19,628,940 บาท โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง 17,306,400 บาท ยานพาหนะ   1 ล้านบาท

          น่าสังเกตว่า แจ้งว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ 2 คัน หมายเลขทะเบียน กจ 8888 ขอนแก่น ได้มาวันที่ 17 ธันวาคม 2553  ราคา 500,000 บาท และหมายเลข นข 5555 กรุงเทพฯ  ได้มาวันที่ 3 สิงหาคม 2552 มูลค่า 500,000 บาท  และรถแทรกเตอร์ 1 คัน (ไม่แจ้งราคา) ทั้งหมดแจ้งไว้ในหมวดยานพาหนะเพียง 1  ล้านบาท

          ส่วนเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้น เป็น 203,579,428 .74 บาท  แยกเป็น บริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย 155,958,939.31 บาท ธนาคารออมสิน 16,542,483.70 บาท และบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ 31,078,005.73 บาท ซึ่งเงินกู้ทั้งสามส่วน ปัจจุบันมีการฟ้องร้องเป็นคดีความ

          ก่อนหน้านี้ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมครบ  1 ปี วันที่ 22 ธ.ค.2552   นายสมศักดิ์แจ้งว่ามีเงินลงทุน  3 รายการ ได้แก่

          1.หจก.ไทยสงวนก่อสร้าง ชุมแพ  250,000 บาท

          2.หจก.เบรนเวิร์คมีเดีย  800,000 บาท

          3.บริษัท สไมล์ เฮธ จำกัด 9400 หุ้น มูลค่า 940,000 บาท

          นายสมศักดิ์แจ้งว่า รายการที่ 1 และ 2 แจ้งว่าได้จดทะเบียนเลิกแล้วและนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้แล้วเมื่อ 22 ต.ค.2524 และ วันที่ 5 ก.พ.2550 ตามลำดับ รายการที่ 3 ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนเลิกเมื่อ 10 ก.ค. 2552

          เท่ากับการถือหุ้นมูลค่า 100,720,000  บาทวันที่ 24 มิถุนายน 2554  ของนายสมศักดิ์เกิดขึ้นภายหลังพ้นตำแหน่ง ส.ส. 10 พ.ค.2554  ประมาณ 1 เดือนเศษ และเกิดขึ้นก่อนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ประมาณ 1 เดือนเศษ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์  เคยถือหุ้นอยู่ในบริษัท เอเพ็กซ์ประกันสุขภาพ จำกัดปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บริรักษ์ประกันภัย จำกัด ต่อมาขายหุ้นให้กับนายวัฒนะชัย ขาวดี ก่อนจะเข้ามาถือหุ้นบริษัท สยามประกันชีวิตจำกัด

 

........................

(หมายเหตุ : หุ้นปริศนา ! โผล่บัญชีฯ 'สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์' 102.7 ล้าน - ใช้ 'นอมินี' ถือแทน : สำนักข่าวอิศรา : http://www.isranews.org/)
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #730 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2555, 13:15:58 »


Subject: สายตรงภาคสนาม
Date: Wed, 6 Jun 2012 09:31:48 +0700

ระดมลูกจ้างกรมอุทยาน / กรมทรัพยากรทางทะล /กรมชายฝั่ง5 พัน
หนุนรัฐ ดันแก้ รธน.- พรบ.ล้างผิด - กดดันศาล รธน. ดีเดย์ 7 - 16 มิ.ย.
 นัดสุมหัวธรรมกายเอาธรรมมะบังหน้า สั่ง สลัดเครื่องแบบ ห้ามทิ้งหลักฐาน


เพจสายตรงภาคสนามได้รับคำยืนยันจากข้าราชการที่มีความเป็นห่วงบ้านเมืองถึงการเคลื่อนไหวของ 3 กรมหลักในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีข้าราชการระดับสูงที่มีความสนิทสนมกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่เบื้องหลัง โดยในส่วนของกรมอุทยานฯมีการเรียกผู้อำนวยการทั้ง 16 สำนัก ให้จัดหาลูกจ้างสำนักละ 200 คน โดยแบ่งการดูแลเป็นทีมคือให้ข้าราชการ 1 คน คุมลูกจ้าง 50 คน รวมเฉพาะกรมอุทยานจะมีลูกจ้างที่เข้ามาในกรุงเทพฯทั้งหมด 3,200 คนยังไม่รวมข้าราชการที่จะทำหน้าที่คุมทีม

นอกจากนี้ยังมีคำสั่งด้วยวาจาไปยังกรมทรัพยากรทางทะเลและกรมชายฝั่ง ให้จัดกำลังลูกจ้างให้ได้ 2,000 คน ซึ่งทั้งหมดมีกำหนดที่จะเดินทางวันที่ 7-16 มิ.ย. โดยจะไปพักที่วัดธรรมกาย ซึ่งมีการอ้างว่าเป็นการเข้าค่ายธรรมมะ และสั่งห้ามใส่ชุดข้าราชการ ห้ามมีสัญลักษณ์ของหน่วยงาน ห้ามนำรถหน่วยงานมาเป็นพาหนะ แต่อนุญาตให้ทำบันทึกราชการว่าเดินทางมาราชการที่กรมได้

สำหรับการเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อระดมพลสนับสนุนรัฐบาลในการผลักดันกฎหมายปรองดอง การลงมติรัฐธรรมนูญวาระ 3 และการกดดันศาลรัฐธรรมนูญ โดยการใช้ลูกจ้างกรมอุทยานมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเคยเกิดขึ้นแล้วในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงก่อนการรัฐประหารปี 49 โดยในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมลูกจ้างของกรมอุทยานฯในระหว่างการปาปะทัดยักษ์ป่วนการปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่สวนลุมพินีและยังมีกระแสข่าวด้วยว่ามีการระดมเจ้าหน้าที่ฝึกใช้ปืนเอชเค ซึ่งอธิบดีกรมอุทยานฯในช่วงนั้นคือ นายดำรงค์ พิเดช ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่าไม่มีการใช้เจ้าหน้าที่มาเคลื่อนไหวทางการเมือง

อย่างไรก็ตามหลังการรัฐประหาร นายดำรงค์ ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ และทหารได้ยึดปืนเอชเคทั้งหมดของกรมอุทยานไป แต่หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้ย้าย นายดำรงค์ กลับมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯอีกครั้ง และในการจัดงบประมาณปี 55 ได้มีการขออนุมัติเงินงบประมาณ 200 ล้านบาทเพื่อซื้อปืนเอชเค แต่ถูกกรรมาธิการงบประมาณตัดงบประมาณส่วนนี้ทิ้งไป


http://www.facebook.com/SaiTrongPhakSanam

สายตรงภาคสนาม
วันอาทิตย์
ในฐานะที่พวกเราเป็นสื่อสารมวลชน ตระหนักถึงภาระหน้าที่ภายใต้จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ โดยไม่มีกรอบจำกัดของต้นสังกัดเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงพร้อมใจรวมตัวกันสร้าง "เพจสายตรงภาคสนาม" โดยหวังว่าจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ในการปกป้องบ้านเมืองด้วยการสร้างปัญญาผ่านข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อหยุดยั้งความสับสนในสังคมไทยที่ทำให้คนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะแยกแยะถูกผิดไม่ได้ เพราะได้รับข้อมูลที่ไม่รอบด้าน เนื่องจากสื่อหลัก คือ หนังสือพิมพ์บางฉบับ และ ฟรีทืวี มิได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ในภาวะที่บ้านเมืองต้องการสื่อที่มีความกล้าหาญ

เพจสายตรงภาคสนาม จึงขอทำหน้าที่ผ่านโลกออนไลน์ เพื่อให้ความจริงกับสังคม เพราะพวกเรา "โกหกไม่ลง พูดตรงไปเลย" และขอเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้สื่อข่าวภาคสนามที่อึดอัดกับการเสนอข่าวของต้นสังกัดตัวเอง สามารถส่งข้อมูลเพื่อร่วมตีแผ่ความจริงได้ที่เพจนี้

นักข่าวท่านใดต้องการให้เพจนี้เป็นสื่อกลางในการแชร์ความจริง ส่งข้อความมาหาได้เลย @มินเพจสายตรงภาคสนาม ยินดีรับใข้ค่ะ ^^
////
ที่นี่ไม่เป็นกลาง มีแต่ความจริงให้ประชาชน

จากใจ @ มินเพจสายตรงภาคสนามทุกคน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #731 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2555, 18:04:28 »

คนไทยสัญชาติอเมริการ่อนจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลสหรัฐ ค้านแม้วเข้า อเมริกา หลังกระแสข่าวหนาหูวิ่งเต้นขอวีซ่าเข้าประเทศ ย้ำควรรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มากกว่าทำเพื่อคนๆเดียว

/////////////////////////////////////////
An Open Letter to Deny Thaksin Shinawatra's Entry to the U.S.
จดหมายเปิดผนึก เพื่อ ปฏิเสธการขอเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาของน.ช.ทักษิณ ชินวัตร


As U.S. citizens from Thailand and as your constituents and supporters, we are writing you this letter to voice our very deep concerns about the position of the United State Government regarding the ex-Prime Minister of Thailand, Thaksin Shinawatra.
ในฐานะพลเมืองสหรัฐฯ จากประเทศไทย และในฐานะผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และผู้สนับสนุนท่าน เราจึงเขียนจดหมายฉบับนี้มาเพื่อแสดงความวิตกกังวลของเรา เกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลอเมริกัน อันเกี่ยวเนื่องกับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย, น.ช. ทักษิณ ชินวัตร

We have strong reason to believe that Thaksin Shinawatra is trying to gain entrance to the United States. He is a fugitive who has been evading a two-year prison sentence for corruption while holding public office in Thailand. Furthermore, he has also evaded prosecution of multiple cases in which he was indicted on charges of corruption, bribery, tax evasion, abuse of power, and well documented extra-judicial killings and countless violations of human rights of Thai citizens. More than 2,500 citizens, including innocent children, were murdered because of the heavy handed policies of the war on drugs and anti-Muslim policies of his regime. The details of all these cases are on file with Thailand's National Human Rights Commission, as have been reported by Shawn Crispin of Asia Time on October 13, 2006. Some of the examples are the killing of 9-year old, Nong Fluke, by the Thai police on February 23, 2003, during the war on drugs campaign; the Tak Bai incident on October 25, 2004 where 78 Thai Muslim civilians died from suffocation after being hand cuffed and stacked on top of each other for over three hours.
เรามีเหตุผลหนักแน่นอันทำให้เชื่อได้ว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร กำลังพยายามหาหนทางเข้าประเทศสหรัฐฯ เขาเป็นนักโทษหลบหนีคดีอาญามีโทษจำคุก ๒ ปี ในความผิดทุจริตประพฤติมิชอบ ระหว่างการดำรงตำแหน่งทางการเมืองในประเทศไทย นอกจากนี้เขายังหลบหนีการดำเนินคดีอีกหลายคดี ที่ถูกฟ้องร้องในข้อหาทุจริต, ติดสินบน, หลบเลี่ยงภาษี, ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม และมีเอกสารบันทึกไว้ถึงการฆ่า และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนไทยนับครั้งไม่ถ้วน ประชาชนมากกว่า ๒,๕๐๐ คน รวมทั้งเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ ถูกฆ่าจากนโยบายสงครามปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรง และนโยบายต่อต้านมุสลิมของระบอบทักษิณ รายละเอียดของกรณีเหล่านี้ได้ถูกร้องเรียน และอยู่ในกระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามรายงานของ ชอน คริสปิน แห่งหนังสือพิมพ์เอเชียไทม์ วันที่ ๑๓ ต.ค. ๒๕๔๙ ตัวอย่างบางเหตุการณ์ คือ การฆ่าน้องฟลุค อายุ ๙ ขวบ โดยตำรวจไทย ในวันที่ ๒๓ ก.พ. ๒๕๔๖ ระหว่างการรณรงค์สงครามปราบปรามยาเสพติด เหตุการณ์ตากใบในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ ทำให้พลเรือนไทยมุสลิมถึงแก่ความตายจากการขาดอากาศหายใจ หลังจากถูกจับใส่กุญแจมือ และจับคนเหล่านั้นนอนซ้อนทับกันนานมากกว่า ๓ ชั่วโมง

Thaksin Shinawatra is known to have hired major U.S. lobbying firms to represent his interests in the United States. There are signs indicating that these lobbyists have been working with officials in the U.S. State Department with the attempt to secure an entry visa for Thaksin Shinawatra. As stated by U.S. laws prohibiting any person with criminal records, especially a convicted fugitive, from entering the United States, we strongly urge the U.S. Asministration to carefully examine this matter and to ensure that no visa entry will be granted to ex-Thai Prime Minister, Thaksin Shinawatra.
เป็นที่รับรู้กันว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ได้ว่าจ้างบริษัทลอบบี้ หลายบริษัท เป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์ของเขาในสหรัฐฯ มีสัญญานบ่งชี้ว่านักลอบบี้เหล่านี้ กำลังร่วมมือกันกับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลสหรัฐฯ ในความพยายามเพื่อให้น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับวีซ่าเข้าเมือง ดังที่ระบุไว้ในกฎหมายสหรัฐฯ ห้ามบุคคลใดที่มีประวัติอาชญากรรม โดยเฉพาะนักโทษหนีคดี ผ่านเข้าไปในสหรัฐอเมริกา เราขอเรียกร้องเต็มกำลัง ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนในเรื่องนี้ และทำให้แน่ใจว่าไม่มีการออกวีซ่าให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรีไทย, น.ช.ทักษิณ ชินวัตร

Like most U.S. citizens, we strongly believe in the rule of law of the United States and of course, Thailand. We abhor the reported broad-based colossal corruption by the current regime in Thailand, headed by Yingluck Shinawatra, the younger sister of Thaksin Shinawatra. The massive corruption of her administration and her incompetency in running the governmemt has resulted in widespread inflation and hardship throughout Thailand. The resentment felt by the mass against the current regime in Thailand and Thaksin Shinawatra is growing very quickly.
เช่นเดียวกับชาวอเมริกันส่วนใหญ่ เราเชื่ออย่างมั่นคงในหลักนิติรัฐของสหรัฐฯ และของประเทศไทย เรารังเกียจการทุจริตประพฤติมิชอบ ที่ทำกันอย่างใหญ่โต กว้างขวาง ภายใต้ระบอบปกครองในปัจจุบัน ภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร การทุจริตกันอย่างมโหฬารของรัฐบาล และการไร้ความสามารถของหล่อน ในการบริหารงานรัฐบาล ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง แพร่กระจายไปทั่วประเทศไทย ความรู้สึกไม่พอใจของมวลชน ต่อ รัฐบาล และ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

