08 มิถุนายน 2567, 08:49:51
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 106 107 [108] 109 110 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3294961 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2675 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2554, 20:45:38 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

                       บ่ายที่ผ่านมาฝนตกทั้งวันถึงเย็น  พี่สิงห์เลยกลับมาโรงแรม มานอนพัก ปกติไม่เคยนอนกลางวันเลย แต่ทำไมวันนี้มันหลับได้ก็ไม่รู้หลับแบบสนิทด้วย ไม่คิด ไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น ตื่นขึ้นมาตอนสามโมงครึ่ง น้องสาวโทรศัพท์มาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาบอกว่าสรุปคือ ผนังโพรงจมูกมันบวมเนื่องจากแพ้อากาศโดยเฉพาะห้องแอร์ และผลคือมันจะลามไปทำให้หูอักเสบ  เหงือกอักเสบ  มันก็เป็นจริง น้องสาวแนะนำให้หายใจเข้าทางจมูก อั้นไว้สักพัก แล้วหายใจออกทางปากยาวๆ เขาทำแล้วได้ผล รศ.ดร.สมพร  สอนเขาไว้ สี่โมงพี่สิงห์เลยลงไปชั้นสามของโรงแรมที่ไม่มีแอร์พยายามไปนั่งเจริญสติ เพราะจิตมันสั่งให้ไม่ให้ทำ  ขี้เกียจออกกำลังกาย  พี่สิงห์พยายามเอาชนะใจตนเองนั่งเจริญสติสักพักก็เข้าห้องออกกำลังกายเพราะข้างนอกฝนตก พยายามทำจิตบอกว่าต้องกระทำ จึงไปเดินสายพาน ทำจิตอยู่กับการก้าวเท้าทีละก้าวให้จิตนิ่งสร้างความรู้สึกตัวอยู่ที่เท้าก้าวไปที่ละก้าว  ความเกียจคร้านก็ค่อยๆ หายไปๆ จิตนิ่ง จึงหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ อั้นสักพัก แล้วหายใจออกทางปากยาวๆ เปลี่ยนจิตจากที่เท้ามาอยู่ที่ลมหายใจ เดินไป ๆ ปรากฏว่าเดินเร็วๆ หัวใจเต้น 120-125 ครั้งต่อนาที เดินได้ระยะทาง 4.65 กิโลเมตร ผลาญพลังงานไป 350 แคลอรี่ ใช้เวลาไป 50 นาที จากนั้นก็มารำ Tai Chi โดยหายใจเข้าทางจมูก และออกทางปาก ตามท่ารำ ๒๑ ท่า และต่อด้วย โยคะ ๔๐ ท่า จึงนั่งเจริญสติต่อให้หายเหนื่อย ถึงหนึ่งทุ่ม จึงเลิก ขึ้นไปอาบน้ำ และลงไปรับประทานข้าวต้ม ครับ

                    พี่สิงห์พยายามเอาชนะการแพ้อากาศ ด้วยการออกกำลังกาย และทำจิตให้นิ่งสงบ ด้วยการสร้างความรู้สึกตัวเข้าไว้ มันจะได้ไม่คิดอะไร สามารถอยู่กับอิริยาบถ ปัจจุบันได้ ไม่คิด ไม่ห่วง ไม่กังวล สนใจแต่จิตตนเองให้ไม่คิด แต่ระลึกอยู่กับอิริยาบถ ครับ

                    ราตรีสวัสดิ์ ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2676 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2554, 20:54:07 »

                       พี่สิงห์ลืมบอกไป คุณมิ้ง โทรศัพท์มาหาตอนก่อนสี่โมงเย็น ถามว่าพี่สิงห์อยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่นครศรีธรรมราช ก็บอกว่า จะกลับวันไหน พี่สิงห์บอกว่ากลับเย็นวันเสาร์ คุณมิ้งเลยบอกว่า รอให้พี่สิงห์กลับกรุงเทพฯก่อน ค่อยโทรศัพท์มาหาใหม่ เสียงพี่สิงห์ยังไม่ดีเลย

                        มันก็ถูกของคุณมิ้ง เสียงพี่สิงห์มันยังไม่ดี เพราะโพรงจมูกมันบวมจากการแพ้อากาศ ครั้งนี้แพ้มากจริงๆ และนานๆ ด้วยเท่าที่เคยเป็นมาเลย  อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ไปหาคุณหมอที่เคยรักษาประจำที่โรงพยาบาลเวชธานี คุณหมอประเสริฐ หมอทางหู คอ จมูก ปกติคุณหมอจะให้ยาอย่างแรงๆ หลายขนาน กินไปแล้วใจสั่นทุกที และไม่ได้ไปหาคุณหมอมานานสอง-สามปีแล้ว เพราะไม่ได้เป็นอะไรในช่วงนั้น  พอมาเป็นเลยถูกเล่นงานเสียหนัก เป็นเพราะพักผ่อนน้อยมันจึงไม่หาย เป็นเรื่องของกาย ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #2677 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2554, 21:00:47 »

เข้ามาราตรีสวัสดิ์ พี่สิงห์ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2678 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2554, 21:02:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 29 กรกฎาคม 2554, 21:00:47
เข้ามาราตรีสวัสดิ์ พี่สิงห์ครับ
                    ราตรีสวัสด์ครับท่านขุน  ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2679 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 08:00:03 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

                      วันนี้เป็นวันพระ หรือวันอุโบสถศีล แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ อย่าลืมรักษาศีล ๕ นะครับ และทำจิตให้ผ่องใสครับ

                      วันนี้เช้าอากาศที่นครศรีธรรมราช มีเมฆมาก พี่สิงห์ยังไปเดินจงกรมออกกำลังกายยามเช้า เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเหมือนเคย วันนี้รู้สึกว่าตัวเองหายใจคล่องขึ้นครับ นับเป็นสัญญาณที่ดี บ่งบอกถึงสุขภาพกำลังจะกลับมาเหมือนเดิม ครับ

                      เช้านี้พี่สิงห์ยังไม่มีธรรมดีๆ มาฝาก แต่ขอนำ พุทธประวัติพระอรหันต์ พระภิกษุผู้เป็นเอตทัคคะ มานำเสนอให้ทราบครับ

                      เชิญติดตามอ่าน สวัสดีครับ(34453)




รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

พระอรหันต์ ภิกษุสาวกผู้เป็นเลิศ ลำดับที่ ๑

พระอัญญาโกณฑัญญะ

เอตทัคคะในทางรัตตัญญู

              พระอัญญาโกณฑัญญะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในหมู่บ้านโทณวัตถุ อันไม่ห่างไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ เดิมชื่อ “โกณฑัญญะ” เมื่อเจริญเติบโตขึ้นได้ศึกษาศิลปะวิทยาจบไตรเพทและวิชาการทำนายลักษณะอย่างเชี่ยวชาญ

•   รวมทำนายพระลักษณะ

              เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะพระบิดา ได้เชิญพราหมณ์๑๐๘ คน มาเลี้ยงโภชนาหารในพระราชนิเวศน์ เพื่อทำพิธีทำนายพระลักษณะ ตามราชประเพณี ให้คัดเลือกพราหมณ์ผู้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษจาก ๑๐๘ คน เหลือ ๘ คน และมีโกณฑัญญะอยู่ในจำนวน ๘ คน นี้ด้วย ในบรรดาพราหมณ์ทั้ง ๘ คนนั้น โกณฑัญญะมีอายุน้อยที่สุดจึงทำนายเป็นคนสุดท้าย
              ฝ่ายพราหมณ์ ๗ คนแรก ได้พิจารณาตรวจดูพระลักษณะของสิทธัตถะอย่างละเอียดเห็นถูกต้องตามตำรามหาบุรุษลักษณะพยากรณ์ศาสตร์ ครบทุกประการแล้ว จึงยกนิ้วมือขึ้น ๒ นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ในการทำนายเป็น 2 นัย เหมือนกันทั้งหมดว่า“พระราชกุมารนี้ ถ้าดำรงอยู่ในเพศฆราวาส จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ปราบปรามได้รับชัยชนะทั่วปฐพีมณฑล จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลก แนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์ โดยไม่มีศาสดาอื่นยิ่งไปกว่า” ส่วนโกณฑัญญะพราหมณ์ ได้สั่งสมบารมีมาครบถ้วนตั้งแต่อดีตชาติ และการเกิดในภพนี้ก็จะเป็นภพสุดท้าย จึงมีปัญญามากกว่าพราหมณ์ทั้ง ๗ คนแรก ได้พิจารณาตรวจดูพระลักษณะของพระกุมาร โดยละเอียดแล้ว ได้ยกนิ้วขึ้นเพียงนิ้วเดียวเป็นการยืนยันการพยากรณ์
อย่างเด็ดเดี่ยวเป็นนัยเดียวเท่านั้นว่า “พระราชกุมาร ผู้บริบูรณ์ด้วยมหาบุรุษลักษณะอย่างนี้ จะไม่อยู่ครองเพศฆราวาสอย่างแน่นอน จักต้องเสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมิต้องสงสัย”