The issue of whether the U.S. will grant an entry visa to Thaksin Shinawatra is profoundly sensitive to Thai-Americans and the people of Thailand. In addition to Thai people everywhere, governments and good people around the world are watching the U.S. State Department very closely to see if the U.S. government will live up to its claim as the world's leader on ethics, morality, democratic principles, anti-corruption and human right issues. To protect the good name of the U.S. government and American people from being foolishly tarnished by a single foreign fugitive Thaksin Shinawatra, we hereby strongly urge the State Department of the U.S. to deny a visa to Thaksin Shinawatra for following reasons:
ประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐ จะออกวีซ่าเข้าเมืองให้แก่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่นั้น มีความอ่อนไหวลึกซึ้ง ต่อ ชาวอเมริกันเชื้อสายไทย และประชาชนในประเทศไทย นอกเหนือจากคนไทยทุกแห่งหน รัฐบาลของประเทศต่างๆ และประชาชนคนดีทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามองรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะดำรงตนให้สมคำกล่าวอ้างว่าเป็นผู้นำโลกในด้านจริยธรรม ศีลธรรม หลักการประชาธิปไตย ต่อต้านการทุจริต และสิทธิมนุษยชน เพื่อปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิอันดีของรัฐบาลสหรัฐฯ และชาวอเมริกัน จากความโง่เขลามัวหมอง โดยการกระทำของนักโทษหนีคดีต่างชาติเพียงคนเดียว นั่นคือ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เราขอเรียกร้องเต็มกำลัง ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธการออกวีซ่าให้แก่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:

1. To adhere to the U.S. laws, moral standards, and ethical practices.
๑. เพื่อยึดมั่นใน กฎหมายสหรัฐฯ, มาตรฐานศีลธรรม และหลักปฏิบัติจริยธรรม

2. To avoid association with a corrupt regime, and a loss of goodwill and legitimacy with the Thai people in the event of an Arab-Spring style uprising against the present government.
๒. เพื่อหลีกเลี่ยงการคบค้าสมาคมกับผู้ทุจริตประพฤติมิชอบ และสูญเสียความสัมพันธ์อันดี และความชอบธรรม ต่อชาวไทยที่กำลังลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลปัจจุบัน ในเหตุการณ์ทำนองเดียวกับอาหรับ-สปริง

3. America needs to stand firm for democracy and its ideal of respecting the rule of law and human rights. The U.S. Administration must not allow Thaksin Shinawatra, who not only has been accused of countless, well publicized and documented human rights violations, but also convicted by the Thai supreme court for corruption, (not to mention many other of charges of corruption and abuse of power still pending against him) to enter the United States.
๓. อเมริกาจำเป็นต้องยืนหยัดมั่นคงเพื่อประชาธิปไตย และอุดมคติของการเคารพต่อหลักนิติรัฐ และสิทธิมนุษยชน รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องไม่อนุญาตให้ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ไม่เพียงถูกกล่าวหาโดยมีหลักฐานเอกสารแจ้งชัด ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ยังถูกพิพากษาในความผิดทุจริตประพฤติมิชอบ ให้ลงโทษจำคุก โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (มิพักต้องกล่าวถึงคดีฟ้องร้องต่างๆ อีกมากมาย ในการทุจริตประพฤติมิชอบ และการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม ที่ยังคงค้างคา รอการตัดสินอยู่ในศาล) เข้าประเทศสหรัฐอเมริกา

Instead of forging the future of U.S. relations with Thaksin Shinawatra, we strongly urge the U.S. Administration to heed our requests stated in this letter, and side with the great majority of the people of Thailand for a secure and truly democratic governmemt and society in Thailand that will be strong and enduring just like in the U.S. America and thailand have been good friends and close allies for almost 200 years. We sincerely hope the relationship between our two beloved countries will continue to be good and strong for forever. Though he was on good terms with Thaksin Shinawatra, President George W. Bush refused to allow the convicted ex-Thai PM to set his feet in the U.S. during his presidential term. We sincerely hope that President Obama, and the related government agencies as well as Congressional members of both Houses will be far-sighted and prudent to reject Thaksin Shinawatra's entry visa application not allowing his dirty feet, bloddy hands, and corrupted mind to contaminate the U.S. soil.
แทนที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในอนาคตของสหรัฐฯ กับ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เราขอเรียกร้องเต็มกำลังต่อรัฐบาลสหรัฐ ให้ใส่ใจในข้อเรียกร้องทั้งหมดของเราในจดหมายฉบับนี้ และเลือกยืนเคียงข้างประชาชนไทยส่วนใหญ่ในประเทศไทย เพื่อดำรงรักษาให้รัฐบาล และสังคมไทย เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อที่จะเสริมสร้างให้แข็งแรงทนทานเช่นเดียวกับประชาธิปไตยในประเทศสหรัฐฯ อเมริกาและไทยนั้นเป็นเพื่อนที่ดี และพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันมากว่า ๒๐๐ ปี เราหวังอย่างจริงใจว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอันเป็นที่รักทั้งสองของเรานั้น จะยืนยาวมั่นคงชั่วกัลปาวสาน แม้ว่าอดีตประธานาธิบดี ยอร์ช ดับเบิ้ลยู. บุช เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับ น.ช.ทักษิณ แต่เขาได้ปฏิเสธที่จะอนุญาตให้อดีตนายกรัฐมนตรีไทยผู้หนีโทษ เหยียบย่างเท้าเข้าสหรัฐฯ ระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เราหวังโดยจริงใจว่าประธานาธิบดีโอบามา และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสมาชิกคองเกรส ทั้งสองสภา ได้มองการณ์ไกล และรอบคอบ ที่จะปฏิเสธคำขอวีซ่าของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ไม่อนุญาตให้เท้าสกปรก มือเปื้อนเลือด และจิตใจที่ฉ้อฉลของเขา มาทำความสกปรกเปรอะเปื้อนแก่ดินแดนสหรัฐอเมริกา

Respectfully,
ขอแสดงความนับถือ
Thai American citizens and Thai immigrant families
ประชาชนอเมริกันเชื้อสายไทย และ ครอบครัวผู้ย้ายถิ่นฐานชาวไทย
June 2012
มิถุนายน ๒๕๕๕
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #732 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2555, 21:54:36 »


“ดำรงค๋์” เผ่นนอก รีบร้อนจนลืมเซ็นชื่อในบันทึกข้อความ จนท. ปั๊มสำเนาแก้เกี้ยว พบพิรุธเอกสารกรมอุทยาน 4 จุด สุดมั่ว 5 มิ.ย.มีผู้ทำหน้าที่อธิบดี 2 คน ตัวจริงกับ “วันชัย” รักษาราชการแทน แถมผิดฝาผิดตัวไม่เป็นไปตามบันทึกแต่งตั้งที่ระบุให้ “เริงชัย” รับผิดชอบ เพื่อนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ โวย เพื่อนถูกเกณฑ์ไป เขาดิน ไร้เงินตอบแทน วอน สังคมเห็นใจ แนะ ประนาม อธิบดีอุทยานฯ แทน

เอกสารกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช เกี่ยวกับ การส่งเจ้าหน้าที่ อบรมจริยธรรม ที่วัดธรรมกาย และ การลาราชการไปต่างประเทศของ นายดำรงค์ พิเดช ที่ปรากฏในเวปไซด์ของกรมอุทยานฯ มีทั้งหมด 9 หน้า แบ่งเป็นสองส่วน คือ บันทึกข้อความ 4 เรื่อง ประกอบด้วย บันทึกข้อความเรื่อง การเดินทางไปต่างประเทศ และให้ผู้รักษาราชการแทน 2 ฉบับ และ บันทึกข้อความ เรื่องโครงการฝึกอบรมจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ลงนามโดยนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ และบันทึกข้อความเรื่อง ให้ข้าราชการปฏิบัติงานแทน เวียนถึงบุคลาการที่เกี่ยวข้องลงนามโดย นายวันชัย วิรานันท์ ผู้อำนวยการสำนักฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และคำสั่งกรมอุทยานฯ อีก 3 เรื่อง คือ เรื่องให้เจ้าหน้าที่เข้ารับการฝึกอบรมตามโครงการจริยธรรมฯ คำสั่งแต่งตั้งคณะอำนวยการและเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดฝึกอบรมฯ ลงนามโดย นายดำรงค์ และคำสั่งเรื่องให้ข้าราชการปฏิบัติงานแทน ลงนามโดย นายวันชัย

จากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดอย่างละเอียดพบว่ามีพิรุธ 4 จุด คือ 1 เอกสารที่เป็นคำสั่งทุกฉบับจะพิมพ์ชัดเจนว่าเป็นสำเนา ขณะที่บันทึกข้อความ 4 ฉบับจะเป็นตัวจริงที่มีลายเซ็นผู้ลงนามกำกับ มีเพียงฉบับเดียวที่ใช้วิธีปั๊มคำว่าสำเนา ทำให้ไม่มีลายเซ็นของ นายดำรง กำกับ มีเพียงตราปั๊มชื่อและตำแหน่งเท่านั้น 2 ที่น่าสนใจคือ เอกสารที่ไม่มีลายเซ็นนายดำรงค์นั้น เป็นหนังสือที่ทำถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การเดินทางไปต่างประเทศ และให้ผู้รักษาราชการแทน เลขที่ ทส 0901.203/9424 วันที่ 5 มิ.ย. 55 แต่ในบันทึกข้อความเรื่องเดียวกันที่ทำถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องในหน่วยงาน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงบุคคลที่จะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งออกหลังบันทึกข้อความที่ทำถึงปลัดกระทรวงฯกลับมีลายเซ็นของนายดำรงค์ กำกับ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า นายดำรงค์ จะมีความเร่งรีบในการจัดทำเอกสารเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเซ็นต์ชื่อไม่ครบ เจ้าหน้าที่จึงแก้ปัญหาด้วยการปั๊มคำว่าสำเนาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องลายเซ็น

3 บันทึกข้อความเรื่อง ให้ข้าราชการปฏิบัติงานแทน ลงนามโดย นายวันชัย วิรานันท์ ผอ.สำนักฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมอุทยานฯ ทั้ง ๆ ที่เป็นบันทึกข้อความที่ทำในวันเดียวกับที่นายดำรงค์ ยังอยู่ลงนามในเอกสารหลายฉบับ แต่ในฉบับนี้กลับเป็นนายวันชัย ปฏิบัติราชการแทน เท่ากับในวันที่ 5 มิ.ย.กรมอุทยานฯมีอธิบดี 2 คน คนหนึ่งเป็นอธิบดีโดยตำแหน่ง ส่วนอีกคนหนึ่งปฏิบัติราชการแทน

4 ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือเมื่อดูบันทึกข้อความในการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนระบุวันที่ 5-10 มิ.ย. 55 และ 13 - 15 มิ.ย. 55 คือ นายเริงชัย ประยูรเวช รองอธิบดีฯ ส่วนนายวันชัย วิรานันท์ ผอ.สำนักฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ฯ รักษาราชการแทน นายดำรงค์ในวันที่ 11 - 12 มิ.ย. 55 แล้วทำไมนายวันชัย จึงลงนามปฏิบัติราชการแทนอธิบดีฯในวันที่ 5 มิ.ย. 55 ทั้ง ๆ ที่วันดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของนายเริงชัย ตามที่มีบันทึกข้อความถึงปลัดกระทรวงฯ การกระทำของนายวันชัย ถือว่าผิดระเบียบหรือกฎหมายหรือไม่

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีความสับสนเกี่ยวกับความรับผิดชอบในฐานะรักษาราชการแทนระหว่าง นายวันชัย กับนายเริงชัย หากมีการกระทำที่ขัดต่อระเบียบ กฎหมาย หรือมีปัญหาจากการส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมจริยธรรมฯแต่กลับพบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปปรากฏตัวที่เขาดินเพื่อร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามคำสั่งในหนังสือราชการ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบระหว่าง นายวันชัย และ นายเริงชัย อย่างไรก็ตามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอำนวยการและเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดฝึกอบรมตามโครงการฝึกอบรมจริยธรรม 7-16 มิ.ย. 55 คือ นายเริงชัย

เพจสายตรงภาคสนาม ยังได้รับการร้องเรียนจากผู้ที่ใช้ชื่อ Gluegirl Ravinan ระบุว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ แต่ถูกเกณฑ์ให้ไปเขาดินโดยไม่เต็มใจ ทั้งที่ในเอกสารราชการกำหนดให้ไปปฏิบัติธรรม 10 วัน มีข้อความดังนี้

“พวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกบังคับให้มากันค่ะ หนังสือเขียนว่าให้มาปฏิบัติธรรม 10 วัน แต่ก็ถูกเกณฑ์ให้ไปเขาดิน ได้แจกแค่เสื่อกับยากันยุง และไม่ได้ตังค์อย่างที่คนพูดกัน และก็นอนตามพื้นในอาคารจอดรถ เพื่อนหนูคนนี้เกลียดเสื้อแดงมาก แต่ก็ต้องไปทั้งที่ไม่อยากไป


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #733 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2555, 21:18:57 »

    อธิการฯ มธ.เตือนนักกฎหมายอย่าใช้อุดมการณ์ทำลายหลักนิติรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง
    วันพุธ ที่ 06 มิ.ย. 2555
 

    มธ.ท่าพระจันทร์ 6 มิ.ย. - อธิการบดี มธ.เตือนนักกฎหมาย อย่าใช้อุดมการณ์ทำลายหลักนิติรัฐ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเรียกร้องไม่ให้ทำตามคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ วอนอาจารย์นิติศาสตร์ มธ.อย่าเอาอุดมการณ์ตัวเองไปครอบนักศึกษา ระบุนายกรัฐมนตรี ควรทำเรื่องสำคัญกฎหมายปรองดองให้คนเข้าใจก่อน ห่วงนองเลือดหากมีการเผชิญหน้า

    ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทำให้มีการตีความของแต่ละฝ่ายแล้วยึดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ว่า การมีความเห็นต่างกันได้ไม่มีปัญหา จะบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญผิดหรือถูกได้ เหมือนที่ตนวิจารณ์บ่อยๆ ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินรัฐธรรมนูญ  มาตรา 112 คดีของนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ มีความผิด ศาลตัดสินไม่ถูก โดยส่วนตัวไม่เห็นว่าผิดใน 112 หรือนายสนธิ ลิ้มทองกุล เอาเรื่องดาตอปิโดไปฟ้องหมิ่นสถาบัน ก็ไม่ผิด เพราะขาดเจตนาหมิ่นฯ ตนพูดได้ แต่ไม่เคยเรียกร้องไม่ให้ทำตามคำพิพากษาของศาล เป็นสิ่งที่ไม่ควร ดังนั้น ความเห็นต่างกันได้ แต่ต้องเป็นความเห็นที่เป็นไปโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ควรใช้เทคไซด์ ใช้สีเสื้อ อารมณ์ ความรู้ อุดมการณ์ มาตีความสับสนเกิดความวุ่นวาย

    ศ.ดร.สมคิด กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 พูดถึงหลักนิติธรรม เป็นฉบับแรก กับหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นหลักเดียวกัน เป็นความพยายามสถาปนาหลักการนี้ขึ้นในไทย คือให้ทุกคนยึดถือกฎหมายเป็นสำคัญ  ฝึกคนในประเทศให้มีวินัยเคารพกฎหมาย จนกว่าจะเห็นว่ากฎหมายใดไม่ดีไม่ถูกต้อง ก็เสนอแก้ไขกฎหมาย แต่ไม่ใช่ทำลายกฎหมาย

    “นักกฎหมายต้องวางตัวให้เหมาะสม ตีความกฎหมายในทิศทางที่ควรจะเป็น อาจจะต่างกันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่แบบนี้แล้วยังดื้อจะไปทำอีก อย่างนี้มีปัญหา สิ่งที่นักกฎหมาย อาจารย์กฎหมายควรจะทำ คือชี้ให้คนเห็นว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้อง ต้องยุติ นี่คือหน้าที่นักกฎหมาย แต่ถ้าเลยจากนี้ว่า ไปบอกว่าสภาไม่ต้องฟังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเพราะผิด อีกหน่อยมีคนบอกว่า ไม่ต้องฟังสภา ไม่ต้องฟังรัฐบาล เพราะสิ่งที่ออกมามันผิด จะเกิดโกลาหล ความปั่นป่วน ระบบไร้รัฐ ไร้กฎหมาย ระบบนิติรัฐที่นักกฎหมายพยายามสร้างจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” อธิการบดี มธ.กล่าว

    ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่านักกฎหมายกำลังทำลายกฎหมายอยู่หรือไม่ ศ.ดร.สมคิด กล่าวว่า การเป็นนักกฎหมายแล้วมีอุดมการณ์ไม่เป็นอะไร แต่เมื่อทำงานปฏิบัติหน้าที่ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รู้กันหมดว่าใครอยู่สีเหลือง สีแดง สีขาว ไพร่ หรืออำมาตย์ ใน มธ.รู้ว่าใคร แต่ไม่ติดใจที่อาจารย์นักกฎหมายจะไปเข้าข้าง หรือขึ้นเวทีใคร แต่ถ้าอยู่ในบทบาทของการให้ความรู้ ไม่ควรจะเอาอุดมการณ์ครอบงำนักศึกษา เป็นอาจารย์กฎหมายต้องรู้เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เอาแต่วิจารณ์กฎหมาย แล้วการสอนควรจะเริ่มที่เริ่มที่ตัวบทกฎหมายก่อนแล้วลงเนื้อหา ส่วนที่เห็นว่าไม่ดีอย่างไร ไม่ใช่เริ่มจากการวิจารณ์ก่อนว่ากฎหมายนี้ไม่ดี

    “วันนี้เราพูดความเห็นด้านกฎหมายมาก แต่ไม่ค่อยบอกคนว่าคิดอย่างไร เช่น มาตรา 309 การใดที่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2549 ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญปี 2550 ต่อไป ผมก็อธิบายคนว่าการตีความต้องตีความตามกฎหมายไม่ใช่ตีความเข้าข้างตัวเอง บางคนพูดไปถึง คณะกรรมการตรวจสอบการกระที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ทำอะไรก็ได้ไม่ผิด ผมบอกไม่ใช่เจตนาคนร่าง หรือ ถ้าบรรเจิด สิงคะเนติ หรือ อ.แก้วสรร อติโพธิ ไปตีหัวนาย ก. ก็ต้องรับความผิด มาตรา 309 เขียนไว้ ไม่ได้คุ้มครอง อ.แก้วสรร หรือไปบอกว่าเขากลั่นแกล้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ต้องรับผิด คนไม่ได้ตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแท้จริง แต่เริ่มต้นจากความคิดเบื้องหลังบางอย่างว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เลวร้าย ก็ไปตีความทุกอย่างเลวร้ายไปหมด ผู้ร่างไม่ได้คิดจุกจิกขนาดนั้น กฎหมายมีปัญหาแน่” อธิการบดี มธ.กล่าว

    ต่อข้อถามที่ว่าแล้วสังคมจะพึ่งพาความเห็นด้านกฎหมายจากใครได้ ศ.ดร.สมคิด กล่าวว่า ตนเชื่อในความถูกต้องความดีเลว ความถูก ต้องชนะความไม่ถูกต้อง แต่สุดท้ายมีความเห็นที่ชนะ อย่างที่คณะนิติราษฎร์ออกแถลงการณ์ว่าไม่ต้องฟังศาลรัฐธรรมนูญ หรือเสนอให้ยกเลิก มาตรา 112 แต่สภาผู้แทนราษฎร รับฟัง ตนจึงเชื่อว่าการต่อสู้ทางความคิดต่างๆ เป็นเรื่องปกติทั่วไป คณะนิติราษฎร์ จุดประกายให้คนได้พูดคุยปัญหาเป็นคุณูปการ ทำให้คนกล้าพูดมากขึ้น ท้ายสุด คนได้ถกเถียงกัน แต่เราต้องเสพข้อมูลหลายด้าน ถ้าเสพเฉพาะสื่อโดยเฉพาะมีปัญหา กรณีที่ตนเปิดเฟซบุ๊ก ต้องการให้คนมาถกเถียง จะเห็นได้ว่ามีฝ่ายเห็นด้วยและไม่ห็นด้วย  ดังนั้น ไม่ได้ห้ามอาจารย์วิจารณ์ศาล แต่ไม่เห็นด้วยเลยไปถึงขอให้สภาฯ อย่าทำตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ

    “นี่ไม่ใช่บทบาทของอาจารย์ หลักนิติศาสตร์ที่เรียนกันมา ที่เรียนกันมา เรายอมตายเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เคารพกฎหมายคำพิศาล แม้ไม่ถูกต้องก็ต้องสู้ ไปสู้ไปศาลว่าเนื้อหาไม่ถูกต้อง อาจารย์ที่เป็นแบบนี้ไม่ถือว่าผิดวินัย แต่คนที่เป็นแบบนี้ ในสังคมวิชาการ อาจารย์ส่วนมากก็เพ่งเล็งว่าทำอะไร เอาอุดมการณ์ขึ้นมาเหนือกฎหมาย หรือเอาอุดมการณ์ขึ้นมาบดบังปัญญาและสติ ความรู้ทางวิชาการความถูกต้องไปหมด ผมก็ห่วงบ้านเมือง และกลัวเหมือนทุกคนกลัว จะเกิดการนองเลือด รัฐประหาร วันที่รัฐบาลเอากฎหมายปรองดองเข้าสภาฯ ผมก็กลัว เพราะทหารตำรวจพร้อมแล้ว ถ้าไม่ยอมกัน นองเลือดแน่ วันนั้นพระสยามเทวาธิราชมีจริง ถอนกฎหมายออกไป แล้วศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องอีก คนเลยโล่งอก เรื่องบางเรื่องสังคมไทยไม่ต้องทำขนาดนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีมานานเป็นปีแล้ว มีเวลาอีกมาก 3 ปี ถ้าบอกว่ากฎหมายปรองดองสำคัญ ทำไมไม่ทำให้คนเข้าใจก่อน” อธิการบดี มธ.กล่าว.- สำนักข่าวไทย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #734 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2555, 09:47:17 »



Suthep says Thaksin sent 'negotiator' to him

Bangkokpost.com
    Published: 14/06/2012 at 02:28 AM
    Newspaper section: News



Democrat MP for Surat Thani Suthep Thaugsuban is claiming ousted prime minister Thaksin Shinawatra sent a representative to approach him for reconciliation talks.

However, Mr Suthep did not disclose the name of Thaksin's alleged representative.

A source in the opposition party said Thaksin made contact with Mr Suthep through one of the former 111 Thai Rak Thai executives last week.

Mr Suthep yesterday told the Bangkok Post that he is suspicious of Thaksin's commitment to fostering reconciliation in the country.

"It is pointless to hold talks with Thaksin because he will go back on his word again. It will be hard for me to explain to people close to me and to my voters.

"To be frank, I've been fooled several times. It would be a shame to be [fooled] again," Mr Suthep said.

    See also: Thaksin faces new malfeasance charge

Mr Suthep said he has asked the "coordinator" to pass on some advice to the deposed prime minister in a goodwill gesture.

The Democrat MP said he has asked Thaksin to back down on his plans to push for the charter rewrite and trying to whitewash his wrongdoings through a reconciliation bill.

"If the constitutional amendment and reconciliation bids are stopped, there will be no grounds for fresh political tension," he said.

Mr Suthep said he has also urged the former prime minister to allow the Pheu Thai-led administration a free hand in running the country.

The Democrat MP said he is confident that the Yingluck Shinawatra cabinet is politically stable and capable of completing its four-year term if it is free of pressure from Thaksin.

Mr Suthep has suggested that Thaksin hold talks with red shirts and cut ties with the hardcore ones or more damage would be inflicted upon the country.

"If he can do so, half of the red shirts may end up joining Pheu Thai. When they [the hardcore] don't receive financial aid, they will be less dangerous to the country," Mr Suthep said.

Mr Suthep has also asked Thaksin to stop his support for what he claimed was the training of armed groups for use in inciting violence.

"I gave him my advice through the contact last week. I have no idea if he will listen," Mr Suthep said.

Meanwhile, a source in Pheu Thai admitted yesterday that attempts have been under way to negotiate with the Democrat Party, especially Mr Suthep.

The source said the Democrats have constantly rejected Pheu Thai. But the ruling party saw no point in having enemies after its election victory.

"We've entered negotiation mode but our efforts are futile. Mr Suthep thinks he has the upper hand and rejects holding talks," said the Pheu Thai source.
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #735 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2555, 21:31:52 »

12 วันที่เพจสายตรงภาคสนามเกาะติดกรณี NASA ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำรวจก้อนเมฆ
พวกเราพยายามอย่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำรายละเอียดโครงการรวมทั้งเปิดเอกสารที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานราชการ
 ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลด้านที่ไม่มีการนำเสนอในสื่อหลัก ลิงค์ด้านล่างนี้
 คือ ผลจากการทำงานหนักของแอดมินทุกคน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้จากเรื่องนี้
 และเท่าทันรัฐบาลที่โกหกประชาชน
 แต่สุดท้ายก็ไม่กล้่าเดินหน้าโครงการที่ขาดความโปร่งใส ไร้คำตอบในมิติด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ / @ เพจสายตรงภาคสนาม

21 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7zaouqb รัฐบาลโกหกประชาชนเรื่อง NASA

22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7mkwywc แฉเวป NASA ขนของเข้าไทย
22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6powoon แฉเวป NASA พร้อมมาไทย
22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7grlkt6 แฉเวป NASA ใช้อู่ตะเภาก่อน ครม.อนุมัต
22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6ou2qsa เปิดตัว ER-2 พัฒนาจาก U2

23 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6sro234 10 คำถามให้รัฐบาลตอบ
23 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7xmwkyc แกะรอยคำพูด รมว.ต่างประเทศ

24 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7gslx2k วอชิงตันโพสต์ แฉสหรัฐ

25 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7xw3ymt เปิดเอกสาร กต.เข้าครม.