•   ออกบวชติดตามสิทธัตถะ

               ครั้นกาลเวลาล่วงเลยมาถึง ๒๙ ปี เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบรรพชาโกณฑัญญะพราหมณ์ทราบข่าวก็ดีใจ เพราะตรงกับคำทำนายของตน จึงรีบไปชวนบุตรของพราหมณ์ทั้ง ๗ คนที่ร่วมทำนายด้วยกันนั้น โดยกล่าวว่า:-
              “บัดนี้ เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ เสด็จออกบรรพชาแล้วพระองค์จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญเจ้าแน่นอน ถ้าบิดาของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะออกบวชด้วยกันกับเรา ถ้าท่านทั้งหลายปรารถนาจะบวชก็จงบวชตามเสด็จพระมหาบุรุษพร้อมกันเถิด”
               บุตรพราหมณ์เหล่านั้น ยอมออกบวชเพียง ๔ คน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ โกณฑัญญะ จึงพามาณพทั้ง ๔ คนนั้นพร้อมทั้งตนด้วยรวมเป็น ๕ ได้นามบัญญัติว่า“ปัญจวัคคีย์” ออกบวชสืบเสาะติดตามถามหาพระมหาบุรุษไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนมาพบพระองค์กำลังบำเพ็ญความเพียรอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแน่นอน จึงพากันเข้าไปอยู่เฝ้าทำกิจวัตรอุปัฏฐาก ด้วยการจัดน้ำใช้ น้ำฉัน และ ปัดกวาดเสนาสนะ เป็นต้นด้วยหวังว่าเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จะได้แสดงธรรมโปรดพวกตนให้รู้ตามบ้างเมื่อพระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างอุกฤษฏ์เป็นเวลาถึง ๖ ปี ก็ยังไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณ จึงทรงพระดำริว่า “วิธีนี้คงจะไม่ใช่ทางตรัสรู้” จึงทรงเลิกละความเพียรด้วยวิธีทรมานกาย หันมาบำเพ็ญเพียรทางจิต เลิกอดพระกระยาหาร กลับมาเสวยตามเดิม เพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรง

•   ปัญจวัคคีย์ปลีกตัวหลีกหนี

               ฝ่ายปัญจวัคคีย์ ผู้มีความเลื่อมใสในการปฏิบัติ แบบทรมานร่างกาย ครั้นเห็นพระโพธิสัตว์ละความเพียรนั้นแล้ว ก็รู้สึกหมดหวัง จึงพากันเหลีกหนีทิ้งพระโพธิสัตว์ ให้ประทับอยู่ตามลำพังพระองค์เดียว พากันเที่ยวสัญจรไปพักอาศัยอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสีครั้นพระโพธิสัตว์ ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงดำริพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรจะรับฟังพระปฐมเทศนา และตรัสรู้ตามได้โดยเร็วในชั้นแรก พระองค์ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสองที่พระองค์เคยเข้าไปศึกษา คือ อาฬารดาบสกาลามโคตร แต่ได้ทราบว่าท่านได้ถึงแก่กรรมไปได้ ๗ วัน แล้วและอีกท่านหนึ่ง คือ อุทกดาบสรามบุตร แต่ก็ได้ทราบด้วยพระญาณว่าท่านเพิ่งจะสิ้นชีพไปเมื่อวันวานนี้เอง
                 ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ทรงระลึกถึง ปัญจวัคคีย์ ผู้ซึ่งเคยมีอุปการคุณแก่พระองค์เมื่อสมัยทำทุกรกิริยา และทรงทราบว่าขณะนี้ท่านทั้ง ๕ พักอาศัย อยู่ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงดิริดังนี้แล้ว จึงได้เสด็จพุทธดำเนินไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันฝ่ายปัญจวัคคีย์ นั่งสนทนากันอยู่ เห็นพระพุทธองค์เสด็จมาแต่ไกลเข้าใจว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหาผู้อุปัฏฐาก จึงทำกติกากันว่า:-“พระสมณโคดม นี้ คลายความเพียรแล้วเวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก พวกเราไม่ควรไหว้ ไม่ควรลุกขึ้นต้อนรับ ไม่รับบาตรและจีวรของพระองค์เลย เพียงแต่จัดอาสนะไว้ เมื่อพระองค์ปรารถนาจะประทับนั่ง ก็จงนั่งตามพระอัธยาศัยเถิด”ครั้นพระพุทธองค์เสด็จมาถึง ต่างพากันลืมกติกาที่นัดหมายกันไว้ กลับทำการต้อนรับเป็นอย่างดีดังที่เคยทำมา แต่ยังใช้คำทักทายว่า “อาวุโส” และเรียกพระนามว่า “โคดม” อันเป็นถ้อยคำที่แสดงความไม่เคารพ ดังนั้น พระพุทธองค์ทรงห้ามแล้วตรัสว่า:-“อย่าเลย พวกเธออย่างกล่าวอย่างนั้น บัดนี้ ตถาคตได้บรรลุอมตธรรมเองโดยชอบแล้ว เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังเถิด เราจะแสดงให้ฟัง เมื่อเธอปฏิบัติตามที่เราสอนแล้ว ไม่นานก็จะบรรลุ อมตธรรมนั้น” “อาวุโสโคดม แม้พระองค์บำเพ็ญอย่างอุกฤษฏ์เห็นปานนั้น ก็ยังไม่บรรลุธรรมพิเศษอันใด บัดนี้พระองค์คลายความเพียรนั้นแล้วหันมาปฏิบัติเพื่อความเป็นคนมักมาก แล้วจะบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร?” พระพุทธองค์ตรัสเตือนปัญจวัคคีย์ ให้ระลึกถึงความหลังว่า “ท่านทั้งหลายจำได้หรือไม่ว่า วาจาเช่นนี้ เราเคยพูดกับท่านบ้างหรือไม่” ปัญจวัคคีย์ ระลึกขึ้นได้ว่า พระองค์ไม่เคยตรัสมาก่อนเลย จึงยินยอมพร้อมใจกันฟังพระธรรมเทศนาโดยเคารพ

•   ฟังปฐมเทศนา

              พระพุทธองค์ ทรงประกาศพระสัพพัญญุตญาณแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ โดยตรัสพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา ซึ่งเนื้อความในพระธรรมเทศนานี้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิหนทางปฏิบัติอันไร้ประโยชน์ ๒ ทาง ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ คือ
              ๑ กามสุขัลลิกานุโยค การปฏิบัติที่ย่อหย่อนเกินไป แสวงหาแต่กามสุขอันพัวพันหมกมุ่นแต่รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งเลวทราม เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน เป็นกิจของคนกิเลสหนา มิใช่ของพระอริยะ มิใช่ทางตรัสรู้หาประโยชน์มิได้
              ๒ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนให้ได้รับความลำบาก เคร่งครัดเกินไป กระทำตนให้ได้รับความทุกข์ทรมาน เป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่า ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น

               จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสชี้แนะวิธีปฏิบัติ แบบ “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ การปฏิบัติแบบกลาง ๆ ไม่ย่อหย่อนเกินไปแบบประเภทที่หนึ่ง และไม่ตึงเกินไป แบบประเภทที่สอง ดำเนินตามทางสายกลางซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค คือทางอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ได้แก่
                ๑ สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ (ปัญญาเห็นในอริยสัจ ๔)
                ๒ สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ (ดำริออกจากกาม เบียดเบียนพยายาม)
                ๓ สัมมาวาจา เจรจาชอบ (เว้นจากวจีทุจริต ๔)
                ๔ สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ (เว้นจากกายทุจริต ๓)
                ๕ สัมมาอาชีพ เลี้ยงชีพชอบ (เว้นจากเลี้ยงชีพในทางที่ผิด)
                ๖ สัมมาวายะมะ เพียรชอบ (เพียรละความชั่วทำความดี)
                ๗ สัมมาสติ ระลึกชอบ (ระลึกในสติปัฏฐาน ๔)
                ๘ สัมมาสมาธิ ตั้งจิตไว้ชอบ (เจริญฌานทั้ง ๔)
 
                เมื่อจบพระธรรมเทศนา ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน เกิดขึ้นแก่โกณฑัญญะว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา” พระพุทธองค์ ทรงทราบว่า โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานด้วยความพอพระทัยด้วยพระดำรัสว่า:- “อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ” ซึ่งแปลว่า “โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ” ด้วยพระพุทธดำรัสนี้ คำว่า “อัญญา” จงเป็นคำนำหน้า ชื่อของท่าน โกณฑัญญะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนเป็นที่รู้ทั่วกันว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ

•   พระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา

               ต่อจากนั้น ท่านได้กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทให้ด้วยพระดำรัสว่า:- “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” ด้วยพระวาจาเพียงเท่านี้ โกณฑัญญะ ก็สำเร็จเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นพระสงฆ์รูปแรกในโลก และการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”

                 วันต่อ ๆ มา ท่านที่เหลืออีก ๔ คน ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และอุปสมบทด้วยกันทั้งหมด พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า พระปัจวัคคีย์ มีญาณแก่กล้า พอที่จะบรรลุธรรมเบื้องสูงได้แล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนา “อนัตตลักขณสูตร” คือสูตรที่แสดงลักษณะแห่งเบญจขันธ์ว่าเป็นอนัตตาความไม่มีตัวตน โปรดพระปัญจวัคคีย์ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคคลด้วยกันทั้งหมด ขณะนั้น มีพระอรหันต์ เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์รวมทั้งพระบรมศาสดาด้วย

•   ได้รับยกย่องทางรัตตัญญู

               พระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระพุทธองค์ทรงส่งออกไปประกาศพระศาสนาพร้อมกับพระสาวกรุ่นแรก จำนวน ๖๐ รูป ท่านได้เดินทางไปยังบ้านเดิมของท่าน ได้นำหลานชายชื่อ ปุณณมันตานี ซึ่งเป็นบุตรของ นางมันตานี ผู้เป็นน้องสาวของท่านมาบวช และได้มีชื่อว่า พระปุณณมันตานีบุตรเถระเพราะความที่ท่านเป็นพระเถระ ผู้มีอายุพรรษากาลมาก มีประสบการณ์มาก จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ในแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าภิกษุ ทั้งหลายในทาง ผู้รัตตัญญูหมายถึง ผู้รู้ราตรีนาน

•   บั้นปลายชีวิต

              พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระเถระผู้เฒ่า ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ชอบหลีกเร้นอยู่ในสถานที่อันสงบวิเวกตามลำพัง ในคัมภีร์มโนรถปูรณี และคัมภีร์ธุรัตวิลาสินี กล่าวไว้ตรงกันว่า เป็นเวลา ๑๒ ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพานท่านได้กราบทูลลาพระบรมศาสดาไปจำพรรษา ณป่าหิมพานต์ ตามลำพัง นอกจากต้องการความสงบดังกล่าวแล้ว ยังมีเหตุผลส่วนตัวของท่าน อีก ๓ ประการคือ
               ๑ ท่านไม่ประสงค์จะเห็นพระอัครสาวก คือ พระสารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็นกำลังสำคัญในการช่วยแบ่งเบาภาระของพระพุทธองค์ กิจการพระศาสนาด้านต่าง ๆ ที่ต้องมาแสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระผู้เฒ่าชราอย่างท่าน ซึ่งสังขารนับวันจะร่วงโรยและใกล้แตกดับเข้าไปทุกขณะ
               ๒ ท่านได้รับความเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ที่ต้องคอยต้อนรับผู้ไปมาหาสู่ ซึ่งมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ การอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้านจึงไม่เหมาะสมสำหรับพระแก่ชราอย่างท่าน
               ๓ ท่านเบื่อหน่ายในความดื้อรั้น ของพระสัทธิวิหาริกรุ่นหลัง ๆ ที่มักประพฤตินอกลู่นอกทาง ห่างไกลจากการบรรลุมรรคผล

               ท่านได้อยู่จำพรรษา ในป่าหิมพานต์ บริเวณใกล้สระฉัททันต์ เป็นเวลานาน ๑๒ ปี วันที่ท่านจะนิพพาน ท่านพิจารณาอายุสังขารแล้ว ได้มาเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อกราบทูลลานิพพานครั้นพระพุทธองค์ประทานอนุญาตแล้ว ท่านเดินทางกลับยังป่าหิมพานต์ และนิพพานในบรรณศาลาที่พักริมสระฉัททันต์นั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกจำนวนมาก ได้เสด็จไปทำฌาปนกิจศพให้ท่าน
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2680 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 08:25:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 29 กรกฎาคม 2554, 20:42:32
ที่พระต้องเอื้อนยาวๆ เวลาสวดมนต์ในพิธีการต่างๆ เพราะเป็นพระที่ได้รับกิจนิมนต์มาจากคนละวัดกัน
จึงต้องทอดเสียงเพื่อการซิงโครไนซ์กันนิดนึงครับ (อะไรกัน อุบาสกสิงห์หาว่าพระแกล้งทำเสียงหล่อ)


...พี่สิงห์คะ...พระท่านไม่ได้ร้องเพลงหรอกค่ะ...แต่ท่านเทศน์โดยการแหล่...

...เหมือนกับการแหล่ตอนบวชนาคเรื่องพระคุณของแม่...ถูกอกถูกใจบรรดาโยมถึงกับร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลไม่รู้ตัว...

...เมื่อวันก่อนตู่ดูรายการธรรมะทางทีวี...ก็มีหลวงพ่อรูปนึงเทศน์โดยการแหล่เหมือนกัน...

...เป็นรองเจ้าอาวาสวัดใหญ่วัดนึงค่ะ...เสียงแหล่ท่านไพเราะทีเดียว...

...คงไม่เป็นบาปมังคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2681 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 09:41:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554, 08:25:22
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 29 กรกฎาคม 2554, 20:42:32
ที่พระต้องเอื้อนยาวๆ เวลาสวดมนต์ในพิธีการต่างๆ เพราะเป็นพระที่ได้รับกิจนิมนต์มาจากคนละวัดกัน
จึงต้องทอดเสียงเพื่อการซิงโครไนซ์กันนิดนึงครับ (อะไรกัน อุบาสกสิงห์หาว่าพระแกล้งทำเสียงหล่อ)


...พี่สิงห์คะ...พระท่านไม่ได้ร้องเพลงหรอกค่ะ...แต่ท่านเทศน์โดยการแหล่...

...เหมือนกับการแหล่ตอนบวชนาคเรื่องพระคุณของแม่...ถูกอกถูกใจบรรดาโยมถึงกับร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลไม่รู้ตัว...

...เมื่อวันก่อนตู่ดูรายการธรรมะทางทีวี...ก็มีหลวงพ่อรูปนึงเทศน์โดยการแหล่เหมือนกัน...

...เป็นรองเจ้าอาวาสวัดใหญ่วัดนึงค่ะ...เสียงแหล่ท่านไพเราะทีเดียว...

...คงไม่เป็นบาปมังคะ...

                 พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญให่ทำเสียงแบบนั้น สมัยพระพุทธองค์ ท่านไม่มีแหล่ใดๆ ทั้งสิ้นท่านไม่ปราถนาแบบนั้น มันมามีภายหลังและเราก็เข้าใจไปว่าเป็นของเก่าในสมัยพระพุทธองค์ มันไม่ใช่  พระท่านก็เอาใจญาติโยม แต่ในพระไตรปิฎก ก็ยังมีในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญให้กระทำอย่างนั้น อยู่ดี มันเป็นข้ออ้างของคนรุ่นใหม่ที่คิดว่าดี ครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2682 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 16:55:45 »



พี่สิงห์ดูอิ่มเอิบคะ
ตาหนิงไล่ไปข้างหลัง
เห็นเก้าอี้พับได้เก๋ไก๋
ป้าเธอคงเจ็บเข่า พับเพียบ ขัดสมาธิไม่ได้
พี่สิงห์ยังนั่งได้...สบายใจคะ
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2683 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 16:59:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554, 09:41:42
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554, 08:25:22
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 29 กรกฎาคม 2554, 20:42:32
ที่พระต้องเอื้อนยาวๆ เวลาสวดมนต์ในพิธีการต่างๆ เพราะเป็นพระที่ได้รับกิจนิมนต์มาจากคนละวัดกัน
จึงต้องทอดเสียงเพื่อการซิงโครไนซ์กันนิดนึงครับ (อะไรกัน อุบาสกสิงห์หาว่าพระแกล้งทำเสียงหล่อ)


...พี่สิงห์คะ...พระท่านไม่ได้ร้องเพลงหรอกค่ะ...แต่ท่านเทศน์โดยการแหล่...

...เหมือนกับการแหล่ตอนบวชนาคเรื่องพระคุณของแม่...ถูกอกถูกใจบรรดาโยมถึงกับร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลไม่รู้ตัว...

...เมื่อวันก่อนตู่ดูรายการธรรมะทางทีวี...ก็มีหลวงพ่อรูปนึงเทศน์โดยการแหล่เหมือนกัน...

...เป็นรองเจ้าอาวาสวัดใหญ่วัดนึงค่ะ...เสียงแหล่ท่านไพเราะทีเดียว...

...คงไม่เป็นบาปมังคะ...

                 พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญให่ทำเสียงแบบนั้น สมัยพระพุทธองค์ ท่านไม่มีแหล่ใดๆ ทั้งสิ้นท่านไม่ปราถนาแบบนั้น มันมามีภายหลังและเราก็เข้าใจไปว่าเป็นของเก่าในสมัยพระพุทธองค์ มันไม่ใช่  พระท่านก็เอาใจญาติโยม แต่ในพระไตรปิฎก ก็ยังมีในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญให้กระทำอย่างนั้น อยู่ดี มันเป็นข้ออ้างของคนรุ่นใหม่ที่คิดว่าดี ครับ


พี่สิงห์,
ถึงจะเทศน์ด้วยบทเดียวกัน..
ภาษาเดียวกัน..
หนิงก็อดที่จะเข้าอกเข้าใจ
ความแตกต่างในaccent(lingual)ไม่ได้คะ
ทำให้แต่ละเทศน์มีความเฉพาะตัว
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2684 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 18:16:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 29 กรกฎาคม 2554, 18:07:45
              แหมมาทีหลังน้องหนิงอีกแระ  พี่สิงห์ดูสดชื่นและมีพลังสดใส แข็งแรง(โดยไม่ต้องดื่มโอวัลติน)
              แต่ดื่มน้ำส้ม น้ำผลไม้  พี่ๆ น้องๆชาวซีมะโด่งหลายคนเป็นปลื้มและโล่งที่เห็นพี่สิงห์มีสุขภาพดี
               ต้อยเชื่อว่าอาการที่พี่เป็น พวกเราบางคนก็เคยเป็นกัน แล้วก็กลับมาหายดี หายช้า เร็วก็ปกติได้
              ยิ่งพี่ดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกายเป็นประจำยิ่งดีในระยะยาว ก็คืออายุยืนละค่ะ

             ขอติดอ่านธรรมะไว้ก่อน จาไปเปิดแผ่นของนักร้อง โอเกะ โดยproducerหนิงก่อน

             น้องหนิง ถูกจายมากกกกก    มีcopyrightรึเปล่าค่ะ
พี่ต้อย,
psst,พี่ต้อยขา
รีบเลยคะ,มาloadไปไว้เลยคะ
ยินว่าเป็นรุ่นสุดท้าย หายาก!
เลิกผลิต...แจกแหลก online
งวดหน้า จะไม่เป็นmovie
แต่อาจเป็นวัตถุมงคล...