26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7gxxbsx เปิดเอกสาร กต.เข้าครม.ฉบับเต็ม
26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/bry9sb7 ให้ความรู้ รธน.มาตรา 179
26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/ctt3vmx รมว.ต่างประเทศขู่ NASA ไม่มาระวังน้ำท่วม
26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/8yd4o75 หลักฐานมัด รัฐบาลเอาเข้ารัฐสภา
26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6r6or9r เปิดข้อมูลสมช.ห่วงความมั่นคง

27 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6mg2l9z ซีซีทีวีจีน ห่วง ER-2 สอดแนมจีน

28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7gkwe5x NASA ยกเลิกภารกิจไม่ได้รับอนุมัตจากรัฐบาลไทย
28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6np3ddb ย้อนรอยรัฐบาลก่อนไม่อนุมัต NASA ใช้อู่ตะเภา
28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7hnmgds เทียบวิทย์ฯกระทบมั่นคง
28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6r7fhly ล้ม NASA เพราะรัฐบาลฟังคนอื่น?
28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/82ugdfa แก้ความเท็จที่เสื้อแดงบิดเบือน

29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7ptudqs สื่อรัสเซียตีข่าวอเมริกาเล็งอู่ตะเภาเป็นฐานทัพ
29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/88nadvy วอลสตรีทเจอนัลวิพากษ์ภาวะผู้นำนายกฯ
29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7ux4s7z ไขปริศนาทำไมจีนระแวง ER-2
29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7zevdnk จับพิรุธนักวิทย์ไทย

30 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7ux8gje แฉ NASA ทำธุรกิจร่วม เชฟรอน

1 ก.ค. 55 http://tinyurl.com/77rxdog แผนที่ NASA พล็อตแหล่งพลังงาน
1 ก.ค. 55 http://tinyurl.com/6utortd เปิดเอกสาร ผบ.สส.ห่วงความมั่นคง

2 ก.ค. 55 http://tinyurl.com/7sqt5bk แฉNASA สำรวจเมฆกินพื้นที่ 12 ประเทศ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #736 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2555, 22:39:14 »

“เครือมติชน” ซุ่มเงียบขอขมา “หมอวิชัย” หลังยกพวกโจมตีผลสอบ “เมลฉาว”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

พบประกาศล้อมกรอบ “มติชน-ข่าวสด” ขอขมา “หมอวิชัย” ในหนังสือพิมพ์มติชนกรอบต่างจังหวัด ยอมรับและเสียใจที่ลงข่าวโจมตีทำเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง กระทั่งเจ้าตัวสุดทนฟ้องร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้
       
       วันนี้ (24 ก.ค.) มีรายงานว่า หนังสือพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์ประกาศ ความว่า ตามที่คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่อง ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งอีเมลของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน 5 คน ต่อมาคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จแล้วเสนอรายงานการสอบสวนต่อคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2554
       
       โดยคณะอนุกรรมการได้สรุปว่า การนำเสนอข่าวสารและบทความในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งของหนังสือพิมพ์ที่ถูกพาดพิงบางฉบับ โดยเฉพาะข่าวสด มติชน มีความเอนเอียงก่อให้เกิดประโยชน์แก่พรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งหนังสือพิมพ์มติชนและข่าวสดเห็นว่าตนเองเสียหาย จึงได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้และเสนอข่าวต่อเนื่องที่อาจทำให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน เสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง นายแพทย์วิชัยจึงได้ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด เป็นคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้
       
       บัดนี้ หนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด ได้ทำความเข้าใจกับนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน แล้ว หากแถลงการณ์และการเสนอข่าว ของมติชนและข่าวสดทำให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้รับความเสียหาย หนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด ขอแสดงความเสียใจและขออภัยมา ณ โอกาสนี้ จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน ลงชื่อ หนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด
       
       มีรายงานว่า ประกาศดังกล่าวได้มีผู้พบเห็นขณะอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างรับประทานอาหารในร้านแห่งหนึ่งที่ จ.นครราชสีมา และได้ถ่ายภาพเอาไว้ก่อนที่จะโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวในวันนี้ (24 ก.ค.) เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามผู้ที่พบเห็นเพิ่มเติม พบว่าเป็นฉบับลงวันพุธที่ 25 ก.ค. 2555 (ฉบับ 1 ดาว) หน้า 15 ตำแหน่งมุมขวาล่าง ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์กรอบต่างจังหวัดและลงวันที่ล่วงหน้า
       
       สำหรับกรณีพิพาทระหว่างนายแพทย์วิชัย กับหนังสือพิมพ์เครือมติชนและข่าวสด เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 เมื่อสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้แถลงข่าวผลการสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล) ของนักการเมือง ระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยมี นพ.วิชัย ที่แต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เป็นผู้แถลงข่าวความคืบหน้า ซึ่งในรายงานนอกจากอีเมล์ดังกล่าว เป็นของนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และเชื่อได้ว่า นายวิมจะเป็นผู้เขียนข้อความในอีเมลเองแล้ว ยังพบว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับมีการนำเสนอข่าวช่วงเลือกตั้งมีการเอนเอียงเป็นประโยชน์พรรคเพื่อไทย แต่มีข้อจำกัดการเข้าถึงพยานหลักฐาน สร้างความไม่พอใจให้กับเครือมติชน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด และประชาชาติธุรกิจ
       
       ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์เครือมติชน-ข่าวสด ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านรายงานของคณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าว โดยเห็นว่าดำเนินการตรวจสอบนอกเหนือไปจากขอบเขตที่ได้รับมอบหมาย และไม่เรียกหรือสอบถามข้อเท็จจริงจากองค์กรสื่อที่พาดพิงไปถึง ทั้งๆ ที่คณะอนุกรรมการฯ ได้พยายามติดต่อเพื่อขอความร่วมมือจากผู้ที่ถูกพาดพิงผ่านองค์กรหนังสือพิมพ์ต่างๆ แต่เครือมติชนกลับไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาให้ข้อเท็จจริง นอกจากนี้ เครือมติชนยังนำข้อมูลของ นพ.วิชัย ซึ่งเป็นข้อมูลเก่าที่ปรากฏเป็นข่าวมาตั้งแต่ปี 2552 มาใช้ในการลดความน่าเชื่อถือของประธานคณะอนุกรรมการฯ กระทั่งคณะอนุกรรมการฯ ต้องออกหนังสือคำชี้แจง
       
       กระทั่งเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554 หนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด และประชาชาติธุรกิจ ได้แจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยอ้างว่าสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ถูกบิดเบือนด้วยอิทธิพลการเมืองจากภายนอก และอ้างว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเลื่อนลอยไร้สาระ นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว หนังสือพิมพ์ในเครือมติชน อาทิ มติชนรายวัน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ และมติชนสุดสัปดาห์ได้ใช้พื้นที่สื่อและคอลัมน์ของตนเองอธิบายถึงความเป็นกลางของตนเอง พร้อมกับโจมตีสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ถึงขนาดนำมาขึ้นปกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ในลักษณะทวงถามจรรยาบรรณสภาการหนังสือพิมพ์ฯ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #737 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 10:00:11 »

สวัสดีตะวัน
     ส่งภาพนี้มาให้
     
        จริงหรือเปล่า
           Nokja
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #738 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2555, 15:37:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 27 กรกฎาคม 2555, 10:00:11
สวัสดีตะวัน
     ส่งภาพนี้มาให้
     
        จริงหรือเปล่า
           Nokja
ถูกที่สุดครับ..
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #739 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 10:12:23 »

หมายจับ และใบแจ้งความใน USA


 
May 27,2010
Dear Sir/Madam,
On May 25, 2010, Thaksin Shinawatra, a fugitive criminal, and former Prime Minister of Thailand, was officially put on the most wanted criminal list of Thailand, and the criminal court released an arrest warrant for the conviction of this terrorist. The charge is carried out by the Department of Special Investigation, the Thai equivalent of the American FBI.
In 2007, Thaksin was convicted with numerous corruption charges and abuse of power while he was the Prime Minister of Thailand. Thaksin returned to Thailand in February 2008 to stand trial after his supportive political party, “People’s Power Party”, won a general election under the 2007 Constitution which had passed the national referendum.
In August 2008 after his three lawyers were found guilty of attempting to bribe in the Supreme Court for Criminal Cases of Political Post Holders and sentenced to six-month jail, Thaksin’s family was found guilty of huge tax fraud. His wife then was sentenced to two years in jail. She was released on bail. A week later, Thaksin jumped bail and fled from Thailand. The Thai criminal court has issued a criminal arrest warrant for Thaksin. The Thai government under PM Abhisit Vejjajiva has been pursuing Thaksin, but with his billions of dollars in offshore accounts, he bought illegal nationalities from other countries to seek sanctuary abroad.
From the latter half of 2008 to May 2010, in order to force amnesty for himself and to overturn his opposition party, the democratically elected Abhisit’s government which has legitimately won the House of Parliament vote over Thaksin’s supporting party, Thaksin conspired with his followers, the so-called “red-shirts” to try to sabotage and terrorize citizens and the government of Thailand. In April 2009 he instigated his followers to commit armed riots, street shooting, rampaging, looting, setting fire to government and private properties to force a termination of Asian Leaders summit meeting in Pattaya and the disrupt daily life in Bangkok during the same week.
In March 2010, the Supreme Court for Criminal Cases of Political Post Holders, found Thaksin guilty of abuse of power, and confiscated over 1.5 billion USD worth of assets from him.
In April and May 2010, Thaksin funded and ordered his followers to strike an all-out civil war in Bangkok and some rural provinces of Thailand, while some proxy leaders instigated, hired or lured people to rally in Bangkok to believe that they were rallying for democracy. Thaksin also hired mercenaries to carry military weapons such as AK-47 rifles, M-79 grenade launchers, M-26A grenades, molotov petrol bombs along with makeshift weapons to murder dozens of innocent civilians, five government officers, three news reporters as well as some protesters to fabricate accusations of tyranny against PM Abhisit. They also set fire to at least thirty buildings in central Bangkok which have particular importance to the country’s economy. Several banks, the Stock Exchange of Thailand, several major shopping buildings and a national television channel were set ablaze by Thaksin’s terrorists. Numerous military weapons have been discovered at the rally site while some multi-nationality aggressors have also been arrested.
Along with Thaksin, twenty other Thais are also charged with conspiring terrorism.
Thaksin Shinawatra, a male former policeman, was born on 26 July 1949. He has a Mongoloid-Chinese look, black eyes, black hair, approximately 170 cm in height, approximately 75 kg in weight, white-yellow complexion, and a medium-build. His Thai passports have been revoked by the Thai government, though his original Thai nationality remains intact. He may be travelling by either true or false names with a Montenegrin passport, Nicaraguan passport, Fiji passport, Cambodian passport, or Liberian passport along with those nationalities. He may travel on passport number L38RB3695 and his plane number was seen to be N300BZ. During his escape, he has been seen in those countries above, as well as in Uganda, Sri Lanka and France.
While the government of the Kingdom of Thailand is processing an official request for an international arrest warrant for this fugitive, criminal, terrorist, Thaksin Shinawatra, we the citizens of Thailand, would like to ask for your co-operation to prepare for an immediate arrest of this dangerous international terrorist.
For more information about this terrorist mastermind, please visit http://www.antithaksin.com or contact ronayos@gmail.com.
Yours sincerely,
Ronayos Konda
ronayos@gmail.com
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #740 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2555, 11:17:16 »

เมื่อ "ไอเอ็มเอฟ" จับโกหก "ประธานแบงก์ชาติ"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ระหว่าง นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย กับ นางธาริษา วัฒนเกษ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย คนก่อนหน้า นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ คนปัจจุบัน เปรียบเหมือนงูกับเชิอกกล้วย
       
       เจอกันทีไร งูแพ้ทางทุกที ถูกเชือกกล้วยมัดลำตัวที่เป็นเมือกลื่น จนดิ้นไม่หลุด ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น
       
       สมัยทีนางธาริษา ยังเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติอยู่ มักจะถูกนายวีรพงษ์ ในเสื้อคลุมนักเศรษฐศาสตร์โจมตีอย่างุรุนแรงหลายครั้งว่า แบงก์ชาติ จะเป็นต้นเหตุให้เศรษฐกิจไทยพบกับความฉิบหาย เพราะไม่ยอมลดดอกเบี้ย ไม่ยอมทำให้ค่าเงินบาทอ่อน เพื่อช่วยผู้ส่งออก ตามความต้องการของนายวีรพงษ์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับอัตราดอกเบี้ย และค่าเงินบาท
       
       จนนางธาริษา ต้องตอบโต้นายวีระพงษ์ว่า เรื่องค่าเงินบาท จะเอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้ ต้องเอาข้อมูลมาดูกัน และอย่าดูค่าเงินบาทเป็นรายวัน อย่านำไปเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะแข็งค่า การพิจารณาค่าเงินบาทต้องเทียบกับคู่ค้า ซึ่งเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับเงินสกุลอื่น ๆ มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างแต่เป็นเพียงเล็กน้อย และหากเทียบกับบางสกุลเงินบาทแข็งค่าขึ้นน้อยกว่า และไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขันในภาพรวมของการส่งออก
       การสวนกลับของนางธาริษาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้นายวีรพงษ์ เงียบไปเลย และหลังจากนั้นต่อมาอีกสองสามปี เศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ถึงกาลฉิบหาย ตามคำทำนายของนายวีรพงษ์ การส่งออกกลับขยายตัวขึ้น ทั้งๆที่ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ มีค่าแข็งขึ้น
       
       การส่งออกมาลดลงอย่างตกใจ จนไทยอาจจะขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ในยุครัฐบาลนายกฯนกแก้ว ที่มีนายวีรพงษ์เป็นหัวเรือใหญ่ด้านเศรษฐกิจนี่แหละ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติยูโรโซน แต่อีกปัจจัยที่สำคัญคือ นโยบายที่ผิดพลาด โดยเฉพาะ การรับจำนำข้าว ที่ทำให้ข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข่ง ทำให้การส่งออกข้าวลดลงไปถึง 45 %
       
       ก่อนรับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย หรือ กยอ. นายวีรพงษ์ เคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรับจำนำข้าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นการทำลายโครงสร้างตลาดข้าวในประเทศ และเป็นช่องทางฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่หลังจากเป็นประธาน กยอ,แล้ว ยังไม่เคยมีใครได้ยินนายวีรพงษ์ พูดถึง นโยบายรับจำนำข้าวอีกเลย
       
       งูกับเชือกกล้วย มาเจอกันอีกครั้ง คราวนี้นายวีรพงษ์สวมหมวกอีกใบหนึ่ง เป็นประธานคณะกรรมการแบงก์ชาติ ที่มีเป้าหมายชัดเจนว่า จะรื้อนโยบายการเงิน ที่แบงก์ชาติทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ยุคที่ม.ร.ว. จตุมงคล โสณกุล เป็นผู้ว่าการ ต่อเนื่องมาถึงยุคของนางธาริษา จนมาถึงยุคนายประสาร ผู้ว่าการ คนปัจจุบัน คือ การดำเนินนโยบายการเงิน โดยมีเป้าหมายเพื่อ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยการกำหนด เป้าหมายเงินเฟ้อ ( inflation targeting)
       
       นายวีรพงษ์นั้น ต้องการให้แบงก์ชาติใช้นโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ เพราะเงินเฟ้อนั้น แก้ไม่ได้ เนื่องจาก เศรษฐกิจทั่วโลกมีการเชื่อมโยงกัน แบงก์ชาติ ควรเน้นการดูแลค่าเงินบาท ไม่ใช่ดูแลอัตราดอกเบี้ย และปริมาณเงิน
       
       ความหมายของนายวีรพงษ์ก็คือ ให้ดอกเบี้ยถูกๆ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาด ทำค่าเงินบาทให้อ่อน เพื่อจะได้ส่งออกมากขึ้น
       