เซียนแจกเองนะค๊าา




http://www.mediafire.com/?7tlg1j8uwf1ur46
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2685 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 20:42:01 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                       พี่สิงห์กลับมากรุงเทพฯแล้ว อาการไอมีนิดหน่อย แต่แพ้แอร์นี่ซิลำบาก เพราะภูมิต้านทานพี่สิงห์ดีเกินไปพอเจออากาศเปลี่ยนเท่านั้น จามคัดจมูกทันทีทันใดเลย โดยเฉพาะห้องแอร์ ครับ ก็พยายามให้ร่างกายมันปรับของมันเอง เพราะอย่างไรก็หนีห้องแอรืไม่พ้นอยู่ดี  ทนไปสักพักมันคงปรับสมดุลย์เอง เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

                       วันนี้ประชุมที่บริษัทเรื่องร้ายๆทั้งนั้น แต่แปลกพี่สิงห์ไม่เดือดดาลใจเลย รับสภาพได้หมดแบบมีสติ เลยพ้นเวรกรรมไปครับ นี่ละข้อดีของการปฏิบัติธรรม

                       น้องสาวโทรศัพท์มาบอกว่า ให้เลิกทำงานกลับไปอยู่สิงห์บุรีดีกว่า เพราะอายุมากแล้ว  กลัวไม่มีใครดูแล

                       พรุ่งนี้พี่สิงห์มีนัดกับ ดร.สุริยา  ไปดูโขนรอบบ่ายสองที่ศูนย์วัฒนธรรม สงสัยพี่สิงห์ต้องหาเสื้อ Jacket ไปเพราะห้องแอร์อากาศหนาว หายใจลำบากแน่ๆ และต้องหาผ้าพันคนไปเผื่อด้วย พี่ตุ๊ ข้างบ้านแนะนำ  พี่วสันต์ ก็แนะนำมาอีก เวลานอนให้ทาวิคที่ฝ่าเท้า และใส่ถุงเท้านอน พี่สิงห์เห็นว่าไม่เสียหายเลยลองแต่ทายาหม่องตาลิงแทนเพราะไม่มีวิคและใส่ถุงเท้านอนครับ

                       และพรุ่งนี้วันอาทิตย์งดไปตีกอล์ฟ เพราะกลัวว่าจะไปดูโขนเพลียจากการตีกอล์ฟ จะไปนั่งหลับเลยงดดีกว่าแต่จะไปซ้อม Drive เอาวงสวิงไว้ก่อน และเป็นการออกกำลังกายด้วย

                       วันนี้มาถึงบ้านห้าโมงครึ่งก็แต่งตัวใส่รองเท้าเดินจงกรมหน้าบ้านได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง พยายามเอาชนะการแพ้อากาศด้วยการออกกำลังกายให้มากเข้าไว้  และเป็นการฝึกจิตของเราด้วยครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2686 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 20:52:04 »

                       วันแม่ปีนี้พี่สิงห์ตั้งใจกลับไปหาแม่ และจะชวนพี่ๆ น้องๆ พี่สิงหืจะแต่งชุดขาวเพื่อขอขมาต่อแม่ เพราะแกยังมีสติรู้เรื่อง ดีกว่าไปขอขมาเมื่อท่านไม่มีสติ หรือจากไปแล้วครับ

                       และรุ่งขึ้นเป็นวันพระถือโอกาสไปทำบุญอยู่วัด  สอนอุบาสก อุบาสิกา ปฏิบัติธรรม ดีกว่าไปเที่ยวครับ วันแม่ปีนี้

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2687 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 21:05:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554, 20:42:01
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                 
                       น้องสาวโทรศัพท์มาบอกว่า ให้เลิกทำงานกลับไปอยู่สิงห์บุรีดีกว่า เพราะอายุมากแล้ว  กลัวไม่มีใครดูแล

                       พรุ่งนี้พี่สิงห์มีนัดกับ ดร.สุริยา  ไปดูโขนรอบบ่ายสองที่ศูนย์วัฒนธรรม สงสัยพี่สิงห์ต้องหาเสื้อ Jacket ไปเพราะห้องแอร์อากาศหนาว หายใจลำบากแน่ๆ และต้องหาผ้าพันคนไปเผื่อด้วย พี่ตุ๊ ข้างบ้านแนะนำ  พี่วสันต์ ก็แนะนำมาอีก เวลานอนให้ทาวิคที่ฝ่าเท้า และใส่ถุงเท้านอน พี่สิงห์เห็นว่าไม่เสียหายเลยลองแต่ทายาหม่องตาลิงแทนเพราะไม่มีวิคและใส่ถุงเท้านอนครับ

                       และพรุ่งนี้วันอาทิตย์งดไปตีกอล์ฟ เพราะกลัวว่าจะไปดูโขนเพลียจากการตีกอล์ฟ จะไปนั่งหลับเลยงดดีกว่าแต่จะไปซ้อม Drive เอาวงสวิงไว้ก่อน และเป็นการออกกำลังกายด้วย

                       วันนี้มาถึงบ้านห้าโมงครึ่งก็แต่งตัวใส่รองเท้าเดินจงกรมหน้าบ้านได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง พยายามเอาชนะการแพ้อากาศด้วยการออกกำลังกายให้มากเข้าไว้  และเป็นการฝึกจิตของเราด้วยครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ


พี่สิงห์น่ารักที่สุดเลย!
1.จะเอาผ้าไปพันคนที่ไหน...ถ้าไม่ไช่พี่ป๋องข้างๆ??
2.เค้าทาหน้าอกกันไม่ไช่เหรอพี่??ทาเท้าได้ไง??

แอบขำได้นะพี่?
ไม่ให้ใครเห็น
เดี๋ยวเค้าหาว่าล้อผู้ใหญ่
      บันทึกการเข้า


Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2688 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 21:49:37 »

               สวัสดีค่ะพี่สิงห์  พี่ตู่ น้องแหลม น้องหนิง และพี่น้องซีมะโด่งทุกท่าน
                                     พี่สิงห์เดินทางอย่างนี้ทุกอาทิตย์เจออากาศที่นครฯซึ่งชื้น
                                     กลับมากรุงเทพ เจอแอร์บนเครื่อง ในรถ ร่างกายปรับได้
                                     ขนาดนี้นับว่าแข็งแรงแล้วค่ะ เมื่อครู่ดูผ่านๆในทีวีใช่โขนวันที่ 5-6ส.ค
                                     ผสมผสานไฮเทค น่าดูมาก ฝากสวัสดีพี่ป๋องด้วยค่ะ
             
                                      น้องหนิงพี่ให้น้องเค้าจัดการแล้วเรื่องแผ่นเพลง กะว่าจะขอลายเซ็นสดถ้าเจอ
                                     รึว่าจะขอทำเป็นวัตถุมงคลก็ต้องใส่ซองทำบุญด้วย
                                      เอ้อ...เข้าท่า                                     
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2689 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 07:53:38 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ทุกท่านคงพักผ่อนกับครอบครัวอยู่ที่บ้าน พี่สิงห์หวังว่าทุกท่านคงอบอุ่น เป็นสุข กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา มีแต่ความรัก  ความเข้าใจ และอบอุ่น ครับ เพราะถ้าครอบครัวมีแต่สุข สังคม ประเทศชาติก็จะได้รับอานิสงส์แห่งความสุข สงบนั้นไปด้วยครับ

                เช้าวันนี้พี่สิงห์ไม่ได้ไปตีกอล์ฟตามปกติที่ปฏิบัติมาในเช้าวันอาทิตย์ พี่สิงห์อยู่บ้าน เลยออกไปเดินจงกรมที่หน้าบ้าน เสียหนึ่งชั่วโมง ท่ามกลางสายฝนเยี่ยวจักจั่น เลยต้องหาหมวกมาใส่ ผลคือภูมิคุ้มกันพี่สิงห์ดีมาก จาม น้ำมูกไหลทันทีเลย  ออกกำลังกายเสร็จก็มาดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โรยเกลือนิดหน่อย รับประทานอาหารเช้าเป็น ขนมปังสามแผ่ เครื่องดื่มร้อนเนสวิต้า และชมพู่สามผล ครับ

                เช้านี้พี่สิงห์อยากให้ทุกท่านได้ทราบประวัติพระอรหันต์ ภิกษุสาวกผู้เป็นเลิศอันดับที่ ๒ คือพระอุรุเวลกัสสปเถระ ครับ ลองอ่านดูนะครับ

                สวัสดีทุกท่านครับ อย่าลืม ทำจิตให้ผ่องใส แล้วท่านจะสุขตลอดทั้งวันอาทิตย์นี่ครับ

                อรุณสวัสดิ์(34617)

รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

พระอรหันต์ ภิกษุสาวกที่เป็นเอตทัคคะ ในลำดับที่ ๒

พระอุรุเวลกัสสปเถระ

เอตทัคคะในทางผู้มีบริวารมาก


               พระอุรุเวลกัสสปเถระ เกิดในตระกูลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชาย ๒ คน ชื่อ กัสสปะ เหมือนกัน เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ได้ศึกษาจบไตรเพท คือ พระเวท ๓ อย่าง ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพราหมณ์ ได้แก่
                ๑. ฤคเวท (อรุพเพท) ประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า
                ๒. ยชุรเวท (ยชุพเพท) บทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่าง ๆ
                ๓. สามเวท ประมวลบทเพลงขับสำหรับสวดหรือร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญ
                ต่อมาได้เพิ่มอถรรพเวท หรืออาถรรพเวท อันว่าด้วยคาถาอาคมทางไสยศาสตร์เข้ามาอีกจึงเป็น ๔ เรียกว่า จตุเพทางคศาสตร์ กัสสปะ พี่ชายคนโตนั้นมีบริวาร ๕๐๐ คน กัสสปะ คนกลาง มีบริเวณ ๓๐๐ คน และกัสสปะ คนเล็กสุดท้าย มีบริวาร ๒๐๐ คน

•   บวชเป็นฤาษีชฎิล

              ต่อมาทั้งสามพี่น้องมีความเห็นตรงกันว่า “ลัทธิที่พวกตนนับถืออยู่นั้นไม่มีแก่นสาร” จึงพากันออกบวชเป็นฤาษีชฎิล เกล้าผมเซิง บำเพ็ญพรตบูชาไฟตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ตามลำดับกัน พี่ชายคนโต ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำตอนเหนือ ณ ตำบลอุรุเวลา จึงได้ชื่อว่า “อุรุเวลกัสสปะ” น้องชายคนกลาง ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำถัดไป ณ ตำบลนที จึงได้ชื่อว่า “นทีกัสสปะ” ส่วนน้องชายคนเล็ก ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำ ณ ตำบลคยา จึงได้ชื่อว่า “คยากัสสปะ”

              เมื่อพระพุทธองค์ ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว และจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในพรรษานั้นมีพระสงฆ์สาวกผู้สำเร็จพระอรหันต์ จำนวน ๖๐ รูป เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระบรมศาสดาได้ส่งพระสาวกทั้ง ๖๐ รูปนั้น ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังถิ่นต่าง ๆ ส่วนพระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมในระหว่างทาง เสด็จเข้าไปประทับพักผ่อนภายใต้ร่มไม้ริมทางในไร่ฝ้าย ขณะนั้นมีพระราชกุมาร ๓๐ พระองค์ ผู้ได้นามว่า “ภัททวัคคีย์” ได้พาภรรยาไปเที่ยวหาความสุขสำราญในราชอุทยาน ราชกุมารองค์หนึ่งไม่มีภรรยา จึงพาหญิงโสเภณีไปเป็นคู่เที่ยว เมื่อพวกราชกุมารกำลังเพลิดเพลินสนุกสนานกันอยู่นั้น หญิงโสเภณีได้ขโมยของมีค่าหนีไป พวกราชกุมารออกติดตามมา ได้พบพระผู้มีพระภาคที่ไร่ฝ้าย จึงเข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามว่า:-
               “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์เห็นหญิงคนหนึ่งผ่านมาทานี้บ้างหรือไม่ พระเจ้าข้า ?"
               “พวกท่านเห็นว่า การแสวงหาหญิงกับการแสวงหาสิ่งประเสริฐในตนสิ่งไหนจะดีกว่ากัน ?"
               “แสวงหาสิ่งประเสริฐในตนดีกว่า พระเจ้าข้า”
               “ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงนั่งลง ตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง”
               พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ฟัง จนทั้งหมดได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่ชั้นพระโสดาบัน ถึงชั้นพระสกทาคามี และพระอนาคามีทุกพระองค์ จากนั้น พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทให้แล้ว ส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดา เสด็จต่อไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เสด็จเข้าไปยังสำนักของอุรุเวลกัสสปะ ตรัสขอพักอาศัยสักหนึ่งราตรี แต่อุรุเวลกัสสปะ เห็นว่าเป็นนักบวชต่างลัทธิ จึงบ่ายเบี่ยงว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า:-
               “ธรรมดาว่าโคย่อมเข้าไปสู่ฝูงโค นักบวชก็ย่อมเข้าไปสู่สำนักของนักบวช ถ้าท่านไม่มีความหนักใจ ตถาคตจะขอพักอาศัยอยู่ในโรงไฟ ซึ่งเป็นที่บูชายัญของท่านนั้น”
               “ดูก่อนมหาสมณะ เรามิได้หนักใจ ถ้าท่านจะพักในที่นั้น แต่ว่ามีพญานาคดุร้ายและมีพิษมาก อยู่ในโรงไฟนั้น เกรงว่าท่านจะได้รับอันตรายถึงชีวิตก็ได้”
               เมื่ออุรุเวลกัสสปะไม่ขัดข้อง พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าไปในโรงไฟ ทรงพิจารณาตรวจดูสถานที่อันสมควรแล้ว ประทับนั่งสมาธิเจริญกรรมฐาน ฝ่ายพญานาค เห็นผู้แปลกหน้าผิดกลิ่นเข้ามาในโรงไฟของตนก็โกรธ จึงพ่นพิษออกมาเป็นควันไฟอบอวลทั่วทั้งโรงไฟ หวังจะทำอันตรายให้สิ้นชีวิต แต่พระพุทธองค์ทรงแสดง พุทธานุภาพให้ปรากฏ ด้วยการบันดาลให้ควันไฟกลับไปสัมผัสเนื้อ หนัง เอ็น และกระดูกของพญานาค ทำให้ฤทธิ์เดชของพญานาคเหือดหายไป บังเกิดความเจ็ดปวดขึ้นมาแทน

•   อุรุเวลกัสสปะ ละลัทธิเดิม

              ในราตรีนั้น พระพุทธองค์ทรงทรมานพญานาค ด้วยวิธีต่าง ๆ ทรงเข้าเตโชกสิณสมาบัติบันดาลให้เปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการทั่วโรงไฟ เหล่าชฎิลทั้งหลายต่างมองดูด้วยความดีใจว่า “พระสมณะ คงจะวอดวาย ในกองเพลิงด้วยพิษของพญานาค อย่างแน่นอน” ในที่สุด พระพุทธองค์ ก็ทรงปราบพญานาค จนสิ้นฤทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้วจับเอาลงไปขดไว้ในบาตร รุ่งเช้า อุรุเวลกัสสปะ พาศิษย์ชฎิลมาตรวจดู เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจึงคิดว่า “พระสมณะนี้ มีอานุภาพมาก สามารถปราบพญานาคให้พ่ายแพ้ได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา” คิดดังนี้แล้ว จงยังมิยอมรับนับถือ แต่ก็รู้สึกเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ และนิมนต์ให้พักอยู่ต่อไปได้ โดยพวกตนจะเป็นผู้นำอาหารมาถวายทุกวัน วันต่อมา พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปประทับที่ชายป่าใกล้ ๆ อาศรมของอุรุเวลกัสสปะ นั้น ในยามราตรีของแต่ละคืน ได้มีทวยเทพเทวาตั้งแต่ชั้น จาตุมหาราชทั้ง ๔ ท้าว โกสีย์เทวราช
และท้าวสหัมบดีรพรหม ต่างก็มาเข้าเฝ้าเพื่อฟังพระธรรมเทศนา ได้เปล่งรัศมีแสงสว่างทั่วทั้งไพรสณฑ์ ยังความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดแก่อุรุเวลกัสสปะ และบริวารเป็นอย่างยิ่ง ครั้นรุ่งเช้า ได้กราบทูลถามเหตุที่มาของแสงสว่างนั้น ครั้นได้ทราบความตลอดแล้วรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสและดำริอยู่ในใจว่า
“อานุภาพของพระสมณโคดมนี้ยิ่งใหญ่หาผู้เปรียบมิได้ แม้แต่เทพยาดาทุกชั้นฟ้า ยังมาเข้าเฝ้าเพื่อขอฟังธรรม แต่ถึงจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นเรา” พระบรมศาสดา ทรงพักอยู่ในสำนักของอุรุเวลกัสสปะ เป็นเวลา ๒ เดือน ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ทรมานอุรุเวลกัสสปชฎิล หลายประการ แต่อุรุเวลกัสสปะ ผู้มีสันดาน กระด้าง มีทิฏฐิแรงกล้ายังถือตนเองว่าเป็นพระอรหันต์อยู่เช่นเดิม
              พระพุทธองค์ทรงดำริว่า “ตถาคต จะยังโมฆบุรุษชฏิลนี้ ให้เกิดความสลดสังเวช” ดังนี้ แล้วจึงตรัสว่า:-
              “ดูก่อนกัสสปะ ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ ทางปฏิบัติของท่านยังห่างไกลต่อการ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มิใช่ทางมรรคผลอันใดเลย ไฉนท่านจึงถือตนว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านลวงตนเองแล้วยังลวงคนอื่น ถ้าท่านรู้สึกสำนึกตัว และปฏิบัติตามคำสอนของเรา ท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ที่แท้จริงในไม่ช้า”
               อุรุเวลกัสสปะ ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้วก็รู้สึกสลดใจ ก้มศีรษะลงแทบพระบาทกราบทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดา จึงตรัสแก่เธอว่า:-
               “กัสสปะ ท่านเป็นอาจารย์เจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ มีบริวารมากกว่า ๕๐๐ คน ท่านจงบอกให้บริวารของท่านทราบทั่วกันก่อน ตถาคตจึงจะอุปสมบท ให้ท่าน”
               อุรุเวลกัสสปะ จึงประกาศชักชวนชฎิลบริวารของตนทั้งหมด พากันลอยบริขารดาบส มีเครื่องแต่งผมเป็นชฎา และเครื่องบูชาเพลิง เป็นต้น ลงในแม่น้ำแล้วทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดา ประทานการอุปสมบทด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา พร้อมกันทั้งหมด ฝ่าย นทีสัสสปะ และ คยากัสสปะ น้องชายทั้งสองคน ซึ่งตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำตอนใต้ลง ไปตามลำดับ เห็นบริขารของพี่ชายลอยมาตามน้ำ ทำให้คิดว่า “อันตรายคงจะเกิดมีแก่พี่ชายของตน” จึงพร้อมด้วยบริวารรีบมาที่สำนักของพี่ชาย เห็นพี่ชายอยู่ในเพศพระภิกษุ จึงสอบถามได้ความว่า “พรหมจรรย์นี้ประเสริฐยิ่งนัก” จึงพากันลอยบริขารลงในแม่น้ำแล้วขออุปสมบทด้วยกัน ทั้งหมด
 