       ถ้านายวีรพงษ์เป็นตัวแทนพ่อค้าอย่างเดียว ความต้องการเช่นนี้ไม่มีอะไรผิด เพราะพ่อค้าย่อมต้องการให้ดอกเบี้ยถูก แบงก์ปล่อยสินเชื่อมากๆ จะได้ขายของได้เยอะ มีกำไรมากๆ แต่บัดนี้ นายวีรพงษ์ เป็นประธานแบงก์ชาติด้วย ซึ่งธนาคารกลางทั่วโลก มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ให้เกิดเงินเฟ้อ ไม่ให้เกิดฟองสบู่ คอยกระตุกขานักการเมือง ที่มีแนวโน้มจะดำเนินนโยบายการคลังอย่างอีลุ่ยฉุยแฉก เท่าที่จะทำได้ในขอบเขตอำนาจของตัวเอง แต่ประธานแบงก์ชาติคนนี้ กำลังบีบให้ผู้ว่าแบงก์ชาติ เปลี่ยนนโยบายการเงิน ให้สอดคล้องกับ นโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย
       เชือกกล้วยจึงต้องทำหน้าที่อีกครั้ง ด้วยการพูดถึงบทบาทของประธานแบงก์ชาติคนปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมาว่า นายวีรพงษ์กำลังสับสนกับบทบาทของตัวเอง
       
       "เท่าที่ฟังความเห็นของท่าน ดูเหมือนท่านยังแยกไม่ออกว่าพูดในฐานะอะไร เข้าใจว่าท่านพูดในฐานะประธานกรรมการแบงก์ชาติ แต่เนื้อหาที่พูดส่วนใหญ่เป็นมุมมองทางการเมือง ซึ่งอันนี้อาจสร้างความสับสนให้กับตลาดได้" นางธาริษากล่าว
       
       นอกจากนี้ นางธาริษา ยังเล็คเชอร์ บทบาทของประธานแบงก์ชาติว่า การทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ ธปท. หรือแม้แต่การประธานกรรมการขององค์กรใดๆ นั้น หน้าที่หลัก คือ สนับสนุนให้องค์กรนั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกรณีที่ตัวประธานกับองค์กรมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่การหารือควรต้องเป็นการหารือกันภายใน ไม่ควรให้คนนอกรับทราบเพราะอาจเกิดความสับสนได้
       
       เรื่องความขัดแย้งระหว่างประธานแบงก์ชาติกับ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ไปถึงไอเอ็มเอฟ ก็เพราะว่า นายวีรพงษ์ไปอ้างในงานเสวนาเรื่อง "พลวัตรเศรษฐกิจไทย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก" ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมาว่า ความเห็นของเขาเกี่ยวกับต่อนโยบายการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อนั้น สอดคล้องไปในทางเดียวกับ นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ตอนที่ นาง ลาการ์ด เดินทางมาประเทศไทย ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงินของโลก โดยนางลาการ์ด มีความเห็นว่า ต้นเหตุของความไม่มั่นคงของประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศเล็กๆ คือ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนจะมีเสถียรภาพได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ การเคลื่อนย้ายของเงินทุน
       
      นางธาริษา สงสัยว่า ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟพูดอย่างนั้นจริงหรือ จึงสอบถามไปยังไอเอ็มเอฟ ซึ่งได้รับคำปฏิเสธว่า ไม่จริง และทำให้ไอเอ็มเอฟ ต้องทำหนังสือชี้แจงมายังธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการว่า การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ เป็นบทบาทพื้นฐานของนโยบายการเงิน ในการรักษาเสถียรภาพทางเศราฐกิจ ประเทศไทย เป็นตัวอย่างของประเทศเกิดใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ในการนำเป้าหมายเงินเฟ้อ มาใช้ และในช่วงระหว่างปี2008 -2011 ที่ไทยได้รับกระทบจากวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่ น และน้ำท่วมใหญ่ในประเทศ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ที่น่าเชื่อถือของไทย มีส่วนสนับสนุนการขยายตัว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
       
       แม้ว่า หนังสือฉบับนี้ จะไม่มีข้อความใดเลยที่พาดพิงถึง คำพูดของนายวีรพงษ์ แต่เนื้อหาโดยรวม เป็นการปฏิเสธในคำกล่าวอ้างของนายวีรพงษ์ที่พยายามบอกว่า ไอเอ็มเอฟเองก็ยังเห็นด้วยว่า การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อนั้น ใช้ไม่ได้แล้วในโลกปัจจุบัน
       
       พูดกันในภาษาชาวบ้านก็คือ ไอเอ็มเอฟบอกว่า คำพูดของ ประธานแบงก์ชาติของไทย ไม่เป็นความจริง

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #741 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2555, 20:33:52 »

คำตัดพ้อจาก....'นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม' DSIคดี 'ร่มเกล้า' พลิก... คนร้ายที่จับได้หายไปไหน ?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    

      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' กำลังผลักดันอย่างหนักเพื่อที่จะเอาผิดกับ 'นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งนายทหารในกองทัพที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ที่ถูกระบุว่ามีเสื้อแดงเสียชีวิต 98 คน ซึ่งงานนี้ 'ธาริต เพ็งดิษฐ์' อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เดินเครื่องให้อย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกันในส่วนของคดี 'พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม' อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ซึ่งถูก 'ชายชุดดำ' ลอบสังหารขณะปฏิบัติหน้าที่ที่สี่แยกคอกวัว กลับไม่มีความคืบหน้า และดูเหมือนจะถูกบิดเบือนให้กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ
       
       แน่นอน คนที่เจ็บช้ำที่สุดเห็นจะเป็น 'นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม' ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อทวงคืนความเห็นธรรมให้กับร่างไร้วิญญาณของสามี
       

       นิชาได้เปิดใจกับ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' ถึงความไม่ชอบมาพากลที่เธอได้พบเจอมาตลอดระยะเวลา 2 ปีที่พยายามติดตามคดีดังกล่าว อีกทั้งยังถามหา 'จิตสำนึก' จากบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง
       
       ไม่ทราบว่าคดีของ พล.อ.ร่มเกล้า คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว และได้รับคำชี้แจงจากทางดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
       
       จากที่ติดตามข่าวจากสื่อจะเห็นว่าดีเอสไอเปลี่ยนกลุ่มผู้กระทำความผิดคดีพี่ร่มเกล้าหลายรอบแล้ว โดยส่วนตัว ดีเอสไอไม่เคยติดต่อขอพบเพื่อชี้แจงความคืบหน้าเลย จนเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ได้ฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอซึ่งอาจารย์สมชาย หอมลออ ประธานคณะอนุกรรมการค้นหาข้อเท็จจริงของ คอป. ประสานให้มาพบ หลังจากได้ฟังและซักถามแล้ว ยังบอกเขาว่า พลเอกร่มเกล้า เสียชีวิตไป 2 ปีกว่าแล้ว แต่รายละเอียดความคืบหน้าของคดีที่ดีเอสไอทำให้ราวกับเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 สัปดาห์นี้เอง เหมือนเพิ่งเริ่มทำงาน ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าที่ควรจะเป็น
       
       ที่ผ่านมาพบความไม่ชอบมาพากลในการทำคดีของ พล.อ.ร่มเกล้า บ้างหรือไม่ อย่างไร
       
       ก็เป็นดังที่ได้แสดงความสงสัยมาตลอด สับสนในการแถลงของดีเอสไอที่กลับไปกลับมา
       - ครั้งแรกในปี 2553 อธิบดีธาริต แถลงว่าได้จับกุมผู้ต้องหาซึ่งใช้อาวุธสงครามร้ายแรงก่อเหตุ ถึง 8 คดี รวมถึงการยิงระเบิดในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นเหตุให้ พล.อ. ร่มเกล้าและ เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต DSI แถลงอย่างภาคภูมิใจด้วยว่าได้ร่วมกับหน่วยอรินทราชใช้เทคโนโลยีพิเศษ ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ ไม่จับแพะแน่นอน ซึ่งต่อมาผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ก็ได้รับการประกันตัวและปล่อยตัวชั่วคราว ไปจากการประสานงานของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถ้ายังจำกันได้
       
       - ต่อมา 20 มกราคม 2554 อธิบดีธาริต แถลงว่ามีการจัดกลุ่มคดีเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 เป็นคดี พิเศษที่มีผู้เสียชีวิต ที่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยผู้กระทำความผิดฐานก่อการร้ายและกลุ่มที่เกี่ยวพันกัน 8 คดี รวมผู้เสียชีวิต 12 ราย เช่น การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ทหารตำรวจและผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์
       
       13 มกราคม 2555 -จากเอกสารสรุปข้อเท็จจริง ซึ่งได้รับจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) ปรากฏข้อความสั้นๆ เพียงว่า คดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้
       
       15 มีนาคม 2555 - หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า “ DSI รับไม่คืบชุดดำยิงร่มเกล้า ยังไม่สามารถหาพยานหลักฐานชี้ชัดถึงตัวผู้กระทำผิดหรือดำเนินคดีทางกฎหมายได้ อธิบดีธาริตยังกล่าวว่า DSI ได้จัดให้การเสียชีวิตของพลเอกร่มเกล้า อยู่ในกลุ่มของการเสียชีวิตที่นาเชื่อว่ามาจากการกระทำของผู้ที่ไม่ได้ร่วมชุมนุม คือ กลุ่มชายชุดดำ
       
       สรุปสั้นๆ ก็คือว่า ปี 2553 จับคนร้ายได้และต่อมามีการประกันตัวไป ต้นปี 2554 DSI สรุปว่าคดี พล.อ. ร่มเกล้าอยู่ในกลุ่มที่ 1 คือ เสียชีวิตจากการกระทำของ นปช. แต่พอถึงต้นปี 2555 DSI กลับบอกว่ายังไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้ และในที่สุดดีเอสไอก็เปลี่ยนตัวผู้กระทำผิดว่าไม่ใช่กลุ่มผู้ชุมนุมแต่เป็นชายชุดดำ จากนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรอีกเลย อยากให้ DSI ได้ทบทวนสิ่งที่เคยแถลงไว้แล้วอธิบายแก่สังคมด้วย
       
       หากเปรียบเทียบความคืบหน้าในการทำคดี ระหว่างคดีการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า และคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมเสื้อแดงแล้ว มีความแตกต่างกันอย่างไร
       
       ในขณะที่คดีเจ้าหน้าที่ทหารถูกกระทำให้เสียชีวิตไม่คืบหน้า แต่ปรากฏว่าในช่วงหลัง ตั้งแต่ต้นปี 2555 เป็นต้นมา ปรากฏข่าวความคืบหน้าของคดีที่เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมมีความคืบหน้าไปมาก มีการส่งสำนวนให้อัยการยื่นต่อศาลเพื่อไต่สวนคดีซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐถึง 19 คดี เราก็อยากให้คดีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตของเรามีความคืบหน้าเช่นนั้นบ้าง
       
       ทางกองทัพได้ให้ความช่วยเหลือในการติดตามคดีของ พล.อ.ร่มเกล้าอย่างไรบ้าง
       
       ดิฉันได้ยื่นหนังสือขอให้กองทัพบกเป็นตัวแทนในการติดตามความคืบหน้าของคดีให้ ซึ่งกองทัพก็ได้ให้ความร่วมมือมอบหมายเจ้าหน้าที่มาช่วยติดตามคดีให้ แต่ ทบ.เองก็รับศึกหลายด้าน โดยเฉพาะข้อกล่าวหาว่าทหารฆ่าประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทัพต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ ข้อหานี้เป็นความเจ็บปวดของทหาร ดิฉันเองก็เจ็บปวดกับคำว่า ร่มเกล้าสั่งฆ่าประชาชน เพราะมันไม่เป็นความจริงเลย แต่พี่น้องเสื้อแดงถูกใส่ข้อมูลนี้ไปบ่อยๆจนเชื่อ ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ซึ่งไม่เป็นธรรมกับคนตายเลย
       
       หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าท่าทีและภาพรวมในการปฏิบัติหน้าที่ของ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ในสมัยรัฐบาลประชาธิปปัตย์ กับสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั้นแตกต่างกันมาก คิดว่าเป็นเพราะปัจจัยอะไร
       
       เพิ่งค้นเจอข่าวการให้สัมภาษณ์ของอธิบดีธาริตเมื่อ 21 ม.ค.2554 ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ในคำ สัมภาษณ์บอกว่า " ผมขอเปรียบเทียบว่า หากบ้านเมืองถูกเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องดับไฟ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็ถูกเพลิงไหม้เป็นจุล ก็เช่นเดียวกับเหตุการณ์โจรเผาบ้านเผาเมืองปล้นสะดมอย่างวิกฤติในครั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ทหารไม่เข้าไประงับเหตุก็จะเกิดมิคสัญญีเลวร้ายไปกว่านี้ ดังนั้นฝ่ายทหารควรได้รับความเป็นธรรมด้วยไม่ใช่ถูกฝ่าย นปช.ใส่ร้ายว่าฆ่าประชาชนอยู่ตลอดเวลา" (จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 21 มกราคม 2554) นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีธาริตในสมัยนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันนี้ท่านยังคิดอย่างนั้นอยู่หรือไม่ ยังยืนยันคำพูดนี้หรือไม่ ดิฉันไม่ทราบได้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้คนเราเปลี่ยน แต่ก็ให้โอกาสฟังคำอธิบายของคนเสมอก่อนจะตัดสินคนว่าเปลี่ยนหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ทิศทางคดีของพี่ร่มเกล้ามันเปลี่ยนโดยไม่มีคำอธิบาย
       
       คิดว่าทหารที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลความสงบในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่ มีการปฏิบัติในลักษณะ 2 มาตรฐานหรือไม่
       
       ความคืบหน้าจากการทำคดีของสองฝ่ายที่ไม่เท่ากันคงเป็นคำตอบที่เพียงพอชัดเจน นอกจากนี้อยากให้คิดว่าทหารก็เป็นคนเหมือนกัน มีเลือดเนื้อชีวิตเหมือนกัน หลายครั้งที่ได้ฟังคำวิจารณ์ทหารในเวทีหลายแห่ง รู้สึกในใจว่าเขาไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับทหารในสิทธิพื้นฐานของความเป็นคนที่ต้องได้รับความปลอดภัยในชีวิตเหมือนกัน
       
       รัฐบาลประชาธิปัตย์และกองทัพได้แสดงความรับผิดชอบอย่างไร ต่อคำสั่งที่ให้นายทหารที่ดูแลความสงบในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอาวุธ ขณะที่กองกำลังชุดดำและผู้ชุมนุมบางส่วนมีอาวุธครบมือ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ทหารหลายนายต้องจบชีวิตลง
       
       ถ้าย้อนเวลากลับไปวันนั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการใช้ความรุนแรงกันได้ถึงขั้นนั้นในระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ในใจคนเป็นทหารอย่างพี่ร่มเกล้าก็มีแต่ความบริสุทธิ์ใจกับพี่น้องผู้ร่วมชุมนุม เพราะถือว่าทุกคนเป็นคนไทย เป็นพี่เป็นน้องกัน พูดกันรู้เรื่อง ทหารไม่ได้ถูกฝึกให้มาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง แต่ในที่สุดเราก็คิดผิด ทหารถูกคนไทยด้วยกันเองฆ่า ดิฉันเข้าใจในเจตนาของรัฐบาลและกองทัพในขณะนั้น ที่จะไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับกองทัพและรัฐบาลที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบรักษาความสงบจากการชุมนุมที่ไม่สงบ และต้องเป็นบทเรียนสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่จะไม่ทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก และทำให้คนถูกกลายเป็นคนผิด เพราะถึงจุดหนึ่ง วันหนึ่งเราจะไม่เหลือใครกล้าทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้เราอีกต่อไป ถ้าเกิดเหตุการณ์คราวหน้า ดิฉันเชื่อว่าไม่มีทหารคนไหนอยากออกมาเสี่ยงชีวิตและยังต้องถูกดำเนินคดีแบบนี้อีก
       
       ในฐานะภรรยาของทหารที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลความสงบในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 คุณนิชา ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลด้วยหรือไม่
       
       กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ติดต่อเข้ามาทำเรื่องให้ จนมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยา แต่ตัวเองยังไม่ได้ไปดำเนินการขั้นตอนให้จบ ดิฉันบอกครอบครัวเจ้าหน้าที่ทหารที่เสียชีวิตด้วยกันว่า สิทธินี้ไม่ต้องเลือกว่า จะรับเงินเยียวยาหรือรับความยุติธรรม เพราะเรามีสิทธิได้รับทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ว่าเลือกรับเงินเยียวยาแล้วต้องจบคดี เงินเยียวยานั้นมอบให้เพื่อเป็นหลักประกันชีวิตในอนาคตเพื่อชดเชยการสูญเสียเสาหลักของครอบครัว โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่ใช่ผู้กระทำผิด เราจึงยืนยันสิทธิพิสูจน์ว่าสามีหรือบุตรชายของครอบครัวพวกเราเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ไปปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใด และเราก็จะติดตามทวงถามความคืบหน้าของคดีกันต่อไป
       
       ในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่เสนอในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องการให้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง โดยอ้างว่าเพื่อความปรองดอง คุณนิชามองเรื่องนี้อย่างไร
       
       เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้งสี่ฉบับของฝ่ายรัฐบาลมีแต่เรื่องของการนิรโทษกรรมทั้งสิ้น ซึ่งตามหลักการที่ดิฉันเข้าใจและเห็นในหลักการนั้น ขั้นตอนการนิรโทษกรรม ต้องเกิดขึ้นหลังจากที่ผ่านขั้นตอนการค้นหาข้อเท็จจริงก่อน มีการสำนึกยอมรับผิด แล้วจึงมีการให้อภัย แต่สิ่งที่กำลังทำกันอยู่นี้ ข้ามขั้นตอนที่ควรจะเป็นไปทั้งหมด และเป็นเพียงการใช้ชื่อ “พ.ร.บ.ปรองดอง” เพื่อเพิ่มความชอบธรรมในการเสนอเรื่องนิรโทษกรรม แต่ผลลัพธ์ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ในที่สุด ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจ และการยอมรับของคู่กรณีที่จะนำไปสู่ความปรองดองเลย ตรงกันข้ามจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งลึกขึ้นในสังคมไทยอย่างน่ากลัว
       
       ทราบว่าคุณนิชาได้ไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค ของวุฒิสภา ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง และกรรมาธิการมีแนวทางการช่วยเหลืออย่างไร
       
       ด้วยความที่ดีเอสไอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบการสอบสวนคดีเปลี่ยนทิศทางคดีกลับไปกลับมาตลอด ทำให้เราขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งกำลังทำหน้าที่ ยิ่งได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีดีเอสไอเมื่อสองสามวันนี้บอกว่า “ไม่มีกฎหมายใดกำหนดว่าข้าราชการประจำต้องทำงานเป็นกลาง แต่มีเพียงข้อปฏิบัติที่ต้องทำตามนโยบายและคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลหรือฝ่ายบริหาร " ยิ่งทำให้เราขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของหน่วยงานที่อยู่ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลที่เป็นคู่กรณีของความขัดแย้งในเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น อำนาจอธิปไตยมี 3 ส่วน เมื่อไม่มั่นใจการทำหน้าที่ของหน่วยงานที่อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหาร จึงต้องไปพึ่งอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเชื่อว่าจะไม่สามารถถูกแทรกแซงจากฝ่ายบริหารได้ จึงได้ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ ของวุฒิสภา ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิตของพลเอกร่มเกล้า ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการค้นหาข้อเท็จจริงอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ก็ยังรอฟังผลการค้นหาข้อเท็จจริงของ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) และ กสม.(คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน
       
       อยากจะฝากอะไรถึงนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลชุดนี้บ้าง
       
       เหตุการณ์ความไม่สงบในปี 53 ได้สร้างความขัดแย้งของคนในชาติ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศทุกด้าน รัฐบาลเองก็ได้ประกาศเป็นนโยบายหลักเป็นวาระแห่งชาติในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้คือหลายฝ่ายกำลังเกิดความไม่เชื่อมั่นในการทำงานของหน่วยงานที่อยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายบริหารจนเกิดเป็นการตอบโต้รายวัน ซึ่งคงไม่เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของไทยในสายตาต่างชาติ ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงคาดหวังอยากให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศและเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายบริหาร ลงมาดูเรื่องนี้อย่างจริงจังเหมือนกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ลงมาแก้ปัญหาเรื่องน้ำอย่างจริงจังด้วยตนเอง ดิฉันเชื่อว่าหากนายกรัฐมนตรีลงมาดูแลติดตามเร่งรัดความคืบหน้าของคดีกับหน่วยงานต่างๆแล้ว จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจแก่คู่กรณีได้มากขึ้น ช่วยสร้างบรรยากาศที่จะนำไปสู่ความปรองดองกันได้
       
       ปัญหาของชาติขณะนี้คงแก้ไม่ได้ด้วยเพียงการเสนอ พ.ร.บ.ปรองดองฯ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าเป็นหน้าที่ของสภา แต่คิดว่าประเทศเรากำลังต้องการบรรยากาศของความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอันดับแรก มีความมั่นใจว่าทุกฝ่ายจะได้รับความยุติธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ส่วนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองนั้น คงจะไม่เป็นผล หากยังไม่สามารถก้าวผ่านขั้นตอนการค้นหาข้อเท็จจริง และความคืบหน้าของคดีที่กำลังอยู่ภายใต้ขั้นตอนการดำเนินการของฝ่ายบริหารในขณะนี้
       
       คิดว่าหากปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพไร้ขื่อแปเช่นนี้ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป
       
       สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกันในวันนี้ จะเป็นมรดกตกทอดถึงเด็กลูกหลานของเราเองในวันข้างหน้า ถ้าท่านสร้างบรรทัดฐานของความไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพศีลธรรม สิ่งนี้จะตกทอดไปถึงเยาวชนอนาคตของชาติ ซึ่งคือลูกหลานของท่านเอง สิ่งที่ดิฉันเรียกร้องในวันนี้เกิดจากความกลัวว่าสำนึกของเยาวชนที่กำลังนั่งดูผู้ใหญ่อยู่ในวันนี้ เขาจะขาดสำนึกของความผิดชอบชั่วดี สูญเสียอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าสูญเสีย “สำนึก” ท่านลองคิดถึงคนใกล้ตัวคือลูกหลานที่ท่านรัก ท่านจะยอมรับได้ไหมถ้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วเขาบอกท่านว่า เขาไปฆ่าคนตายมาและการฆ่าคนตายไม่ผิด ก็ผู้ใหญ่ทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างอย่างนั้น ลูกหลานเรากำลังอยู่ในยุคที่สังคมเสื่อมทรามอยู่แล้ว เราอย่าซ้ำเติมทำให้สังคมเสื่อมจนขาดสำนึกของความเป็นคนเลย
       
       หมายเหตุ - 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญร่วมพูดคุยและแสดงความคิดกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #742 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2555, 22:19:59 »




การเมือง : ทัศนะวิจารณ์

กาแฟดำ
 
โกหกสีขาว, ความจริงสีดำ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ประเด็น “โกหกสีขาว” ของรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง นั้น ผมเห็นเป็นเรื่องขำๆ

  มากกว่าจะต้องวิเคราะห์ให้ลุ่มลึก

 เพราะนี่คือประเทศไทย

 แม้คำว่า “ปรองดอง” ดีๆ ยังเอามายำเสียเละ จนความหมายผิดเพี้ยนไป วันนี้ความหมายของคำนี้ แตกต่างไปจากที่อธิบายในพจนานุกรมโดยสิ้นเชิง

 ครูสอนภาษาไทยของเราจะต้องปรับความเข้าใจกับนักเรียนว่าคำนี้แต่เดิมนั้นมีความหมายอย่างไร และวันนี้ เมื่อนักการเมืองเอาไปเล่นแร่แปรธาตุแล้ว ความหมายดั้งเดิมก็หายไปโดยสิ้นเชิง และความศักดิ์สิทธิ์ของคำสลายหายไป

 ใครฟัง คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง พูดถึง “white lies” วันก่อน หากเห็นเป็นเรื่องของ “กลยุทธ์” ของผู้มีตำแหน่งแห่งหนบ้านเมือง ก็จะชื่นชมว่าท่านเป็นคนมีความสามารถพิเศษ และที่ให้ข้อมูลที่ท่านเองรู้ว่าไม่ถูกต้องนั้นเป็นแค่เพียงการทำให้คนไทยคนอื่นๆ มีความมั่นใจเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับบ้านเมือง

 ท่านอธิบายว่าการตั้งเป้ามูลค่าส่งออกว่าจะขยายตัว 15% ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้จริงนั้นเพราะว่าในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบางเรื่องที่ภาษาอังกฤษเรียก White Lies ซึ่งแปลว่า “โกหกสีขาว”

 คนที่เขาไม่เห็นด้วยกับคุณกิตติรัตน์ ก็จะต้องโวยวายแน่นอนว่านี่เป็นการโกหกที่มีผลเสียหาย เพราะทำให้เอกชนเข้าใจผิด วางแผนพลาดเพราะเชื่อในการพยากรณ์ของคนระดับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล

 คนที่เขาเชื่อว่าการโกหกนั้นไม่ว่าสีอะไรก็ย่อมถือว่าโกหกอยู่ดีก็ต้องวิจารณ์ว่าอย่างนี้ จะทำให้หมดความเชื่อถือรัฐบาล และต่อแต่นี้ไป รัฐบาลพูดอะไรจะให้เชื่อได้แค่ไหน หรือจะรู้ได้อย่างไรว่าประโยคไหนเป็น “โกหกสีขาว” และประโยคไหนเป็น “โกหกสีดำ” หรือประโยคไหนเป็น "โกหกสีเทาๆ"

 ผมเห็นเป็นเรื่องขำ เพราะคำว่า “white lies” ในภาษาอังกฤษนั้น หมายถึง ผู้พูดตั้งใจจะพูดอะไรที่ไม่จริงเพื่อให้คนที่ฟังมีความรู้สึกที่ดี ไม่เครียด ไม่ผิดหวัง

 ที่สำคัญ คือ คนพูด “โกหกสีขาว” นั้นจะต้องแน่ใจว่าเมื่อรู้ว่าสิ่งที่พูดไปไม่เป็นความจริง ก็ต้องแน่ใจด้วยว่าพูดออกไปแล้วจะไม่เกิดความเสียหายกับใคร ไม่ว่าจะเป็นคนฟังหรือคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ

 จึงต้องวิเคราะห์ว่าการที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พูดด้วยความมั่นใจตอนต้นปี ว่าการส่งออกของไทยจะโต 15% ทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้นั้นจะเกิดความเสียหายกับใครหรือไม่


 ถ้าคนฟังเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง และวางแผนตามนั้น ครั้งแรกก็จะมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจของประเทศตามที่รองนายกฯ กิตติรัตน์ ต้องการจะให้เป็น

 อย่างนี้ไม่เสียหาย อาจจะมีผลดีที่เกิดกำลังใจให้ทำงานต่อไป

 ต่อมาเมื่อความจริงปรากฏว่าการส่งออกของประเทศยังไงๆ ก็ไม่ถึง 15% แต่คนของรัฐบาลก็ยังยืนยันว่าทำได้ขณะที่เอกชนและนักวิชาการออกมาวิจารณ์ว่าไม่น่าจะทำได้ เอกชนคนนั้นจะเชื่อใครอย่างไร ไม่อาจจะรู้ได้

 แต่โดยหลักการแล้ว เอกชนต้องเชื่อรัฐบาลเพราะต้องมีข้อมูล และมาตรการต่างๆ ที่นักวิชาการหรือผู้วิพากษ์วิจารณ์ไม่มี

 และวันดีคืนดีเมื่อคนที่พูดตั้งแต่แรกมาบอกว่าเป็น “โกหกสีขาว” เอกชนคนที่เคยเชื่อ และมั่นใจก็ย่อมจะต้องวุ่นวายใจแล้ว เพราะเคยเชื่อตัวเลข 15% และตัดสินใจทุกอย่างทางธุรกิจ และส่วนตัวตามตัวเลขนั้น ความเสียหายย่อมจะเกิดขึ้นได้

 เอกชนคนนั้นมีทางเลือกสองทางคือเข้าใจว่ารองนายกฯ พูดให้เกินเลยความจริงเอาไว้เพื่อ “จะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนมีปัญหา” และขอบคุณท่านที่เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความมั่นใจ

 หรือเอกชนคนเดียวกันนั้นมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ โกรธคุณกิตติรัตน์ ที่พูดออกมาทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่จริง ทำให้เขาวางแผนผิดพลาดไป