•   ฟังอาทิตตปริยายสูตร

               พระพุทธองค์ ประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พอสมควรแก่พระอัธยาศัยแล้ว จึงเสด็จพร้อมด้วยหมู่ภิกษุชฎิลเหล่านั้น จำนวน ๑,๐๐๓ รูป ไปยัง ตำบลคยาสีสะ และประทับอยู่ณ ที่นั้น ทรงพิจารณาเห็นอินทรีย์ของภิกษุใหม่ แก่กล้าแล้ว จึงตรัสเรียกท่านเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกันแล้วตรัสพระธรรมเทศนา “อาทิตตปริยายสูตร” ทรงเปรียบเทียบสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อนดุจเดียวกับไฟเพื่อให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของพวกเธอ ที่เคยบูชาไฟมาก่อน ทรงแสดงถึงอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นของร้อน และความรู้สึกว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะตาเห็นรูป หรือหูได้ยิน เป็นต้น ก็เป็นของร้อนใจความโดยสรุปก็คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายได้สัมผัสและใจกระทบอารมณ์ แล้วทำให้เกิดความเร่าร้อน ร้อนเพราะราคา โทสะ และโมหะ เป็นต้น ผู้ได้สดับและรู้เท่าทันกิเลสเหล่านี้แล้วย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งปวง เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัดเมื่อคลายกำหนัดแล้ว จิตก็ไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นสิ่งเหล่านั้น
                ขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ภิกษุชฎิล ทั้ง ๑,๐๐๓ รูป ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรมเทศนา จิตของพวกเธอ ก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งปวงสำเร็จป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยกันทั้งหมด

•   ตามเสด็จโปรดพระเจ้าพิมพิสาร

                พระอุรุเวลกัสสปะ เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ช่วยกิจการพระพุทธศาสนา และช่วยแบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดา ได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ใหม่ ๆ ได้ติดตามเสด็จพระบรมศาสดาไปสู่เมืองราชคฤห์ พระพุทธองค์ประทับ ณ ลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่ม พระเจ้า พิมพิสารทรงทราบ จึงพร้อมด้วยพราหมณ์ และคฤหบดีชาวเมืองมคธ จำนวน ๑๒ นหุต เสด็จเข้ามาเฝ้า กราบถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วปะทับนั่ง ณ ที่อันสมควรแก่พระองค์ ส่วนบริวารที่ติดตามมาเหล่านั้น ต่างก็แสดงกิริยาอาการต่าง ๆ กัน คือบางพวกก็ถวายบังคม บางพวกก็กราบทูลสนทนา บางพวกก็ประกาศชื่อและตระกูลของตน บางพวกก็นั่งเฉย ๆ เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนเหล่านั้นยังไม่แน่ใจว่าระหว่างพระบรมศาสดากับอุรุเวลกัสสปะ นั้นใครเป็นศิษย์ใครเป็นอาจารย์กันแน่ เพราะว่า อุรุเวลกัสสปะ ก็เป็นเจ้าสำนักใหญ่ มีคนเคารพนับถือมากมาย และได้รับยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
                 พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตความคิดของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี เพื่อปลดเปลื้องความสงสัยของคนเหล่านั้น จึงตรัสถามพระอุรุเวลกัสสปะ ว่า:-
                 “กัสสปะ เธออยู่ในอุรุเวลาเสนานิคมมานาน เป็นอาจารย์สั่งสอนชฎิลให้บำเพ็ญพรตจนซูบผอม เธอเห็นโทษอะไรหรือ จึงเลิกละการบูชานั้นเสีย?”
                 พระอุรุเวลกัสสปะ เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแล้ว ก็ทราบถึงพุทธประสงค์ดี จึงน้อมนมัสการกราบทูลว่า:-
                 “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค การบูชายัญทั้งหลาย ล้วนแต่มีความมุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งกามคุณ มีรูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นของร้อน บัดนี้ ข้าพระองค์ ได้รู้ชัดแล้วว่า ความรักใคร่ พอใจในกามคุณเหล่านั้น เป็นมลทินทำใจให้เศร้าหมอง ก่อให้เกิดกิเลส และความทุกข์ จึงละทิ้งการบูชาไฟนั้นเสีย บัดนี้ ข้าพระองค์ ได้เห็นธรรมอันสงบระงับแล้ว” พระเจ้าข้า
                  ครั้นแล้ว พระเถระได้ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระพุทธองค์ แล้วประกาศว่า:-
                 “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระองค์”
                  จากกิริยาอาการและถ้อยคำของพระเถระนั้น ทำให้บริวารของพระเจ้าพิมพิสารทั้งหมดเหล่านั้นหายสงสัย น้อมจิตลงที่ฟังพระธรรมเทศนา ดังนั้น พระบรมศาสดา จึงทรงแสดง “อนุปุพพิกถา” และ “อริยสัจ ๔” ให้ฟัง เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ นหุตะ ได้บรรลุโสดาปัตติผล ส่วนอีก ๑ นหุตะ ดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ

•   ได้รับยกย่องในทางผู้มีบริวารมาก

               พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นผู้ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม อันเป็นธรรมสำหรับผู้ใหญ่ใช้ปกครองดูแลบริวารให้มีความสุข ซึ่งประกอบด้วย
                ๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
                ๒. กรุณา ความสงสาร ปรารถนาจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
                ๓. มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
                ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ
 
                ด้วยคุณธรรมเหล่านี้ และอีกทั้งรู้จักบำรุงจิตใจบริวารด้วยการสงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของและหลักธรรมะ จึงทำให้ท่านสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจบริวารไว้ได้เป็นที่รักเคารพของบริวารและก็เป็นพุทธสาวกรูปเดียวที่มีบริวารมากที่สุด พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งปวง ในฝ่ายผู้มีบริวารมากท่านดำรงอายุสังขารสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2690 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 08:30:16 »

ความจริง สำหรับทุกท่าน ประจำวันนี้ครับ

ความสุข ความปีติ ความทุกข์ ความเศร้าโศก ..... นั้น มันเป็นธรรมชาติที่พึงมีแก่มนุษย์

แต่เราสามารถอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นได้ ด้วยการปฏิบัติธรรม บำเพ็ญเพียรทางจิต

นั่นเป็นความจริงทุกประการ ครับ

เพราะถ้าเราวางจิตของเราถูก เมื่อประสพเหตุการณ์นั้น เราจะไม่ได้รับผลอันนั้น

หรืออาจจะได้รับบ้าง แต่ไม่ทำความเสียหายให้เกิดขึ้นต่อกายและจิตของเรา

นี่ก็เป็นความจริงที่บังเกิดขึ้นแล้ว ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2691 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 09:56:48 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 เข้ามารับธรรมดีๆจากพี่สิงห์เหมือนเคย
หากปกติในชีวิตประจำวันทำให้เดินไม่ถูกต้องเป๋ไปมา
การเข้ามาอ่านธรรมของพี่สิงห์ เป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยกระตุ้นเตือนใจได้บ่อยๆค่ะ
 ขอบคุณค่ะ
 หายเร็วๆนะคะ การเป็นหวัด คงต้องอาศัยการพักผ่อนมากๆด้วยค่ะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2692 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 11:00:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554, 09:41:42
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554, 08:25:22
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 29 กรกฎาคม 2554, 20:42:32
ที่พระต้องเอื้อนยาวๆ เวลาสวดมนต์ในพิธีการต่างๆ เพราะเป็นพระที่ได้รับกิจนิมนต์มาจากคนละวัดกัน
จึงต้องทอดเสียงเพื่อการซิงโครไนซ์กันนิดนึงครับ (อะไรกัน อุบาสกสิงห์หาว่าพระแกล้งทำเสียงหล่อ)


...พี่สิงห์คะ...พระท่านไม่ได้ร้องเพลงหรอกค่ะ...แต่ท่านเทศน์โดยการแหล่...

...เหมือนกับการแหล่ตอนบวชนาคเรื่องพระคุณของแม่...ถูกอกถูกใจบรรดาโยมถึงกับร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลไม่รู้ตัว...

...เมื่อวันก่อนตู่ดูรายการธรรมะทางทีวี...ก็มีหลวงพ่อรูปนึงเทศน์โดยการแหล่เหมือนกัน...

...เป็นรองเจ้าอาวาสวัดใหญ่วัดนึงค่ะ...เสียงแหล่ท่านไพเราะทีเดียว...