 เขามั่นใจตอนที่ได้ยิน 15% และต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็น “โกหกสีขาว” ก็เชื่อตัวเลข 9% ใหม่...ปัญหาของเขาคือเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเลข 9% หรือ 7.3% นั้นจะเป็น “ความจริง” หรือ “โกหก” และคราวนี้จะเป็นสีอะไร

 ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าคนที่รู้ว่าตัวเองโกหกคนอื่น (ไม่ว่าสีอะไร) ก็ยังดีกว่าคนที่โกหกตัวเองว่าพูดแต่ความจริงเท่านั้น

 ผมจำได้ว่า ไมเคิล แจ็กสัน เคยพูดเอาไว้น่าฟังว่า

 “Lies run sprints, but the truth runs marathons.”
 โกหกได้แค่วิ่งร้อยเมตร แต่ความจริงวิ่งมาราธอน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #743 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 08:36:46 »


ปากประตูไอซียู

    posttoday.com
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ

โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย

ความอ่อนระโหยโรยแรงปรากฏขึ้นชัดเจนในระบบเศรษฐกิจไทย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวมากสุดก็คือการส่งออก ที่กำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก โดยกระทรวงพาณิชย์เพิ่งแถลงตัวเลขการส่งออกในเดือน ส.ค. หดตัวลงถึง 6.95%

และหากนับช่วง 8 เดือนของปี (ม.ค.ส.ค.) การส่งออกลดลงเฉลี่ย 1.31% โดยมีมูลค่ารวม 1.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 1.64 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งหมดทำให้ขาดดุลการค้ากว่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ภาวะขาดดุลการค้า เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการค้าขายแสวงหาเงินตราของประเทศลดต่ำลง โดยเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับการใช้จ่าย

นี่...เป็นการขาดดุลในประเภทแรก

ถัดมารัฐบาลในฐานะขาใหญ่ของประเทศก็เกิดปัญหาขาดดุลงบประมาณ โดยมีการใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ในรูปการจัดเก็บภาษี

11 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค. 2554ส.ค. 2555) รัฐบาลขาดดุลงบประมาณไปถึง 3.42 แสนล้านบาท

สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ คือ การกู้เงินมาชดเชยการขาดดุล

ภาวะการขาดดุลงบประมาณ จึงแสดงให้เห็นความสามารถในการแสวงหารายได้ของรัฐ ทำได้ต่ำกว่าการใช้จ่ายอีกเช่นกัน

หรืออาจเรียกว่า รัฐบาลใช้จ่ายเกินตัวก็ไม่ผิดนัก

และการขาดดุลการค้า และการขาดดุลงบประมาณ พร้อมๆ กัน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในสภาพขาดดุลคู่ หรือ Double Deficit

สิ่งที่น่าห่วงก็คือ การขาดดุลคู่อาจคงอยู่ต่อไปอีก

ในแง่ดุลการค้า ปัญหาความซบเซาของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้า และอาจทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้าเรื้อรัง ขณะที่รัฐบาลอยู่ในช่วงการกู้เงิน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการขาดดุลงบประมาณอีกหลายปี

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีก...?

ลองไปหาคำตอบจากวิกฤตในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ สเปน ฯลฯ ต่างมีปัญหาเรื้อรังคล้ายๆ กัน คือ การขาดดุลคู่ ทั้งการขาดดุลการค้า และการขาดดุลการคลัง

ประเทศยุโรปเหล่านี้ยังจมลึกในนโยบายประชานิยม จนทำให้เงินงบประมาณหมดเปลืองไปกับสิ่งที่ไร้สาระ ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพการผลิต หรือยกระดับความสามารถในการแข่งขัน

ดูเหมือนว่า บ้านเมืองของเรากำลังเลียนแบบ เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งห้วงเหว รัฐบาลยังไม่รามือจากนโยบายประชานิยม แม้ว่าเงินขาดมือ ประเทศมีปัญหาขาดดุลการค้า อีกไม่นานเห็นทีได้เข้าไอซียู

และเมื่อนั้นคงทำอะไรไม่ได้มากนัก

นอกจากนึกถึงพ่อแก้ว แม่แก้วกันไว้ให้ดีๆ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #744 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 09:31:40 »


ทัวร์ฉาวเป็นเหตุ"สื่อแดง"ปะทะเดือด

posttoday.com

เปิดวิวาทะเดือดสื่อสายท่านปม"ขุนค้อนทัวร์อังกฤษ" ประวิตรถามจริยธรรมสื่อร่วมทริป "ชูวัส"สวนเป็นการเปิดโอกาสดูงานเจอโลกกว้าง

โดย...ทีมข่าวการเมือง

กลายเป็นปมร้อนกระตุกต่อมจริยธรรมสื่อมวลชน ปัญญาชน สายท่าน จากกรณี สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาใช้งบประมาณ 7 ล้านบาทนำคณะผู้ติดตามและเครือข่าย ท่าน บินลัดฟ้าศึกษาดูงานตามโปรแกรม 3 ประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม   ตั้งแต่วันที่ 19-27 ก.ย.

ภาพของคณะนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ขณะชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่อังกฤษ ซึ่งมีการส่งต่อผ่านเครือข่ายเฟซบุ๊กอย่างกว้างขวาง

นอกจากตารางทัวร์สุดหรูดูบอลพรีเมียร์ลีกส์แล้ว ประเด็นที่โดนวิจารณ์อย่างหนัก คือ การเลือกสื่อมวลชนเข้าร่วมทริปอันเต็มไปด้วยสื่อฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลอย่าง วอยซ์ทีวี จักรพันธุ์ ยมจินดาจาก อสมท.และ แม็กซีมา เทไม่ดีิชชั่น รวมถึงนักวิชาการสายแดงอย่าง พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์สำนักข่าวประชาไท 2 พิธีกรจากรายการ Wake Up Thailand ทางวอยซ์ทีวีเช่นกัน

วิวาทะเดือดในโลกออนไลน์ครั้งนี้เปิดฉากโดย ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และปัญญาชนท่าน ที่แสดงจุดยืนเรียกร้องให้ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มี งานเขียนลงมในเว็บไซต์ประชาไทหลายชิ้น

ล่าสุด ประวิตร ออกมาเขียนบทความโจมตีและตั้งคำถามถึงจริยธรรมของสื่อแดงด้วยกัน ที่เข้าร่วมทริปในหัวข้อ  “การศึกษาดูงานครั้งนี้เป็นการติดสินบนสื่อโดยใช้ภาษีของประชาชนหรือไม่?”   (http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42819)

ประวิตร ระบุว่า  ตารางทัวร์มูลค่า 7 ล้านบาท หรือ 1.8 แสนต่อหัวนั้นไม่คุ้มค่ากับภาษีประชาชนที่เสียไปเพื่อแลกมาซึ่งการเยี่ยมชมรัฐสภา สำนักข่าวบีบีซี และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่หลายกิจกรรมในทริปกลับไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านรัฐสภา แต่เน้นไปที่การท่องเที่ยวและรับประทานร้านอาหารหรู รวมถึงพักโรงแรมระดับสี่ดาว ทั้งที่งบประมาณ7 ล้านบาทหากใช้เป็นทุนคัดเลือกนักข่าวสายรัฐสภาดีเด่นไปศึกษาหรืออบรมทำข่าวรัฐสภาในต่างประเทศน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

“การจัดท่องเที่ยว ‘ดูงาน’ อย่าง อู้ฟู่และฉาบฉวยเช่นนี้ เป็นการใช้งบแผ่นดินจากภาษีประชาชนอย่างไม่คุ้มค่าและขาดความโปร่งใสและเป็น ธรรมต่อสื่อฝั่งที่ต่อต้านรัฐบาลและต่อนักข่าวสายรัฐสภา เข้าข่ายเป็นทริปตบรางวัล ติดสินบน หรือไม่ก็ซื้อใจสร้างความเกรงใจสื่อ สมควรที่องค์กรรัฐอย่าง ป.ป.ช.และผู้ตรวจการแผ่นดินจะตรวจสอบ องค์กรสื่อ และสมาคมสื่อที่เกี่ยวข้องควรตรวจสอบและมีรายงานต่อสาธารณะเช่นเดียวกัน”

ประวิตร ระบุตอนหนึ่งว่า หนึ่งเดียวในองค์กรสื่อร่วมทริปที่ถูกจัดว่ามาจากองค์กรที่ถูกมองว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือ นพภัฒน์จักร อัตตนนท์ จากเนชั่นทีวี แต่นพภัฒน์จักรตัดสินใจไม่ร่วมเดินทาง โดยอธิบายในทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ว่า “ตอนแรกก็มองว่า น่าจะพอ “ได้งานกลับมา” เพราะจะได้ไปสภาและออกซ์ฟอร์ด แต่พอเห็นตารางเต็มๆ ว่ามีพักผ่อนเยอะ เลยไม่ไป”

ทันทีที่บทความชิ้นนี้เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไทและมีเดียอินไซด์เอาท์ ชูวัส ในฐานะ 'เจ้าของพื้นที่' เพราะเป็น บก.เว็ปไซต์ประชาไท  และหนึ่งในผู้ร่วมทริปหรู   ส่งความเห็นข้ามทวีปจากประเทศอังกฤษมาตอบโต้จนสนั่นเว็บบอร์ดแห่งนี้ ว่า จริยธรรมที่ประวิตรตั้งคำถามไม่ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข่าวที่ถือว่าออกมาจาก “สำนักปั่นข่าว” เพราะตั้งแต่เดินทางมายังไม่เห็นคนจากวอยซ์ทีวีในทริปตามที่ว่า เนื่องจากบุคคลในรายชื่อ 37 คนไม่ได้ร่วมเดินทางด้วยทั้งหมด ทั้งยืนยันว่าการทัศนศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเชื่อว่าความคิดหัวก้าวหน้าของประวิตรคงไม่ได้มาจากดีเอ็นเอ แต่มาจากการเจอโลกกว้าง สำหรับตัวเองนั้นอาจเรียกได้ว่ามีโอกาส "ดูงาน" เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกับคนจำนวนมากในคณะดูงานที่วันๆ เอาแต่ทำงาน ไม่เคยได้มีโอกาสเจอโลกกว้างเหมือนประวิตร

ทั้งนี้ ชูวัส ยังแสดงทรรศนะว่าคนที่ออกเงินไม่ได้มีผลชี้นำต่อความคิดของผู้ร่วมทริปเสมอไป ทั้งยังฝากถึงประวิตรตามประสาเพื่อนว่า กลัวเพื่อนจะกลายเป็นสลิ่ม ?

“คุณประวิตรสวมวิญญาณพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เมื่อไร ถึงเที่ยวชี้นิ้วด่าไพร่และใครต่อใครว่าซื้อเสียง โดยไม่ได้มองตัวเองเลยว่า ตัวเองยืนอยู่บนโอกาสและความมั่งมีอยู่แล้ว แต่หลักคิดแบบนี้ ตรระกะแบบนี้ คุณประวิตรต้องไม่พลาดสิครับ” ชูวัสโต้

ชูวัส / ภาพจากwww.prachatai.com

ส่วนประเด็นนักข่าวสำนักข่าวเนชั่นขอถอนตัวนั้น ชูวัส ยังตั้งคำถามว่าสาเหตุที่ถอนตัวนั้นแท้จริงแล้วอยากถามว่าคำตอบแรกต่อการเข้าร่วมโครงการนี้เป็นอย่างไร และขอถามไปยังนักข่าวเนชั่นว่า พาสปอร์ตของเขาได้คืนจากสถานทูตที่ขอวีซ่าหรือยัง?

ประวิตร ในฐานะผู้เคยเจอโลกกว้าง จากการคว้าทุนรัฐบาลอังกฤษศึกษาต่อมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แจงกลับไปว่า ชูวัสคงทราบดีว่าที่วิจารณ์เพราะมีเจตนาดีต่อประชาไทและอยากเห็นประชาไทเป็นตัวอย่างของความโปร่งใส ตรวจสอบวิพากษ์ได้ อย่างไรก็ตามไม่ต้องห่วงว่าตนจะกลายเป็น 'สลิ่ม' เพราะทุกวันนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นเสื้อสีอะไรทั้งนั้น

“โอเค คุณ (ชูวัส) ยืนยันว่าไป 'ดูงาน' ผมก็จะใช้คำว่า 'ดูงาน' ไปก่อนก็แล้วกันแต่ประเด็นหลักของผมคือความโปร่งใส ตรวจสอบได้ของกระบวนการจัดทริป 'ดูงาน' ต่างประเทศด้วยภาษี ประชาชน ว่ามีความเป็นธรรมกับสื่อทุกฝ่าย กับได้ประโยชน์แก่สังคม และใช้เงินไปอย่างคุ้มค่าเพียงไร

และอีกอย่าง ผมคาดหวังให้ประชาไท ในฐานะสื่อทางเลือกที่ประกาศตัวชัดเจนว่ายืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม เป็นตัวอย่างที่ดี มีมาตรฐานเหนือกว่าสื่อกระแสหลักทั้งหลายที่เป็นบรรบัทสื่อ (corporate media)อย่างที่เขาพูดกันในภาษา ตกลงมีชูวัสจะช่วยเอา list สื่อที่ไปร่วม 'ดูงาน' ทั้งหมดมาลงตรงนี้ได้ไหม? ทุกคนจะได้เห็นและตัดสินกันเองว่าเป็นอย่างไร

“ขอให้ชูวัสถือเสียว่า การตรวจสอบของผมต่อเรื่องทริป 'ดูงาน' เป็นประโยชน์กับความน่าเชื่อถือของประชาไทเอง เพราะคงจะแทบหาสื่อไหนในไทยไม่ได้ที่จะยอมลงบทความให้คนนอกวิจารณ์ตนเองเช่นนี้

“ผมยังเชื่อมั่นในเจตนาดีของชูวัสต่อสังคม และอุดมการณ์คุณ และก็เชื่อว่าชูวัสเข้าใจดีว่าบทความที่ผมเขียนคือความพยายามในการเปิดประเด็นตรวจสอบ หากคลาดเคลื่อนอะไรบ้างก็ต้องขออภัยด้วยความปราถนาดีจากหนึ่งในสปอนเซอร์ทริป 'ดูงาน' อังกฤษของคุณ ผ่านทางการจ่ายภาษี +กลับบ้านให้ปลอดภัยนะ”

ต่อมา มีผู้ใช้ชื่อว่า  นภพัฒน์จักษ์  จากเนชั่น ได้เข้ามาโพสต์  ในกระทู้หน้าเว็บเดียวกันโดยชี้แจงว่า ตอนเที่ยงของวันเดินทางยังได้รับคำตอบจากผู้ที่เชิญว่าได้รับวีซ่าล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ตัดสินใจบอกคนเชิญไปทันทีว่าตัดสินใจไม่ไปแล้ว ซึ่งยืนยันว่าปฏิเสธไม่ไปตั้งแต่ก่อนที่ทริปนี้จะมีข่าวและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว

นภพัฒน์จักษ์ บอกอีกว่า เป็นคนหนึ่งที่เกือบจะตัดสินใจร่วมไปทัวร์ยุโรปในครั้งนี้ แต่รู้สึกถึงความไม่ถูกต้องบางอย่างจึงปฏิเสธไม่ไป แต่ไม่อยากให้ตัดสินว่าสื่อมวลชนที่ร่วมไปกับทริปนี้ว่าเป็นสื่อที่ไม่ดี แต่ควรพิสูจน์กันในระยะยาวว่า สื่อมวลชนเหล่านั้นกลับมาแล้วนำเสนอข่าวจากที่ได้ไปมาอย่างไรบ้าง หรือท่าทีและมาตรฐานการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของสื่อนั้นๆ เปลี่ยนไปอย่างไร

ประวิตร / ภาพจากwww.pchannelnews.com

สถานการณ์ล่าสุดในเว็บบอร์ด ชูวัส ยังแสดงความเห็นค้านบทความของ ประวิตร ในประเด็นการชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกส์ว่า การดูบอลถือเป็นการดูงานประเภทหนึ่ง  การวิจารณ์ของ ประวิตร ถือว่าเต็มไปด้วยอคติ ตกอยู่ภายใต้กระแส และไม่เป็นตัวของตัวเอง เพียงเพราะการจัดประเภทว่าบอลเป็นเพียงแค่ความบันเทิง

“คุณเห็นอะไรที่สนามแอนฟิลด์ไหม...คุณไม่มีทางเห็นหรืออ่านได้หากไม่สัมผัส คุณไม่มีทางรู้ได้ว่าการต้องลุกยืนลุกยืนนับร้อยๆ ครั้งตลอดการแข่งขันมันบ่งบอกอะไร คนที่นี่เขาไม่รำคาญกันเลยนะครับที่ต้องลุกยืนกันเป็นว่าเล่น เมื่อมีคนขอลุกออกจากแถวที่นั่งไปฉี่หรือไปไหน หรือเมื่อคุณต้องลุกตามเมื่อแถวหน้าลุก คุณรู้ไหมทำไม...ผมว่าอย่ารู้เลยครับ มันก็แค่ความบันเทิง

....แต่ถ้าคุณรู้และรู้ต่อไปด้วยว่า ตั๋วปีหรือที่เรียกว่าซีซั่นทิคเก็ต คืออะไร และทำหน้าที่อะไรในทางสังคมวิทยา คุณจะรู้ว่าทำไมฟุตบอลอังกฤษถึงได้รับความนิยมขนาดนี้ อยากรู้ไหมครับว่าทำไม...อย่ารู้เลยครับ ก็แค่ความบันเทิง

....ขอโทษนะครับความบันเทิงที่คุณไม่นับว่าเป็นการดูงานนี้ สร้างเงินหมุนเวียนขนาดร้อยละ 1.8 ของประเทศอังกฤษซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าประเทศไทยหลายเท่านะครับ

...คุณรู้ไหมเขาเล่นพนันบอลกันอย่างไร และผมจะอธิบายอะไรในประเทศที่คาสิโนและโต๊ะบอลถูกกฎหมายมีอยู่เต็มไปหมด แต่อาชญากรรมกับน้อยกว่าประเทศไทย...อย่ารู้เลยครับ ก็แค่ความบันเทิง 

...ขณะที่คุณๆ เรียกมันว่าความบันเทิง สำหรับผมแล้ว นี่คือขุมความรู้เล่มใหม่สำหรับผม ต้องขอขอบคุณ รัฐสภาให้ที่หลับที่นอนวันเสาร์อาทิตย์กับผม และผมก็ตระหนักว่า นี่คือภาษีประชาชน เหมือนที่ผมตระหนักเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา เป็นอภิสิทธิชนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐ

...ต้องขอขอบคุณด้วยความประทับใจยิ่งกับทีมงานสยามสปอร์ต ที่ทำให้เรารู้จักฟุตบอลว่ามันไม่ใช่ลูกกลมๆและสกอร์บนกระดาน ต้องขอบคุณที่ทำให้เรารู้จักว่า ทีมข่าวที่ฝังตัวทำงานอยู่ที่นั่น ทำงานอย่างไร แต่ผมไม่เล่านะครับ...มันอาจเป็นแค่เรื่องบันเทิง” ชูวัสโพสต์ด้วยลีลาเหน็บแนมพร้อมลงท้ายชื่อตัวเองว่า “อภิสิทธิ์ชนท้ายแถว”

ขณะที่ความเคลื่อนไหวนอกเว็บไซต์ประชาไท มีความเห็นจากนักวิชาการวิพากษ์ทริปนี้เช่นกัน โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการสายท่านแสดงความเห็นผ่านเฟสบุ๊คว่า  ไม่เห็นด้วยกับการที่ พิชญ์ และ ชูวัส ในฐานะ สื่อ และ นักวิชาการ ไปร่วมทริปดังกล่าว พร้อมระบุว่า ขณะนี้ปัญญาชนเชิงวิพากษ์ (critical intellectuals) หลายคนกำลังอยู่ในอันตรายของการไม่ keep enough critical distance เพียงพอกับรัฐบาล และเสียงต่อการจะกลายเป็นเพียง uncritical supporters ของรัฐบาลมากเกินไป ซึ่งไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับการเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยในระยะยาว

เช่นเดียวกับ  พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์  นักวิชาการผู้ร่วมคณะทัวร์ ชี้แจงผ่านเฟสบุ๊คตัวเองขณะอยู่อังกฤษ  โดยยอมรับว่า กระบวนการเยี่ยมชมรัฐสภามีปัญหาในการประสานงานของสำนักงานเลขาธิการ สภาฯ จริง แต่เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมาทางคณะผู้ร่วมเดินทางนั้นได้เข้าไปเยี่ยมชมรัฐสภาอังกฤษแล้ว โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่า แต่ยอมรับว่าการดูงานครั้งนี้ไม่ใช่ State visit ของประธานรัฐสภา หรือ การดูงานของคณะกรรมาธิการที่เคยมีมา พร้อมปฏิเสธว่าไม่ได้ไปประเทศเบลเยี่ยมและล่องเรือที่ประเทศฝรั่งเศส นอกเหนือจากวันหยุดจะใช้เวลาในการดูงานและพยายามดูงานในลอนดอนเป็นหลัก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สิ้นสุดภารกิจที่สังคมจับตา และก็ต้องกลับไปตอบคำถามและตรวจสอบกันอีกมาก 














      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #745 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2555, 10:06:46 »

Letter to UN, introducing PM Yingluck Shinawatra before her speech in Sep 2012

To the Honorable Excellency Secretary of the United Nations, Ambassadors and the Delegates of all nations to the United Nations, We Thais in America are protesting against Madam Prime Minister Yingluck Shinawat and her government of Thailand for the following reasons:

This government is one of the puppets of  fugitive, convicted, mega-billionaire terrorist, Thaksin Shinawat. Despite her winning the election in mid of 2011, there was a lot of electoral fraud and the electoral committee was corrupt. And despite her claim that she is the youngest and the first woman prime minister of Thailand, it is well proven that the reason she won, was because of her brother’s financial and political influence over corrupt Thai politicians.

Not only is she foolish, she also lacks experience in solving Thailand’s critical problems in all areas. Her last year’s excessive promises to offer welfare to the people have not achieved anything but only corrupt repayment to Thaksin’s cronies and her own MPs. She leads her government fopurpose of laundering her brother Thaksin and his terrorist minions, whose crimes include the most atrocious massacre of over 100 Muslims in the south and 3,000 people murdered during his own term. Additionally there was the domestic terrorism and rioting that Thaksin fomented from abroad in 2009 and 2010.

On leaving Thailand to come to brag here in USA this year and to luxuriously spend the scarce tax money from the sweat of all Thais, Madam Prime Minister Shinawat leaves one fifth of Thailand drowned in flood. That is on top of the corrupt management of last year’s most devastating flood of Thailand when she let over 800 people perish. Six months ago, she flew out to visit Japanand Korea while leaving millions of her hometown citizens in the north of Thailand asphyxiated in forest fire smoke.

As for her claim of being the first female prime minister with huge plans and funds to support women’s roles in Thailand, she is actually just corrupting an already over-spent budget. The fund is not helping with any underpaid female labor or reducing the sex trade whatsoever.

Worst of all, her government and her coalition parties, which are all under the commands of the fugitive convicted terrorist Thaksin, have attempted several times in the past year, to launder  Thaksin through either a Constitutional amendment, passing a Reconciliation bill or, a Pardon decree. They claim peace and reconciliation at the cost of facts and justice since all of the worst crimes against humanity in Thai history, terrorism, murder, looting and arson would be dropped and silenced forever. There would be no investigation to uncover the culprits and the darkest devastation ofThailand.

At present, Yingluck’s administration facilitates her fugitive, terrorist, brother Thaksin, to continue roaming the world to instigate his red army to support this dirty government of hers.

Therefore, we ask the citizens of the world, all nations, the United Nations and the Government of the United States to join us in the explicit condemnation of this evil and corrupt puppet Yingluck Shinawat, her government and her brother, terrorist Thaksin Shinawat, and for all nations of the world to extradite the fugitive Thaksin Shinawat to receive his jail sentence in Thailand.

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #746 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2555, 18:32:27 »

ใครหว่าเมาแอ๋..ที่ ฮ่องกง..อยากรู้ชมเอาเอง

http://www.youtube.com/watch?v=YQp8jwRcoDo
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #747 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2555, 23:48:09 »



      หวัดดีตะวัน
   
          ฝากไปดูลาดเลาหรือติดตามเหตุการณ์ที่สนามม้า
               วันที่ ๒๘ ตุลาด้วยนะ
             แล้วจะกลับมาถามข่าวคราว
                     Nokja
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #748 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2555, 11:57:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 24 ตุลาคม 2555, 23:48:09


      หวัดดีตะวัน
   
          ฝากไปดูลาดเลาหรือติดตามเหตุการณ์ที่สนามม้า
               วันที่ ๒๘ ตุลาด้วยนะ
             แล้วจะกลับมาถามข่าวคราว
                     Nokja
น้อมรับคำสั่ง  แล้วนกจะไปเที่ยวไหน..สงสัยไปจีน..แม่นก่อ?
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #749 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555, 22:10:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 25 ตุลาคม 2555, 11:57:27
อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 24 ตุลาคม 2555, 23:48:09


      หวัดดีตะวัน
   
          ฝากไปดูลาดเลาหรือติดตามเหตุการณ์ที่สนามม้า
               วันที่ ๒๘ ตุลาด้วยนะ
             แล้วจะกลับมาถามข่าวคราว
                     Nokja
น้อมรับคำสั่ง  แล้วนกจะไปเที่ยวไหน..สงสัยไปจีน..แม่นก่อ?
นก เอากำหนดการ มาให้ดูก่อน
กำหนดการการชุมนุม รวมพลัง คนทนไม่ไหว หยุดวิกฤตและหายนะชาติ
วันที่ 28 ตุลาคม 2555 ณ สนามม้านางเลิ้ง


*************
10.00 น. เปิดรายการโดย ผู้ดำเนินรายการ
10.05-10.20 น. วงดนตรี 1 โดย เดชอัสดง
10.20-10.25 น. สลับผู้ดำเนินรายการ
10.25-10.40 น. ผู้ปราศรัย 1 โดย เยาวชนพิทักษ์สยามขึ้นอ่านแถลงการณ์
10.40-11.00 น. ผู้ปราศรัย 2 โดย สหายบัญชา/สหายเติ้ล
กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอ่านแถลงการณ์
11.00-11.15 น. ดนตรี 2 โดย แมน สติงเกอร์
11.15-11.30 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 3 โดย รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
11.30-11.45 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 4 โดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์
11.45-12.05 น. ดนตรี 3 โดย หงา คาราวาน
12.05-12.20น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 5 โดย คุณสมเกียรติ หอมละออ
12.20-12.35น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 6 โดย คุณแซมดิน เลิศบุษย์
12.35-12.50น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 7 โดย คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย
12.50-13.10 น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 8 โดย ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ
13.10-13.30น. ***พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยามและภาคี
เครือข่าย กล่าววัตถุประสงค์การชุมนุม
13.30-13.45น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 9 โดย พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคเนย์
13.45-14.00 น. ดนตรี 4 โดย ไก่ แมลงสาบ/วสันต์ สิทธิเขต
14.00-14.20น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 10 โดย คุณพิเชฎฐ พัฒนโชติ

*********** VTR รับจำนำข้าว****************

14.20-14.40น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 11 โดย คุณนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน
14.40-15.00น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 12 โดย อ.ประสิทธิ์ ไชยทองพันธ์
15.00-15.20 น. ดนตรี 5 โดย ประทีป ขจัดพาล
15.20-15.40 น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 13 โดย คุณสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตนักการทูต
15.40-16.00 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 14 โดย พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์
16.00-16.20 น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 15 โดย ดร.เสรี วงษ์มณฑา

************ VTR ขบวนการล้มเจ้า****************

16.20-16.40 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 16 โดย
16.40-17.00 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัยปิดท้าย โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ
17.00-17.20 น. พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
แถลงการณ์ กล่าวคำปฏิญาณพลีชีพเพื่อชาติ ทำสงครามกับ
- ขบวนการล้มเจ้า
- ทวงคืน ปตท. แก้ปัญหาข้าวยากหมากแพง
- หยุดการทุจริต คอร์รัปชั่น

ผู้ดำเนินรายการ 1.นายขจรศักดิ์ เชาว์เจริญรัตน์ 2. นายทศพล แก้วทิมา 3.นายพิมพล แสงเมือง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 28 29 [30] 31 32 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><