...คงไม่เป็นบาปมังคะ...

                พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญให่ทำเสียงแบบนั้น สมัยพระพุทธองค์ ท่านไม่มีแหล่ใดๆ ทั้งสิ้นท่านไม่ปราถนาแบบนั้น มันมามีภายหลังและเราก็เข้าใจไปว่าเป็นของเก่าในสมัยพระพุทธองค์ มันไม่ใช่  พระท่านก็เอาใจญาติโยม แต่ในพระไตรปิฎก ก็ยังมีในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญให้กระทำอย่างนั้น อยู่ดี มันเป็นข้ออ้างของคนรุ่นใหม่ที่คิดว่าดี ครับ

...ยังขอยืนยันว่าไม่ผิดค่ะ...เพราะถ้าไม่เหมาะสมจริง...พระองค์นั้นคงถูกสึกไปแล้วค่ะ...

...พระรูปนั้นคงไม่ใช่พระวัดป่าหรือสายธรรมยุตินิกาย...

...วัดนี้ดังมาก...อยู่แถวๆเสาชิงช้าค่ะ...เปิดทีวีตอนดึกๆดูเถิด...มีรายการของท่านค่ะ...

...การสวดมนต์ทำนองสรภัญญะที่มีเนื้อบาลีสันสกฤษและแปลไทย...ก็มีการเอื้อน...ไม่ต่างจากเพลงไทยสากลค่ะ...

...บางวัดที่มีการสวดมนต์ทำวัตรเช้าวัตรเย็น...พอพระสวดเสร็จ...คุณแม่ชีจะนำสวด...ด้วยเสียงที่ไพเราะ...

...ยังคิดอยู่ว่า...เสียงนักร้องบางคนยังสู้ไม่ได้เลยค่ะ...

...บางวัดก้าวหน้าไปมากถึงขนาดตอนนี้มีเพลงให้โยมร้องด้วย...

...โดยการนำทำนองเพลงไทยสากลที่กำลังฮิตๆมาเปลี่ยนเนื้อร้องที่มีธรรมะสอนใจ...

...ทั้งหมดนี้เป็นอุบายให้คนเข้าถึงพุทธศาสนา...คล้ายๆกับวัดคริสต์ที่มีการร้องเพลง...

...คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ในทางโลกอยู่...จะให้เค้าตัดกิเลสแบบคนที่อยู่วัดคงไม่ได้ค่ะ...

...อย่างน้อยวิธีนี้ก็ทำให้เค้าเป็นคนดีได้บ้าง...ดีกว่าบางคนที่เคร่งในกรรมวิธีจนเครียด...

...แทนที่ใจจะสงบ...กลับป่วยทางใจ...และเรื้อรังเป็นป่วยทางกาย...

...แต่ทั้งหมดนี้ก็ถือว่าเป็นเปลือก...ไม่ใช่แก่นแท้จริงของพุทธศาสนาค่ะ...









      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2693 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 19:49:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 กรกฎาคม 2554, 07:53:38
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ทุกท่านคงพักผ่อนกับครอบครัวอยู่ที่บ้าน พี่สิงห์หวังว่าทุกท่านคงอบอุ่น เป็นสุข กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา มีแต่ความรัก  ความเข้าใจ และอบอุ่น ครับ เพราะถ้าครอบครัวมีแต่สุข สังคม ประเทศชาติก็จะได้รับอานิสงส์แห่งความสุข สงบนั้นไปด้วยครับ

                เช้าวันนี้พี่สิงห์ไม่ได้ไปตีกอล์ฟตามปกติที่ปฏิบัติมาในเช้าวันอาทิตย์ พี่สิงห์อยู่บ้าน เลยออกไปเดินจงกรมที่หน้าบ้าน เสียหนึ่งชั่วโมง ท่ามกลางสายฝนเยี่ยวจักจั่น เลยต้องหาหมวกมาใส่ ผลคือภูมิคุ้มกันพี่สิงห์ดีมาก จาม น้ำมูกไหลทันทีเลย  ออกกำลังกายเสร็จก็มาดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โรยเกลือนิดหน่อย รับประทานอาหารเช้าเป็น ขนมปังสามแผ่ เครื่องดื่มร้อนเนสวิต้า และชมพู่สามผล ครับ

                เช้านี้พี่สิงห์อยากให้ทุกท่านได้ทราบประวัติพระอรหันต์ ภิกษุสาวกผู้เป็นเลิศอันดับที่ ๒ คือพระอุรุเวลกัสสปเถระ ครับ ลองอ่านดูนะครับ

                สวัสดีทุกท่านครับ อย่าลืม ทำจิตให้ผ่องใส แล้วท่านจะสุขตลอดทั้งวันอาทิตย์นี่ครับ

                อรุณสวัสดิ์(34617)

 

พี่สิงห์,
รับสารภาพบาปมั้ยคะ?
ล้างบาปก็ได้?

กระซิบ:เมื่อวานหนิงดื่มไวน์มาล่ะ
ไวน์ขาวSchwarzriesling...spätlese
หว๊านหวาน ทั้งยังดื่มTrollinger-Lemberger
ไม่พอ Lemberger-Trollingerนับแก้วไม่ถ้วน
ดื่มหมดนึกได้.....ว๊ายยยย เข้าพรรษา
บาป.

 นั่งมึนอยู่เนี่ยคะพี่
ว่าจะถอนดีมั้ย!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2694 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 20:01:21 »

พี่สิงห์กลับจากดูโขนรึยังคะ?
เป็นยังไงมั่งคะ เล่าให้ฟังหน่อย,
สวยมั้ยคะ?
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2695 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 20:33:57 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                  
                      พี่สิงห์อ่านเจอในพระสูตร วันหลังจะเอามาพิมพ์ให้ดู พระพุทธองค์ไม่สรรเสริฐให้กระทำแบบนั้น

                      ถามว่าผิดวินัยไหม ไม่ผิดวินัยเพราะไม่ได้บัญญัติไว้

                      ทุกวันนี้ที่คนส่วนใหญ่หันไปบริจาคเงินให้ตามโรงพยาบาล สถานสงเคราะห์กันมากขึ้นนั้น เป็นเพราะส่วนหนึ่งพระท่านไม่อยู่ในธรรมวินัย ซึ่งเราจะเห็นข่าวพระนอกรีตลงหนังสือพิมพ์ประจำ คนจึงมีศรัทธาน้อยลง เริ่มเป็นยุคเสื่อมของพุทธศาสนา  จะค่อยๆเสื่อมลงๆ ไปเรื่อยๆ แบบซึมลึกทีละเล็กทีละน้อย  โดยเฉพาะประเทศไทยนั้น หน้าเป็นห่วงมากๆ วัดล้างเต็มไปหมด คนไทยปัจจุบันไม่นิยมบวชพระ วัดส่วนใหญ่หาเงินเข้าวัดโดยการสร้างวัตถูศักดิสิทธ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับหลักการสอนของพุทธศาสนาเลยทีเดียว ที่ให้พึ่งตนเอง ใช้ความเพียร และปัญญา แต่เราก็ถือว่าเลยตามเลย นั่นละการเสื่อมลงของศาสนาพุทธในประเทศไทยละ  พระท่านก็รู้ เพราะพระท่านก็คุยให้ฟังแบบนี้ เป็นไปตามคำทำนายของพระพุทธองค์ที่ศาสนาพุทธจะมีอายุเพียง ๕๐๐๐ ปี นี่ก็เลยครึ่งทางมาแล้วคือ ๒๕๐๐ ปี เหมือนอย่างในอินเดียพุทธศาสนาเกิดที่นั่น เจริญรุ่งเรืองสุดขีดก็ที่นั่น จนกระทั่งพวกเดรถีต้องพากันมาแต่งตัวเหมือนพระ จนทำให้พระมัวหมองถึงกับฆ่าพระจริง พระปลอมไปมากต่อมากในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ในที่สุดก็สูญหายไปจากอินเดีย จนต้องบูรณะกันใหม่ให้ได้ในอินเดีย

                      นี่ละอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ดังนั้นเราต้องรู้และเข้าใจด้วยธรรม คือความเป็นจริงที่ถูกที่ควร  ด้วยปัญญา  อย่าไปส่งเสริมให้ไปในทางที่ไม่ดี เพราะไปส่งเสริม มันจะเสื่อมเร็วกว่าที่คิด โดยเฉพาะในประเทศไทยเรานี้ ชอบส่งเสริมดีนัก  โดยผู้รู้ก็รู้แต้วางอุเบกขา เสีย เพราะถือว่า ใครทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้กรรมนั้นสนองเอง

                     พี่สิงห์ไม่เคยเคร่งเครียด ไม่มีพิธีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น  นึกอยากทำก็ทำ ในการปฏิบัติธรรม แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว พยายามมีสติในอิริยาบถ และการทำงาน อยู่ตลอดเวลาให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่าการมีสตินั้นดี ทำให้เราไม่ส่งจิตออกนอก ไม่ฟุ้งซ่าน  ไม่คิดนอกตัว  และไม่เอาเรื่องของใครทั้งนั้นมาเกี่ยวข้อง  การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อใดร่างกายอ่อนแอหรือความประมาทบังเกิดขึ้นความเจ็บป่วยก็จะบังเกิดขึ้น แต่ในทางตรงข้าม การเจ็บป่วยนั้นมันก็มีข้อดี ทำให้เราวัดจิตของเราได้ เป็นการศึกษาจิตของเราอย่างหนึ่งว่าเมื่อมันได้รับเวทนานั้น จิตเรามันเป็นอย่างไร  รับมันไหวไหม? เราเท่านั้นที่จะรู้ด้วยตัวของเราเอง

                     สิ่งที่พี่สิงห์กล่าวมานี้เป็นความสัจจริงที่เคยอ่านเจอในพระไตรปิฎก ทั้งสิ้น ไม่มีเจตนาว่ากล่าวใครเลย หรือชี้ว่าผิด ถูก เพียงแต่บอกว่าพระองค์ไม่สรรเสริญให้กระทำ  รู้ก็มาบอกให้ทราบ ถ้าไปล่วงเกินใครก็ขอรับผิดในสิ่งที่ได้กระทำทั้งสิ้น  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของคนรุ่นหลังเขียนขึ้นทั้งนั้น ทั้งพระไตรปิฎกก็ดี  วินัยก็ดี เพราะของเดิมแท้ไม่มีใครทราบความจริง เพราะสมัยพุทธกาล ไม่มีบัญทึกไว้ ได้แต่ท่องจำกัน เช่นพระธรรม นั้นกลุ่มของพระอนุรุธ เป็นผู้ท่องจำ เป็นต้น

                      ราตรีสวัสดิ์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2696 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 20:42:20 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                       มันก็เป็นความจริงตามที่เธอเข้าใจ  บางครั้งเราเกิดการท้อแท้  เบื่อ  จิตฟุ้งซ่าน  เราก็ต้องหาตัวช่วย  พี่สิงห์ใช้ประจำ คือ อ่านหนังสือธรรมดีๆ ที่เตือนใจ เพื่อเป็นตัวกระตุ้นตัวเองให้ตื่นตัว  อยู่ด้วยความไม่ประมาท และมีมานะที่จะกระทำต่อไป คือ ละเว้นการทำชั่วทั้งปวง  กระทำแต่ความดีทั้งกาย วาจา ใจ และทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส พยายามวางอุเบกขา  ไม่ยุ่งกับเรื่องนอกตัวเรา ว่าไปตามความเป็นจริง  ตามหลักเหตุ และผล ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้  ไม่นอกลู่นอกทาง สิ่งใดดีก็กระทำ และสรรเสริญ สิ่งใดไม่ดีก็ไม่ส่งเสริมและไม่กระทำตาม และสุดท้ายยึดหลัก กาลามสูตร ในการปฏิบัติตนของเราให้มั่นเข้าไว้

                       ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2697 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 21:00:08 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                พี่สิงห์กลับจากดูโขนมาแล้ว พรรคพวกที่ไปชมประกอบด้วย พี่สิงห์ คุณพรงเกียรติและเพื่อน คุณแววตา  คุณวิทิดา  คุณสุภาณี และคุณฉันทนา

                 สำหรับโขนตอน ศึกมัยราพณ์ นี้ การแสดงดีมาก ฉากดีมาก แต่สิ่งที่พี่สิงห์ดูมากที่สุดคือ การตีระนาดประกอบการแสดงโขน ครั้งนี้ทำได้ดีมาก คือวงทางซ้ายของผู้ชม เป็นวงครูบาอาจารย์ นักระนาดเอกเป็นอาจารย์มนตรี  เปรมปรีชา  วงนี้จะเล่นไปในทางดุ  ส่วนวงทางขวาของผู้ชมเป็นวงลูกศิษย์ นักระนาดเอกเป็นสุภาพสตรีอาจารย์นิตยา  รู้สมัย ดังนั้นเมื่อเป็นสุภาพสตรีจึงเล่นแบบนุ่มนวล  ทั้งสองวงจะเล่นสลับต่อมือกันเหมือนเล่นประชันวงทั้งนักดนตรีและนักร้อง สอดกันตลอดดีมาก คือเป็นวงปี่พาทย์และมีนักร้อง คือร้องประกอบเพลงแสดงโขน  แต่ละวงจะมีนักร้องผู้ชายหกคนนักร้องสุภาพสตรีหกคน แต่จะมีผู้นำชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เล่นแบบนี้ทำให้นักดนตรีและนักร้องมีเวลาหายใจเพราะสลับกันตลอดแต่ประสานกันเยี่ยมมาก

                 นักระนาดเอกนั้น เขาวัดฝีมือกันในการแสดงโขนนี่ละเพราะการตีระนาดมีทั้งเสียงหนัก กลางเบา การลงลูกระนาดต้องให้สอดรับกับการเต้น จึงเป็นการชม-ฟังระนาดที่ได้อัธรส ครับ

                 โขนตอนศึกมัยราพณ์ ยังมีแสดงต่อวันละสองรอบ คือรอบบ่ายสองโมง กับหนึ่งทุ่ม แสดงจนถึงวันที่ 7 สิงหาคม ครับ  พี่สิงห์จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านได้ชมกันครับ สำหรับพี่สิงห์จะไปชมอีกครั้งหนึ่งครับ ติดต่อซื้อบัตรได้ที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร. 022623456 หรือทางเวบ ครับ

                 ราตรีสวัสดิ์ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2698 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 21:28:58 »

หมู่นี้สุขภาพจิตไม่ค่อยดี  เป็นภาระมากที่จะต้องเข้ามาที่เวบ  อยากอยู่อย่างสงบ  โดยไม่ข้องแวะกับใครเลย  นอกจากตัวเองเท่านั้น

ดังนั้น ขออนุญาติทุกท่าน พี่สิงห์ไม่ได้เป็นผู้รู้อะไรมากนัก ไปเจออะไรที่ดีก็มาเล่าสู่กันฟังให้ทราบ

ขอความสุข  สงบ  จงบังเกิดกับทุกท่าน  

พี่สิงห์ ไม่ได้น้อยใจอะไรใครทั้งสิ้น เพราะไม่มีอยู่แล้วในความคิดนั้น  

กิเลส  ตัณหา นั้นตัดอยาก ถ้ายังข้องแวะอยู่อย่างนี้

ถึงแม้จะเป็นบททดสอบจิตที่ดีก็ตามทีว่าจิตเรานั้นทนแรงเสียดทานได้เพียงไหน

แต่เป็นภาระจริงๆ ครับ

ขอลาทุกท่านครับ

(คุณรุ่งศักดิ์  ได้เตือนมานานแล้ว เรื่องที่ยังข้องแวะอยู่ในเวบ  ไม่เป็นผลดี)

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2699 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2554, 23:23:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 กรกฎาคม 2554, 21:00:08
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                พี่สิงห์กลับจากดูโขนมาแล้ว พรรคพวกที่ไปชมประกอบด้วย พี่สิงห์ คุณพรงเกียรติและเพื่อน คุณแววตา  คุณวิทิดา  คุณสุภาณี และคุณฉันทนา

                 สำหรับโขนตอน ศึกมัยราพณ์ นี้ การแสดงดีมาก ฉากดีมาก แต่สิ่งที่พี่สิงห์ดูมากที่สุดคือ การตีระนาดประกอบการแสดงโขน ครั้งนี้ทำได้ดีมาก คือวงทางซ้ายของผู้ชม เป็นวงครูบาอาจารย์ นักระนาดเอกเป็นอาจารย์มนตรี  เปรมปรีชา  วงนี้จะเล่นไปในทางดุ  ส่วนวงทางขวาของผู้ชมเป็นวงลูกศิษย์ นักระนาดเอกเป็นสุภาพสตรีอาจารย์นิตยา  รู้สมัย ดังนั้นเมื่อเป็นสุภาพสตรีจึงเล่นแบบนุ่มนวล  ทั้งสองวงจะเล่นสลับต่อมือกันเหมือนเล่นประชันวงทั้งนักดนตรีและนักร้อง สอดกันตลอดดีมาก คือเป็นวงปี่พาทย์และมีนักร้อง คือร้องประกอบเพลงแสดงโขน  แต่ละวงจะมีนักร้องผู้ชายหกคนนักร้องสุภาพสตรีหกคน แต่จะมีผู้นำชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เล่นแบบนี้ทำให้นักดนตรีและนักร้องมีเวลาหายใจเพราะสลับกันตลอดแต่ประสานกันเยี่ยมมาก

                 นักระนาดเอกนั้น เขาวัดฝีมือกันในการแสดงโขนนี่ละเพราะการตีระนาดมีทั้งเสียงหนัก กลางเบา การลงลูกระนาดต้องให้สอดรับกับการเต้น จึงเป็นการชม-ฟังระนาดที่ได้อัธรส ครับ

                 โขนตอนศึกมัยราพณ์ ยังมีแสดงต่อวันละสองรอบ คือรอบบ่ายสองโมง กับหนึ่งทุ่ม แสดงจนถึงวันที่ 7 สิงหาคม ครับ  พี่สิงห์จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านได้ชมกันครับ สำหรับพี่สิงห์จะไปชมอีกครั้งหนึ่งครับ ติดต่อซื้อบัตรได้ที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร. 022623456 หรือทางเวบ ครับ

                 ราตรีสวัสดิ์ ครับ

เมื่อกี้ก่อนออกจากบ้าน,
พยายามclickหาใน internet
ก็จำไม่แม่นพี่สิงห์ไปดูโขนตอนไหน
เดาๆว่า"นางลอย"...
ขอบอกคะ...คนหา...ตาลอย
เหวอกู่ไม่กลับ!

งั้นเดี๋ยวหาใหม่คะ
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 106 107 [108] 109 110 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><